สารส้ม: การเมืองตลบตะแลง กับ 2 นายกรัฐมนตรี
คำว่า "ตลบตะแลง" ในพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน หมายความว่า "พลิกแพลงด้วยเล่ห์เหลี่ยมให้หลงเชื่อ, ปลิ้นปล้อน"
การเมืองตลบตะแลง จึงหมายความถึง การเล่นการเมืองอย่างไม่ตรงไปตรงมา พลิกแพลงด้วยเล่ห์เหลี่ยม เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อ ไม่ว่าจะด้วยกลอุบาย การหลบเลี่ยงกฎหมาย การตะแบงตีความกฎหมาย การปลุกปั่นกระแสสังคมให้เคลิบเคลิ้มหลงใหล หรือการพูดอย่างแต่ทำอีกอย่าง ทำต่อหน้าอย่างแต่ทำลับหลังอีกอย่าง
หรือ กระทำในสิ่งที่ขัดแย้งกันเอง แล้วบอกว่าถูกทั้งสองอย่าง ทั้งๆ ที่ หากอย่างหนึ่งถูก อีกหนึ่งอย่างก็จะต้องผิด หรือหากอย่างหนึ่งจริง อีกอย่างหนึ่งก็จะต้องเท็จ
การเมืองในช่วงนี้ มีลักษณะอย่างนี้ให้เห็นอยู่จนชิน
1) วันก่อน "ทักษิณ ชินวัตร" ไม่ยอมให้สัมภาษณ์นักข่าวถึงแนวทางการเมือง หลบเลี่ยงโดยบอกว่า "อย่ามาสัมภาษณ์คนตกงาน ให้ไปสัมภาษณ์คนมีงานทำ"
ความหมายที่ต้องการจะบอก คือ ตนเองไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่แล้ว
2) ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน "ทักษิณ ชินวัตร" กลับเชิญเอกอัครราชทูตของชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจหลายประเทศเข้าไปพบ ณ ที่ทำการพรรคไทยรักไทย ไม่ว่าจะเป็น ทูตสหรัฐ อังกฤษ ญี่ปุ่น รัสเซีย เป็นต้น
อ้างว่า เชิญทูตมาพบ เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ!
แสดงว่า ตนยังอยู่ในอำนาจหน้าที่ผู้นำประเทศ ทูตต่างประเทศจึงต้องเข้าพบ เข้ามาหาถึงที่ทำการพรรค ทั้งๆ ที่ โดยปกติในทางการทูต เขาจะต้องนัดทูตไปพบยังสถานที่ราชการ ไปทำเนียบรัฐบาล ไม่ใช่สถานที่ส่วนตัว เว้นแต่จะเป็นการเข้าเฝ้าฯประมุขของผู้นำประเทศเท่านั้น
หากพิจารณาข้ออ้างตาม ข้อ 1) และ 2) จะเห็นว่า ข้ออ้างทั้งสองประการ จะเป็นจริงไปในคราวเดียวกันไม่ได้เด็ดขาด เพราะทั้งสองอย่างเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกันอยู่ในตัวเอง
ถ้า "ทักษิณ ชินวัตร" ไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ตามข้อ 1) ทูตก็จะต้องไม่เข้าไปพบตามข้อ 2)
หรือถ้าทูตเข้าไปพบตามข้อ 2) แสดงว่า "ทักษิณ ชินวัตร" ยังอยู่ในอำนาจหน้าที่ ยังต้องรับผิดชอบในอำนาจหน้าที่ เท่ากับว่า ข้อ 1) เป็นการโกหก
"ทักษิณ" จะหลบเลี่ยงความรับผิดชอบในอำนาจหน้าที่ โดยอ้างว่าไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่แล้ว แต่กลับยังใช้อำนาจหน้าที่ในการเชิญทูตต่างประเทศเข้าไปพบตนเองถึงที่ทำการพรรคเยี่ยงนี้ไม่ได้เด็ดขาด
การเมืองที่พลิกแพลงด้วยเล่ห์เหลี่ยมให้หลงเชื่อ เป็นการเมืองที่ "ตลบตะแลง"
เป็นการเมืองที่ใช้วิธีการตะแบงตีความกฎหมาย เพื่อทำให้ประเทศหนึ่งเดียวมีนายกรัฐมนตรีรักษาการพร้อมกัน ๒ คน
คนหนึ่ง มีไว้เพื่อใช้ตำแหน่งอำนาจหน้าที่ปกป้องตัวเองจากความรับผิดชอบใดๆ
อีกคนหนึ่ง มีไว้เพื่อใช้อำนาจหน้าที่บริหารราชการในทางนิตินัย
โดยวิธีการนี้ "นายกรัฐมนตรีรักษาการผู้เป็นหัวหน้าพรรค" จึงได้ "ลอยตัว" อยู่เหนือความรับผิดชอบใดๆ
เท่ากับว่า ยกระดับตัวเองขึ้นเป็น "นายกรัฐมนตรีผู้ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการอยู่ในอำนาจหน้าที่" หรือ "Can do no wrong"
เพราะความรับผิดชอบทั้งหมด ถูกตัดตอน ปัดเป่า ดำเนินการ จัดให้ โดยน้ำมือของ "นายกรัฐมนตรีรักษาการผู้เป็นลูกน้องในพรรค"
นึกถึงประเทศที่มีประธานาธิบดีเป็นผู้นำ แล้วก็มีนายกรัฐมนตรีทำหน้าที่บริหารราชการไปด้วย
นึกถึง ความหมายของคำว่า "ตลบตะแลง"
น่าเศร้าใจจริงๆ
สารส้ม
http://www.naewna.com/news.asp?ID=4023