ราคาข้าวตลาดโลกมาแรง...ไฉนชาวนาไทยยังจน? 15 สิงหาคม 2549 18:41 น.
ข่าวดีสำหรับข้าวไทย...ราคาในตลาดโลกกำลังจะสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ก็ได้...และจะขยับขึ้นอย่างต่อเนื่องในอีก 3 ปีข้างหน้านี้
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : แต่เราก็กำลังเจอกับการแข่งขันในตลาดสากลอย่างคึกคักเช่นกัน...ฉะนั้นจึงต้องมีการบริหารวางแผนและประสานงานกันตั้งแต่ชาวไร่ชาวนา, เจ้าของโรงสี, พ่อค้าคนกลาง, ผู้ส่งออกและรัฐบาล
หากตลาดโลกดีขึ้นก็ควรจะให้ชาวไร่ชาวนาของเราได้ประโยชน์เต็มที่ มิใช่ถูกพ่อค้าคนกลางหรือนักการเมืองโกงกินปล้นไปเสียกลางทาง
ราคาข้าวในตลาดโลกวันนี้อยู่ที่ 9.90 เหรียญต่อ 100 ปอนด์ ประเมินกันว่าราคาจะกระโดดไปถึง 20 เหรียญต่อ 100 ปอนด์ในอีกสองปีข้างหน้า
นี่คือคำพยากรณ์ของบริษัทค้าพืชผลเกษตรรายใหญ่ที่ชื่อ Diapason Commodities Management อยู่ที่เมืองโลซานแห่งประเทศสวิตเซอร์แลนด์
เหตุผลสำคัญที่ทำให้ราคาข้าวในตลาดโลกกระเตื้องขึ้นอย่างมากในช่วงหลังก็เพราะประเทศจีนซึ่งกินข้าวเป็นหลักกลับปลูกข้าวน้อยลง
เพราะท้องนาที่เมืองจีนถูกแปรสภาพเป็นโรงงาน, ถนน และที่อยู่อาศัย แต่ประชากรจีนเพิ่มขึ้นไม่หยุดยั้ง และก็ยังกินข้าวเป็นอาหารหลักประจำวันอยู่
สำนักข่าวบลูมเบิร์กบอกว่ากระทรวงเกษตรสหรัฐ รายงานว่าสต็อกข้าวทั่วโลกวันนี้ลดไปอยู่ที่จุดต่ำสุดใน 26 ปี และทำท่าว่าจะหดลงไปอย่างต่อเนื่องอีก
ชาวนาปลูกข้าวน้อยลงเพราะราคาน้ำมันแพงขึ้น ทำให้ราคาปุ๋ยและน้ำจากระบบชลประทานแพงขึ้น...จึงทำให้คนปลูกข้าวทั่วโลกหันไปปลูกพืช, ผักและผลไม้ หรือธัญพืชอื่นที่มีค่าใช้จ่ายในการปลูกต่ำกว่า
เราติดตามความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบที่กำลังขยับตัวสูงขึ้นเพราะสงครามระหว่างอิสราเอลกับเฮซบอลเลาะห์อย่างใกล้ชิด แต่มักจะไม่มีใครพูดถึงราคาข้าวในตลาดโลกที่กำลังพุ่งขึ้นไปเช่นกัน
ข้าวที่ซื้อขายกันสัปดาห์ที่ผ่านมาที่หอการค้าชิคาโก (Chicago Board of Trade) สำหรับการส่งมอบเดือนพฤศจิกายน กระโดดขึ้นไปถึง 4.8 เปอร์เซ็นต์ไปอยู่ที่ 9.85 เหรียญต่อ 100 ปอนด์...เป็นราคาข้าวที่สูงที่สุดใน 2 ปี
เฉพาะ 1 ปีที่ผ่านมา ราคาข้าวในตลาดโลกพุ่งสูงไปถึง 48 เปอร์เซ็นต์ เทียบกับสินค้าเกษตรอย่างอื่นแล้ว โดดเด่นกว่าใครๆ เพราะราคาข้าวสาลีในตลาดล่วงหน้าเดียวกันเพิ่มไป 19 เปอร์เซ็นต์ และข้าวโพดก็ขยับขึ้นไปแค่ 8.3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
สำนักข่าวบลูมเบิร์กบอกว่าราคาข้าวในตลาดล่วงหน้าที่เคยพุ่งไปสูงสุด ก็คือเมื่อปี ค.ศ.1993 หรือเมื่อ 13 ปีก่อนหน้านี้
รายงานนี้บอกว่าประเทศส่งข้าวออกมากที่สุดของโลกคือไทย, เวียดนาม และอินเดีย ตามลำดับ
ประเทศที่สั่งเข้าข้าวสูงสุดคือ ฟิลิปปินส์, ไนจีเรีย และอิรัก ขณะที่จีนเป็นประเทศที่บริโภคข้าวมากที่สุดในโลก
แม้จะมีการประเมินกันว่าผลผลิตข้าวทั่วโลกปีนี้จะสูงสุดในประวัติการณ์ (อาจสูงถึง 634 ล้านตัน) แต่วงการข้าวบอกว่าจะไม่ทำให้ราคาข้าวลดลงจากแนวโน้มที่กระเตื้องขึ้นอย่างรวดเร็วได้ เพราะความต้องการข้าวยังสูงอยู่และจะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
เหตุหนึ่งเป็นเพราะจีนเสียพื้นที่นาข้าวไปมาก เฉพาะ 10 ปีที่ผ่านมา, จีนลดเนื้อที่เพาะปลูกข้าวไปไม่น้อยกว่า 19.8 ล้านเอเคอร์ หรือเกือบ 50 ล้านไร่
และหากมีปัญหาเรื่องภัยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วมหรือฝนแล้งอย่างรุนแรงจากนี้ไป, ผลผลิตข้าวก็จะลดลง และราคาก็จะเพิ่มมากขึ้นกว่าที่คาดการณ์เอาไว้อีก
ผลผลิตข้าวของสหรัฐอเมริกาก็ลดลงเช่นกัน ประเมินกันว่าปีนี้จะหดตัวลงประมาณ 12 เปอร์เซ็นต์ (ไปอยู่ที่ 197.2 พันล้านปอนด์)
ผู้เชี่ยวชาญในวงการข้าวของอเมริกาบอกว่าตราบใดที่ราคาน้ำมันดิบยังสูงเกินกว่าบาร์เรลละ 40 เหรียญ, ราคาข้าวในตลาดล่วงหน้าก็จะยังสูงถึง 13 เหรียญต่อน้ำหนัก 100 ปอนด์
ถ้าราคาน้ำมันดิบสูงถึง 100 เหรียญต่อบาร์เรล ราคาข้าวในตลาดโลกก็อาจจะกระโดดไปที่ 20 เหรียญต่อน้ำหนัก 100 ปอนด์...ดังนั้น ถ้าราคาน้ำมันดิบอยู่ที่บาร์เรลละ 74 เหรียญอย่างวันนี้ ก็พอจะประเมินได้ว่าราคาข้าวน่าจะยังอยู่ในระดับสูงพอสมควร
รัฐบาลตอบได้ไหมว่าเมื่อตลาดโลกเป็นใจอย่างนี้แล้ว เหตุไฉนชาวนาไทยยังยากจนอยู่และยังต้องถูกรัฐบาลหลอกอยู่ตลอดเวลาว่า "ราคาข้าวและราคายางสูงขึ้นเพราะฝีมือทักษิณ?"http://www.bangkokbiznews.com/2006/08/16/u001_129249.php?news_id=129249 อ่านบทความของคุณ"กาแฟดำ" แล้ว อนาคตชาวนาไทยน่าจะดีขึ้นเป็นลำดับ เพราะความต้องการบริโภคยังสูงขึ้นตลอดเวลา แม้จะไม่เพิ่มมากมายนัก แนวโน้มพื้นที่เพาะปลูกจะน้อยลงเรื่อยๆ ในประเทศจีนและอินเดียที่กำลังจะเป็นประเทศอุตสาหกรรมแทน....
แต่ราคาข้าวกลับไม่มีราคาสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบโลก และราคายางสูงขึ้นที่ทักษิณและแกนนำพรรคฯ คุยโม้ว่าเป็น"ฝีมือ"พรรคไทยรักไทย ทั้งที่เป็นที่รับรุ้ในประชาชนที่ได้รับรู้ข่าวสารทั่วโลกว่า จีนผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้น ทำให้ต้องผลิตยางรถยนต์เพิ่มขึ้น และสินค้าอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ต้องใช้ยางเป็นวัตถุดิบ....
ข้าวเป็นสินค้าที่ต้องบริโภคทุกวัน ไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดที่กำลังจะเสียตำแหน่งให้เวียตนามไม่นานนี้ ไม่สามารถขายราคาสูงขึ้นได้ตามสัดส่วนสินค้าอื่นๆ เช่นน้ำมัน และยาง เป็นต้น....

ไม่เพียงแต่ข้าวที่รัฐบาลทักษิณไม่สามารถสร้างราคาสูงขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อชาวนาไทยเท่านั้น ผลผลิตการเกษตรอื่นๆ เช่น ลำใย ลิ้นจี้ เงาะ เป็นต้น ก็ไม่สามารถทำให้เกษตรกรไทยขายผลผลิตได้กำไรตามสมควร...

1-2 ปีที่ผ่านมา จีนและอินเดียที่เป็นสองประเทศในกลุ่มผู้ใช้ยางมากที่สุด ได้ขยายพื้นที่ปลูกยางพาราเพิ่มขึ้น จะได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นใน 3-5 ปีข้างหน้า ผลผลิตคาดว่าจะล้นตลาดอีก ราคายางอาจจะตกต่ำลงกว่านี้ (โดยสัมพันธ์กับราคาน้ำมันดิบ).....
รัฐบาลขณะนั้นจะถูกกล่าวหาจากทักษิณหรือคนรักทักษิณหรือไม่ว่า ทำให้ราคายางตกต่ำลง 