หายใจเข้าก็หลอก หายใจออกก็โกง

ท่านนายกทักษิณออกเดินสายทัวร์อีสานเที่ยวนี้ฟอร์มตกเป็นอันมาก จึงต้องหน้าแหกหน้าแตกเย็บไม่ติดกลับกรุงเทพฯ มิหนำซ้ำยังมีคดีแถมพกกลับมาอีกหลายคดี

ไม่ว่าคดีการเมืองในกรณีดูหมิ่นถิ่นแคลนคนกรุงเทพฯ ซึ่งกล่าวหาเหมารวมว่าเป็นพวกคนโง่ ถูกคนไม่ดีหลอกลวงจูงจมูก หรือคดีที่เกี่ยวข้องกับการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งและการใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ชอบ

ซ้ำร้ายกว่านั้นก็คือการที่คนอีสานด่าไล่หลังหาว่าหลอกลวงให้ไปรอรับแจกของ แต่พอเอาเข้าจริงก็ไม่มีการแจกตามที่ได้ตกลงกันไว้

นี่คือสภาพของคนดวงตกที่ทำอะไรก็ผิดไปหมด

ความท้อแท้ใจจึงปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ถึงขนาดรำพึงรำพันตัดพ้อต่อว่าฟ้าดินว่า ... หายใจเข้าก็ถูกด่า หายใจออกก็ถูกด่า จนต้องระวังตัวแจอยู่ทุกวันเวลา...

อนิจจัง อนิจจา คงเห็นความไม่เที่ยง ไม่จีรังยั่งยืน และความเกิดดับแล้วกระมัง! เพราะนี่คือผลของกรรมหรือวิบากกรรมที่ก่อขึ้นเอง ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นลอย ๆ

อยู่ดี ๆ ไม่มีใครเขาด่าทุกลมหายใจดอกจะบอกให้ คนทั้งโลกไม่มีใครถูกใครด่าทุกลมหายใจเข้าออกเช่นนี้ ก็เพิ่งมีคนนี้คนเดียวนี่แหละ

อย่าได้โทษชะตาฟ้าดินเลย หากจะโทษก็ควรจะโทษตัวเองนั่นแหละ และต้องทบทวนให้ดีว่าได้ก่อกรรมทำเข็ญอะไรไว้จึงต้องเผชิญหน้ากับวิบากกรรมอย่างนี้

เพราะการที่คน ๆ หนึ่งจะถูกใครเขาด่าว่าทุกลมหายใจเข้าออกและต้องระมัดระวังตัวทุกลมหายใจเข้าออกนั้นไม่ใช่เรื่องที่ใคร ๆ จะทำได้โดยง่ายดายเลย

เนื่องจากคนปกตินั้นทำชั่วได้ยาก ทำดีได้ง่าย มีแต่คนชั่วเท่านั้นที่ทำชั่วได้ง่าย ทำดีได้ยาก และคนชั่วธรรมดาก็ไม่มีทางที่จะทำชั่วถึงขนาดถูกด่าทุกลมหายใจเข้าออกได้

นอกจากคนประเภทที่ “หายใจเข้าก็หลอก หายใจออกก็โกง” เท่านั้น

นายทักษิณจึงต้องทบทวนตรวจสอบตัวเองว่าทุกลมหายใจเข้าได้หลอกใครต่อใครเอาไว้บ้าง และได้ทำเป็นประจำทุกลมหายใจเข้าออกหรือไม่? และเวลาหายใจออกได้ฉ้อฉลโกงอะไรไว้บ้าง และได้ทำเป็นประจำทุกลมหายใจเข้าออกหรือไม่?

ขอให้ใช้เวลาเงียบ ๆ สงบ ๆ พิจารณาใคร่ครวญให้ดีเถิดก็อาจเห็นความจริงและจะเป็นทางให้ปรับปรุงแก้ไขหรือทำอะไรที่ถูกต้อง อันเป็นการป้องกันและขจัดปัญหาและเหตุร้ายในภายหลังได้บ้าง

อย่าไปตามอกตามใจคนรอบข้างมากนัก ให้ดูตัวอย่างอดีตสามหนาห้าห่วงนั้นเถิดว่ายามหมดอำนาจลงเมื่อใด หมาสักตัวหนึ่งก็ไม่มีติดตาม ผิดกับยามมีอำนาจลิบลับ

จะได้เป็นสิ่งเตือนใจว่าที่เขามาติดสอยห้อยตามเอาอกเอาใจยกยอปอปั้นสารพัดสารพันนั้นไม่ใช่เขาหวังดีหรือจงรักภักดีต่อตัวเองดอก เขาทำเพื่อผลประโยชน์และอำนาจของเขาเท่านั้น เมื่อใดที่ไม่มีทางให้ประโยชน์และอำนาจกับเขาได้ เขาก็พร้อมถีบหัวทิ้ง ถุยน้ำลายใส่ แล้วเดินจากไปอย่างไม่ไยดี

ก็อยากจะย้ำเตือนว่าใครก็ตามหากถูกคนด่าว่าทุกลมหายใจเข้าออก คน ๆ นั้นกำลังได้รับวิบากจากผลกรรมที่ทำไว้หนักหนาสาหัส ถึงขนาดที่ว่า “หายใจเข้าก็หลอก หายใจออกก็โกง”

นายทักษิณไปอีสานครั้งนี้หมิ่นเหม่ต่อการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง และเป็นทางที่จะถูกแจกใบแดงในอนาคตอันไม่ไกลจากนี้ ดังที่มีข่าวว่ามีคนกำลังไปร้องหรือฟ้องดำเนินคดีอยู่แล้ว

ดูไปก็เห็นใจจริง ๆ เพราะการเดินทางไปครั้งนี้มหาปุโรหิตเขมรของเราไม่ได้ร่วมเดินทางไปด้วย พวกที่เป็นแม่งานจึงมีแต่พวกไร้น้ำยา มืออ่อน ตีนอ่อน เนื่องจากถนัดแต่กราบไหว้ประจบสอพลอและทำงานไม่เป็น ดังนั้นจึงเปิดจุดอ่อนให้ถูกหยิบยกขึ้นดำเนินคดีมากมาย กระทั่งข้าวของที่เตรียมไว้ก็ไม่กล้าแจกแล้วหน้าแหกกลับมา

แต่ที่กระเทือนทีมงานกรุงเทพฯ มากที่สุดก็คืออาการปากพาไปตามนิสัยเคยชิน ซึ่งสะท้อนความไม่จริงใจต่อผู้คนให้เห็นและส่งผลเข้ามาถึงกรุงเทพฯ

เพราะอยู่ดี ๆ ผีชักปากพาไป แต่จะเป็นผีไทยหรือผีเขมรก็ไม่รู้ ผีชักปากให้นายทักษิณออกปากด่าคนกรุงเทพฯ อย่างหน้าตาเฉย และแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

หาว่าคนกรุงเทพฯ ทั้งที่มีความรู้สูง ๆ มีปริญญาสูง ๆ ยังถูกคนหลอกและคนที่หลอกก็เป็นคนไม่ดี

นายทักษิณเหมารวมคนกรุงเทพฯ ทั้งหมดและไปเน้นเอาที่คนมีความรู้สูง ๆ มีปริญญาสูง ๆ ซึ่งหากคิดให้ลึกก็น่าตกใจว่าลมปากพาไปได้ไกลถึงขนาดนี้

เพราะคนกรุงเทพฯ นั้นมีตั้งแต่คนยากคนจน คนชั้นกลาง ไปจนถึงคนชั้นสูงและสถาบันระดับสูงของประเทศ มีทั้งผู้หญิง ผู้ชาย มีทุกเชื้อชาติ ศาสนา ทุกภาษาประเพณี

คนเหล่านี้ถูกนายทักษิณเหมารวมหมด เรียกว่าด่าเหมายกเข่งว่าเป็นพวกคนโง่ให้คนไม่ดีจูงจมูกเป็นวัวเป็นควาย ว่าไปโน่น!

มันน่าเจ็บใจคนกรุงเทพฯ ก็ตรงที่ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องอะไรกับการไปทัวร์นกขมิ้นกับเขาด้วย บางคนพบกันต่อหน้าก็ยิ้มแย้มแจ่มใส เอาอกเอาใจหาเสียงสารพัด

หนอยแน่ะ! พอเผลอลับหลังไปหน่อยเดียวกลับด่าเหมายกเข่งไปได้ ไม่มีความจริงใจกันเสียเลย!

เนื้อหาที่ด่าเหมายกเข่งนั้นมีความหมายว่าคนกรุงเทพฯ ไม่รู้จักความชั่ว ความดี สำคัญความชั่วว่าเป็นความดี เป็นความถูกต้อง จึงยอมให้คนชั่วมาชักนำหลอกลวง นี่คือการกล่าวหาว่าโง่โคตรโง่นั่นเอง

อย่างนี้ทีมงานกรุงเทพฯ พรรคไทยรักไทย จะไม่สะดุ้งหวั่นไหวได้อย่างไรกัน!

ก็ขอบอกไปถึงทีมงานกรุงเทพฯ และคนกรุงเทพฯ ให้รู้โดยทั่วกันว่านี่คือสัญญาณจากใจของนายทักษิณ และเป็นผลจากความไม่พอใจจากการที่พรรคไทยรักไทยพ่ายแพ้แก่พรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้ง ส.ก. ส.ข. ในพื้นที่กรุงเทพมหานครเมื่อเร็ว ๆ นี้

สะท้อนจิตใจอาฆาตพยาบาทจึงตัดเชือกคนกรุงเทพฯ ทิ้งไปอย่างไม่ไยดี เหมือนกับที่ทำกับคนปักษ์ใต้นั่นเอง......

อ้าว! ใครเป็นคนกรุงเทพฯ ก็จงจดจำกันไว้ให้ดี!