สถาบันการเงินของรัฐทยอยถังแตก

[นทร์]

สถาบันการเงินของรัฐทยอยถังแตก
โดย หมายเหตุผู้จัดการ 11 เมษายน 2549 20:49 น.
 
              ฐานะการเงินของรัฐบาลถังแตกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และปกปิดไว้ไม่มิดแล้ว แม้ว่าเคยปฏิเสธมาครั้งหนึ่งเมื่อสองเดือนก่อน แต่หลังสุดก็ต้องยอมรับความจริงว่ารัฐบาลถังแตก
       
       เป็นภาวะถังแตกที่หนักหนาเอาการ ดังที่สื่อมวลชนถึงกับเรียกภาวะถังแตกนี้ว่า “ถังแตก…แตกดังโพละ”
       
       ที่ถังแตกก็เพราะรายได้ไม่พอกับรายจ่ายเนื่องจากการจ่ายเงินเกินตัว และส่งผลให้ต้องค้างค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าพาหนะแก่ทหาร ตำรวจ ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ชายแดนภาคใต้กว่า 3 เดือนมาแล้ว
       
       ต้องชะลอการจ่ายเงินในโครงการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ ต้องหยุดหรือชะลอโครงการลงทุนหรือโครงการที่จะจัดซื้อจัดจ้างต่อไป และถึงกับต้องเรียกคืนเงินที่ส่วนราชการเบิกไปแล้วแต่ยังไม่ทันจ่าย เพื่อเอาเงินมาใช้จ่ายอย่างอื่นก่อน
       
       ถึงขนาดต้องขู่กันว่าถ้าใครไม่คืนก็จะถูกพิจารณา หรือถ้าติดขัดด้วยระเบียบก็จะต้องแก้ด้วยระเบียบกัน
       
       เป็นสภาพที่ฉีกหน้ากากข้ออ้างความสำเร็จในการบริหารประเทศอย่างล่อนจ้อนที่สุด
       
       ความจริงการใช้จ่ายเงินของรัฐที่ว่าเกินตัวจนเกิดปัญหาอยู่ในขณะนี้นั้นยังเกินตัวไปจากที่เป็นอยู่อีกมากมาย เป็นแต่ว่าได้หลบเลี่ยงหรือไปซุกไว้ที่อื่นด้วยความถนัดในการซุกเหลือประมาณนัก
       
       นั่นคือการผลักรายจ่ายของรัฐบาลไปให้กับสถาบันการเงินของรัฐกว่า 1,800,000 ล้านบาท ยังไม่รวมที่จ่ายจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลอีกส่วนหนึ่ง
       
       รายจ่ายที่ควรเป็นรายจ่ายของรัฐและต้องใช้จ่ายเงินตามงบประมาณก็ผลักไปใช้เงินของสถาบันการเงินของรัฐ หรือไม่ก็ควักออกไปจากสำนักงานสลากกินแบ่ง แทนที่สำนักงานสลากกินแบ่งจะต้องส่งเงินเข้าคลัง
       
       จึงเป็นการใช้จ่ายเงินโดยไม่มีการควบคุม โดยไม่มีระเบียบแบบแผน ไม่มีโครงการหรือแผนงาน แต่เป็นการใช้จ่ายเงินตามใจชอบ
       
       ดังนั้นนอกจากภาวะถังแตกของรัฐบาลแล้ว ถังก็ยังไปแตกลามไปถึงสถาบันการเงินของรัฐด้วย และภาวะถังแตกเช่นนี้อาจจะลากเอาสถาบันการเงินอื่น ๆ ของเอกชนให้พังพินาศตามไปด้วย
       
       ดีร้ายเหตุการณ์ปิดธนาคารและสถาบันการเงินด้วยฝีมือของนายทนง พิทยะ ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2540 อาจจะเกิดซ้ำรอยอีกครั้งก็ได้!
       
       ธนาคารของรัฐขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่มีภาระจัดเงินให้อีกแห่งหนึ่งยืมเดือนละ 30,000 กว่าล้านบาท ถูกดึงเงินไปใช้จนหมดตัว และไม่สามารถให้ยืมเงินตามข้อตกลงเดิมได้ นี่เป็นภาวะที่น่ากลัวมาก แต่ยังดีที่รัฐบาลเป็นประกัน คนฝากเงินจึงพออุ่นใจได้
       
       ธนาคารของรัฐขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่งที่ได้ใช้จ่ายเงินเกินตัวจนหมดตัวแล้ว และหวังจะได้เงินยืมเดือนละ 30,000 ล้านบาท พอไม่ได้ก็ขาดสภาพคล่อง ไม่สามารถให้กู้ยืมเงินได้อีกต่อไป
       
       ลามไปถึงธนาคารอีกแห่งหนึ่งที่ต้องชะลอการให้สินเชื่อกับภาคเกษตร เพราะขาดสภาพคล่องเหมือนกัน
       
       ส่วนสถาบันการเงินของรัฐอีก 2-3 แห่งก็โกงกันสะบั้นหั่นแหลกจนเกิดปัญหาสอบสวนกันวุ่นวาย และทำให้ขาดสภาพคล่องอย่างต่อเนื่องเหมือนกัน
       
       ยังไม่รวมถึงปัญหาเงินกองทุนที่ถ้าตรวจกันจริง ๆ แล้วก็จะขาดหรือมีอัตราส่วนต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดไปมากมายแล้ว
       
       ถังแตกแล้ว แตกลามไปยกใหญ่แล้ว
       
       เฉพาะหน้านี้ต้องช่วยกันกดดันและเรียกร้องให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลยุติการเอาเงินไปใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ของพรรคการเมืองในการสร้างค่านิยมอันผิดกฎหมายเสียทันที
       
       แล้วให้ส่งเงินเข้าคลังในทันที อย่างน้อยต้องเอาไปจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าพาหนะ ของทหาร ตำรวจ ที่ปฏิบัติหน้าที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ก่อนเพื่อน และใช้จ่ายเบี้ยเลี้ยงตลอดจนค่าสวัสดิการและค่าใช้จ่ายที่จำเป็นก่อน
       
       พนักงานสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลต้องช่วยกันขับไล่ร่างทรงพรรคการเมืองที่เข้ามาฉ้อฉลเอาเงินหลวงที่ได้มาจากการหลอกชาวบ้านให้เล่นหวยไปใช้จ่ายในทางการเมืองออกไปให้หมด
       
       ประชาชนที่มีเงินฝากก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจและเตรียมความปลอดภัยให้กับเงินฝากของตนเอง
       
       อย่ารอจนกระทั่งต้องเข้าโครงการและถอนเงินไม่ได้ 3 ปี 5 ปี เหมือนกับที่ผ่านมาในปี 2540
       
       เห็นหน้านายทนง พิทยะ คราวใดก็หวั่นใจทุกที เพราะนอกจากเรื่องนี้แล้วค่าเงินบาทที่แข็งผิดปกติก็วิปริตพิกลพิการที่เงินบาทอาจถูกถล่มซ้ำรอยปี 2540 อีก
       
       โอ๊ย! เกิดเป็นคนไทยในยุคนี้ทำไมมีแต่ความฉิบหายวายวอดทุกเรื่องทุกราวเช่นนี้หนอ
       
       อ้อ! ก็เพราะมีฝูงปีศาจมาปล้นบ้านผลาญเมืองกันอย่างมันมือนี่เอง.
       
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9490000048863

[นทร์]

ดัชนีเชื่อมั่นมี.ค.ต่ำสุดรอบ5ปี

นายกฯเว้นวรรคดึงกระเตื้องจิ๊บจ๊อย ปชช.ยังกังวลปัญหาการเมืองไม่นิ่ง

ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมีนาฯรูดต่ำสุดรอบ 5 ปี ระบุนายกฯเว้นวรรคแค่ผ่อนคลายความรู้สึกของประชาชนเล็กน้อย ส่วนใหญ่ยังวิตกความไม่แน่นอนทางการเมือง คาดเดือนเมษาฯดัชนียังทรุดต่อเนื่อง ด้านปัญหาบาทแข็งแบงก์ชาติยันไม่ถึงเวลาแทรกแซง

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แถลงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมีนาคม 2549 จากการสอบถามประชาชนทั่วประเทศจำนวน 2,242 คน ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นมีการปรับตัวลดลงทุกรายการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และเกือบทุกรายการทำสถิติดัชนีต่ำสุดในรอบเกือบ 5 ปีนับจากเดือนพฤษภาคม 2545 โดยดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ที่ 79.6 เป็น 77.9 ในเดือนมีนาคม ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (ซีซีไอ) ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ ที่ 85.1 เป็น 83.7

ทั้งนี้ปัจจัยลบที่กระทบต่อการปรับลดลงของความเชื่อมั่น ได้แก่ 1.สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมือง 2.ราคาน้ำมันเบนซินขายปลีกในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น 80 สตางค์ และน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มขึ้น 1.20 บาท 3.สำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ปรับลดอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2549 จาก 4.7-5.7% เป็น 4.5-5.5% 4.ดัชนีซื้อขายในตลาดหุ้นปรับลดลง 10.80 จุด 5.ความกังวลต่อปัญหาค่าครองชีพและราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น 6.ความวิตกต่อสถานการณ์ความไม่สงบทางภาคใต้ที่ยังยืดเยื้อเชื่อว่าจะกระทบต่อเศรษฐกิจในอนาคตอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ปัจจัยบวกมีเพียงการส่งออกในเดือนกุมภาพันธ์ 2549 ได้ขยายตัว 23.3% หรือส่งออกเป็นมูลค่า 9,425 ล้านบาท ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าจาก 39.309 บาท/เหรียญสหรัฐ เป็น 38.871 บาท/เหรียญสหรัฐ และรัฐบาลยังคงดำเนินนโยบายการเงินการคลังเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

"แม้ผลสำรวจหลังนายกรัฐมนตรีประกาศเว้นวรรคทางการเมืองจะผลต่อความเชื่อมั่นปรับตัวดีขึ้น แต่เป็นการปรับขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยเป็นเพียงผลจากจิตวิทยาของคนที่ผ่อนคลายลง แต่ก็ยังไม่เป็นปัจจัยที่จะทำให้ความเชื่อมั่นเดือนเมษายนปรับเพิ่มขึ้น และคาดว่าเมษายนความเชื่อมั่นยังคงอยู่ในทิศทางปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 เนื่องจากความวิตกกังวลต่อความไม่แน่นอนทางการเมืองยังสูง ในเรื่องการสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ การเปิดประชุมสภาเมื่อเสียงไม่ครบ 500 ได้หรือไม่ หน้าตาของรัฐบาล และการประกาศยังมีการชุมนุมต่อเนื่อง รวมถึงความผันผวนของราคาน้ำมันยังสูงขึ้น และความวิตกต่อค่าเงินบาทและค่าครองชีพที่สูงขึ้น ยังเป็นปัจจัยบั่นทอนความเชื่อมั่นในเดือนเมษายน" นายธนวรรธน์กล่าว

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นว่า เป็นผลจากเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงและยังเป็นการแข็งขึ้นในทั้งภูมิภาค ซึ่งการแข็งค่าในลักษณะเช่นนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกมากนัก โดยธนาคารได้ติดตามการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนโดยที่ยังไม่ได้เข้าไปดูแลในตลาด เพราะการเข้าไปดูแลจะดำเนินการต่อเมื่อเงินบาทได้ปรับตัวแข็งค่าเพียงสกุลเดียว ทั้งนี้หาก ธปท.ได้เข้าไปแทรกแซงในตลาด ค่าเงินบาทคงไม่แข็งถึงที่ระดับปัจจุบัน อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา ธปท.ได้พยายามดูแลค่าเงินบาทให้เคลื่อนไหวอย่างเหมาะสมเพื่อไม่ให้ธุรกิจของผู้ส่งออกมีปัญหา

ด้านนายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการสายเสถียรภาพการเงิน ธปท. กล่าวว่า ค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 11 เมษายน ได้แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากกระแสเงินทุนที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องได้เป็นแรงกดดันที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็ง ซึ่ง ธปท. มีการติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อดูแลไม่ให้เงินบาทปรับตัวแรงเกินไป อย่างไรก็ตามเงินทุนที่ไหลเข้ามาเป็นทิศทางเดียวกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค

หน้า 17
http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01eco01120449&day=2006/04/12

[นทร์]

รัฐถังแตกพ่นพิษ! ไม่มีงบจ่ายเงินเดือนให้ลูกจ้างชั่วคราว

“รัฐบาลถังแตก” พ่นพิษทำ “สงกรานต์” กร่อย ลูกจ้างชั่วคราว “กระทรวงจับกัง” กว่า 150 ยังไม่ได้รับเงินเดือนงวด “มี.ค.”ต้องหันไปพึ่งเงินกู้-จ่ายดอกหัวโต แฉพิรุธเปลี่ยน ระบบจ่ายเงินใหม่ต้องอิง "เงินคงคลัง" เพื่อเบิกจ่ายแต่กลับไม่ได้เชื่อเงินหมด "จวก" จ่ายเบี้ยหัวแตกหว่านหาเสียง-ทุ่มประชานิยม พ้อลูกจ้างกระทรวงอื่นก็โดน-เดือนหน้าไม่พ้นสภาพเดิม ด้าน "โฆษกคลัง" อ้างปัญหาวางบิลไม่ถูกยันมีเงินพร้อมจ่าย ขณะอธิบดีกรมสวัสดิการคุ้มครองแรงงาน แจงทำหนังสือกู้เงินฉุกเฉินแก้ปัญหาแล้ว

เมื่อวันที่ 11 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังจากมีข่าวว่ารัฐบาลประสบภาวะขาดเงินคงคลังมาตลอดระยะเวลา 2-3 เดือนที่ผ่านมา ได้เกิดผลกระทบกับการจ่ายเงินเดือนหรือค่าตอบแทนให้กับลูกจ้างชั่วคราวภายในหน่วยงาน ราชการระดับกรม 2 แห่ง ภายในกระทรวงแรงงาน จำนวนอย่างน้อย 150 คน ที่หน่วยงานต้นสังกัดไม่โอนเงินเดือนของเดือน มี.ค. 2549 ที่ผ่านมา เข้าบัญชีตามระบบ GFMIF ซึ่งเป็นระบบจ่ายเงินเดือนตรงให้กับลูกจ้างระบบใหม่ที่มีความรวดเร็วเพิ่มมากขึ้น ภายใต้เงื่อนไขที่ว่ารัฐบาลต้องมีเงินคงคลัง จึงจะสามารถจ่ายโอนเงินให้ได้

รายงานข่าวแจ้งว่า นอกจากนี้การที่รัฐบาลมีนโยบายไม่ให้มีการจ้างลูกจ้างชั่วคราว แต่จะใช้วิธีการจ้างพนักงานราชการแทนเพื่อ ประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นปัญหาอุปสรรคกับหน่วยงานราชการเป็นอย่างมาก เพราะการจ้างพนักงานราชการมีข้อจำกัดด้านอัตรากำลัง ขณะที่ภารกิจของแต่ละหน่วยงานมีมากไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ทำให้หลายหน่วยงานต้องเลี่ยงด้วยการจ้างในลักษณะจ้างทำสิ่งของ หรือการจ้างในลักษณะแบบผ่านบริษัทเพื่อให้การโอนเงินมีความรวดเร็ว แต่ก็ต้องประสบปัญหาเมื่อบริษัท นายหน้าเหล่านี้จะเรียกเก็บค่าหัวคิวจากลูกจ้าง เช่นฐานเงินเดือน 7,600 บาท จะถูกหักค่าหัวคิวและเงินประกันสังคม ทำให้ลูกจ้างเหลือรายรับจริงตกเดือนละ 4,150 บาทเท่านั้น

น.ส.กานต์ (นามสมมุติ) ลูกจ้างชั่วคราวสังกัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า จนถึงขณะนี้ตนยังไม่ได้รับเงินเดือนประจำเดือน มี.ค. ทั้งที่ทำงานล่วงเลยมาถึงวันที่ 11 เม.ย. แล้ว ทำให้ต้องไปกู้เงินนอกระบบดอกเบี้ยร้อยละ 10-15 บาท เพื่อให้มีเงินมาใช้จ่ายเป็นค่านมลูก ค่าเช่าบ้าน ไม่นับรวมถึงช่วงเทศกาลสงกรานต์ว่าจะได้กลับภูมิลำเนา เพราะคิดว่าไม่ได้รับเงินอย่างแน่นอน

"ดิฉันร้องเรียนไปยังหัวหน้าหน่วยงานก็ได้รับคำตอบว่าจะพยายามหาเงินสำรองจ่ายมาให้ เมื่อคิดดูจากจำนวนลูกจ้างแล้วต้องใช้เงินกว่า 7 ล้านบาท ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก เชื่อว่าที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้เพราะรัฐบาลนำงบไปใช้ในนโยบายประชานิยมอย่างมหาศาล ในตอนนี้ก็ได้แต่ทำใจรับสภาพ" น.ส.กานต์ กล่าวด้วยน้ำเสียงท้อแท้ และว่าทราบจากเพื่อนที่เป็นลูกจ้างในกระทรวงอื่น ต่างประสบปัญหาในลักษณะเดียวกับตน โดยเชื่อว่าในเดือนหน้าก็คงไม่พ้นที่จะต้องเจอกับปัญหาเช่นเดิม

นายสมชัย สัจจพงษ์ โฆษกกระทรวงการคลัง ยืนยันกรณีที่เกิดขึ้นว่า หากมีหน่วยงานใดยื่นใบวางเบิกผ่านระบบ GFMIF มาอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นเรื่องของเงินเดือนข้าราชการ ลูกจ้าง หรือลูกจ้างชั่วคราวแล้ว กรมบัญชีกลางจะโอนเงินให้กับทุกหน่วยงานครบ ทุกบาททุกสตางค์ทันที โดยเรื่องที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพราะหน่วยงานยื่นใบวางเบิกไม่ถูกต้อง ซึ่งกรมบัญชีกลางขอให้หน่วยงานดังกล่าวติดต่อ

และแจ้งรายละเอียดมาที่กรมบัญชีกลางได้ทันที เพื่อจะได้ตรวจสอบระบบว่ามีความผิดพลาดเกิดขึ้นที่ใด แต่ยืนยันว่ากระทรวงการคลังไม่ได้ถังแตก
หรือไม่มีเงินคงคลังเหลือ จนไม่สามารถโอนเงินไปให้หน่วยงานที่มีลูกจ้างร้องเรียนดังกล่าวได้

ด้านนายผดุงศักดิ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวถึงกรณีลูกจ้างชั่วคราวของกระทรวงแรงงานไม่ได้รับเงินเดือนว่า ยอมรับว่าปัญหานี้เป็นปัญหา ใหญ่ที่เกิดขึ้นจากการปรับระบบจ่ายเงินเดือนใหม่ดังกล่าว ซึ่งลูกจ้างของกระทรวงฯ หลายรายได้ร้องเรียนเข้ามาที่กรมสวัสดิการฯ ซึ่งตนได้ลงนามในหนังสือขอทดรองยืมเงินกู้ฉุกเฉินซึ่งถือเป็นเงินสวัสดิการพิเศษ ที่ตั้งขึ้นเป็นกองทุนตั้งแต่ยุคอธิบดีกรมสวัสดิการฯในอดีต เพื่อรองรับแก้ปัญหาเงินสดขาดและที่ผ่านมาไม่เคยได้ใช้ กระทั่งช่วงเวลานี้ที่มีกระแสข่าวว่ารัฐบาลขาดสภาพคล่องทางการเงิน จึงตัดสินใจทำเรื่องกู้ฉุกเฉินเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว

"ในวันพรุ่งนี้ (12 เม.ย.) ผมจะเรียกผอ.กองคลัง กรมสวัสดิการ มาหารือถึงการแก้ปัญหาในระยะยาว และอาจจำเป็นต้องทำหนังสือแจ้งไปยังกรมบัญชีกลาง" นายผดุงศักดิ์ กล่าวและตอบข้อถามว่าปัญหาดังกล่าวอาจทำให้ลูกจ้างรวมตัวประท้วงหยุดงานหรือไม่ โดยระบุว่าตนภาวนาจะไม่ให้เป็นเช่นนั้น และจะเร่งแก้ปัญหาให้ได้ภายใน 1-2 วันนี้.

http://www.dailynews.co.th/dailynews/pages/front_th/popup_news/Default.aspx?Newsid=84847&NewsType=1&Template=1

[(-O-)Koka]

เวรกรรม กระทรวงแรงงานเป็นซะเอง

เดี๋ยวเจอลูงจ้างหยุดงานประท้วงจะเอาหน้าไปไว้ไหน

แล้วจะไปดูแลลูกจ้างคนอื่นได้ยังไง

[::วิญญาณห้อง2::]

ผมว่า บทความนี้

ผจก. นั่งเทียน มากเกินไป

แต่ถามว่าเงินหมดคลังจริงหรือไม่

คำตอบคือ จริง

แต่มันไม่แย่ขนาดสถาบันการเงินต่างๆจะต้องโดนผลกระทบไปด้วย

ตอนนี้ สภาพคล่องในตลาดเงินตึงตัวจริง

แต่ก็เป็นกันทุกธนาคาร เพราะว่า มันเชื่อมโยงกันหมด

เมื่อแบงค์ชาติต้องให้เงินสนับสนุนกับคลังเป็นเงินจำนวนหนึ่ง

จึงเป็นที่มาของการประกาศขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว

ประกอบกับ การกู้ยืมเงินในต่างประเทศ ก็ทำไม่ได้เหมือนกัน เพราะทุกชาติเงินตึงตัวหมดโดยเฉพาะ แถบเอเชีย

ญี่ปุ่น ซึ่งเกิดปัญหาเงินฝืด ดอกเบี้ยต่ำ ติดลบ มาหลายปีดีดัก ดอกเบี้ยก็กลับมาเป็นบวกแล้วประมาณปีที่ผ่านมา

โดยเป็นผลโดยตรงจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นนั่นเอง ทำให้ต้นทุนทุกอย่างเพิ่มขึ้นอย่างมาก และก่อให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อ (Cost Push) กับประเทศต่างๆ

แต่ถ้าพิจารณาเฉพาะของประเทศไทย ก็ยิ่งแย่กว่าชาวบ้านเขา เพราะเงินของคลังที่ละลายไปกับนโยบายประชานิยม และ maga project ทั้งหลาย + กับภาวะเงินตึงตัวในภูมิภาคเอเชีย

ดังนั้น เรายังคงจะเห็นภาวะ "การประกาศขึ้นดอกเบี้ย" อีกอย่างแน่นอน ซึ่งคาดว่าปีนี้จะขึ้นอีกหลายครั้ง

เมื่อแบงค์ชาติไม่สามารถกู้ยืมเงินจากต่างประเทศได้อีก ก็เลยต้องหันมาขึ้นดอกเบี้ย เพื่อกู้ยืมเงินในประเทศแทน แต่เมื่อ Bank ต่างๆ ก็เงินตึงตัว อันเป็นผลกระทบจากเงินเฟ้ออย่างที่กล่าว ก็ไม่ค่อยให้แบงค์ชาติยืมผ่านทาง Repurchase Agreement หรือเรียกว่า Repo Rate โดยขึ้นดอกเบี้ยให้เป็นแรงจูงใจให้แบงค์ต่างๆหาเงินฝากมาปล่อยกู้ผ่าน Repo เพื่อกินส่วนต่างแบบนิ่มๆ

คนมีหนี้ต้องระวังตัวให้ดี คุณจะจนลงแน่ๆ ในปีนี้

รากหญ้าจะรู้สึกก็คราวนี้แหละ แต่ไม่รู้จะรู้สึกหรือไม่ เดี๋ยวรัฐก็เอาเงินไปแจก ไม่ต้องชำระหนี้อีก

เฮ้อ เวรกรรมประเทศ

[::วิญญาณห้อง2::]

ต่ออีกนิดนึง

ที่ผมบอกว่าจะไม่ทำให้ bank เจ๊งได้ เพราะว่า bank ก็รู้ว่าควรจะปล่อยกู้เท่าไหร่ นั่นเอง

bank ไม่เจ๊งหรอก............ ฟันธง ............ ได้กินนิ่มซะอย่างนั้น ไม่เชื่อลองไปดูงบการเงินของ bank ต่างๆดูนะ

[Limmy]

มีเสียวอยู่ 2 แบงค์ครับ

- ออมสิน

- กรุงไทย

โดนเอาเงินไปหมุนอยู่เรื่อย พนักงานเริ่มหงุดหงิดแล้ว

[สาธุ]

2-3 อาทิตย์ก่อนได้คุยกับ สรรพากรจังหวัด
เขาเล่าว่า  เงินภาษีที่จะต้องคืนให้พวกโรงงานที่ได้ BOI ตอนนี้ไม่มี
เขาได้ทวงถามไปยังส่วนกลางหลายครั้งแล้ว
ตอนนี้ไม่ทราบครับว่าเขาได้เงินมาแล้วหรือยัง


น่ากลัวเหมือนกัน!!!!!!!!!!!!

[HILTON (ปาล์มาลี)]

เอาน่า  ใครอาจจะรับไม่ได้ว่ารัฐ  ถังแตก  จำได้ไหมเมื่อปลายปีก่อนที่ออก พันธ์บัตรไปแล้ว 8 หมื่นล้านก็บอกว่า  แค่แก้สภาพคล่อง  นี้มันถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะแค่ไม่เกิน 3 -4เดือน( ช่วงนั้น  ที่mvของผู้จัดกวน  ออกเพลง ถังแตก แตกดังโพ๊ก น่าจะชักเดือน 11 ปีก่อน)  เงินขาดมืออีกแล้ว    ผมไม่ค่อยเชื่อตัวเลขของทางรัฐบาลเท่าไร  เพราะผมเชื่อว่าตัวเลขที่เราเห็นนิไม่น่าเชื่อถือ   แต่ผมเชื่อได้แน่นอนว่ารัฐบาลใหม่คงไม่สามารถทำงบประมาณขาดดุลได้ง่ายๆอีก   แต่รัฐบาลคงใช้เงินกองฉลากสร้างภาพต่อไป  เพื่อให้ให้รากหญ้า  มีความสุขที่ได้เสพต่อไป