ผลสรรหากกต.รอบแรก5คน"อภิชาต-สมชัย"แหกโผเข้า
ผลการสรรหาว่าที่ กกต.รอบแรก ของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาคลอดแล้วจำนวน 5 คน "อภิชาต สุขัคคานนท์" และ "สมชัย จึงประเสริฐ" แหกโผเข้ามาได้ เลขาศาลฯ ยอมรับหนักอกศึกใหญ่สรรหา 10 อรหันต์ กกต.
(10สค.) เวลา 09.30 น.นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ประธานศาลฎีกา ทำหน้าที่ประธานที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ซึ่งมีผู้พิพากษาศาลฎีกา ร่วมประชุมกว่า 83 คน ประกอบด้วยรองประธานศาลฎีกา 3 คน ประธานแผนกคดีต่าง ๆ ในศาลฎีกา ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา เพื่อสรรหาผู้สมควรเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จำนวน 10 คน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 138 (2) และ (3) โดยผู้พิพากษาศาลฎีกา 3 คน ประกอบด้วย นายนินนาท สาครรัตน์ ได้ลาป่วย เนื่องจากป่วยเป็นโรคหัวใจ นายมนตรี ยอดปัญญา ได้ขอลากิจ และนายปราโมทย์ พิพัฒนปราโมทย์ ติดภารกิจเดินทางไปต่างประเทศ
ขณะนี้ผลการสรรหารอบแรกตามรัฐธรรมนูญมาตรา 138 (2) ได้เสร็จแล้ว นายวิรัช ชินวินิจกุบล เลขาธิการศาลฎีกา แถลงว่า ที่ใหญ่ประชุมศาลฎีกาทั้ง 83 คน ได้ลงมติสรรหา ผู้สมควรเป็น กกต. ตามรัฐธรรมนูญม.138(2) โดยผู้ที่ผ่านการสรรหารผู้สมควรเป็นกกต.จำนวน 5 คน ได้แก่นายวิชา มหาคุณ ประธานแผนก คดีเยาวชน และครอบครัวในศาลฎีกา ได้คะแนนสูงสุด 57 คะแนน
นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานแผนกคดีแรงงานในศาลฎีกา นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลฏีกา นายอุดม เฟื่องฟุ้ง ผู้พิพากษา อาวุโสในศาลอาญากรุงเทพใต้ และนายสมชัย จึงประเสริฐ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา
นายวิรัชกล่าวว่าการสรรหาผู้สมควรเป็นกกต.จำนวน 5 คน ตามรัฐธรรมนูญม. 138(2) ดังกล่าว ได้สรรหาจากผู้เสนอตัว สรรหา เป็น กกต. ตามมาตรา 138(2) จำนวน 34 คน
ทั้งนี้ช่วงบ่าย จะได้ดำเนินการสรรหาผู้สมควรเป็น กกต.ตาม รธน. 138(3) ซึ่งตามบัญชีมีผู้ถูกเสนอชื่อ 41 คนต่อไป
สำหรับบรรยากาศภายในประชุม ได้มีการจัดคูหา โดยการหันหลังเข้ากำแพง ทำให้ไม่สามารถมองเห็นการลงคะแนนของผู้พิพากษาเหล่านั้นได้ ในการให้ผู้พิพากษาลงคะแนน จะเชิญผู้พิพากษาให้ลงคะแนนทีละคณะ คณะละ 3 คน ซึ่งการลงคะแนนจะแจกบัตรลงคะแนนที่มีชื่อผู้ผ่านเกณฑ์สรรหาทั้ง 42 คน โดยไม่มีการระบุลำดับหมายเลข มีเพียงช่องให้ลงคะแนน แต่ไม่มีช่องโนโหวต
ทั้งนี้การคัดเลือก ผู้พิพากษาแต่ละคนมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงได้ไม่เกิน 5 คน ซึ่งการลงคะแนนจะต้องลงถึง 3 รอบ โดยรอบแรกจะคัดจาก 42 คน ให้เหลือ 30 คน ส่วนรอบที่สองจะคัดจาก 30 คน ให้เหลือ 10 คน สำหรับรอบสุดท้ายจะคัดจาก 10 คนให้เหลือ 5 คน โดยมีข้อแม้ว่าทั้ง 5 คน จะต้องได้รับคะแนนเสียงเกิน 44 เสียง หากมีผู้ได้รับคะแนนเกินกว่า 44 เสียง มากกว่า 5 คน ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดใน 5 ลำดับแรกจะได้รับการคัดเลือก และในการลงคะแนนเสียง จะต้องทำบัตรลงคะแนนใหม่ทุกรอบ
ว่าที่ กกต.ทั้ง 5 คนมีประวัติดังนี้
1.นายวิชา มหาคุณ ประธานแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลฎีกา เกิดวันที่ 8 มีนาคม 2489 อายุ 60 ปี การศึกษาระดับปริญญาตรี จบนิติศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระดับปริญญาโท จบนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจบรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ประวัติการทำงานนั้น นายวิชาดำรงตำแหน่งสำคัญ เช่น ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 1 และ 2 โดยนายวิชาไม่เคยเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างเป็นทางการอย่างไรก็ตาม ขณะดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาในช่วงที่ศาลยุติธรรมยังไม่ได้แยกออกจากกระทรวงยุติธรรม ในช่วงปี 2519 ที่ ศ.ธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ได้ขอให้นายวิชาเข้าไปช่วยทำหน้าที่เลขานุการส่วนตัว กระทั่งเดือนตุลาคม 2520 ศ.ธานินทร์ พ้นจากตำแหน่งและได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นองคมนตรี นายวิชาจึงได้กลับมาปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้พิพากษาประจำกระทรวงยุติธรรม โดยช่วยราชการที่ศาลอุทธรณ์
สำหรับนายวิชานั้น ขณะที่ดำรงตำแหน่งเลขานุการศาลฎีกาปี 2538 ในช่วงที่เกิดวิกฤติตุลาการ ได้ถูกกล่าวหาว่า ขัดคำสั่ง รมว.ยุติธรรม และรัฐมนตรีมีคำสั่งให้ออกจากราชการ แต่ในที่สุดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยไม่ให้ออกจากราชการ พร้อมกับได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ในปี 2535
และปฏิบัติหน้าที่ดำรงตำแหน่งเป็นตุลาการจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ นายวิชานั้นถือได้ว่าเป็นบุคคลที่มีความรู้ความชำนาญในวิชากฎหมายและการบริหารอย่างดี โอกาสที่นายวิชาจะเป็น 1 ใน 10 ว่าที่ กกต.มีสูงพอๆ กับนายอุดม เพราะเป็นผู้พิพากษาที่มีความสามารถทางวิชาการที่สังคมรู้จักและให้การยอมรับ รวมทั้งยังเป็นผู้พิพากษาที่กล้าวิพากษ์วิจารณ์นโยบายที่ไม่ถูกต้องของรัฐบาล เช่น การออก พ.ร.ก.บริหารราชการแผ่นดิน
2.นายวสันต์ ประธานแผนกคดีแรงงานในศาลฎีกา เกิดวันที่ 5 สิงหาคม 2490 อายุ 59 ปี การศึกษา จบนิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งก่อนที่จะสอบเข้ารับราชการตุลาการ นายวสันต์เคยเป็นทนายความ โดยนายวสันต์สอบเข้ารับราชการเป็นผู้พิพากษาได้เมื่อปี 2516 และมีตำแหน่งสำคัญเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 7 กระทั่งได้เป็นประธานแผนกคดีแรงงานในศาลฎีกาเมื่อปี 2548 จนถึงปัจจุบัน ระหว่างปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้พิพากษา
นายวสันต์เคยเป็นเจ้าของสำนวนและองค์คณะคดีฟ้องเพิกถอนการเลือกตั้งท้องถิ่น ระดับเทศบาล และระดับจังหวัดหลายครั้งสำหรับนายวสันต์นั้น ร่วมเป็นพยานจำเลยในคดีอาญาที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญฟ้องหมิ่นประมาทหนังสือพิมพ์แนวหน้า และ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ที่เขียนบทความดูหมิ่นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในการตัดสินคดี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซุกหุ้น ด้วย กระทั่งศาลพิพากษายกฟ้อง ด้วยเหตุที่นายวสันต์มีบุคลิกเป็นคนซื่อตรง มีความกล้าในการแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา
3. นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลฎีกา
4.นายอุดม เฟื่องฟุ้ง ผู้พิพากษาอาวุโสศาลอาญากรุงเทพใต้ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอาญากรุงเทพใต้ เคยมาช่วยงานที่ กกต.ในสมัยที่ นายสวัสดิ์ โชติพานิช ดำรงตำแหน่ง กกต. และนายสวัสดิ์ก็ได้พยายามผลักดันให้นายอุดมมาเป็น กกต.ในชุดที่ 2 แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ในช่วงวิกฤติตุลาการเมื่อปี 2534 เขาเป็นผู้พิพากษาที่อยู่ในฝ่ายของ ประมาณ ชันซื่อ อดีตประธานศาลฎีกา ในการต่อต้าน นายประภาสน์ อวยชัย รมว.ยุติธรรม ในขณะนั้น โดยกล่าวหาว่า นายประภาสน์เข้ามาแทรกแซงการโยกย้ายผู้พิพากษา จนถูกตั้งกรรมการสอบสวนมาแล้ว แต่สุดท้ายมีการเพิกถอนการสอบสวนไป
5.นายสมชัย จึงประเสริฐ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา เคยผู้พิพากษาหัวหน้าแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลอุทธรณ์ภาค 3 อธิบดีผู้พิพากษาภาค 7 และ 9 เคยพิจารณาคดีเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ส.ส.และส.ว.
http://www.komchadluek.net/2006/08/10/a001_36274.php?news_id=36274รอลุ้นอีก 5 คนที่เหลือ