ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
20-02-2025, 11:19
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สโมสรริมน้ำ  |  เห็นใช้และร่ำร้องหาความเท่าเทียมกันจังเลย ถามง่ายๆ อะไรเท่าเทียมกับอะไรในแง่ไหน 0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6
เห็นใช้และร่ำร้องหาความเท่าเทียมกันจังเลย ถามง่ายๆ อะไรเท่าเทียมกับอะไรในแง่ไหน  (อ่าน 43145 ครั้ง)
999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #150 เมื่อ: 09-08-2006, 15:37 »


ฟังเพลงเย็นๆกันหน่อย  คนจะรักกัน

เพลง: คนจะรักกัน

คำร้อง / ทำนอง : พยงค์ มุกดา
เรียบเรียง : ธนิต เชิญพิพัฒธนสกุล

คนจะรักกัน ผูกพัน หมายมั่นลงไป
จะบุกน้ำ ลุยไฟ ปล่อยให้เขาไปตามปรารถนา
คนเขารักกัน ใครจะกีดกันฉันทา
ต่อให้น้ำ ต่อให้ฟ้า กั้นขวางหน้า อย่าหวังห้ามได้

คนลงรักกัน กำแพงแข็งกั้นก็พัง
สุดจะฝืน ยืน นั่ง สุดแรงพลัง จะห้ามปรามไหว
คนเขารักกัน คงมั่นจากขั้วหัวใจ
บีบบังคับ ดับไม่ไหว ตราบสิ้นไร้ ชีวัน

* ความรักมีพลานุภาพ ดื่มซึ้งซึมซาบ ตราบเท่าชีวิตเรานั่น
ห้ามน้ำไม่ไหล ห้ามไฟมิให้มีควัน ห้ามอาทิตย์ ห้ามดวงจันทร์
หยุดแค่นั้น ค่อยห้ามดวงใจ

** คนจะรักจริง ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยั่วกัน
จะขัดขวาง กางกั้น ยิ่งเหมือนน้ำมัน ไปราดกองไฟ
ดั่งฉันรักคุณ คอยครุ่นห้ามปรามหัวใจ
ห้ามความรักหักอาลัย ห้ามไม่ไหว...เลยคุณ

( * / ** )

http://www.gmember.com/music/music_player/music.php?songid=00319406&song=คนจะรักกัน&artist=อีฟ+กมลชนก&album=เพลงประกอบละคร+เธอคือดวงใจ+2&haswma=yes&haslyric=yes&hasvdo=no&v=1J%2FTkqHH1cs%3D

..

http://www.gmember.com/music/music_player/music.php?songid=00319403&song=คนจะรักกัน&artist=ปนัดดา+เรืองวุฒิ&album=แกรมมี่สุนทราภรณ์+8+ปนัดดา+เรืองวุฒิ&haswma=yes&haslyric=no&hasvdo=no&v=1J%2FTkqHH1cs%3D

http://www.gmember.com/music/music_player/music.php?songid=00319409&song=คนจะรักกัน&artist=สุเมธ+องอาจ&album=Good+Old+Day+1&haswma=yes&haslyric=no&hasvdo=no&v=1J%2FTkqHH1cs%3D
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-08-2006, 15:44 โดย 999 » บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #151 เมื่อ: 09-08-2006, 16:05 »

เพลง: คนหน้า ม. http://www.gmember.com/music/music_player/music.php?songid=00736704&song=คนหน้า%20ม.&artist=China%20Dolls&album=Cheer%20Female&haswma=yes&haslyric=no&hasvdo=no&v=1J%2FTkqHH1cs%3D




รบกวนมารักกัน(Hip Hop Mix) http://www.gmember.com/music/music_player/music.php?songid=00261302&song=รบกวนมารักกัน%20(Hip%20Hop%20Mix)&artist=ทาทา%20ยัง&album=TaTa%20Remix&haswma=yes&haslyric=no&hasvdo=no&v=1J%2FTkqHH1cs%3D




http://www.gmember.com/music/music_player/music.php?songid=01501901&song=พลพรรครักเอย&artist=พลพรรครักเอย&album=พักรบ&haswma=yes&haslyric=yes&hasvdo=no&v=1J%2FTkqHH1cs%3D

เพลง: พลพรรครักเอย

คำร้อง: วิสูตร แสงอรุณเลิศ
ทำนอง/เรียบเรียง: ทัศน์พงษ์ สิงหะพล

เรามันคนสบายหัวใจ เย็นเย็นใจ ใจเย็นเย็น
ตีรันฟันแทงกับใครไม่เป็น ตอนเย็นเย็นได้แต่เล่นบอล

*ใครเขาแรงมา เราก็รักไป

**พลพรรค รักเอย พลพรรค รักเอย
พลพรรค รักเอ๋ย รักเอย ฮืม.....รักเอย

ยิงปงยิงปืนก็ยิงไม่ถูก แต่ถ้ายิงประตู เข้ามาเลยมา
ใครใครใคร จะมัวรบรา มาพักรบเรามาพบรักกัน

( * / ** )

(Solo)

( * / ** )

พลพรรค รักเอ๋ย รักเอย ฮืม.....รักเอย


http://www.gmember.com/music/music_player/music.php?songid=01121702&song=ถ้าเธอพร้อม%20ฉันก็พร้อม&artist=โบ%20สุนิตา%20&album=Caribbean%20Hot%20Dance&haswma=yes&haslyric=yes&hasvdo=no&v=1J%2FTkqHH1cs%3D

เพลง: ถ้าเธอพร้อม ฉันก็พร้อม

คำร้อง : สิบพันธ์ ศักดิ์เจริญ
ทำนอง : พีร์ โรจนดารา
เรียบเรียง : สุวัธชัย สุทธิรัตน์

ก็รู้ว่าเธอนั้นก็กลัว
ก็กลัวจะช้ำเพราะรักเหมือนใครต่อใคร
เมื่อดูเขาก่อรัก สร้างอย่างตั้งใจ
แต่สุดท้ายก็ล้มลงกลางทาง

ถ้าถามฉัน ฉันนั้นก็กลัว
และก็ไม่รู้พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร
แต่ที่รู้วันนี้รักหมดหัวใจ
และนั่นคือเรื่องเดียวที่เรารู้

* ถ้าเธอพร้อม ฉันก็พร้อมไปด้วยกัน
เดินบนทางที่สองเราเลือกไป
ไม่ว่าจะดี จะร้าย จะพร้อมใจ
บทสุดท้ายจบอย่างไร ก็หาคำตอบไปด้วยกัน

แค่ขอให้เรานั้นมั่นใจ
ไม่ต้องมีคำยืนยันสัญญาอะไร
แค่ตั้งใจจะรักให้สุดหัวใจ
จะต้องเจอเรื่องใดก็ไม่กลัว

ถ้าเธอพร้อม ฉันก็พร้อมไปด้วยกัน
เดินบนทางที่สองเราเลือกไป
ไม่ว่าจะดี จะร้าย จะพร้อมใจ
บทสุดท้ายจบอย่างไร ก็หาคำตอบไป

( * )

ก็หาคำตอบไป...ด้วยกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-08-2006, 16:31 โดย 999 » บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #152 เมื่อ: 09-08-2006, 17:29 »

เพลงหรือดนตรีคลาสสิค

http://yalor.yru.ac.th/~jaran/data/content/index.htm


ก่อนอื่นขอให้เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำ "คลาสสิค" กันเสียก่อน
1. คำว่า Classic เป็นคำคุณศัพท์ในภาษาอังกฤษ เราใช้คำนี้เมื่อเราต้องการกล่าวถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีความเก่าแก่ และเป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า เป็นสิ่งที่ดีเยี่ยมได้มาตรฐาน หรือได้รับกายกย่องว่าเป็นสิ่งที่เลิศประเสริฐยิ่ง และเรายังได้ใช้คำนี้ในการอธิบายในสิ่งใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งสิ่งใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นนี้ ได้ให้ความรู้สึกในระดับเดียวกันกับสิ่งเก่าแก่ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ฉนั้นสิ่งใดก็ตามที่จะจัดว่า คลาสสิค นั้นก็ต้องอยู่ในขอบข่าย หรือในระดับมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับของมหาชนทั่วไป เช่น งานประพันธ์ ภาพเขียน ดนตรี หรืออาจจะกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า "ผลงานของศิลปินที่มีความสมบูรณ์ ความบริสุทธิ์ และความกระจ่างชัดในด้านเนื้อหา และแบบแผนหรือรูปทรง
2. ศิลปะและวรรณคดี ที่ศิลปินและกวีกรีกโบราณได้สร้างสรรค์ขึ้นระหว่างปี 540 - 400 ก่อนคริสกาล
3. เป็นคำที่ความหมายตรงกันข้ามกับคำว่า "Romantic"
4. เป็นคำที่ความหมายตรงกันข้ามกับคำว่า "Popular"
5. สมัยของดนตรียุโรปนับตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 จนถึงราว ปี ค.ศ. 1820 ซึ่งบางทีสมัยนี้ยังนิยมเรียกกันว่า "สมัยคลาสสิคเวียนนา" ทั้งนี้เพราะความเจริญของดนตรีสมัยนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงเวียนนา ออสเตรีย
ในทางดนตรี "เพลงคลาสสิค" จึงหมายถึงเพลงที่เก่าแก่ ได้รับการรับรองแล้วว่าไพเราะอย่างสุดซึ้งให้ความรู้สึกแก่ผู้ฟัง ในอันที่จะซาบซึ้งถึงบรรยากาศในบทนั้น ๆ เป็นบทเพลงที่ได้รับการยกย่องว่าดีเลิศยิ่งนักในทุกยุคทุกสมัย ทั้งในการประพันธ์ การแสดงออกคุณภาพเสียง ความหนักเบา การบรรเลงอย่างมีชีวิตชีวา ของนักดนตรีในแต่ละคนอย่างเยี่ยม ตลอดจนสภาพการบรรยายบรรยากาศแห่งความรู้สึกของผู้ประพันธ์ ออกมาในรูปของเสียงให้ผู้ฟังได้มองเห็นภาพพจน์ ประหนึ่งดูภาพเขียนจากจิตรกรเอกของโลก หรืออ่านคำประพันธ์ของนักประพันธ์เอกของโลก หรือประดุจหนึ่งได้มองเห็นภาพเหล่านั้นจริง ๆ เพลงเหล่านี้ส่วนมากมักเป็นเพลงที่อยู่ในศตวรรษที่ 17 - 18 คือแต่งขึ้นได้ถูกต้องตามแบบฟอร์มหรือกฎเกณฑ์ที่ว่างไว้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
ประเภทของเพลงที่จัดว่าเป็นเพลงคลาสสิค เช่น
เพลง Sonata ,hymn, Symphony, concerto, overture เป็นต้น
การตั้งชื่อเพลงคลาสสิค
การตั้งชื่อเพลงประเภทนี้จะใช้ลักษณะของเพลงเป็นชื่อเลย โดยให้หมายเลขกำกับไว้ เช่นตั้งชื่อเพลงว่า ซิมโฟนี หมายเลข 1, 2, 3, 4 ……… หรือ ไวโอลินคอนแชร์โต้ หมายเลข 1, 2, 3, 4 เป็นต้น แต่ก็อาจจะมีชื่อที่เรียกเฉพาะในแต่ละบทเช่นเดียวกันกัน เช่น Symphony Eroica ก็จะหมายถึง Symphony No.5 ของ บีโธเฟน เป็นต้น





classicfm :: beethoven 
 
Ludwig van Beethoven
1770-1827

Ludwig van Beethoven is arguably the defining figure in the history of Western music. Virtually all romanticised notions of what a classical artist is - or should be - are derived from the Beethoven model. He was the first composer to go it alone successfully, single-handedly breaking the mould of composer as public servant: his extraordinary powers of self-belief sustained him through periods when no-one really understood what he was up to.

Those who heard him play his own music were invariably stunned into submission. In his own bullish, reclusive, apparently indifferent way, Beethoven had an ability to overcome his less than transcendental technique and entrance his audience: "This is art because I say it is so," he seemed to be declaring. Remarkably, and despite many dissenting voices along the way, majority believed him. At a single stroke, music had become something willed into being by a supreme creator.

All this was achieved against huge odds. His musical instincts somehow survived the bullyboy regime enforced by his alcoholic father, which nonetheless left him with a lack of social etiquette that often set him on a collision course with even his most devoted patrons and sponsors. This, coupled with his unprepossessing appearance and questionable standards of personal hygiene, did little to endear him to a string of society-women pupils with whom he was in the habit of falling hopelessly in love.

Beethoven's mesmerising impact can be gauged from a 1795 report by the celebrated piano pedagogue Karl Czerny: "In whatever company he might chance to be, [Beethoven] knew how to produce an effect upon every hearer, so that frequently not an eye remained dry, while many would break out into loud sobs...After ending an improvisation of this kind he would burst into loud laughter and torment his bearers on the emotion he had caused in them: "You are fools!" he would say."

By now a number of early masterpieces had emerged - and there were already many who simply could not keep pace. By the turn of the century even his supporters were quavering, as a report on his 'Eroica' Symphony of 1803 in the influential Allgemeine Zeitung reveals: "The reviewer belongs to Herr van Beethoven's sincerest admirers, but in this composition he must confess that he finds too much that is glaring and bizarre, which hinders greatly one's grasp of the whole, and a sense of unity is almost completely lost." To compound his problems, Beethoven had to come to terms with the appalling realisation that he was going deaf.

Nevertheless, every now and then someone would grasp the full implications of Beethoven's work, perhaps most famously in the cast of ETA Hoffman, whose report on the premiere of the Fifth Symphony in the July 1810 edition of the Allgemeine Zeitung set the pattern: "More than any other of his works, [the Fifth] unfolds Beethoven's romantic spirit in a climax rising straight to the end, and carries the listener away irresistibly into the wondrous, spiritual world of the infinite."

Of course, there were those with only a fraction of Beethoven's talent who spitefully attempted to sabotage performances of his music. "Nobody in Vienna has more private enemies than I have," he moaned. "Conditions are worst of all...at the Theater an der Wien. The promoters of the 'Concert for Widows', out of hatred for me - Herr Salieri being my most active opponent - played me a horrible trick. They threatened to expel any musician belonging to their company who would play for my benefit. Despite the fact that various mistakes were made...the public applauded the whole performance with enthusiasm."

Beethoven did not have a great deal of contact with his composing contemporaries, but on meeting Rossini he apparently exclaimed: "Rossini, the composer of the Barbiere! I congratulate you, it is an excellent work." Rossini replied: "Maestro, you are a genius," whereupon Beethoven muttered: "Rossini, I am a very unhappy man...only an unhappy man." He also heard the 11-year-old Liszt play and, moved by his prodigious talent, declared: "You will make many men happy. There is nothing better than that." Happiness - contentedness might be a better word - was the one thing that Beethoven craved above all, and which, despite the monumental scale of his creative achievement, he never really found.

Not everyone fell under Beethoven's spell. Carl Maria von Weber once complained: "Beethoven' is a monster, with no respect for the nature of instruments. Clarity and precision are meaningless to him." It could also be argued that Beethoven's presence had a negative impact on Franz Schubert, whose attempts to live up to the master's example set up conflicts with his own unique talent.

For the majority of those ho followed him, Beethoven was a godlike figure. Mendelssohn's Second Symphony, 'Hymn of Praise', could not have been written without Beethoven's exemplar, and it became the first in a string of choral symphonies composed in veneration of Beethoven's Ninth that stretches out beyond Mahler's 'Resurrection' Symphony at least as far as Tippett's Third of 1972. Wagner saw the 'Choral' Symphony as the ultimate fusion of symphonic and poetic expression - except for Wagner's own opera, that is.

Works as contrasted in style as the symphonies of Berlioz and Schumann share a common ancestor in Beethoven; even the fabulously gifted Brahms was so inhibited by what he described as Beethoven's 'giant's feet' trampling along behind him that he spent an amazing 20 years, on and off, refining his First Symphony before allowing it to be aired publicly.

If 19th-century composers found Beethoven's middle-period works an endless source of inspiration, his late masterpieces, most particularly the ground-breaking last four string quartets, left them baffled: it was not until Béla Bartók composed the first of his string quartets in 1908 that any composer seriously took up the challenge set by Beethoven's painfully introspective final musings. Just six years before, 'Beethovenmania' arguably reached its peak when Vienna mounted a massive exhibition in his honour for which various works of art were commissioned, including Gustav Mahler's gargantuan rescoring of the 'Choral' Symphony. Almost a century later, there is little sign of Beethoven's popularity waning: the theme of universal brotherhood that finds expression in the Ninth Symphony was symbolically linked with the fall of the Berlin Wall.

Of course, there are those for whom the sense of struggle that lies at the very heart of his music is anathema, who crave the more overtly soothing lyricism of a Schumann or Ravel. Beethoven could express sublime spiritual contentment, but more often than not it is achieved out of extreme adversity.

Beethoven's uncompromising approach to the art of composition can have the strange habit of making all other composers seem strangely superficial. Their victories sound hollow in comparison, their tendency to fall back on a good tune or indulge in seductive orchestral timbres somehow missing the point. What Beethoven offers is not so much life reflected or distorted according to his will, as life itself, in all its glorious imperfection. We shall never know exactly what drove Beethoven to such unprecedented heights of musical expression, but he did leave us one tantalising clue in the form of a written conversation with Louis Schlosser, dating from around 1822: "You may ask me where I obtain my ideas...They come unbidden, spontaneously...I may grasp them with my hands in the open air, while walking in the woods, in the stillness of night, in the early morning. Stimulated by those moods that poets turn into words, I turn my idea into tones that resound, roar and rage until a t last they stand before me in the form of notes." 



หาอ่านและฟังเพิ่มเติมกันเอาเองยาวตามธรรมชาติของเพลงประเภทนี้ครับ

http://www.classicalarchives.net/

http://www.classicfm.com/index.cfm?nodeId=86&sw=1024

http://www.sonybmgmasterworks.com/

แถมเพลง

The Entertainer

http://yalor.yru.ac.th/~jaran/Stream/Sting/THE%20ENTERTAINER%20-%20Orchestra%20Version.wma
 
ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมปี 1973
บริษัท Universal Pictures
ดารานำ Paul newman Robert redford

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-08-2006, 18:20 โดย 999 » บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #153 เมื่อ: 09-08-2006, 18:30 »

SoundTrack จากภาพยนต์เพลงเก่า  http://yalor.yru.ac.th/~jaran/library/htm/filmmovie.htm
 
Cabaret

Chariots Of Fire
(1981)

Love Story  Theme From Love Story-Finale  http://yalor.yru.ac.th/~jaran/Stream/Love%20story/11_Theme%20From%20Love%20Story-Finale(Francis%20Lai).wma

Mackenna'S Gold
   
my fair Lady

The Bridge On The River Kwai

The good,The Bad And The Ugly The Phantom Of The Opera
   
The Sound of Music

The sting
(1973)

west side story   
     

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-08-2006, 18:33 โดย 999 » บันทึกการเข้า

ใบไม้ทะเล
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,321


In politics stupidity is not a handicap


« ตอบ #154 เมื่อ: 09-08-2006, 18:43 »

หนูหายไปแป๊บเดียว ไมกระทู้ออกทะเลไปไกลขนาดนั้น

คงปู่เล่นลงกระทู้แบบนี้ ใครจะมากล้าตอบค่ะ
 
บันทึกการเข้า

立てばしゃくやく、座ればぼたん、歩く姿はゆりの花
999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #155 เมื่อ: 09-08-2006, 19:16 »

หนูหายไปแป๊บเดียว ไมกระทู้ออกทะเลไปไกลขนาดนั้น

คงปู่เล่นลงกระทู้แบบนี้ ใครจะมากล้าตอบค่ะ
 



ไม่ตอบมาเป็นกำลังใจ ก็แสนจะชื่นใจ !!!

ทะเลกว้างใหญ่ แต่ก็มีคนรักทะเลออกมากมายไม่ใช่เหรอ

ประเด็นย่อยในวันนี้ก็คือความเท่าเทียมในการมีความรักและสุนทรีย์ในหัวใจครับ อิอิ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-08-2006, 23:00 โดย 999 » บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #156 เมื่อ: 09-08-2006, 19:23 »



อนาชอบเต้นแท้งโก้มากที่สุดค่ะ เพราะรู้สึกว่า มันเป็นการเต้นที่แสดงออกถึง ความ สวย เริด เชิด หยิ่ง ดี  Laughing Laughing
โดยเฉพาะถ้าได้คู่เต้นเป็นชายหนุ่มที่เก่งๆๆ นำดีๆๆหน่อย ไปได้เรื่อยๆๆเลยค่ะ

ถ้าวันนั้น อาจารย์อนาเป็นผู้ชาย เลยเต้นสนุกหน่อย เพราะเวลาเต้นผู้ชายจะดึงเราไปในทิศทาง ของการเต้น ได้เป็นจังหวะกว่า อาจารย์จะมีสองคนค่ะ ถ้าอนาเริ่มเรียนสเต็บนี้ครั้งแรก อาจารย์จะเป็นหญิง หลังจากที่รู้จังหวะ และอะไรเรียบร้อยแล้ว อาจารย์จะเป็นผู้ชาย

แรกๆๆที่อนาต้องเต้นกับอาจารย์ผุ้ชาย มันน่าขำมากๆๆ เพราะอนาจะไม่กล้าเข้าใกล้คู่เต้นรำมากนัก แล้วตรงช่วงอกและเอวก็จะเอนออก กลายเป็นอนายืนอยู่ในท่าเต้นแบบ โก่งโค้ง อิอิ ทุเรศมากๆๆตอนอาจารย์ให้ดูวิดีโอค่ะ 



ขอถามสักนิดครับ แล้วสาวญี่ปุ่นที่ขี้อายเขาเคอะเขินเหมือนอนาหรือเปล่า ในการเริ่มต้นเต้นรำกับอาจารย์ชาย??  Embarassed Cool
บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #157 เมื่อ: 09-08-2006, 19:25 »





ผมทราบแต่ว่าเรียนอยู่ที่นั่นเขาจับเข้าแถวตรวจสุขภาพกัน ถามจริงๆไม่อายหรือครับ?

คิดแล้วไม่ชอบเลยอ่ะ !!! Cool
บันทึกการเข้า

ใบไม้ทะเล
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,321


In politics stupidity is not a handicap


« ตอบ #158 เมื่อ: 09-08-2006, 19:29 »

คิดว่าเหมือนกันนะค่ะ

อนาเข้าเรียน ตอนนั้น มีอนาคนเดียวมั่งนักเรียนใหม่ค่ะ นอกนั้นประสบการณ์ สี่ปีอัพเลยค่ะ

อายุเฉลี่ยก็ น้าจะ สี่สิบกัน

อนาอายุน้อยสุดค่ะ มีแต่คุงลุง คุงป้า เป้นส่วนมาก

สาวๆๆที่นี้ไม่ค่อยสนใจเลยค่ะ สงสัยอนาจะแก่แล้ว อิอิ


........................

โอ เรื่องตรวจสุขภาพนี้ ทุกปีเลยค่ะ

อย่าให้อนาเล่าเลยค่ะ ตรวจละเอียดมากค่ะ มันยังดีนะค่ะ เอาหมอหญิงมาตรวจที่เราจะต้องอายนะค่ะ ไม่งั้นหนูคงไม่เอาด้วยอ่ะ

หลังๆๆอนาเริ่มหน้าด้านมากขึ้นค่ะ ถือว่า เชคสุขภาพตัวเองไปด้วยค่ะ
บันทึกการเข้า

立てばしゃくやく、座ればぼたん、歩く姿はゆりの花
999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #159 เมื่อ: 09-08-2006, 19:36 »

คิดว่าเหมือนกันนะค่ะ

อนาเข้าเรียน ตอนนั้น มีอนาคนเดียวมั่งนักเรียนใหม่ค่ะ นอกนั้นประสบการณ์ สี่ปีอัพเลยค่ะ

อายุเฉลี่ยก็ น้าจะ สี่สิบกัน

อนาอายุน้อยสุดค่ะ มีแต่คุงลุง คุงป้า เป้นส่วนมาก

สาวๆๆที่นี้ไม่ค่อยสนใจเลยค่ะ สงสัยอนาจะแก่แล้ว อิอิ


........................

โอ เรื่องตรวจสุขภาพนี้ ทุกปีเลยค่ะ

อย่าให้อนาเล่าเลยค่ะ ตรวจละเอียดมากค่ะ มันยังดีนะค่ะ เอาหมอหญิงมาตรวจที่เราจะต้องอายนะค่ะ ไม่งั้นหนูคงไม่เอาด้วยอ่ะ

หลังๆๆอนาเริ่มหน้าด้านมากขึ้นค่ะ ถือว่า เชคสุขภาพตัวเองไปด้วยค่ะ

ดีนะนี่ ที่หมอผู้ชายไม่ประท้วง พูดเล่นครับ แล้วจะให้อะไรมันเท่าเทียมในสิ่งที่ถูกต้องอยู่แล้ว ยังไงมันก็ไม่เท่าได้หรอกครับ ต้องทำใจยอมรับ !!!

หนีไม่พ้นจิตใจภายในของเราเองอีกแล้ว...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-08-2006, 19:41 โดย 999 » บันทึกการเข้า

ใบไม้ทะเล
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,321


In politics stupidity is not a handicap


« ตอบ #160 เมื่อ: 09-08-2006, 19:46 »

แต่ผลสุขภาพ อนา ออกมา A หมดนะค่ะ ทุกปีเลย แต่ยกเว้น อะไรอ่ะ อนาให้ทาย ที่ได้ บี ทุกปี
บันทึกการเข้า

立てばしゃくやく、座ればぼたん、歩く姿はゆりの花
ธ.ส.
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,086



« ตอบ #161 เมื่อ: 09-08-2006, 19:47 »

อืม ถึงกระทู้นี้จะไม่ออกทะเลไปไกล แต่คาดว่าคงจะยาวประมาณแม่น้ำไนล์
บันทึกการเข้า

ปีนี้เราจะได้ Triple Champ

คุณพนันกับผมไม๊ แต่ผมไม่พนันกับคุณนะ
999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #162 เมื่อ: 09-08-2006, 22:48 »

แต่ผลสุขภาพ อนา ออกมา A หมดนะค่ะ ทุกปีเลย แต่ยกเว้น อะไรอ่ะ อนาให้ทาย ที่ได้ บี ทุกปี


กรุ๊ปเลือดครับ ของผมเขียนกลมๆ
บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #163 เมื่อ: 09-08-2006, 22:51 »

อืม ถึงกระทู้นี้จะไม่ออกทะเลไปไกล แต่คาดว่าคงจะยาวประมาณแม่น้ำไนล์

การตั้งกระทู้จำนวนมากในเวลาเดียวกันอาจจะทำให้เกิดอาการหลายใจได้ครับ เพราะต้องทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกัน!!!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-08-2006, 23:49 โดย 999 » บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #164 เมื่อ: 09-08-2006, 22:55 »




ต้องขอภัยที่ออกมาต้อนรับทั้งสองท่านชักช้านะครับ เผลอชมข่าว แล้วหลับไปครับ เพราะไม่ได้จ้อเองอิอิ

โดยเฉพาะน้องอนา เวลาเราต่างกัน2ชม. ป่านนี้คงหลับไปแล้ว  Embarassed Cool

บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #165 เมื่อ: 10-08-2006, 16:26 »

แต่ผลสุขภาพ อนา ออกมา A หมดนะค่ะ ทุกปีเลย แต่ยกเว้น อะไรอ่ะ อนาให้ทาย ที่ได้ บี ทุกปี


กรุ๊ปเลือดครับ ของผมเขียนกลมๆ

ตกลงเลือดของน้องตัดเกรดหรือเปล่าครับ อิอิ พี่พูดอะไรถ้าสะกิดหูน้องในทางที่ผิดก็อย่าเชื่อและนำไปคิดมากนะ นั่นไม่ได้มาจากพี่คนนี้แน่นอน..
บันทึกการเข้า

ใบไม้ทะเล
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,321


In politics stupidity is not a handicap


« ตอบ #166 เมื่อ: 10-08-2006, 16:34 »

แต่ผลสุขภาพ อนา ออกมา A หมดนะค่ะ ทุกปีเลย แต่ยกเว้น อะไรอ่ะ อนาให้ทาย ที่ได้ บี ทุกปี


กรุ๊ปเลือดครับ ของผมเขียนกลมๆ

ตกลงเลือดของน้องตัดเกรดหรือเปล่าครับ อิอิ พี่พูดอะไรถ้าสะกิดหูน้องในทางที่ผิดก็อย่าเชื่อและนำไปคิดมากนะ นั่นไม่ได้มาจากพี่คนนี้แน่นอน..

น้ำหนักค่ะ ทุกปี น้ำหนักอนาจะได้ บี นะค่ะ ต้องเพิ่มอีกประมาณ 3-4 กิโลได้ค่ะ
บันทึกการเข้า

立てばしゃくやく、座ればぼたん、歩く姿はゆりの花
999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #167 เมื่อ: 10-08-2006, 16:41 »

แต่ผลสุขภาพ อนา ออกมา A หมดนะค่ะ ทุกปีเลย แต่ยกเว้น อะไรอ่ะ อนาให้ทาย ที่ได้ บี ทุกปี


กรุ๊ปเลือดครับ ของผมเขียนกลมๆ

ตกลงเลือดของน้องตัดเกรดหรือเปล่าครับ อิอิ พี่พูดอะไรถ้าสะกิดหูน้องในทางที่ผิดก็อย่าเชื่อและนำไปคิดมากนะ นั่นไม่ได้มาจากพี่คนนี้แน่นอน..

น้ำหนักค่ะ ทุกปี น้ำหนักอนาจะได้ บี นะค่ะ ต้องเพิ่มอีกประมาณ 3-4 กิโลได้ค่ะ

ต้องดูโครงสร้างร่างกายด้วย คิดว่าปกติครับ ไม่ได้แกว่งตัวอะไร อายุมากขึ้นน้ำหนักจะเพิ่มเอง...ฟันธง
บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #168 เมื่อ: 10-08-2006, 16:45 »






กระทู้นี้จะยังไม่ยอมจบง่ายๆ ตราบเท่าที่ความเท่าเทียมบนความไม่เท่าเทียมยังไม่ได้เกิดขึ้นครับ... Cool
บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #169 เมื่อ: 10-08-2006, 16:51 »





เรื่องต่อไป ผมว่าน่าสนใจ กลิ่นดีกับกลิ่นไม่ดี...

อนาและสาวๆทุกท่านชอบกลิ่นแบบไหน? และสาวที่มีอายุเพิ่มขึ้นรสนิยมเรื่องกลิ่นเปลี่ยนไปหรือไม่เมื่อเทียบกับหนุ่ม...ฮืม น่าคิดมั้ยล่ะ?? Cool
บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #170 เมื่อ: 10-08-2006, 16:57 »




เน็ตยังไม่ปกติ ฟังเมดเลย์กันแล้วกันครับ

http://www.oldsonghome.com/music/song/1958.ram
บันทึกการเข้า

ใบไม้ทะเล
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,321


In politics stupidity is not a handicap


« ตอบ #171 เมื่อ: 10-08-2006, 17:01 »

ง่ะ กลิ่นเหรอค่ะ

กลิ่นออกไปแนว ธรรมชาตินะค่ะ

พวกพืช ผลไม้ อ่ะ ชอบค่ะ แต่ไม่ชอบกลิ่นกุหลาบเท่าไร

บันทึกการเข้า

立てばしゃくやく、座ればぼたん、歩く姿はゆりの花
999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #172 เมื่อ: 10-08-2006, 17:02 »




อนาครับ เวลาของที่ที่เราอยู่ต่างกันกี่วินาทีครับ? บอกผมหน่อย ผมอยู่กรุงเทพฯ...

ผมจะสร้างเครื่องย่นระยะทาง อิอิ  Cool
บันทึกการเข้า

ใบไม้ทะเล
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,321


In politics stupidity is not a handicap


« ตอบ #173 เมื่อ: 10-08-2006, 17:11 »




อนาครับ เวลาของที่ที่เราอยู่ต่างกันกี่วินาทีครับ? บอกผมหน่อย ผมอยู่กรุงเทพฯ...

ผมจะสร้างเครื่องย่นระยะทาง อิอิ  Cool

ถึงแม้เวลาของเราจะต่างกันแค่ 1 นาที มันก็เป็นไปได้ยากนะค่ะ  Very Happy  Very Happy
บันทึกการเข้า

立てばしゃくやく、座ればぼたん、歩く姿はゆりの花
999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #174 เมื่อ: 10-08-2006, 17:13 »




อนาครับ เวลาของที่ที่เราอยู่ต่างกันกี่วินาทีครับ? บอกผมหน่อย ผมอยู่กรุงเทพฯ...

ผมจะสร้างเครื่องย่นระยะทาง อิอิ  Cool

ถึงแม้เวลาของเราจะต่างกันแค่ 1 นาที มันก็เป็นไปได้ยากนะค่ะ  Very Happy  Very Happy

ทราบและเห็นด้วยค๊าบบ  Cool



คูณเลขเสร็จหรือยังครับ?? รอครับ.... Mr. Green
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-08-2006, 17:31 โดย 999 » บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #175 เมื่อ: 10-08-2006, 17:14 »

"กลิ่น" สร้างรักและแรงปรารถนา
"กลิ่น" มีส่วนช่วยสร้างความรู้สึกที่ดี ๆ ให้เกิดขึ้นกับคู่รัก เห็นมีหลายคู่ทีเดียว ที่โผเข้าหากันเพราะใช้ กลิ่นสะอาดหรือกลิ่นหอม รัญจวนใจเป็นแม่เหล็กดึงดูดเข้าหากัน

ส่วนคู่ไหนที่ยังไม่เคยลองใช้กลิ่นมาปลุกใจ ให้เกิดความรู้สึก ต้องการอยู่ใกล้ชิดกันละกันบ้างเลย ก็รีบทำซะสิท่าน จะรอช้าอยู่ไย อย่างน้อยจะ เริ่มด้วยการอาบน้ำให้สะอาดก่อน แล้วค่อยถลาไปเข้าใกล้ คนที่เรารักก็ได้ เพราะกลิ่นจากสบู่ หรือเจลอาบน้ำไม่ว่าชนิดไหน ยี่ห้อใด โดยมากมักส่งกลิ่นหอมชวนให้เข้าใกล้ทั้งนั้น เลือกใช้ซะชนิดนึงละกัน อย่าปล่อยให้ตัวเองเหม็นสาบอยู่เลย

เอ แต่อย่าประมาทกลิ่นสาบ ๆ อย่างกลิ่นตัวตอนเหงื่อไหลไคลย้อยเชียว เห็นมีบางคนนิยมชมชอบกลิ่นธรรมชาติแบบนี้จนสามารถจุดพลังรักได้ก็มี พิลึกมะ เค้าว่า มีสาวไม่ใช่น้อยชอบอยู่ใกล้แฟนในตอนที่เขาเพิ่งกลับมาจากทำงานเหนื่อย ๆ ชนิดไม่ทันได้อาบน้ำล้างความเหนื่อยล้าของวันด้วยซ้ำ แต่คุณเธอจะปรี่เข้าหาเขาเพราะกลิ่นกายอันชุ่มโชกไปด้วยคราบไคลนี่แหละ เธอถือว่าเขาเป็นคนแมน แม้น แมนอย่าให้เซด เฮ้อ สาวอะไรชอบกลิ่นหื่น เอ้ย กลิ่นหืนก็มีด้วย

แต่ในเมื่อผู้คนส่วนมากชอบกลิ่นสะอาดมากกว่า จึงอยากเล่าเรื่อง กลิ่นชวนให้ใจเตลิด ดีกว่า (fragrances that turn women on) ว่ากันว่า ฝ่ายหญิงจะเลือกใครเป็นแฟนสักคน ปัจจัยนึงที่มีส่วนนำมาใช้ในการตัดสินใจครั้งสำคัญนั้นย่อมได้แก่กลิ่นนั่นเอง กลิ่นหอมจึงมีผลต่อจิตใจ, อารมณ์และความ รู้สึกของผู้หญิงแน่นอน

อย่าว่าแต่ผู้หญิงชอบกลิ่นหอมของเพศตรงข้ามเลย แม้แต่ ตัวเธอเองก็สนใจที่จะสร้างความหอมให้เนื้อตัวของเธอเหมือนกัน แถมความหอมนี่ก็แปลก เพราะทำให้เชื่อว่าตัวเองสะอาดอีกด้วย ทั้ง ๆ ที่อาจเป็นแค่การอาบแห้ง คือไม่ได้อาบน้ำทำความสะอาด ตัวอย่างเป็นจริงเป็นจังหรอก แต่ใช้น้ำหอมมาฉีดใส่ หรือใช้สติ๊กระงับกลิ่นเหงื่อ เท่าเนี้ยก็รู้สึกสะอาดแบบปลอม ๆ ได้แล้ว

ด้านบุรุษก็สามารถใช้กลิ่นเป็นเทคนิคเรียกร้องความสนใจ จากอิสตรีเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำหอมสำหรับผู้ชาย แต่แปลกนะว่า ทำไมต้องมีการแบ่งน้ำหอมสำหรับผู้หญิง ผู้ชายด้วย เพราะเห็นหนุ่ม ๆ มาใช้น้ำหอมของสาว ๆ และสาว ๆ ไปใช้น้ำหอมของเพศตรงข้ามก็มี ของแบบนี้น่าจะขึ้นอยู่ที่ความชอบของแต่ละคนมากกว่า

บ้างก็ว่าน้ำหอมของผู้หญิงน่ะฉุนกึก แต่บางคนกลับบอกยิ่งฉุนยิ่งดี ของแบบนี้นานาจิตตัง ต่อมาก็เป็น
อาฟเตอร์เชฟ และ สเปรย์ ระงับกลิ่นกาย ที่เผลอ ๆ เดี๋ยวนี้อาฟเตอร์เชฟบางขวดหอมกว่าน้ำหอมซะอีก ในเมื่อมีสิ่งที่ช่วยกลบกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ตั้งเยอะแยะ ฉะนั้น ใครที่ซกมก ก็อย่าหาข้ออ้างว่าทำไมตัวเองถึงยังเหม็นอยู่เลย ยังไงก็สงสารแฟนหรือคนใกล้ชิดมั่ง

นอกเหนือจากการสร้างกลิ่นกายให้หอมกรุ่นข้างต้นแล้ว สิ่งที่ยังส่งกลิ่นหอมให้อารมณ์ดียังมีอีกดังนี้ น้ำอบและแป้งร่ำสำหรับวันสงกรานต์งี้, น้ำมันนวดตัวเพื่อความงาม, เทียน (ไข) หอม, สเปรย์ปรับกลิ่นในห้อง หรือในรถ แม้แต่ธูปก็ด้วย

กลิ่นหอมมีข้อดีตรงที่สร้างความสบายใจ ความสงบ ความเยือกเย็น ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย จนสาวบางคนเมื่อรู้สึกเช่นนี้แล้วอาจมีใจนำไปสู่ ความสัมพันธ์ทางกายด้วยก็ได้ ฮั่นแน่

ส่วนกลิ่นที่มีแนวโน้มเร้าใจได้เป็นอย่างดี ก็เช่น
1. กลิ่นช็อกโกแลต หรือกลิ่นวานิลลา
ทั้งสองล้วนเป็นกลิ่นที่สร้างความรู้สึกหอมหวาน ชวนดมและอบอุ่น หนำซ้ำ กลิ่นหอมเหล่านี้ยังกระตุ้นอารมณ์ทางเพศของทั้งหญิงและชายได้อีกด้วย

2. กลิ่นดอกมะลิ
เชื่อกันว่า กลิ่นของดอกมะลิ กระตุ้นให้ ผู้ใช้อยากเปิดใจ ลองทำอะไรที่แปลกแตกต่างจากความเคยชินเดิม ๆ แถมดอกมะลิยังหาได้ไม่ยาก เพราะมีวางขายทั่วทุกหนแห่ง จะลงมือปลูกเองก็ยังได้ แต่ความหอมของมันนี่สิ ไม่เป็นรองน้ำหอมที่วางขายราคาแพงก็ละกัน

3. กลิ่นเปปเปอร์มินต์
เป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกสดชื่น ชวนให้ แจ่มใส แถมช่วยให้ผู้ได้สูดดมรู้สึกตื่นอยู่ ตลอดเวลา (ตาสว่างเลยล่ะ) กระตือรือร้น และคึกคัก รวมทั้งอยากเข้าใกล้ ซึ่งเป็นความรู้สึกดี ๆ ทั้งนั้นเลย สามารถเลือกกลิ่นมินต์ได้มาก มายจากหมากฝรั่ง, เทียนไข, น้ำมันหอม ฯลฯ ล่าสุดแผ่นบางใสระงับกลิ่นปากที่เป็นกลิ่นมินต์ก็มี แถมให้ความรู้สึกเย็นซาบซ่าอีกด้วย

4. กระดังงา กุหลาบ ดอกราตรี ฯลฯ
กลิ่นดอกไม้สด ช่วยให้ผู้สูดดมสดชื่น กระปรี้-กระเปร่า หนำซ้ำกลิ่นธรรมชาติที่หอม ๆ นะ (เว้นกลิ่นตด) ทำให้เกิดความผูกพันกับธรรมชาติ อยู่กับดอกไม้ แล้วมีความสุขประมาณนั้น บางแห่งก็เชื่อกันว่า กลิ่นหอมแนวนี้ถือเป็นการกระตุ้นให้เกิดการพูดจาเกี้ยว พาราสีได้เหมือนกัน

ถ้าชอบกลิ่นหอมละก็ดีไป แต่ขืนมีพฤติกรรมสุดทนสำหรับบางคนต่อไปนี้ ย่อมไม่ดีแน่ เช่น เป็นหนุ่มเจ้าสำอาง ไมร่า วัย 28 เล่าว่า "ตอนที่ฉันแวะไปหาบ๊อบที่บ้าน ฉันอดสังเกตไม่ได้ว่า ชั้นวางของในห้องน้ำของเขาเต็มไปด้วยอุปกรณ์ประทินโฉม ทำเอาฉันตาโตเท่าไข่ห่านไปเลย เขายอมรับว่าชอบใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เพราะใคร ๆ ก็ชอบใช้เครื่อง สำอาง

กระทั่งฉันชวนเขามาค้างที่บ้าน เขาหิ้วกระเป๋าใบโตที่เต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้มาด้วย ฉันจึงรู้ว่า กิจวัตรความงามก่อนนอนของเขาใช้เวลากว่า 15 นาที ทั้งขัดผิวหน้า ถอนขนส่วนเกิน ทาโลชั่น และอื่น ๆ อีกจิปาถะ เขาดูแลกลิ่นกายและทะนุถนอมผิวพรรณเก่งกว่าผู้หญิงซะอีก ฉันงี้ทึ่งไปเลย แต่ไม่กล้าคว้ามาเป็นแฟน"

อนามัยสุดกู่ ไดแอน สาววัย 27 เล่าว่า "ฉันรู้ซึ้งตั้งแต่นัดเที่ยวกับไมค์แล้วว่า เขาหมกมุ่นกับการทำให้มือสะอาด เขาพกเจลล้างมือที่ไม่ต้องใช้น้ำอยู่เสมอ เมื่อใดก็ตามที่เขาหยิบเงิน, จับลูกบิดประตู หรือกินมันฝรั่งทอด, คุกกี้ และพิซซ่า หลังจากนั้นเขาต้องล้างมือหลายครั้งแล้วดมดูว่าสะอาดจริงไหม" โถ กลิ่นสะอาดไว้ใช้เพิ่มความผูกพันทางจิตใจก็พอ แต่อย่าเว่อ

ข้อมูลจาก

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #176 เมื่อ: 10-08-2006, 17:15 »




artist - T-Bone 
  title - กลิ่น


http://www.doo-dd.com/music/play.php?id=3288#
บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #177 เมื่อ: 10-08-2006, 17:20 »

รางวัลโนเบลสาขา Physiology หรือ การแพทย์ ได้แก่สองนักวิทยาศาสตร์ผู้วิเคราะห์ระบบประสาทการรับกลิ่น vote + (ชอบงานเขียนนี้ กด vote ให้คะแนน)


 
 
คณะกรรมการตัดสินรางวัลโนเบล แห่งสถาบัน Karolinska ได้ประกาศมอบรางวัลโนเบล สาขาร่วมระหว่างการแพทย์และ physiology ให้แก่ Richard Axel แห่งมหาวิทยาลัย โคลัมเบีย ในรัฐนิวยอร์ค และ Linda B. Buck แห่งสถาบันวิจัยโรคมะเร็ง เฟร็ด ฮัทชินสัน ในรัฐ ซีแอ็ตเติ้ล ของสหรัฐ

ระบบประสาทรับกลิ่น เป็นระบบประสาทสัมผัสดั้งเดิมที่สุดของมนุษย์ และเป็นพื้นฐานของความจำของเรา เป็นสัมผัสที่ตื่นตัวสมบูรณ์ที่สุดแต่แรกเกิด แต่ระบบประสาทรับกลิ่นกลับเป็นระบบสัมผัสที่เราเข้าใจน้อยที่สุด

ก่อนหน้าการตีพิมพ์ผลงานการค้นพบของ Axel และ Buck ก็ยังไม่มีใครเข้าใจว่า สรีระส่วนไหนมาทำหน้าที่รับกลิ่น และปฏิบัติการอย่างไร นักวิทยาศาสตร์ทั้งสอง ได้บุกเบิกสาขาวิชานี้ขึ้นมา ด้วยการค้นพบยีนส์กลุ่มใหญ่ จำนวน ๑,๐๐๐ ยีนส์ ซึ่งนับเป็น ๓ % ของยีนส์ที่เรามีทั้งหมด ยีนส์ที่ทำหน้าที่ถอดรหัสรับกลิ่นเหล่านี้ ประกอบกันแล้ว สามารถจำแนกกลิ่นได้ถึง ๑๐,๐๐๐ กลิ่น และเขาทั้งสองพบว่า เซลประสาทที่ประกอบกันเป็นกลุ่มประสาทรับกลิ่น อยู่ในเนื้อเยื่อจมูกด้านบน ที่เรียกว่า nasal epithelium มีส่วนที่คอยดักจับโมเลกุลของกลิ่นที่พลัดเข้ามาในจมูกพร้อมกับอากาศที่เราหายใจเข้าไป

อาหารที่เราว่าอร่อยมากนั้น แท้จริงแล้ว จมูกเราจะได้สัมผัสกลิ่นหอมอร่อยก่อน ซึ่งเซลประสาทส่วนนี้ จะบอกให้สมองเรารับทราบและมีปฏิกิริยาในด้านบวกต่อกลิ่นอาหารนั้นก่อนที่ลิ้นจะได้สัมผัสเสียอีก กลิ่นหอมของอาหารหรือเครื่องดื่ม ประกอบด้วยโมเลกุลกลิ่นหลายตัว จะกระตุ้นเซลรับกลิ่นหลายตัว แล้วมาผสานสัญญาณเข้าด้วยกัน บอกกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของอาหารนั้นๆ

กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของวัตถุ จะสะกิดความทรงจำของเราเมื่อแรกได้สัมผัสกลิ่นนี้ แม้จะเป็นความทรงจำในวัยเด็กที่ผ่านมานานแล้วก็ตามที เป็นเหตุผลที่ แม้คนแก่คนเฒ่า ก็ยังจำกลิ่นอาหารจานโปรดในวัยเด็กได้ เพียงได้กลิ่น ความทรงจำก็ถูกกระตุ้นให้พรั่งพรูออกมาได้ดีกว่า หูฟังหรือตาเห็นเป็นอันมาก หากเราเคยกินอาหารอะไรที่ทำให้ท้องเสีย เมื่อได้กลิ่นอาหารนั้นอีกในภายหลัง ก็จะเกิดปฏิกิริยาทางลบ ไม่ว่า กลิ่นอาหารชนิดนั้น จะน่าอร่อยเป็นที่เย้ายวนชวนกินมาก่อนอย่างไร เราอาจจะกลับรู้สึกคลื่นเหียนอาเจียนหากมาได้กลิ่นหลังจากเจอจานที่เคยเป็นพิษเข้าไปแล้วได้ นี่เป็นระบบการป้องกันตัวของมนุษย์ ที่จะรักษาไม่ให้เราเผลอไปกินอาหารที่เป็นพิษ ช่วยให้เราอยู่รอดมาได้ตั้งแต่สมัยเป็นมนุษย์ถ้ำ ไม่มีการแพทย์แผนปัจจุบันเป็นที่พึ่งแต่อย่างไร

ประสาทรับกลิ่น จึงเป็นเครื่องอำนวยการยังชีวิตที่สำคัญที่สุดในสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ในบรรดาหนูทดลองกว่า ๑๐๐ สปีชี่ ที่นักวิทยาศาสตร์ทั้งสองได้นำมาศึกษา ต่างมี เซลล์ประสาทรับกลิ่นกันกว่า ๑๐๐๐ ตัว คนเรามีแค่ ๓๕๐ ตัว น้อยกว่าหนูตัวเล็กๆนั้นอีก เพราะเราได้สูญประสาทรับกลิ่นไปในระหว่างวิวัฒนามาเป็นมนุษย์ปัจจุบัน เนื่องจากสมองของเราต้องแบ่งประสาทสัมผัสเอาไปพัฒนาส่วนอื่นๆ เช่น ส่วนที่ควบคุมสายตา หู ฯลฯ

หากไร้ประสาทสัมผัสนี้ เด็กทารกหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เพิ่งเกิดใหม่เกิดใหม่ ก็ไม่สามารถหาหัวนมแม่มาดื่มยังชีพได้ เพราะเมื่อแรกเกิด ประสาทตายังไม่เจริญเต็มที่ ได้อาศัยแต่ประสาทรับกลิ่นมานำทางให้อยู่รอด

จากการศึกษาหนูทดลอง ดพ ริชาร์ด แอ็กเซิล และ ดร ลินดา บัค ได้ค้นพบว่า ปลายประสาทรับกลิ่น จะทำหน้าที่รับโมเลกุลกลิ่น ส่วนนี้เรียกว่า receptor คือจะดักจับโมเลกุลกลิ่นที่ผ่านเข้ามา แล้วเซลรับกลิ่นจะส่งสัญญาไฟฟ้าไปยังศูนย์รับสัญญาณที่เรียกว่า glomeruli ในส่วนของสมองที่ยื่นมาเหนือจมูกที่เรียกว่า olfactory bulb





ปลายประสาทที่ทำหน้าที่ดักจับโมเลกุลกลิ่นนั้น สร้างขึ้นมาด้วยโปรตีนคล้ายๆกัน แต่ต่างกันไป เพื่อรวมตัวกับโมเลกุลกลิ่นที่ต่างกันได้ receptor แต่ละตัว ประกอบด้วยลูกโซ่กรดอะมิโน ที่ทบไปทบมา ๗ รอบ ทำให้มีกะเปาะเหมาะที่จะดักจับโมเลกุลกลิ่น

ดร. ลินดา บัค แต่แรกจบการศึกษาปริญญาเอกด้านภูมิต้านทาน แต่เห็นว่า ยังต้องศึกษาชีววิทยาด้านโมเลกุลเพิ่มเติมอีกเพื่อมาใช้งานภายหลัง จึงไปสมัครฝึกงานหาประสบการณ์กับห้องทดลองของ ดร. ริชาร์ด แอ็กเซิลที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในตำแหน่ง postdoctoral คล้ายๆกับเป็นนักวิจัยฝึกงาน อันเป็นปกติของผู้สำเร็จการศึกษาขั้นดุษฎีบัณฑิตในอเมริกา ที่มักจะทำงานด้าน postdoc. ต่อประมาณ ๒ ปี ก่อนจะออกไปทำงานเป็นนักวิจัยเต็มตัว ดร แอ็กเซิล รับ ดร บัค มาทำงานด้วยข้อแม้ว่า จะต้องมาทำงานวิจัยด้าน neuroscience กับเขา เมื่อจบการฝึกงานกับ ดร แอ็กเซิ่ล แล้ว ดร.บัค ก็แยกย้ายไปได้งานประทำทำวิจัยต่อที่ศูนย์ในซีแอ็ตเติล

หลังจากนั้น นักวิทยาศาสตร์ทั้งสอง ต่างคนต่างค้นพบพร้อมๆกัน ว่าเซลใน receptor แต่ละตัว จะรับโมเลกุลกลิ่นได้อย่างเดียวเท่านั้น แต่ถ้ามีโมเลกุลกลิ่นที่มีโครงสร้างคล้ายๆกัน ก็ยังรับได้ แม้กำลังจะอ่อนแรงไม่เท่ากัน กลุ่มวิจัยของ ดร บัค ได้ศึกษาความไวต่อการรับกลิ่นของเซล และชี้ว่า ยีนส์ตัวไหนทำหน้าที่ถอดรหัสของกลิ่นนั้นๆ

แต่ละกลิ่นที่เราได้รับ จะประกอบด้วยโมเลกุลหลากหลายไม่ใช่อย่างเดียวกันหมด กลิ่นหนึ่งๆ จึงไปกระตุ้นต่อมรับกลิ่นหลายๆตัว สัญญาณทั้งหมดประกอบกัน ก็เป็นเอกลักษณ์เหมือนภาพโมเสค ซึ่งเป็นเหตุผลที่ สมองของเราสามารถจำแนก และจดจำกลิ่นต่างๆกันได้ถึง ๑๐,๐๐๐ กลิ่น

การค้นพบว่า เซลรับกลิ่นแต่ละเซล รับกลิ่นได้อย่างเดียว เป็นสิ่งที่ไม่ได้คาดหมายมาก่อน แอ็กเซิล และ บัค จึงได้ทำการค้นคว้าต่อ และพบว่า เซลรับกลิ่น ส่งสัญญาณทางประสาทไปยังสถานีรับส่งสัญญาณในปลายสมอง olfactory bulb คือส่วนที่เรียกว่า glomeruli ซึ่งมีถึง ๒,๐๐๐ ตัว นับว่ามีมากถึงสองเท่าของประสาทรับกลิ่นเสียอีก ทั้งสองท่านได้ต่างได้พบเหมือนๆกันว่า เซลรับกลิ่น จะส่งสัญญาณไป glomeruli ตัวเดิมเท่านั้น ไม่มีการส่งไปตัวอื่น และ ดร แอ็กเซิล ได้ศึกษาเพิ่มเติมต่อไปอีกว่า ประสาทรับกลิ่น receptor cell และ สถานีรับสัญญาณกลิ่น ต่างทำหน้าที่ร่วมกันเป็นคู่ๆ ที่จำเพาะมาก ไม่ก้าวก่ายกัน คู่ไหนก็รับกลิ่นเดียวกันเท่านั้น

การแบ่งแยกหน้าที่ไม่ก้าวก่ายต่างกลิ่นกัน ก็ยังคงเป็นเช่นนั้นต่อไปถึงระบบประสาทชั้นต่อไปอีก คือ glomeruli ตัวหนึ่งจะส่งสัญญาณต่อไปยัง เซล mitral ตัวเดียวกันตลอด และ mitral cell ก็ส่งสัญญาณนี้ ไปยังจุดเล็กๆหลายๆจุดในสมอง ซึ่งจะถอดสัญญาณ เก็บแพ้ทเทิ่ร์นของกลิ่นเข้ากรุความจำในสมองไป

นอกจากนี้ การค้นพบของนักวิทยาศาสตร์ทั้งสอง ก็ยังมีต่อไปถึงการรับสัมผัสของสาร pheromone ซึ่งมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากในการกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์

Gerald D. Fischbach รองประธานฝ่ายบริหารของศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยโคลัมเบียกล่าวว่า "การค้นพบของทั้งสองท่าน เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในเวลา ๕๐ ปีที่ผ่านมา เพราะมันเปิดประตูไปสู่ความเข้าใจในการทำงานของเราว่า เรารับรู้สภาพแวดล้อมและแปรความรับรู้ไปเป็นความเข้าใจได้อย่างไร" และผลงานนี้ ก็มีส่วนสำคัญในการนำทางไปสู่การศึกษาด้านจีโนมอีกด้วย

อ้างอิง

1 Press Release: The 2004 Nobel Prize in Physiology or Medicine http://nobelprize.org/medicine/laureates/2004/press.html

2 A Nobel for Explaining How the Nose Knows โดย Thomas H. Maugh II, Times Staff Writer http://www.latimes.com/news/nationworld/nation/la-na-nobel5oct05,1,6206758.story

3 Olfaction: A tutorial on the sense of smell http://www.cf.ac.uk/biosi/staff/jacob/teaching/sensory/olfact1.html

4 Our Chemical Senses: Olfaction http://faculty.washington.edu/chudler/chems.html 
 
 
 
พวงร้อย  [IP: hidden] วันที่ 12 ต.ค. 2547 - 11:07:16
(คุณ พวงร้อย ช่วยร่วมแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ ผ่านวิชาการ.คอมแล้ว รวมทั้งสิ้น 1144 ครั้ง)   
 
   

   
 ความเห็นเพิ่มเติมหน้าที่ | -1-   
   
   
 ความเห็นเพิ่มเติมที่ 1




ตำแหน่งของ Olfactory Bulb และปลายประสาทรับกลิ่นแทรกผ่านโพรงกระดูกเหนือโพรงจมูกเข้ามาดักโมเลกุลกลิ่น (ภาพจาก #4) 


โดย: พวงร้อย  [IP: hidden] 
วันที่ 12 ต.ค. 2547 - 11:09:56
ร่วมแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ แล้ว 1,144 ครั้ง - พาหนะคู่กาย: ไอพ่น F16 - บินข้ามทวีปเรื่องเล็ก   
   

   
 ความเห็นเพิ่มเติมที่ 2



(ภาพจากแหล่งเดียวกัน)
สัญญาณประสาทรับกลิ่นที่ mitral ส่งผ่านนิวรอนมา จะถูกส่งไปยังส่วนประกอบเป็นจิตใต้สำนึกของสมอง คือ limbic system ซึ่งประกอบด้วย hippocampus, amygdala และ hypothalamus อันเป็นส่วนสำคัญที่กำหนดสภาพ อารมณ์ และความทรงจำ ภายในสมองของเรา ดังนั้น เมื่อเราได้กลิ่นที่เคยได้รับมาก่อน และประทับในความทรงจำอยู่แล้ว ก็จะกระตุ้นอารมณ์อันรุนแรงและลึกล้ำ โดยเฉพาะความทรงจำที่ฝังลึกที่สุดจากวัยเด็ก 


โดย: พวงร้อย  [IP: hidden] 
วันที่ 12 ต.ค. 2547 - 11:19:18
ร่วมแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ แล้ว 1,144 ครั้ง - พาหนะคู่กาย: ไอพ่น F16 - บินข้ามทวีปเรื่องเล็ก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-08-2006, 17:25 โดย 999 » บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #178 เมื่อ: 10-08-2006, 17:28 »

จริงแต่ทว่า ยังมีความลับอีกมากที่คนไม่ทราบ  Wink Cool

ความเห็นเพิ่มเติมที่ 26

วิทยาศาสตร์อธิบายปัญหาด้วยความเชื่อพื้นฐานว่า " ทุกสิ่งเป็น ___สสาร__." ดังนั้น " กลิ่น " คืออนุภาคของสสารที่แพร่มากระทบปลายประสาทสัมผัสในจมูกเรา...แล้วส่งสัญญานไปแปลความหมายที่สมอง...ว่านี่คือ ตด...ว้า ! เหม็น ...แต่ทำไมเด็กทารกจีงเล่นขี้ได้โดยไม่รูสึกว่าเหม็น ? ...วิทยาศาสตร์อธิบายว่าเป็นเรื่องของการ " เรียนรู้ "...แต่ศาสนาอธิบายว่าเป็นการ " ปรุงแต่ง " ของ " จิต " ...ยกตัวอย่าง...คนที่เรา " รัก " ชะอย่าง...ตรงไหน ๆ ก็ หอม ไปหมด...พอเบื่อกันแล้ว...ใส่นำหอมยี่ห้อ Chanel ก็ยังบ่นว่า " เหม็น " ...สรุป...คือ อำนาจ " จิตปรุงแต่ง " มีอิทธิพลเหนือ สสาร ครับ

โดย: NMT [IP: 203.188.12.49,,]
วันที่ 25 มี.ค. 2548 - 08:26:58
บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #179 เมื่อ: 10-08-2006, 17:35 »

ความเห็นเพิ่มเติมที่ 27

ขออธิบายกลิ่นทางฟิสิกส์หน่อยครับ

กลิ่นเกิดอนุภาคเล็ก ๆ ที่หลุดจากสารตั้งต้น ถ้าเปิดขวดน้ำหอมในห้องที่ปิดทึบ อนุภาคน้ำหอมเล็ก ๆ จะแพร่ไปทั่วห้องในเวลาไม่นาน เนื่องจากโมเลกุลอากาศมีการชนกันตลอดเวลา มันจะชนอนุภาคน้ำหอมเล็ก ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งฟุ้งไปทั่วห้อง ถ้าเป็นกลิ่นธูป จะมีอุณหภูมิเข้ามาเกี่ยวข้องทำให้อนุภาคกลิ่นธูปมีพลังงานมากขึ้น ถ้าไม่จุดกลิ่นธูปจางมาก เมื่อจุดกลิ่นจะเข้มข้นขึ้นและฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง

พวกสปาที่มีการจุดน้ำมันหอม ทำให้น้ำมันหอมร้อนขึ้นอนุภาคกลิ่นจะออกมามากขึ้น

นอกจากนั้นยังขึ้นกับความหนาแน่นของอนุภาคกลิ่นด้วย ถ้ามีคนปิ้งไก่ย่างที่ถนน เราอยู่ที่ระเบียงคอนโดชั้น 5 ขณะลมนิ่งเราจะไม่ได้กลิ่นไก่ย่าง เพราะมันแพร่มาไม่ถึง กลิ่นไก่ย่างจะอยู่ในน้ำมันไก่ที่เป็นละอองเล็ก ๆ เนื่องจากความร้อน น้ำมันไก่จะลอยตัวได้ไม่สูงมาก เมื่อเย็นตัวลงความหนาแน่นจะเพิ่มทำให้ตกลงสู่พื้น

แต่ถ้ามีลมพัด คนที่อยู่ชั้น 5 สามารถได้กลิ่นไก่ย่างได้ เพราะว่าลมหอบเอาน้ำมันไก่มาด้วย

กลิ่นของอาหารที่ทานร้อนจะขึ้นกับอุณหภูมิ ไก่ที่ทอดมาใหม่ ๆ กลิ่นจะหอมน่ารับประทาน ต่อเมื่อตัวไก่เย็นลง กลิ่นจะลดลง หนังที่กรอบก็เริ่มเหี่ยวเพราะมีอนุภาคอากาศแทรกเข้าไปทำให้ความกรอบลดลง

โดย: ฟลิ้นท์ [IP: 202.29.77.2,,]
วันที่ 25 มี.ค. 2548 - 09:48:10
บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #180 เมื่อ: 10-08-2006, 17:41 »




เป็นโมเลกุลขนาดเล็กครับ เป็นสสาร ส่วนมากเป็นสารอินทรีย์

อาจเป็น gas เช่น NH4 etc. หรือ volatile substant ก็ได้ เช่น fatty acid etc.

รับรู้ผ่านประสาท cranial nerve I คือ Olfactory Nerve ที่ Olfactory bulb ในโพรงจมูก

โดย: xav [IP: 58.10.36.190,,]
วันที่ 20 พ.ย. 2548 - 05:29:00
บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #181 เมื่อ: 10-08-2006, 17:42 »




ความเห็นเพิ่มเติมที่ 50

กลิ่นทางชีว-เป็นผลรวมของการประมวลผลด้วยประสาทสัมผัสของจมูก ที่ทำให้รู้ว่าเป็นของสิ่งนั้นสิ่งนี้ ถ้าเล่นต่อถามกลับว่ากลิ่นที่ว่าเป็นคำนามหรือกริยา ตอบได้อีกแบบรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสเป็นธรรมารมย์ ให้ละเอียดย้ายไปถามในบอร์ดธรรมะดีไหม

โดย: teach [IP: 203.113.89.28,,]
วันที่ 17 มิ.ย. 2548 - 16:30:13
บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #182 เมื่อ: 10-08-2006, 17:43 »



ความเห็นเพิ่มเติมที่ 101

หลักๆ แล้วสสาร ก็มีแค่ 3 สถานะอะแหละครับ

บางทีบอกว่าสถานะของไฟคือพลาสมา ที่จริงก็คือเป็นสถานะของก๊าซที่
อิเล็กตรอนตกกลับไปอยู่ที่ชั้น Ground State แล้วปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาเป็นอนุภาคแสง (Photon) อะครับ

โดย: Clubfungi [IP: 203.151.140.123,203.113.46.9,]
วันที่ 24 ก.ย. 2548 - 21:46:24
บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #183 เมื่อ: 10-08-2006, 18:03 »




อนาครับ เวลาของที่ที่เราอยู่ต่างกันกี่วินาทีครับ? บอกผมหน่อย ผมอยู่กรุงเทพฯ...

ผมจะสร้างเครื่องย่นระยะทาง อิอิ  Cool

ถึงแม้เวลาของเราจะต่างกันแค่ 1 นาที มันก็เป็นไปได้ยากนะค่ะ  Very Happy  Very Happy

ทราบและเห็นด้วยค๊าบบ  Cool



คูณเลขเสร็จหรือยังครับ?? รอครับ.... Mr. Green

คิดนานต้องแม่นยำนะ ผมจะนั่งนับใบไม้และกินสาหร่ายอบกรอบรอ..Cool
บันทึกการเข้า

ใบไม้ทะเล
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,321


In politics stupidity is not a handicap


« ตอบ #184 เมื่อ: 10-08-2006, 18:04 »

หนูต้องอ่านใช่ไหมค่ะ  Mr. Green

งั้นรอแป๊บค่ะ พอดีเพิ่งกลับมาถึงบ้าน อิอิ Cool
บันทึกการเข้า

立てばしゃくやく、座ればぼたん、歩く姿はゆりの花
999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #185 เมื่อ: 10-08-2006, 18:21 »



เมื่อผู้หญิงเกิดความรักขึ้นในดวงใจของเธอแล้ว ย่อมเป็นที่แน่นอนว่า ความรู้สึกที่อยากจะได้ครอบครองชายคนรักไว้แนบข้างจะต้องเกิดขึ้นในใจ

เหมือนเคยฟังเพลง Woman in love แล้วได้อรรถรสและซาบซึ้งกับเนื้อหาของเพลงที่บรรเลง ถึงความรู้สึกของผู้หญิงคนหนึ่งต่อชายคนรักของเธอ ใครอยากรู้ลองหามาฟังดูก็จะรู้ดี
แต่ถ้าอยากให้คนรักซาบซึ้งด้วยแล้ว ให้หาซื้อเพลง... เพราะเธอรักฉัน เพลงไพเราะ ที่ร้องโดย ซิลีน ดิออน นักร้องชื่อดังมาให้ชายในดวงใจของคุณฟังดู เพลงนี้ผู้ชายส่วนใหญ่ฟังแล้วซาบซึ้งกันแทบทุกคน ในความรักของผู้หญิงของเขา

ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เป็น 'อารมณ์รักใคร่' จริงไหม... คนเรานั้น ในบางขณะอารมณ์ก็ขึ้นมาอยู่เหนือเหตุผลเหมือนกัน เพราะ " หากจะรักแล้ว รักใครก็จงรักเถิด ความรักบรรเจิด พริ้งเพริดแสนหวาน" ย่อมเป็นที่แน่นอน คนที่มีความรักอยูในใจหน้าตาจะสดใส อิ่มเอิบ มีความสุข มีดอกกุหลาบในดวงใจเช่นเดียวกับดอกกุหลาบ ที่พระนางคลีโอพัตราใช้ทำให้แม่ทัพใหม่ มาร์ค แอนโทนี ลุ่มหลงยังไงเล่า กล่าวกันว่ากลิ่นกุหลาบนั้น เพิ่มอารมณ์โรแมนติคให้เกิดขึ้นกับคนที่มีความรักอยู่ ได้อย่างทันอกทันใจทีเดียว และเมื่อเกิดอารมณ์โรแมนติคขึ้นแล้ว อารมณ์เพศก็จะตามมา ทำให้คนทั้งสองหลอมร่างกายและดวงใจเข้าหากัน เป็นดวงเดียว ด้วยเสน่ห์แห่งกลิ่นกุหลาบ...

นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของกลิ่นที่เพิ่มอารมณ์รักใคร่ เหมือนกับดอกกุหลาบแดง ที่แทนความรัก

  กลิ่น...แรงดึงดูดเพศตรงข้าม

ฟีโรโมน ได้รับการเอ่ยขานกันมานานนมกาเลแล้วว่า เป็นกลิ่นเรียกคู่ เมื่อเพศตรงข้ามได้กลิ่นนี้แล้ว จะเกิดอารมณ์และความต้องการตามธรรมชาติที่จะเกิดการปฏิพัทธ์ และนำไปสู่การเจริญเผ่าพันธุ์ เป็นการป้องกันการสูญเสียเผ่าพันธุ์ที่ธรรมชาติเป็นผู้บงการให้เกิดขึ้น

เป็นที่แน่นอนว่า ในสัตว์บกทั้งหลายนั้น จะมีการสร้างฟีโรโมนขึ้นมาเสมอ โดยเฉพาะเพศเมียในระยะเวลาใกล้จะตกไข่ เพื่อให้กลิ่นนั้นไปชักจูงให้เพศผู้ชายทำการผสม ขณะเดียวกันฟีโรโมนจากสัตว์เพศผู้ก็จะกระตุ้นให้เพศตรงข้ามมีความพร้อมที่จะตกไข่และผสมเช่นกัน แต่อย่าไปลองดมนะ เพราะฟีโรโมน หรือกลิ่นเรียกคู่นี้ ถ้าคนดมเข้าไปแล้ว แทนที่จะเกิดอารมณ์รักใคร่ อาจจะคลื่นเหียนวิงเวียนจนอาเจียนหรือนอนไม่หลับไปหลายคืนก็ได้... เพราะกลิ่นขับเอียนๆ ฉุนๆ ไม่ใช่กลิ่นหอมเหมือนที่คิดเอาไว้

ในคนนั้นต่อมที่จะสร้างฟีโรโมนนั้น จะเริ่มทำการเมื่อเริ่มเข้าวัยรุ่น ผมไม่กล้าตอบว่านั่นตรงกับกลิ่นสาบสาวหรือไม่ เพราะยังค้นคว้าไม่พบต้นตอเรื่องกลิ่นสาบสาว แต่ที่แน่นอนก็คือ ฟีโรโมนนี้ จะสร้างที่ต่อมบริเวณใต้รักแร้ และบริเวณอวัยวะเพศ ขณะเดียวกัน ขนที่ปกคลุมบริเวณดังกล่าวนั้น ก็ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้กลิ่นระเหยออกไปสู่ภายนอก เก็บไว้ให้คนๆนั้นชื่นชมและดมกลิ่นแต่เพียงผู้เดียว อาจจะเป็นเหตุผลนี้กระมังที่ทำให้สาวๆ แดนมังกรทั้งหลายนิยมไว้ขนใต้รักแร้กัน

กลิ่นฟีโรโมนนี้... จะไม่มีผลต่อเจ้าของ แต่จะมีผลต่อผู้ที่ได้สูดดมกลิ่นนั้น นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันชื่อ วินนิเฟรด คัทเลอร์ ได้ทำการศึกษาผลของกลิ่นฟีโรโมนต่อการมีเซ็กซ์ เมื่อเทียบกับกลิ่นหลอก ปรากฏผลการศึกษาวิจัยพบว่า

ในระยะ 3 สัปดาห์แรกนั้น ผู้ที่ได้กลิ่นฟีโรโมนจะมีกิจกรรมทางเพศถึง 36 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับกลิ่นหลอก ซึ่งมีเพียง 11 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่มีเซ็กซ์กับคู่รัก
และตั้งแต่สัปดาห์ที่ 4 -14 ของการวิจัยนั้น พบว่า ผู้ที่ได้กลิ่นฟีโรโมน มีเซ็กซ์เพิ่มขึ้นเป็น 73 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ผู้ได้กลิ่นหลอก มีเซ็กซ์เพียง 11 เปอร์เซ็นต์เท่าเดิม
ที่สำคัญก็คือ ผู้หญิงจะต้องได้กลิ่นฟีโรโมนของชาย และชายจะต้องได้กลิ่นฟีโรโมนของผู้หญิงจึงจะเกิดปฏิกิริยา และมีอารมณ์รักใคร่เกิดขึ้น
แต่ในระหว่างที่เขากำลังศึกษาวิจัยต่อเนื่องถึงผลกระทบของฟีโรโมนต่ออารมณ์รักใคร่กันอย่างขมักเขม้น และยังหาซื้อหามาใช้ไม่ได้ในขณะนี้

ลองหัดดมกลิ่นรักแร้ หรือบริเวณเนินหญ้าในบริเวณที่หลบซ่อนลึกลับอยู่ไปพลางๆ ก่อน ก็น่าจะพอแก้ขัดไปได้
ขอแต่เพียงอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวจะจามกลิ่นไม่สะอาดหมดอารมณ์ไปเสียก่อน

  กลิ่น...ไม่เพิ่มอารมณ์รักใคร่มานานแล้ว
เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส นับว่าเป็นสิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้น ที่เมื่อระบบประสาทรับความรู้สึก อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวหนังได้รับแล้ว จะต้องเกิดแรงตอบสนองขึ้นมาต่อสิ่งเร้าภายนอกนั้น และแน่นอนว่า กลิ่น เป็นสิ่งเร้าที่กระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกได้ดีที่สุดในกระบวนการสิ่งเร้าทั้งหลาย

เทพธิดา อะโฟรไดรท์ เป็นเทพธิดาแห่งท้องทะเลและเทพธิดาแห่งความรักใคร่ ในตำนานของชายกรีก ท่านเป็นมารดาของเทพอีรอส ซึ่งเทียบได้กับเทพบุตรรัก หรือ 'คิวปิด' ที่คนไทยเรารู้จักกันในนามของ "กามเทพ" ที่ชอบแผลงศรปักอกปักใจทั้งหนุ่มและสาว

ความจริงแล้ว เทพธิดาอะโฟรไดรท์นั้น ก็เทียบได้กับเทพวีนัสนั่นเอง เมื่อท่านเป็นเทพธิดาแห่งความรักแล้ว ของอะไรที่จะช่วยเพิ่มความรักใคร่ หรือทำให้เกิดอารมณ์รักใคร่ เลยเรียกกันว่า APHRODISIACS ซึ่งมาจากรากศัพท์ APHRODITE นั่นเอง เทพอะโฟรไดร้ท์นั้น พกพากลิ่นเสน่ห์ไว้ในถุงที่เธอพกพาไปทุกแห่งหน กล่าวกันว่ากลิ่นเสน่ห์ดังกล่าวนั้น ประกอบด้วย น้ำมันหอมที่กลิ่นจากกลีบกุหลาบนั่นเอง กุหลาบนับเป็นมนต์เสน่ห์ที่ใช้กันมากในยุคกรีกโบราณ เชื่อไหมครับว่า ในยุคนั้น ถ้าคุณถูกเชิญไปในงานสังสรรค์ แล้วเวลาเดินเข้างาน คุณจะเดินเข้าไปท่ามกลางกลีบกุหลาบที่โปรยปรายลงมาจากหลังคาห้อง และเรื่องราวเหล่านี้ก็ได้ถูกถ่ายทอดมาจนยุคโรมัน ซึ่งนอกจากจะมีกลีบกุหลาบโปรยปรายลงมาแล้ว ยังมีการประดับประดากุหลาบทั่วผนังห้อง เรียกว่าเดินเข้าไปในห้องก็ได้แต่กลิ่นกุหลาบเลยทีเดียว และยังไม่พอครับ เมื่อรับประทานอาหารอิ่มแล้ว แขกยังจะได้รับประทานขนมพุดดิ้งที่มีกลีบกุหลาบเป็นส่วนผสมด้วย และในตอนท้ายยังได้ดื่มน้ำที่กลั่นมาจากกลีบกุหลาบเจือจางเพื่อเป็นการช่วยย่อยอาหาร

กลิ่นกุหลาบ และความหอมจากกลีบกุหลาบในอาหารและเครื่องดื่มนี้ ไม่ทราบว่าทำให้ชาวโรมันทั้งหลาย ลุ่มหลงอยู่ในอารมณ์รักใคร่จนเทพพิโรธ และให้ภูเขาไฟ วิซุเวียสพ่นลาวามาทับถมนครปอมเปอีหรือเปล่า ก็ไม่รู้ แน่นอนว่า ต่อมาตามประวัติผู้ที่ใช้กลิ่นเสน่ห์ของกุหลาบคงจะหนีไม่พ้นพระนางคลีโอพัตรา ผู้มีชื่อเสียงแห่งอียิปต์โบราณ และเมื่อชนชาติยิวได้หนีจากการปกครองของอียิปต์ไปตั้งถินฐานในดินแดนที่พระเจ้าประทานให้แล้ว พระนางชีมาก็ได้ทรงใช้กลิ่นเสน่ห์ของเครื่องหอมต่างๆ เพื่อทำให้กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของชาวยิว คือพระเจ้าโซโลมอน ลุ่มหลงในพระนางด้วย

กลิ่นต่างๆ ของดอกไม้นานาพันธุ์และสมุนไพรนานาชนิด จึงได้รับการกลั่นออกมาเป็น น้ำมันหอมระเหย หรือ ESSENTIAL OIL และชาวกรีกเป็นผู้มีสุนทรีย์และความสามารถในการใช้น้ำมันหอมระเหย ดังกล่าวในการรักษาโรค และทำให้เกิดอารมณ์รักใคร่ด้วย นับเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ของการใช้กลิ่นเพิ่มรสรัก

  กลิ่น...เพิ่มรสรัก
ความจริงแล้ว เรื่องของความรักใคร่เป็นเรื่องของธรรมชาติควรจะมี เพียงแต่ตามความเรียกร้องของธรรมชาติ ไม่น่าจะมีการปรุงแต่ง การหาทางปรุงแต่งรสรักนั้น คนหัวโบราณทั้งหลายอาจจะไม่ค่อยชอบใจ ว่าทำไมมัวมาแต่หมกมุ่นในเรื่องนี้

แต่ถ้ามาศึกษาให้ถ่องแท้แล้วจะพบว่า เรื่องการใช้กลิ่นเพิ่มรสรักนี้ มีมาตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว แสดงว่าคนโบราณเขาเห็นถึงความจำเป็นในเรื่องนี้ เพราะแม้ว่า กามารมณ์จะเป็นพื้นฐานของชีวิตคู่ แต่กามารมณ์ก็เป็นสีสันของความรักด้วย
เพราะฉะนั้น กลิ่นเพิ่มรสรัก จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีคู่ครองเป็นตัวเป็นตนแล้วเท่านั้น...


(update 8 กุมภาพันธ์ 2003)
[ ที่มา... เนชั่นสุดสัปดาห์   ปีที่ 12 ฉบับที่ 557 วันที่ 3 - 9 กพ. 2546 ]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-08-2006, 18:25 โดย 999 » บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #186 เมื่อ: 10-08-2006, 18:24 »




ประสาทสัมผัสเรื่องกลิ่นของทารก เป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งที่เราอาจจะไม่เคยนึกถึง ซึ่งถ้าเราเรียนรู้เรื่องประสาทสัมผัสในการได้กลิ่นของลูก เราจะช่วยลูกให้พัฒนาประสาทสัมผัสให้ดีขึ้น และเราเองก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ค่ะ



เรียนรู้โลกผ่านกลิ่นที่สัมผัส

ทารกนี่เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการแยกแยะกลิ่นค่ะ เมื่อได้กลิ่นแปลกๆ เช่น กลิ่นอาหาร กลิ่นสารเคมีต่างๆ ที่ใช้ในบ้าน หากเป็นกลิ่นที่ไม่คุ้นเคยหรือไม่ชอบทารกจะตอบสนองต่อกลิ่นนั้นด้วยการร้องไห้โยเย แต่ถ้าได้กลิ่นที่ชอบหรือกลิ่นที่คุ้นเคยก็จะสงบอารมณ์ดี เป็นต้น

ถ้าเทียบกับผู้ใหญ่ ทารกสามารถรับรู้เรื่องกลิ่นได้ดีกว่า เพราะว่าประสาทสัมผัสการรับกลิ่นจะพัฒนาขึ้นมา ก่อนเรื่องการมองเห็นเสียอีก แต่ระหว่างที่โตเป็นผู้ใหญ่ประสาทสัมผัสเรื่องกลิ่นกลับลดประสิทธิภาพลงเรื่อยๆ ซึ่งคงเกิดจากการที่ประสาทสัมผัสด้านอื่นๆ พัฒนาขึ้นมาจนเรียกร้องความสนใจไปจากประสาทสัมผัสเรื่องกลิ่นนั่นเอง ดังนั้น สำหรับทารกแรกเกิดการใช้ประสาทสัมผัสในการดมกลิ่นเพื่อเรียนรู้โลกรอบตัวจึงมีมากกว่าผู้ใหญ่ แทบจะเรียกได้ว่าหนูเรียนรู้จักโลกผ่านการได้กลิ่นต่างๆ นั่นเอง



สัมผัสกลิ่นได้ตั้งแต่ในท้อง

ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ เบบี๋เขาก็สามารถรับสัมผัสเรื่องกลิ่นได้ โดยทารกจะสามารถใช้จมูกในการรับกลิ่นได้ ตั้งแต่ตอนอายุครรภ์แค่ 6 เดือนค่ะ ไม่น่าเชื่อใช่ไหมล่ะว่า จะเป็นไปได้ แต่เป็นไปได้ค่ะ ทารกอาจจะได้กลิ่นกาแฟที่เราต้มตอนเช้า สัมผัสถึงความอ่อนล้าจากกลิ่นเหงื่อของแม่

แล้วเรารู้ได้ยังไงน่ะเหรอค่ะว่า เด็กในท้องได้กลิ่น ในต่างประเทศมีการศึกษาเด็กทารก ที่คลอดก่อนกำหนดตอนอายุครรภ์ประมาณ 30 สัปดาห์ พบว่าทารกจะตอบสนองต่อกลิ่นเดิมๆ ได้ ดังนั้น จึงเชื่อว่าทารกในครรภ์ที่มีอายุครรภ์เท่ากับเด็กที่คลอดก่อนกำหนดจึงน่าจะมีความสามารถในการสัมผัสกลิ่นได้ นั่นก็หมายความว่าวิถีชีวิตของแม่ ไม่ว่าจะกินอะไร ได้กลิ่นอะไร ก็สามารถส่งผ่านไปถึงโลกลี้ลับของทารกน้อยในครรภ์ได้ เพราะว่าระบบอวัยวะสำหรับดมกลิ่นได้พัฒนาขึ้นแล้ว และสมองส่วนที่รับสัมผัสเรื่องการดมกลิ่นนี้ ก็มีความอ่อนไหวมากกับการรับรู้ประสบการณ์ครั้งแรก ดังนั้น กลิ่นแรกๆ ที่ลูกในท้องมีโอกาสได้สัมผัส จึงมีส่วนสำคัญในการพัฒนาประสาทสัมผัสการแยกแยะเรื่องกลิ่นของลูกต่อไป เมื่อหนูน้อยคลอดออกมาลืมตาดูโลกค่ะ



ทารกน้อยกับจมูกที่ทำงานหนัก

มีหลักฐานจากการศึกษาหลายชิ้นที่ยืนยันว่า ประสาทสัมผัสในการดมกลิ่นของลูกน้อยวัยทารก ช่วยให้ลูกปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมภายนอกครรภ์คุณแม่หลังจากที่ลืมตาดูโลก ทารกจะค่อยๆ ทำความคุ้นเคยกับกลิ่นที่ได้สัมผัสบ่อยๆ เช่น กลิ่นคุณแม่ หรือกลิ่นนม การได้สัมผัสกับกลิ่นที่คุ้นเคยเรื่อยๆ จะทำให้ลูกปรับตัวเข้ากับสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น

และทารกนี่เขาเก่งนะคะ สามารถแยกแยะกลิ่นชนิดต่างๆ ได้มากมาย เราจะสังเกตได้จากสีหน้าของลูกที่เปลี่ยนไป หรือลูกจะตื่นตัวขึ้นมาทันทีที่เราให้ลูกดมกลิ่นแปลกๆ

ยิ่งกว่านั้นการเรียนรู้ของทารกเกิดจากการที่ลูกได้กลิ่นซึ่งแตกต่างเป็นสำคัญ มีผลการวิจัยที่แสดงว่า ทารกแรกเกิดสามารถแยกแยะกลิ่นของตัวเองได้ และในเวลาไม่กี่วันที่เกิดมาจะสามารถจำกลิ่นเต้านมหรือกลิ่นใต้วงแขนคุณแม่ได้ แม้คุณแม่จะอยู่ไกลจากลูกหลายฟุต เก่งไหมคะลูกของเรา หรือแม้กระทั่งกลิ่นคุณพ่อ ลูกก็อาจจะจำได้เหมือนกัน ถ้าคุณพ่อมีความใกล้ชิดกับลูกเพียงพอ

นอกจากนี้กลิ่นต่างๆ ที่เกิดจากคุณแม่ ซึ่งใกล้ชิดกับลูกมากที่สุดไม่ว่าจะเป็นกลิ่นเหงื่อ น้ำลาย กลิ่นน้ำนมจากเต้านม หรือกลิ่นน้ำมันที่ระเหยออกมาจากต่อมไร้ท่อต่างๆ ในร่างกายของคุณแม่ ล้วนเป็นกลิ่นที่ลูกน้อยสัมผัสได้ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเวลาที่คุณแม่ให้นมลูก การที่ลูกได้สัมผัสกับเต้านมของคุณแม่อย่างใกล้ชิดโดยไม่ผ่านเสื้อจึงทำให้ลูกรู้สึกมีความสุขสงบมาก



ใช้กลิ่นที่คุ้นเคยสยบลูกน้อย

คุณแม่สามารถใช้ประโยชน์จากกลิ่นที่ลูกคุ้นเคยและชื่นชอบได้ เช่น ถ้าลูกงอแงหงุดหงิดไม่ยอมนอนหลับ คุณแม่ใช้เสื้อที่คุณแม่ใส่แล้วผูกกับเปลใกล้ๆ จมูกลูก กลิ่นที่คุ้นเคยจะช่วยให้ลูกสงบและหลับสบายมากขึ้นได้

หรือผ้าที่ลูกชอบกัดและเอามากอดมาดมเสมอ เราอาจจะไม่จำเป็นต้องซักบ่อยๆ ถ้าไม่สกปรกมากนัก เราสามารถเก็บไว้ใช้เวลาที่ลูกงอแงเพื่อให้ลูกสงบจิตใจลงได้



เล่นแบบไหน พัฒนาทักษะเรื่องกลิ่น
ดมกลิ่นหมอของดอกไม้ ให้เบบี๋ของเราได้ดมกลิ่นดอกไม้สด ลูกน้อยจะได้สัมผัสกับผิวสัมผัสที่อ่อนนุ่มของกลีบดอก และสัมผัสกลิ่นหอมของดอกไม้ แต่ขอเตือนว่าต้องแน่ใจว่าลูกไม่แพ้เกสรดอกไม้ และถ้าเป็นดอกไม้ในสวนที่ปลูกเองจะปลอดภัยกว่าค่ะ เพราะสมัยนี้ดอกไม้ส่วนใหญ่จะใช้ยาฆ่าแมลงเยอะ

อโรมาแบบเบบี๋ เปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทแล้วจุดเตาน้ำมันหอมระเหยให้มีกลิ่นบางๆ อบอวลอยู่ในบ้าน ควรใช้กลิ่นที่เป็นกลิ่นสกัดจากธรรมชาติ และไม่ควรใช้น้ำมันหอมระเหยที่มีกลิ่นฉุนมากสำหรับเด็ก และไม่ควรจุดไว้นาน แค่จุดไว้แป๊บเดียวพอให้ลูกได้กลิ่น และจุดแค่วันละกลิ่นหรือสองกลิ่นก็พอแล้วค่ะ


แม่หลงใหลกลิ่นลูก

คุณแม่หลายคนยอมรับว่า ชอบดมกลิ่นของลูกน้อยวัยแรกเกิดมากๆ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญสันนิษฐานว่า การที่กลิ่นของลูกทำให้คุณแม่หลงใหลได้ เพราะว่ากลิ่นตัวของทารกนี้ก็เกิดมาจากสิ่งที่คุณแม่ปฏิบัติตัวทุกอย่าง ในตอนตั้งครรภ์นั่นเอง สิ่งที่คุณแม่กิน กลิ่นที่คุณแม่สัมผัสสามารถส่งผ่านถึงลูกในท้อง ดังนั้น กลิ่นของทารกแรกเกิดจึงเป็นกลิ่นที่คุณแม่คุ้นเคยมากๆ จึงไม่แปลกที่คุณแม่จะชอบกลิ่นของลูก ซึ่งเมื่อลูกโตขึ้นเริ่มกินอาหาร มีการเผาผลาญ และฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง กลิ่นร่างกายของลูกก็จะเปลี่ยนไปด้วย เพราะฉะนั้นแนะนำว่าขอให้คุณแม่ชื่นชมกับกลิ่นของลูกน้อยให้พอใจ เพราะกลิ่นแบบนี้มันจะคงอยู่ไม่นานหรอกค่ะ

การให้ลูกได้สัมผัสกับกลิ่นที่คุ้นเคยจะช่วยให้ลูกรู้สึกมั่นใจและสงบสุข ส่วนการให้ลูกได้ดมกลิ่น ที่แปลกไปจากวิถีชีวิตปกติบ้าง จะช่วยให้ลูกได้บริหารประสาทสัมผัสเรื่องการดมกลิ่นให้พัฒนายิ่งขึ้น ดังนั้น ถ้าคุณแม่ทราบพัฒนาการตรงนี้ของลูก และใช้ประโยชน์จากมัน ทั้งคุณแม่และลูกน้อยก็จะได้รับประโยชน์ไปพร้อมกันค่ะ


(update 17 กุมภาพันธ์ 2005)
[ ที่มา.. นิตยสารดวงใจพ่อแม่ ปีที่ 9 ฉบับที่ 105 กรกฎาคม 2547 ]
บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #187 เมื่อ: 10-08-2006, 18:29 »



ญี่ปุ่นคิดค้นเครื่องบันทึก "กลิ่น" ได้สำเร็จ

โดย กองบรรณาธิการเว็บไซต์ ARiP.co.th
อัพเดต 2 กรกฎาคม 2006 เวลา 9:23 น.



     


รายงานข่าวแจ้งว่า วิศวกรจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียวในประเทศญี่ปุ่นกำลังพัฒนาอุปกรณ์ที่สามารถดักจับกลิ่นที่เกิดขึ้น แถมสามารถปล่อยกลิ่นนั้นออกมาได้เหมือนเดิม คล้ายกับเครื่องบันทึกวิดีโอที่สามารถบันทึกภาพ และเล่นกลับได้ แต่สิ่งที่บันทึก และเล่นกลับในที่นี้กลับกลายเป็น “กลิ่น” แทน
ทีมวิศวกรผู้พัฒนาคาดว่า เมื่อเครื่องบันทึกกลิ่นเสร็จสมบูรณ์มันจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ร่วมกับการชอปปิ้งออนไลน์ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากอุปกรณ์ดังกล่าวจะช่วยให้ลูกค้าได้กลิ่นสินค้าก่อนที่จะซื้อมันออกไป ตลอดจนการเพิ่มมิติใหม่ของการสัมผัสให้กับเครื่องรับโทรทัศน์ในอนาคต
นอกจากนี้ มันยังสามารถนำไปใช้ในวงการแพทย์ได้อีกด้วย อย่างเช่น การวินิจฉัยโรคของคนไข้จากระยะไกล โดยการบันทึกกลิ่นเลือด น้ำดี หรือน้ำปัสสาวะ เพื่อนำกลิ่นที่บันทึกมาใช้ในการวินิจฉัยโรคได้
Pambuk Somboon จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว หัวหน้าทีมพัฒนาอุปกรณ์บันทึกกลิ่นกล่าวว่า เครื่องบันทึกกลิ่นจะไม่ได้เป็นการจัดเตรียมกลิ่นต่างๆ ไว้ล่วงหน้าแต่อย่างใด แต่จะเป็นการใช้จมูกไฟฟ้าที่ทำงานร่วมกับสารเคมีแค่ 15 ตัว ก็สามารถรับรู้กลิ่นที่แตกต่างได้มากมายแล้ว
“เปรียบเทียบกับสัญญาณวิดีโอ คุณต้องบันทึกด้วยแม่แสงหลักคือ แดง, เขียว และน้ำเงิน แต่มนุษย์มีเซนเซอร์รับกลิ่นได้ถึง 347 แบบดังนั้น เราจำเป็นต้องใช้สารเคมี (ที่ใช้แทนแม่แสงบนหน้าจอ) เป็นจำนวนมาก” Somboon กล่าว
เมื่อเซ็นเซอร์ของอุปกรณ์ได้กลิ่นต่างๆ กลิ่นที่เครื่องได้รับจะถูกสร้างขึ้นใหม่ด้วยส่วนผสมจากรายการของสารเคมีจำนวน 96 รายการ โดยเราสามารถเลือกใช้สารเคมีบางตัว เพื่อพัฒนาอุปกรณ์บันทึกกลิ่นเฉพาะทางก็ได้ เช่น สำหรับใช้ในวงการแพทย์ เป็นต้น อย่างไรก็ดี อุปกรณ์ดังกล่าว สามารถบันทึก และสร้างกลิ่นต่างๆ ได้มากมาย ตั้งแต่ ส้ม มะนาว แอปเปิ้ล กล้วย และแตงโม “เราสามารถบอกได้แม้กระทั่งว่า กลิ่นที่เครื่องได้รับเข้าไปนั้น มาจากแอปเปิ้ลผลสีเขียว หรือสีแดง” Somboon กล่าวทิ้งท้าย
 
บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #188 เมื่อ: 10-08-2006, 19:07 »




มะนาว : Lime
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Citrus aurantifolia
วงศ์ : Rutaceae
เริ่มแรกจากแถบเอเชีย พื้นที่ที่มีการเพาะปลูกส่วนมากเป็นเขตอบอุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศอิตาลี, บริเวณ แถบเอเชียตอนใต้และอเมริกา มะนาวเป็นไม้ยืนต้นสูงประมาณ 4.5 เมตร (15 ฟิต) ใบเรียบสีเขียว มีหนามแหลมคม และเล็ก มีดอกสีขาว มะนาวมีผลสีเขียวและมีหลายชนิด เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 นิ้ว มะนาวถูกนำมาเผยแพร ่ในทวีปยุโรป โดยมัวร์ และได้กระจายไปถึงประเทศอเมริกา น้ำมะนาวช่วยป้องกันโรคลักปิดลักเปิด เนื่องจากน้ำ มะนาวมีวิตามินซีสูง ส่วนใหญ่ใช้แต่งกลิ่นและรสชาติ ในเครื่องดื่มอัลกอฮอล์และโคลา รวมถึงใช้ในอุตสาหกรรม น้ำหอม
ส่วนที่ใช้ : ผิว
กลิ่น : สดชื่น, หวาน
อารมณ์ : สดชื่นกระปรี้กระเปร่า
ส่วนประกอบทางเคมี : citral, limonene, glutathione, terpineol, cymene, myrcene, a-pinene,
B-pinene, sabinene, myrcene, limonene, y-terpinene, terpinolene, octanal, nonanal, tetradecanal, pentadecanal, trans-a-bergaptene, caryophyllene, B-bisabolene, geranial, neryl acetate, geranyl acetate, a-terpineo, linalool.
คุณสมบัติ : บยั้งเลือดออกตามไรฟัน, ยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์และเชื้อไวรัส, ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย, ลดไข้, ซ่อมแซมและฟื้นฟูพละกำลัง

สรรพคุณ
ระบบทางเดินหายใจ : บรรเทาอาการเจ็บคอ, ช่วยลดอาการของไข้หวัด, อาการไอ
ระบบทางเดินอาหาร : กระตุ้นความอยากอาหาร, ช่วยย่อยอาหาร,
กล้ามเนื้อ / ข้อต่อ : บรรเทาอาการข้ออักเสบ
ผิวหนัง : สิว, ช่วยกระชับรูขุมขนสำหรับผิวมัน, ลดไขมันใต้ผิวหนัง, โรคผิวหนังเป็นเม็ดพุพองและลามออก
ระบบการหมุนเวียนโลหิต : บรรเทาอาการเส้นโลหิตดำโป่ง, เลือดคั่ง
ข้อพึงระวัง :
- หลังจากใช้แล้วห้ามถูกแสงแดดโดยตรง

 
   
   ตะไคร้ : Lemongrass
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cymbopagon citrates
วงศ์ : Gramineae
ลักษณะของต้นตะไคร้เป็นกอ ความสูงประมาณ 4-6 ฟุต ใบยาวเรียว ปลายใบมีขนหนาม ตะไคร้ยังไม่เป็นที่ แพร่หลายสำหรับชาวตะวันตก ส่วนในประเทศไทย, อินโดนีเซีย, และเวียดนาม นิยมใช้ลำต้นมาประกอบอาหาร กลิ่น และรสเข้ากันได้ดีกับกระเทียม, พริก และนิยมนำมาประกอบ อาหารทะเล เพื่อดับกลิ่นคาว หรือทำเป็นเครื่องดื่ม ชาตะไคร้
ส่วนที่ใช้ : ใบ
กลิ่น : คล้ายมะนาวและส้ม
อารมณ์ : สดชื่นกระปรี้กระเปร่า
ส่วนประกอบทางเคมี : Citral, Geranyl Acetate, Linalyl Acetate, Geranial, Neral, Limonene,
Myrcene, Beta-caryophyllene
คุณสมบัติ : บรรเทาอาการปวด, ลดอาการซึมเศร้า, ต้านเชื้อจุลินทรีย์, ลดไข้, ป้องกันเชื้อจุลินทรีย์, ยาสมานแผล, ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย, แก้ท้องเฟ้อ, ยาดับกลิ่น, ฆ่าเชื้อรา, ขับน้ำนม, บรรเทาความเครียด, ระงับประสาท, ขับไล่แมลง

สรรพคุณ
ระบบหมุนเวียนและกล้ามเนื้อ : ฟื้นฟูกล้ามเนื้อ, บรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและเคล็ดขัดยอก
ระบบย่อยอาหาร : ท้องเสีย, อาหารไม่ย่อย, กล้ามเนื้อช่องท้องกระตุก
ผลต่ออารมณ์ / จิตและประสาท : ปวดหัว, ความสับสน, ความอ่อนเพลียทางจิตใจ
ระบบภูมิคุ้มกันโรค : อาการไข้, ภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
ผิวหนัง / ผม : สิว, เชื้อรา, เหงื่อออกมากผิดปกติ, เหา, โรคหิด
ข้อพึงระวัง :
- ควรเจือจางน้ำมันหอมระเหยก่อนใช้กับผิวหนังโดยตรง
- ควรหลีกเลี่ยงการออกกลางแจ้งเป็นเวลานาน
- อาจเกิดการระคายเคืองสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย

 
   
   ส้ม : Tangerine
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Citrus reticulata
วงศ์ : Rutaceae
ส้มเป็นต้นไม้ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ลำต้นมีความสูงประมาณ 6 เมตร ใบหนาเป็นมันวาว ดอกส้มสีขาว มีกลิ่น หอมอ่อนๆ ออกเป็นกระจุกตามกิ่งเล็กๆ แต่ละต้นจะออกผลเป็นจำนวนมาก ส้มแมนดาริน เปลือกออกสีเหลือง และมี ขนาดของผลที่เล็กกว่าส้มเขียวหวาน ซึ่งมีเปลือกสีส้มเข้ม
ส่วนที่ใช้ : เปลือก
กลิ่น : ผิวส้ม
อารมณ์ : สดชื่น
ส่วนประกอบทางเคมี :citronellol, linalool, citral, cardinene, limonene
คุณสมบัติ : ยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์, บรรเทาอาการชักกระตุก, ช่วยขับลม, ทำให้จิตใจสงบ, เพิ่มพละกำลัง

สรรพคุณ
จิตใจ / อารมณ์: บรรเทา ความกังวล, ซึมเศร้า, นอนไม่หลับ, ความเครียด
ระบบย่อยอาหาร: บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ, สะอึก, อาหารไม่ย่อย และท้องเสีย
ระบบหมุนเวียนโลหิต: บรรเทาอาการบวมน้ำ
ผิวพรรณ: ให้ความสมดุลกับผิวมัน เพิ่มความสดใสให้ผิว
ข้อพึงระวัง :
- ไม่เป็นพิษ, ไม่ทำให้ระคายเคือง, ไม่ทำให้เกิดภูมิแพ้
- สตรีมีครรภ์ควรหลีกเลี่ยง
- หลังจากใช้แล้ว ห้ามถูกแสงแดดโดยตรง 
 
   
   ขิง : Ginger
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Zingiber officinale
วงศ์ : Zingiberaceae
ขิงมีต้นกำเนิดมาจากอินเดีย, จีน, และ ชวา เริ่มเป็นที่รู้จักในยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 10 – 15 โดยการนำไปใช้ ในการปรุงรส และผสมในเครื่องเทศ ขิงเป็นพืชที่มีตลอดฤดูกาล ความสูงของต้นประมาณ 3-4 ฟุต มีลำต้นอยู่ใต้ดิน ใบมีลักษณะเหมือนหอก ดอกมีสีขาวหรือเหลืองซึ่งแทงช่อขึ้นมาจากเหง้าใต้ดิน ขิงถูกนำมาใช้เป็นยามานาน เนื่องจาก พบว่าถูกบันทึกเป็นภาษาต่างๆ เช่น สันสกฤต จีน กรีก โรมัน และอาราเบียน น้ำมันจากขิงมีสีเหลืองอ่อน และจะเปลี่ยน เป็นสีเหลืองเข้ม กลิ่นจากขิงจะช่วยเพิ่มพลังให้แก่ร่างกาย ทำให้อารมณ์รู้สึกอบอุ่น สงบ ผ่อนคลาย ความกดดัน ทำให้ การรับรู้และความทรงจำเฉียบแหลม
ส่วนที่ใช้ : เหง้าใต้ดิน
กลิ่น : เผ็ดร้อน อบอุ่น
อารมณ์ : สดชื่นและทำให้อบอุ่น
ส่วนประกอบทางเคมี : borneol, citral, cineole, and zingiberene, camphene, limonene, phellandrene,
-bisabolene and neral.
คุณสมบัติ : ลดอาการซึมเศร้า แก้อาเจียน ขับลม แก้ท้องเฟ้อ ขับเสมหะ ลดไข้ ขับเหงื่อ

สรรพคุณ
ระบบหมุนเวียนโลหิต: ทำให้การหมุนเวียนโลหิตดีขึ้น
ระบบย่อยอาหาร: ช่วยในระบบการยอ่ยอาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อ โรคท้องร่วง อาการจุกเสียด ตะคริว อาหารไม่ย่อย
โรคเบื่ออาหาร อาการคลื่นเหียน อาการเมารถ
ระบบกล้ามเนื้อ / ข้อต่อ: บรรเทาความเมื่อยล้า และอาการปวดกล้ามเนื้อ โรคปวดตามข้อ เคล็ดขัดยอก
ระบบหายใจ: โรคหวัดที่มีน้ำมูกออกมาก หวัด ไข้หวัดใหญ่ โรคติดต่อระบบทางเดินหายใจ บรรเทาอาการไอ
เจ็บคอ โรคไซนัสอักเสบ
ข้อพึงระวัง :
- อาจเกิดการระคายเคืองสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย
 
   
   ดอกซ่อนกลิ่น : Tuberose
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Polianthes tuberosa Linn.
วงศ์ : ZAmaryllidaceae
น้ำมันหอมระเหยดอกซ่อนกลิ่นมีลักษณะกลิ่นหอมหวาน ช่วยเพิ่มพลัง กระปรี้กระเปร่า และทำให้จิตใจสงบ ใน แต่ละปีผลิตได้จำนวนน้อยมาก และเป็นน้ำมันหอมระเหยที่มีราคาสูง นิยมใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตน้ำหอม ดอก ซ่อนกลิ่นเป็นพืชหัวออกดอกตลอดทั้งปี มีช่อดอกยาวเรียว และใบแคบยาว มีกลิ่นหอมฉุน ปลูกในทวีปอเมริกา ประโยชน์จากน้ำมันและกลิ่นหอมสำหรับผู้ที่สัมผัสกลิ่นไม่เพียงแค่รู้สึกเฉพาะภายนอก แต่รับรู้ได้ถึงภายใน รวมถึง ควบคุมอารมณ์ที่ขึ้นๆ ลงๆ ทำให้อารมณ์คงที่ กระปรี้กระเปร่า และทำให้ใจเย็น จิตใจสงบ เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีอารมณ์ หงุดหงิด กังวลใจ จิตใจหดหู่ ความเครียดหรือผู้ที่ทำงานหนัก ช่วยให้ผ่อนคลายอารมณ์ และเพิ่มพลังให้กับร่างกาย ทำให้จิตใจอ่อนโยน
ส่วนที่ใช้ : ดอก
กลิ่น : หอมหวานยวนใจ
อารมณ์ : ผ่อนคลาย
ส่วนประกอบทางเคมี : Methyl benzoate, methyl anthranilate, benzyl alcohol, butyric acid, eugenol,
nerol, farnesol, geraniol.
คุณสมบัติ : ลดอาการซึมเศร้า แก้อาเจียน ขับลม แก้ท้องเฟ้อ ขับเสมหะ ลดไข้ ขับเหงื่อ

สรรพคุณ
จิตใจ/อารมณ์: ช่วยผ่อนคลายอารมณ์ และความตึงเครียด ทำให้ใจเย็น จิตใจสงบ นอนหลับง่าย
ความหอมอ่อนโยน เย้ายวนใจ เพิ่มความเสน่หา ความสุนทรีย์ของคู่รัก
ข้อพึงระวัง :
สตรีมีครรภ์ควรหลีกเลี่ยง
 
   
   ขมิ้น :Turmeric
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Curcuma longa Linn
วงศ์ : Zingiberaceae
ขมิ้น เป็นพืชตระกูลเดียวกับขิง ปลูกได้ทุกฤดูกาล มีเปลือกบาง เนื้อในมีสีเหมือนแครอท ต้นบนดิน สูงประมาณ 1 เมตร มีใบสีเขียว ดอกสีเหลือง มีเหง้าใต้ดิน กลิ่นและรสเผ็ด ชาวตะวันออกไม่ใช้แค่ เพียง ประกอบอาหารเท่านั้น แต่ยังใช้เป็นสมุนไพรรักษาโรค
ส่วนที่ใช้ : เหง้าใต้ดิน
กลิ่น : สดชื่น
อารมณ์ : -
ส่วนประกอบทางเคมี : sesquiterpenes, turmerone, ar-turmerone, zingiderene conjugate diarylheptanoids.
คุณสมบัติ : บรรเทาปวด ลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิต แก้ท้องผูก
กระตุ้นระบบย่อยอาหาร ยากำจัดแมลง

สรรพคุณ
ระบบย่อยอาหาร: กระตุ้นความอยากอาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อ
ระบบกล้ามเนื้อ / กระดูก: ข้อต่ออักเสบ ปวดกล้ามเนื้อ โรคไขข้ออักเสบ
ผิวหนัง: รักษาแผล โรคผิวหนัง
ข้อพึงระวัง :
อาจเกิดการระคายเคือง สำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย
 
   
   แฝกหอม : Vetiver Grass, Khus Khus
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Vetiveria zizanoides
วงศ์ : Graminaceae
แฝกหอม เป็นพืชตระกูลหญ้า มีลักษณะเป็นกอหนาสูง ใบแคบยาวและปลูกอยู่ตามคันดินรากมีสีน้ำตาล แฝกหอม มีถิ่นกำเนิดที่เอเชีย เขตร้อน มีวิธีการปลูกแฝกหอมหลายวิธี ซึ่งแตกต่างที่เหตุผลของการนำไปใช้ น้ำมัน แฝกหอม สกัดได้จากส่วนรากของแฝก น้ำมันหอมระเหยจากแฝกหอมมีคุณสมบัติในการระเหยช้า เหมาะสำหรับ นำไปผสมเพื่อทำ น้ำมันหอมระเหยชนิดต่างๆ
ส่วนที่ใช้ : ราก
กลิ่น : ไอดิน และรากไม้
อารมณ์ : อบอุ่น
ส่วนประกอบทางเคมี : benzoic acid, vetiverol, furfurol, -vitivone, -etivone, vetivone vetivenyl vetivenate.
คุณสมบัติ : ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา ฆ่าเชื้อโรค ผ่อนคลายความเครียด

สรรพคุณ
ระบบกล้ามเนื้อ / ข้อต่อ : บรรเทาอาการข้อต่ออักเสบ
จิตใจ / อารมณ์ : บรรเทาอาการอ่อนเพลีย ช่วยให้นอนหลับง่าย ผ่อนคลายความตึงเครียด
ผิวหนัง : สิว ริ้วรอยที่เกิดจากวัย
ข้อพึงระวัง :
ไม่เป็นพิษ เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบางและแพ้ง่าย
 
   
   ส้มโอ : Pomelo or Grapefruit
ชื่อวิทยาศาสตร์ : VCitrus maxima var. racemosa
วงศ์ : Rutaceae
ส้มโอ เป็นพืชตระกูลเดียวกับมะนาว ส้ม และมีวิตามินซีสูง ซึ่งป้องกันการติดเชื้อ ใช้ในการบำบัดต่างๆ เช่น สิว รอยแผลเป็น ช่วยปรับสภาพผิว เหมาะกับผิวมัน กระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม นอกจากนี้ยังช่วยในการ ลดไขมันใต้ผิวหนัง และผ่อนคลายกล้ามเนื้อ น้ำมันหอมระเหยจากส้มโอ ใช้เป็นส่วนประกอบในการทำสบู่ เครื่องสำอาง น้ำหอม และใช้ในการทำขนม เครื่องดื่มจำพวกแอลกอฮอล์ ทั้งให้ความหอมและเป็นการเพิ่มรสชาติ
ส่วนที่ใช้ : ราก
กลิ่น : ไอดิน และรากไม้
อารมณ์ : อบอุ่น
ส่วนประกอบทางเคมี : benzoic acid, vetiverol, furfurol, -vitivone, -etivone, vetivone vetivenyl vetivenate.
คุณสมบัติ : ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา ฆ่าเชื้อโรค ผ่อนคลายความเครียด

สรรพคุณ
ระบบกล้ามเนื้อ / ข้อต่อ : บรรเทาอาการข้อต่ออักเสบ
จิตใจ / อารมณ์ : บรรเทาอาการอ่อนเพลีย ช่วยให้นอนหลับง่าย ผ่อนคลายความตึงเครียด
ผิวหนัง : สิว ริ้วรอยที่เกิดจากวัย
ข้อพึงระวัง :
ไม่เป็นพิษ เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบางและแพ้ง่าย
 
   
   โหระพา : Sweet Basil
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ocimum basilicum Linn
วงศ์ : Labiatae
โหระพา มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาและเอเชียเขตร้อน ต้น และใบมีกลิ่นหอม มีขนอ่อนปกคลุมใบ และลำต้น ขอบใบ มีลักษณะหยักแบบฟันเลื่อยห่างๆ ออกดอกเป็นชั้นคล้ายฉัตร ดอกสีขาว แดงอ่อน ใช้ส่วนของใบ นำมาสกัด เอาน้ำมัน Volatle Oil นำมาใช้ในการแต่งกลิ่นอาหารและเครื่องหอม
ส่วนที่ใช้ : ใบ
กลิ่น : กลิ่นสดชื่น, กระปรี้กระเปร่า
อารมณ์ : อบอุ่น
ส่วนประกอบทางเคมี : aesculitin, butyric acid, chavicol, anethole, eucalyptol, Linalool,
eugenal และ limonene.
คุณสมบัติ : ลดอาการซึมเศร้า, ยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์, บรรเทาอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ, ขับลม, บรรเทาอาการต่างๆ ทางศรีษะ, ช่วยย่อยอาหาร, ขับระดู, ขับเสมหะ, ลดไข้, กระตุ้นการคัดหลั่งน้ำนม, บรรเทาอาการเคร่งเครียด, สร้างภูมิต้านทาน, ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ, บำบัดโรคกระเพาะอาหาร,
เพิ่มพละกำลัง

สรรพคุณ
ผวิหนัง : บรรเทาอาการแมลงสัตว์กัดต่อย, ขับไล่แมลง ระบบหมุนเวียน, กล้ามเนื้อและข้อต่อ : โรคเกาต์,
บรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ, โรคไขข้ออักเสบ
ระบบทางเดินหายใจ : บรรเทาอาการ หลอดลมอักเสบ, หวัด, อาการไอ, อาการปวดหู, โรคไซนัสอักเสบ
ระบบทางเดินอาหาร : บรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย, ท้องอืดท้องเฟ้อ, อาการคลื่นเหียน
ระบบภูมิคุ้มกัน : บรรเทาอาการ หวัด, ลดไข้, ไข้หวัดใหญ่, โรคติดต่อ
ระบบประสาท : บรรเทาอาการกังวล, ความหดหู่, ความเพลีย, อาการนอนไม่หลับ, ไมเกรน,
บรรเทาอาการตึงเครียด
การนำมาใช้ในด้านอื่นๆ น้ำมันหอมระเหยโหระพาใช้ทำหัวน้ำหอม, สบู่, ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับช่องปาก ,เครื่องสำอาง และน้ำหอม โหระพาพบบ่อยในการทำอาหารจำพวกเนื้อสัตว์และกลิ่นหอมช่วยกระตุ้น ให้เกิดความอยาก อาหาร ในการ บำบัดทางอายุรเวทโหระพา หรือเรียกอีกอย่างว่า tulsi, ใช้เป็นยาต้านพิษ ของแมลงสัตว์กัดต่อย และพิษของงู ใช้ในการ ยับยั้งโรคระบาดต่างๆและไข้มาเลเรียในประเทศจีน โหระพาช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียน ของโลหิต และระบบทางเดิน อาหาร รวมถึงกระเพาะอาหารและอารมณ์หงุดหงิด

 
   
  อ่านต่อ >>

เร่ว : Amomum
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Amomum Xanthioides Wall
วงศ์ : ZINGIBERACEAE
เร่ว เป็นไม้ล้มลุกวงศ์ขิง, ข่า มีเหง้าใต้ดิน มีกาบใบหุ้มช้อนกันคล้ายลำต้น สูงได้ถึง 2 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยว รูปหอกก้วาง ปลายแหลม ผิวเกลี้ยงทั้งสองด้าน ขนาดยาว 30-45 ซม. กว้าง 3-7.5 ซม. สีเขียวอ่อนถึงเขียวเข้ม ดอกออกเป็นช่อเชิงลด แตกจากเหง้าใต้ดินชูขึ้นโผล่พ้นดินขึ้นมา ยาว 2.5-4 ซม. มีดอกย่อยซ่อนอยู่ในกลีบประดับ จำนวน 2-3 ดอก กลีบประดับรูปขอบขนาน ยาว 1.2-2 ซม. ปลายแหลม ผิวเกลี้ยงทั้งสองด้าน กลีบเลี้ยงรูปทรงกระบอก มีจักที่ส่วนปลายกลีบ 3 จัก กลีบดอกมีสีเหลืองอ่อน รูปหลอดยาวประมาณ 2.5 ซม. กว้าง 0.8-1.2 ซม. ส่วนปลายบานออก คล้ายช้อน ปากดอกกว้างประมาณ 1.2 ซม. มีเกสรเพศผู้ที่ไม่สมบูรณ์ ก้านชูเกสรเพศผู้สั้น อับเรณูแยกกันค่อนข้างห่าง รังไข่มี 3 ช่อง หลายออวุล ผลกลม หรือค่อนข้างกลม มีสามพู สีน้ำตาลอ่อน มีขนปกคลุมบางๆ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 ซม. เมื่อแห้งแล้วแตก มีเมล็ดจำนวนมาก เมล็ดกลม หรือค่อนข้างกลม มีรอยตัดเว้า

เร่ว มีเขตการกระจายพันธุ์ ในประเทศ ตามป่าดิบแล้ง และป่าดิบขึ้นทั่วทุกภาคของประเทศ โดยฉพาะภาค ตะวันออกเฉียงใต้ บริเวณจังหวัดจันทบุรี ในต่างประเทศพบที่พม่า, จีนตอนใต้, ประเทศแถบอินโดจีน




 
 
   
   พิกุล : Bakula
Botanical Name: Mimusops elengi Linn.
Family: SAPOTACEAE
พิกุล มีลำต้นสูงประมาณ 15 เมตร ใบ มีสีเขียว บาง มันวาว มีลักษณะคล้ายรูปไข่ มีความยาวประมาณ 5-15 ซม. มีความกว้างประมาณ 3-7.5 ซม. ใบออกเรียงสลับเวียนกัน ดอก เป็นชนิดดอกเดี่ยว สีขาวปนเหลือง ออกเป็นกระจุก ตามง่ามใบและตามยอด บานเต็มที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 ซม. กลีบรองกลีบดอกเรียวแหลมมี 8 กลีบ เรียงเป็น 2 วง วงละ 4 กลีบ กลีบดอกมี 24 แฉก เรียงเป็น 2 วง วงนอกมี 16 แฉก ปลายชี้ออกในระดับเดียวกัน เป็นรูปดาว วงในมี 8 กลีบ ปลายกลีบโค้งเข้าหากัน เกสรผู้และเกสรเทียมมีอย่างละ 8 อัน เกสรเมียมี 1 อัน รังไข่อยู่เหนือฐานรองดอก รังไข่ มีขนแข็งๆ ปกคลุม ภายในมี 6-8 ช่อง ออกดอกไม่แน่นอน มักออกตลอดปี
ส่วนที่ใช้ : ดอก
สรรพคุณ
ระบบหทางเดินอาหาร : เจ็บคอ, ท้องร่วง, ท้องผูก, แก้โรคพยาธิลำไส้
ระบบอวัยวะสืบพันธุ์ : ในดอกมีน้ำมันหอมระเหย saponin และ alkaloid




 
   
   กานพลู : Clove
Botanical Name: Eugenia caryophyllata
Family: MYRTACEAE
กานพลูเป็นไม้ยืนต้น สูง 5 - 10 เมตร แตกกิ่งก้านสาขาเป็นระเบียบ ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปวงรีหรือ รูปใบหอก มีจุด ต่อมน้ำมัน กว้าง 2.5 - 4 ซม. ยาว 6 - 10 ซม. ขอบเป็นคลื่น ใบอ่อน สีแดงหรือสีน้ำตาลแดง เนื้อใบบาง ค่อนข้างเหนียว ผิวมัน ดอกช่อ ออกที่ซอกใบ ดอกอ่อนสีเขียว เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีดแงเข้ม กลีบดอกสีขาว และร่วงง่าย กลีบเลี้ยงและ ฐานดอกสีแดงหนาแข็ง ผลเป็นผลสด รูปไข่ จะเก็บระยะที่ดอกเริ่มเป็นสีแดง ตากแดดจนสีน้ำตาลเข้ม มีกลิ่นเฉพาะ และรสเผ็ดร้อน ชอบอากาศร้อน ความชื้นสูง
ส่วนที่ใช้ : ดอก
กลิ่น : หอม
อารมณ์ : สดชื่น
ส่วนประกอบทางเคมี : น้ำมันหอมระเหยที่กลั่นจากดอกเรียกว่า “น้ำมันกานพลู (clove oil) มีส่วนประกอบสำคัญเป็น eugenol เป็นสารของยาชาเฉพาะที่ นอกจากนี้ยังพบ Furfurol, Caryophyllene, Eugenyl Acetate และ Pinene

คุณสมบัติ : น้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ ทำให้อาการปวดท้องลดลง ขับน้ำดี ทำให้การย่อยอาหาร ดีขึ้น ช่วยลดอาการจุกเสียด ที่เกิดจากการย่อยไม่สมบูรณ์ และสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียในทางเดินอาหารหลายชนิด เช่น เชื้อโรคไทฟอยด์ บิดชนิดไม่มีตัว เป็นต้น นอกจากนี้ยังกระตุ้นให้มีการหลั่งเมือก และลดความเป็นกรดใน กระเพาะอาหารด้วย

สรรพคุณ
ระบบย่อยอาหาร: บรรเทาอาการปวดท้องจากการบีบตัวของลำไส้, ขับน้ำดี, ช่วยย่อยอาหาร, ลดอาการจุกเสียด, ขับลม, ท้องร่วง, อหิวาตกโรค
ระบบกล้ามเนื้อ: ระงับอาการกล้ามเนื้อกระตุก, บรรเทาข้อต่ออักเสบ
ในช่องปาก: บรรเทาอาการเหงือกอักเสบ, หลอดลม, แผลในปาก, บรรเทาอาการปวดฟัน โดยใช้สำลีชุบน้ำมันอุดฟัน ที่ปวด
ระบบกล้ามเนื้อ: ระงับอาการกล้ามเนื้อกระตุก, บรรเทาข้อต่ออักเสบ

 
   
   ตะไคร้หอม : Citronella
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cymbopogon nardus
วงศ์ : Gramineae
ใบตะไคร้หอมมีกลิ่นหอม และมีคุณสมบัติ ชึ่งใช้ในการบำบัดโรค เช่น ช่วยลดไข้ ขับถ่ายพยาธิ กระตุ้นการย่อย อาหาร บรรเทาอาการปวดประจำเดือน น้ำมันตะไคร้หอมมีคุณสมบัติในการขับไล่ยุงและแมลง ในประเทศจีนใช้ ตะไคร้หอมในการบำบัดข้ออักเสบ และช่วยบรรเทาอาการหวัด ลดไข้ มีประโยชน์มากที่สุดในการใช้บรรเทาความ อ่อนเพลีย อาการปวดศีรษะ และไมเกรน
น้ำมันตะไคร้หอมมีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ เป็นที่นิยมแพร่หลายในการทำสบู่ ในอุตสาหกรรมอาหาร ใช้ทำน้ำตะไคร้ และทำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ส่วนที่ใช้ : ใบ
กลิ่น : สดชื่น
อารมณ์ : มีชีวิตชีวา
ส่วนประกอบทางเคมี : ซิทราเนลลิค (Citronellic), บอร์นีล (Borneol), ซิลทราเนลโล (Citronellol), เจรานอล (Geraniol), เนอรอล (Nerol), ซีทรอล (Citral), ซิลทราเนลลา (Citronellal), แคมฟีน (Camphene), ไดเพนทีน (Dipentene), ไลโมนีน (Limonene)
คุณสมบัติ : ฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ ช่วยระงับกลิ่น ขับไล่แมลง กระตุ้นและบำรุงกำลัง

สรรพคุณ
การใช้ภายใน: ช่วยลดไข้ บรรเทาอาการต่างๆ เช่น หลอดลมอักเสบ การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ กรวยไตอักเสบ โรคหนองใน
การนำไปใช้ในสุคนธบำบัด: บรรเทาอาการขับเหงื่อมากเกินปกติ เหมาะกับผิวมัน และช่วยขับไล่แมลง
ข้อพึงระวัง :
ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย ผิวหนังอักเสบ และสตรีมีครรภ์
 
   
   ข่า: Galanga
ชื่อวิทยาศาสตร์: Alpinia galanga SW.
วงศ์: Zingiberraceae
ข่าเป็นพืชล้มลุกที่มีลำต้นเป็นกอ มีเหง้าอยู่ใต้ดิน เหง้ามีสีน้ำตาลอมแสด มีเส้นแบ่งข้อเป็นช่วงสั้นๆ เนื้อในเหง้า มีสีขาวรสขมเผ็ดร้อน แต่ไม่เผ็ดเหมือนกับขิง มีกลิ่นหอมฉุน ข่าเป็นพืชใบเดี่ยว ใบยาวปลายใบมนขอบใบเรียบ ก้านใบยาวเป็นกาบหุ้มซ้อนกัน ดอกเป็นช่อสีขาวนวล ผลกลมสีแดงส้ม มีรสเผ็ดร้อน
 ข่าเป็นพืชพื้นเมืองในเขตร้อน มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภูมิภาคเอเชียเขตร้อน ปัจจุบัน ข่าใช้เป็นเครื่องเทศในประเทศไทยและประเทศอินโดนีเซียมากกว่าที่อื่น ประเทศไทยมีการปลูกข่าทั่วไป เพราะข่า ถือเป็นผักสวนครัวอย่างหนึ่ง
ส่วนที่ใช้ : เหง้า
กลิ่น : หอมฉุน
ส่วนประกอบทางเคมี : เหง้าสดมีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งประกอบด้วยสารเมททิล-ซินนาเมต, ซีนิออล, การบูร และยูจีนอล.
คุณสมบัติ : น้ำมันหอมระเหยข่า มีฤทธิ์ขับลม, ลดการบีบตัวของลำไส้, ฆ่าพยาธิและเชื้อโรค, ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และมีสารต้านมะเร็ง, และใช้ไล่แมลงได้

สรรพคุณ
ระบบกล้ามเนื้อ/ข้อต่อ: บรรเทาอาการปวดบวมตามข้อ
ระบบหายใจ: บรรเทาอาการหลอดลมอักเสบ
ระบบย่อยอาหาร: บรรเทาอาการปวดท้อง, ท้องร่วง, ฆ่าเชื้อบิด, ช่วยย่อยอาหาร, บรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ
ผิวหนัง: บรรเทาอาการของโรคผิวหนัง กลาก เกลื้อนและแก้ลมพิษ
ช่องปาก: บรรเทาอาการปวดฟัน

 
   
   ยูคาลิปตัส :Eucalyptus
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Eucalyptus globules
วงศ์ : Myrtaceae
ส่วนที่ใช้ : ใบ
กลิ่น : สดชื่น
อารมณ์ : -
ส่วนประกอบทางเคมี : analgesic, antibacterial, antfungal, anti-rheumetic, antiviral, decongestant, expectorant, stimulent.
คุณสมบัติ : -

สรรพคุณ





 
   
   มะลิลา : Jasmine
ชื่อวิทยาศาสตร์: Jasminum Grandiflorum
วงศ์: Oleaceae
มะลิลาคนทั่วไปรู้จักมากกว่ามะลิซ้อน มีกลิ่นที่หอมหวาน นุ่มนวล ตามประเพณีนิยมใช้มะลิในการบูชาพระ เนื่องจากมีกลิ่นหอม และกลิ่นที่หอมนี้จึงนิยมใช้ในการผลิตเครื่องหอม
ส่วนที่ใช้ : ดอก
กลิ่น : หอมหวาน นุ่มนวล และอบอุ่น
อารมณ์ : ผ่อนคลาย, อ่อนโยน, ทำให้อารมณ์ดีขึ้น
ส่วนประกอบทางเคมี : asmone, benzl acelate, benzl alcohol, indol, linalool, linalyl acetate, phenylacetic acid, methyl jasmonate.
คุณสมบัติ : บรรเทาปวด, ต้านอาการซึมเศร้า, ต้านอาการอักเสบ, ต้านอาการคัดหลั่งน้ำนม, ป้องกันเชื้อจุลินทรีย์, บรรเทาหรือป้องกันการหดเกร็งหรือชักกระตุก, กระตุ้นการกำหนัด

สรรพคุณ
ระบบทางเดินหายใจ : บรรเทาอาการหวัดน้ำมูกไหลออกมาก และอาการไอ
ระบบย่อยอาหาร : ช่วยขับลม
จิตใจ / อารมณ์ : ช่วยให้ผ่อนคลาย, ทำให้เบิกบานใจ, หลับง่าย, อบอุ่น และบรรเทาอาการต่างๆ ดังนี้ ความกังวล, ความเฉยเมย, ความหดหู่, ความเหน็ดเหนื่อย, อาการเย็นชา, ความอ่อนแอ, ความเฉื่อยชา, ความกังวลใจ, ความกดดัน, ความตรึงเครียด
กล้ามเนื้อ : บรรเทาอาการกล้ามเนื้อกระตุก, เคล็ด, ปวดตามเนื้อตามตัว
อวัยวะสืบพันธุ์ : บรรเทาอาการผิดปกติของมดลูก, ภาวะประจำเดือนหมด และปวดประจำเดือน
ฮอร์โมน : สร้างความสมดุลของฮอร์โมนเพศหญิง
ผิว : สร้างความสมดุลให้กับผิว, ทำให้ผิวอ่อนนุ่ม, ผิวหนังอักเสบ, ช่วยดูแลสำหรับผิว แห้ง, ผิวไวต่อความรู้สึก, ผิวแพ้ง่าย)
 
   
   มะกรูด: Kaffir Lime
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Citrus hystrix DC.
วงศ์ : Rutaceae
มะกรูดเป็นสมุนไพรที่คนทั่วโลกรู้จัก ซึ่งเป็นส่วนประกอบในอาหารของทุกชาติรวมถึงเครื่องดื่มและ อุตสาหกรรม ความหอม ผู้ที่ได้สัมผัสกลิ่นจากมะกรูดชวนให้เกิดความอยากอาหาร มะกรูดเจริญเติบโตได้ดีที่สุด ในพื้นที่เขตร้อน ซึ่งมีแสงอาทิตย์เพียงพอ
ใบมะกรูด มีประโยชน์ทางด้านยา และทางเอเชียตะวันออกมักใช้ประกอบอาหาร เช่น อินโดนีเซีย ไทย มาเลเซีย ใบมะกรูดมีสีเขียวเข้ม มันวาว กลางใบมีแกนกลางแบ่งเป็นสองส่วน ใบมะกรูดเป็นส่วนประกอบในอาหาร ไทยมากมาย เช่น แกง อาหารประเภทยำ ผัดเผ็ด และมีตะไคร้ น้ำมะนาวเป็นส่วนประกอบในต้มยำ ซึ่งเป็นซุปที่มี คุณค่าทางอาหาร อย่างครบถ้วน
ส่วนที่ใช้ : ผล
กลิ่น : สดชื่น
อารมณ์ : กระปรี้กระเปร่า
ส่วนประกอบทางเคมี : -pinene, citronellal, terpines-4-ol, citronellol, citronellyl acetate, geranial, geranial acetate, and neral.
คุณสมบัติ : ระงับกลิ่น ยับยั้งเชื้อรา กระตุ้นความอยากอาหาร สมานแผล ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย กล้ามเนื้อกระตุก บรรเทาอาการบวม ฆ่าเชื้อโรค ความดันโลหิตต่ำ

สรรพคุณ
จิตใจ / อารมณ์ : บรรเทาความหดหู่ ทำให้มีความกระตือรือร้น
ระบบย่อยอาหาร : บรรเทาอาการคลื่นเหียน
ระบบหายใจ : ช่วยระบบหายใจให้เป็นปกติ
ระบบหมุนเวียนโลหิต : ช่วยกระตุ้นระบบการหมุนเวียนโลหิตให้ดีขึ้น
 
   
   จำปี: White Champaka
ชื่อวิทยาศาสตร์: Michelia alba DC.
วงศ์: Magnoliaceae
จำปีเป็นต้นไม้ขนาดเล็กถึงขนาดกลางความสูงประมาณ 10-15 ฟุต ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ กลีบดอกยาวและแคบ สีเหลือง และมีกลิ่นหอมแรง ใช้ทำอุบะ ห้อยชายพวงมาลัย และใช้บูชาพระ ลักษณะกลิ่นหอมหวานจากเสน่ห์ของ ความหอม นี้มักใช้ผสมในน้ำหอม
ส่วนที่ใช้ : ดอก
กลิ่น : หอมเย็น
ส่วนประกอบทางเคมี : alpha-myrcene, (S)-limonene, (R)-fenchone, linalool, camphor, caryophyllene, germacrene D.
สรรพคุณ
ระบบระบบหัวใจ : มีสรรพคุณทางยาในการนำเอามาบำรุงหัวใจ
ร่างกายและจิตใจ : แก้อาการอ่อนเพลียละเหี่ยใจ
ระบบการหมุนเวียนโลหิต : ช่วยระบบการหมุนเวียนโลหิตได้ดี
 
 
 
     
   
  Copyright © 2005 NCO-Project.com. All rights reserved



โครงการวิจัยร่วม สมุนไพรไทย เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต และสวัสดิการชั้นผู้น้อย
(Research and development quality of life for Non Commission Officer Welfare Project)
http://www.nco-project.com/about_us.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-08-2006, 19:20 โดย 999 » บันทึกการเข้า

ใบไม้ทะเล
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,321


In politics stupidity is not a handicap


« ตอบ #189 เมื่อ: 10-08-2006, 19:16 »

เด๋วจะอ่านเรื่อยๆๆนะค่ะ ตอนนี้ทำความเข้าใจกับระบบประสาทที่รับความรู้สึกของกลิ่นก่อน

แปลกนะค่ะ เขาบอกว่าเซลล์สมอง สามารถแยกกลิ่นออกได้ 10,000 กลิ่น แต่ในความเป็นจริง เราแยกไมได้ถึงหรอกค่ะ หนูเชื่ออย่างงั้น 
 บางทีเซลล์อาจจะทำหน้าที่รับความรู้สึกแต่ ไม่สารมรถส่งผ่าข้องมูล ให้สมองแยกแยะได้ บางทีนะค่ะ หนูคิดงั้น
บันทึกการเข้า

立てばしゃくやく、座ればぼたん、歩く姿はゆりの花
999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #190 เมื่อ: 10-08-2006, 19:26 »

เด๋วจะอ่านเรื่อยๆๆนะค่ะ ตอนนี้ทำความเข้าใจกับระบบประสาทที่รับความรู้สึกของกลิ่นก่อน

แปลกนะค่ะ เขาบอกว่าเซลล์สมอง สามารถแยกกลิ่นออกได้ 10,000 กลิ่น แต่ในความเป็นจริง เราแยกไมได้ถึงหรอกค่ะ หนูเชื่ออย่างงั้น 
 บางทีเซลล์อาจจะทำหน้าที่รับความรู้สึกแต่ ไม่สารมรถส่งผ่าข้องมูล ให้สมองแยกแยะได้ บางทีนะค่ะ หนูคิดงั้น


ที่นั่นกี่โมงแล้วครับ ดูนาฬิกาเทียบเวลา แล้วกดโพสต์ได้เลยครับ...
บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #191 เมื่อ: 10-08-2006, 19:27 »




เดี๋ยวมาคุยต่อครับ... Cool
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-08-2006, 19:36 โดย 999 » บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #192 เมื่อ: 10-08-2006, 20:12 »



กลิ่นปาก  ใครว่าไม่สำคัญ


กลิ่นปากหรือปากเหม็น หรือลมหายใจไม่สะอาด หากเกิดขึ้นกับใครก็ทำให้ขาดความมั่นใจ จะปรึกษาใครก็รู้สึกเป็นสิ่งน่าอาย บทความนี้อาจจะช่วยให้ท่านลดกลิ่นปาก ตำแหน่งที่เกิดกลิ่นปากมากที่สุดคือลิ้นเนื่องจากผิวลิ้นหยาบ ดังนั้นหากเกิดกลิ่นปากลองทำความสะอาดลิ้นก่อนเป็นอันดับแรก

กลไกการเกิดกลิ่นปาก
• เกิดจากเชื้อแบคทีเรียในปากตายทำให้เกิดสาร sulfur ออกมาจึงเกิดกลิ่น
• แบคทีเรียสลายอาหารที่อยู่ในปาก
• น้ำลายลดลงทำให้เชื้อแบคทีเรีย หรืออาหารไม่ถูกชะล้าง

สาเหตุ
• การไม่ดื่มน้ำหรือไม่รับประทานอาหาร ทำให้แบคทีเรียไม่ถูกชะล้างจึงเกิดกลิ่นปาก
• โรคฟัน เช่นฟันผุ สุขลักษณะช่องปากไม่ดี มีการขังของเศษอาหารในช่องปาก
• กลิ่นจากอาหารที่รับประทานเข้าไป เช่นกาแฟ สุรา หอมใหญ่ กระเทียม พริก บุหรี่
• หายใจทางปากเนื่องจากเป็นหวัด
• โรคระบบทางเดินหายใจ เช่นผีในปอด ไซนัสอักเสบ คออักเสบ เป็นต้น
• โรคบางชนิดเช่น โรคไต โรคตับ

การทดสอบกลิ่นปาก
ล้างข้อมือด้วยสบู่ให้สะอาดแล้วล้างน้ำจนสะอาด ใช้ผ้าสะอาดเช็ดให้แห้ง เลีย 4 ครั้งหลังจากนั้น 30 นาทีให้ดมว่ามีกลิ่นหรือไม่

การดูแลรักษา
• ให้รับประทานอาหารครบ 3 มื้อทุกวัน
• ให้ดื่มน้ำมะนาวซึ่งจะเพิ่มปริมาณน้ำลาย
• ให้ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว
• เคี้ยวหมากฝรั่งหรืออมลูกอมระหว่างมืออาหาร
• แปรงฟันหลังอาหารทุกครั้ง และให้แปรงลิ้น
• ใช้ Dental flossing
• หากแปรงเสียให้เปลี่ยนแปรง

ถ้าอาการไม่ดีภายหลังจากได้ปฏิบัติแล้ว 10 วันให้ปรึกษาทันต์แพทย์ หรือแพทย์ของท่าน



By : โดเรมอน    Date : 3 Nov 2005 15:17   
บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #193 เมื่อ: 10-08-2006, 20:14 »




"รูป-รส-กลิ่น-เสียง-สัมผัส" แบบไทยที่ฝรั่งชอบ
[Update 15 ก.ค. 2548]
ภัทริน ซอโสตถิกุล

ด้วยนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวและการส่งออกของไทย ด้วยการชูจุดขายด้านวัฒนธรรมประเพณีรวมไปถึงฝีมือการออกแบบอันทรงคุณค่าที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย ไม่ว่าจะเป็น แฟชั่น ร้านอาหาร สปา และศิลปหัตถกรรม ภูมิปัญญาชาวบ้านในนาม OTOP เป็นต้น

ในครั้งนี้ ดิฉันจึงทำการรวบรวมเทรนด์ดีไซน์แบบไทย อันมีเอกลักษณ์ที่เลิศด้วยรสนิยมให้ชาวต่างชาติที่ได้พบเห็นหรือสัมผัสมีความประทับใจไม่รู้ลืม โดยขอนำเสนอผ่าน "รูป-รส-กลิ่น-เสียง-สัมผัส" ดังนี้

รูป

ด้านสีสัน นิยมสีสันที่ร้อนแรงแบบตะวันออก มี Contrast ที่ค่อนข้างสูง เช่น สีม่วงตัดกับสีส้ม สีเขียวน้ำทะเลตัดกับสี Hot Pink เป็นต้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ งานดีไซน์ที่ Re-image แบรนด์ใหม่ของบริษัทการบินไทย หรืองานดีไซน์คอลเลคชั่นใหม่ของแม่ฟ้าหลวงหรือ Jim Thompson เป็นต้น

ด้าน Pattern ยังคงเลือกใช้องค์ประกอบแบบไทย เช่น ลายกนก ลายดอกพิกุล ลายสาน ลายอุบะ เป็นต้น แต่นำมาลดทอนรายละเอียดลงให้ Minimal มากขึ้น คือทอนรายละเอียดเหลือเพียง 10-30 เปอร์เซ็นต์จากลวดลายเดิม โดยยังคงกลิ่นอายของไทยและมีความทันสมัยแบบตะวันตกในขณะเดียวกัน

รส

อาหารไทย กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากขึ้นเรื่อย ๆ ในต่างประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในแถบอเมริกาและยุโรป อาจเนื่องด้วยนโยบายส่งเสริมส่งออกอาหารไทยและนโยลายช่วยเหลือนักลงทุนไทยรายย่อยในต่างแดน ดิฉันคุ้นเคยกับเจ้าของร้านอาหารไทยรายใหญ่ในอเมริกา ทราบว่ารสชาติของอาหารไทยสำหรับฝรั่งในวันนี้ ต่างจากเมื่อก่อนมากนัก คือฝรั่งจะมีความคุ้นเคยกับอาหารไทยมากขึ้น สามารถทานอาหารที่มีรสจัดแทบจะใกล้เคียงกับ คนไทยทีเดียว นอกจากนี้ การสร้างความแตกต่างทางการตลาด อีก ประการหนึ่งที่จะทำได้คือ เทรนด์ไทยประยุกต์หรือ Thai Fusion เช่น พล่าเนื้อแกะ กุ้ง Lobster อบสมุนไพรไทย เป็นต้น

กลิ่น

กระแส Thai Herb Aromatherapy ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง และจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดของผู้ประกอบวิชาการชาวไทยทางด้านนี้ คงอยู่ที่ว่าใครจะนำเสนอมูลค่าเพิ่มใน Product ได้ มากกว่ากัน เช่น ดีไซน์ภาชนะที่แตกต่าง หรือ กลิ่นใหม่ในตลาดที่มีคุณสมบัติพิเศษ เป็นต้น

เสียง

ดนตรีแบบไทยในแนวการฝึกสมาธิ หรือ Meditation ที่ใช้เครื่องเล่นจำนวนน้อยชิ้นและเน้นทำนองธรรมชาติ กำลังมาแรงอยู่ในเทรนด์ แทนแนวดนตรีแบบไทยเดิมที่ปัจจุบัน ไม่ค่อยได้พบในร้านอาหารไทยแนวสมัยใหม่มากนัก

สัมผัส

Thai Spa เป็นจุดขายทางด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยได้อย่างดีเยี่ยม สปาที่ฝรั่งนิยมไปจะมี 2 แบบ คือ แบบแรกเป็น Luxurious Spa คือ สปาแบบห้าดาวที่มีการตกแต่งและการบริการชั้นเยี่ยม มีฝีมือการนวนที่ใช้ได้ ชาวต่างชาติยินทีที่จะจ่ายในราคาสูงลิบลิ่ว เพื่อแลกกับThai Experience ที่มีสเนห์และน่าประทับใจ กับอีกสไตล์หนึ่ง คือ Budget Spa เน้นที่ฝีมือการนวดเป็นหลักและราคาถูก ไม่เน้นดีไซน์สถานที่แต่ขอให้สะอาด ส่วนสปาที่อยู่ระดับกลาง ๆ ระหว่างสปา 2 ประเภทนี้ น่าจะเป็นอะไรที่มีจุดขายด้านการตลาดน้อยกว่า และจะลดจำนวนลงเรื่อย ๆ ค่ะ

จาก "รูป-รส-กลิ่น-เสียง-สัมผัส" แบบไทยที่ฝรั่งชอบ จะสามารถนำรายได้เข้ามาให้กับชาวไทยได้ เพิ่มมากขึ้นแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับการประสานพลังด้านการออกแบบ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ บวกการตลาดที่แข็งแกร่งทั้งของภาครัฐ องค์กรและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง ว่าจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์และบริการแบบไทยก้าวขึ้นมาสู่แถวยหน้าของตลาดโลกได้หรือไม่ คงต้องติดตามต่อไปค่ะ

www.bangkokbizweek.com/20050703/property/index.php-news=column_18023498.html
บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #194 เมื่อ: 10-08-2006, 20:21 »

ฟังเพลงพร้อมอ่านไปด้วยก็ได้ครับ

http://www.junjan.com/wma/thai/vampires513/10/02.wma


..........................................


หรือจะชมวิดีโอ ก็ได้ครับ

Tuesday, 09 May 2006 
"กลิ่น"

     เรื่องของ "ก้อย" สาวสวยที่ความสวยของเธอต้องตกอยู่ในมุมอับของชีวิต เนื่องจากการที่เธอมีกลิ่นเท้าที่เหม็นมาก เธอพยายามหลบซ่อนมันไว้ภายใต้รองเท้าหนังหุ้มมิดชิดเพื่อให้กลุ่มเพื่อนไม่หนีห่างจากเธอ แต่แล้วความสุขความเพลิดเพลินก็พาเธอลืมตัวเผลอถอดรองเท้าขึ้นมาในท่ามกลางเพื่อนกลุ่มใหญ่ คราวนี้เธอได้บทเรียนที่ช่วยให้เธอไม่ต้องหลบซ่อนกลิ่นเท้าที่เหม็นอีกต่อไป ส่วนจะคืออะไรมาร่วมกันลุ้นและเรียนรู้ไปด้วยกันกับก้อย

โดย ๑) นายปฏิพล ยอดสุรางค์   ๒) น.ส. คัทลียา วิศาลวิทย์
๓) นายยิ่งยง ปุณโณปถัมภ์

คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

   
 
  "ผู้ชายเท้าเหม็นเป็นเรื่องธรรมดา พอผู้หญิงเท้าเหม็นกลับเป็นตัวประหลาด"
  “เพื่อนคนหนึ่งไปหอสมุดกลางของจุฬาฯ ถอดรองเท้าออกมาแล้วมันมีกลิ่นจึงจุดประกายนี้ขึ้นมา”
  “ผมก็มีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่เท้าเหม็นเหมือนกัน พูดง่ายๆคือผู้ชายเท้าเหม็นเป็นเรื่องธรรมดา พอผู้หญิงเท้าเหม็นกลับเป็นตัวประหลาด มันเป็นเรื่องของสังคมที่เอาคนหมู่มากตัดสินคนหมู่น้อย”
  “อยากให้ปรับใจยอมรับกับสิ่งที่มันควรจะเป็น เหมือนคนที่เป็นเกย์ เป็นกระเทย อย่ากีดกันเขา”

 
http://www.aidsaccess.com/07/Movie/sf1.09.wmv


Copyright © 2005 Aidsaccess.com All Right Reserved. 
มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ 48/282 โครงการเซ็นเตอร์เพลส ถนนรามคำแหง (สุขาภิบาล3) สะพานสูง กรุงเทพฯ 10240
โทรศัพท์ 0-2372-2113-4 โทรสาร 0-2372-2116
งานบริการให้คำปรึกษา : 0-2372-2222
accessbk@aidsaccess.com

http://www.aidsaccess.com/07/index.php?option=com_content&task=view&id=156&Itemid=48



หมายเหตุ เรื่องเพศที่3ผม(999) ไม่เห็นด้วยครับ ยอมรับ แต่ถือว่า ต้องบำบัดนะคร๊าบ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-08-2006, 20:26 โดย 999 » บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #195 เมื่อ: 10-08-2006, 20:29 »




 สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในห้องนอน (แสง เสียง กลิ่น)


หมวด : ตกแต่งบ้าน   
     



แสงในห้องนอน

การจัดแสงสว่างในห้องนอน ควรคำนึงถึง ความสมบูรณ์ ของการใช้สอยด้วย แม้ว่า บรรยากาศ โดยรวมของห้องนอน น่าจะเป็นแสงที่ นุ่มนวล อบอุ่น ชวนให้พักผ่อน โดยอาจติดตั้ง โคมไฟหลุม แบบฝังในฝ้า แต่ก็ต้องจัด โคมไฟ ที่ให้ แสงสว่างเพิ่ม ในจุดที่ต้องการด้วย เช่น ไฟอ่านหนังสือ ที่ หัวเตียง หรือที่โซฟามุมห้อง หรือที่ โต๊ะเครื่องแป้ง และมุมแต่งตัว เป็นต้น

หลอดไฟในห้องนอน ควรให้แสงสีนวล จะสบายตากว่า หลอดฟลูออเรสเซนต์ ถ้าต้องการให้ ห้องดูสว่างไสว อย่างนุ่มนวล ก็อาจใช้วิธี ติดโคมไฟเฉพาะจุด ให้สะท้อน จากผนังออกมา ให้แสงสว่างทั้งห้อง ก็ได้

สำหรับผู้ที่ชอบ แสงไฟที่มีสีสรร ก็อาจเลือก ประดับโคมไฟ ที่ให้สีสรร และลำแสง ที่แปลกออกไป แต่ก็ควรคำนึงว่า แสงสีแดง จะให้ความรู้สึก ร้อน รุนแรง และรุกรานได้ ในขณะที่ แสงสีเขียว ก็อาจ ก่อให้เกิด ความรู้สึกอึกอัด หดหู่ เหี่ยวเฉา หรือ สร้างบรรยากาศ ที่น่าสะพรึงกลัว ได้เช่นเดียวกับ แสงสีน้ำเงิน แสงที่มีสีสรร อาจจะดูดี เมื่อส่องไปที่ เฟอร์นิเจอร์ หรือผนังห้องก็จริง แต่มักจะก่อปัญหา ในยามที่แสงนั้น ส่องไปโดนคน เพราะจะเปลี่ยน รูปลักษณ์ของ คนคนนั้นไปจากปกติ ในทันทีที่โดนแสง

เสียงในห้องนอน
ห้องนอน ควรเป็นห้องที่ เงียบสงัดที่สุด ในบ้าน แม้เมื่อเปิดหน้าต่าง ก็ไม่โดนรบกวน จากเสียงภายนอก มากนัก เพื่อให้ คุณนอนหลับสบาย ได้ตลอดคืน บางคน ชอบที่จะ ตื่นเช้าขึ้นมา พร้อมๆ กับ เสียง นกร้อง หรือไก่ขัน แต่บางคน ก็แทบจะ ทนเสียง เหล่านั้น ไม่ได้เลย ในกรณีที่ อยู่ใน สิ่งแวดล้อมที่ จอแจ ก็อาจจำเป็นต้อง ปิดกระจก และใช้ เครื่องปรับอากาศ บางคนนิยม ติดตั้ง เครื่องเสียง ไว้ในห้องนอน เพื่อเปิดฟัง ในยามพักผ่อน แต่ก็ควร คำนึงถึง ผู้ที่นอนร่วมห้องด้วย อย่าให้เป็นการ รบกวน อีกฝ่ายหนึ่ง

ควรสังเกตด้วยว่า ของใช้บางอย่าง ในห้องนอน ก่อให้เกิด เสียงรบกวน ที่น่ารำคาญ จนคุณ นอนหลับไม่เป็นสุข บ้างหรือเปล่า เช่น นาฬิกาหัวเตียง ที่เดินดังเกินปกติ หริอตีบอกเวลา ทุกชั่วโมง หรือเสี้ยวชั่วโมง เตียงนอน หรือที่นอน ที่ส่งเสียง เอี๊ยดอ๊าดทุกครั้ง ที่คุณขยับตัว เครื่องปรับอากาศ ที่ส่งเสียงกระหึ่ม ผิดปกติ หรือมีการสตาร์ท ดังเป็นระยะๆ สิ่งเหล่านี้ แก้ไขได้ และจะช่วยให้ คุณหลับเป็นสุข ยิ่งขึ้น

กลิ่นในห้องนอน

ห้องนอน ควรอยู่ห่างจาก ห้องครัว เพื่อกันไม่ให้ กลิ่นอาหาร เข้าไปรบกวน ผู้นอน และไปเกาะติด อยู่ตาม ที่นอน หมอน ผ้าห่ม ขณะเดียวกัน ห้องนอน ที่มี ห้องน้ำในตัว หรืออยู่ติดกับ ห้องน้ำ ก็ควรวางแผน การระบายอากาศ ให้ดี อย่าให้มีกลิ่น ไม่พึงประสงค์ ไปรบกวน ในห้องนอนได้

บางคน ชอบให่มีกลิ่นดอกไม้หอมๆ ในห้องนอน จึงเลือกปลูกต้นไม้ ที่ให้ดอกไม้หอม ไว้ริมหน้าต่าง หรือบนระเบียง บางคนเลือกใช้ กลิ่นหอม ที่ให้ความรู้สึก ผ่อนคลายในยามพักผ่อน ก็อาจใช้ เครื่องหอม ประเภท ดอกไม้แห้งอบหอม หรือน้ำมันหอม ประดับตกแต่ง ไว้ตามมุมต่างๆ

ข้อสำคัญก็คือ อย่าให้ห้องนอน มีกลิ่นอับชื้น เป็นอันขาด เพราะจะกดดัน ให้ผู้นอน รู้สึกอึดอัด ถูกบีบคั้น และหลับไม่เป็นสุข ฝันร้ายบ่อยๆ และอาจ ก่อให้เกิด โรคภูมิแพ้ได้ สาเหตุของ กลิ่นอับชื้น อาจจะ มาจาก เครื่องนอนที่ใช้ ผ้าม่าน พรมปูพื้น ไม่สะอาดพอ นอกจากจะต้อง คอยดูแล รักษา ความสะอาดแล้ว ยังต้อง คอยเปิดหน้าต่าง ประตู ระบายอากาศ และเปิด ให้ แสงแดด ส่องเข้ามา อย่างสม่ำเสมอ การเลือกใช้ เครื่องนอน ก็ควรเลือกใช้ ที่มีคุณภาพดี และ ทำความสะอาด ได้บ่อยๆ




 
ที่มา: www.sleepbest.com
 
บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #196 เมื่อ: 10-08-2006, 20:32 »


กลิ่น lavender


กลิ่น Lavender เป็นน้ำมันหอมระเหยได้มาจากส่วนดอกของ ต้นพืชสกุล Lavandula เป็นพืชล้มลุก พบทางยุโรป อเริกา
สรรพคุณ ใช้แต่งกลิ่น มีส่วนทำให้ขับลม

กลิ่น Lavender เป็นกลิ่นที่อยู่ในน้ำมัน Lavender ได้จากการกลั่นด้วยไอน้ำจากดอก lavender (มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Levendula angustifolia และ Lavendula officinalis) ต้นลาเวนเดอร์ปลูกโดยทั่วไปฝรั่งเศส บัลแกเรีย อังกฤษ และอเมริกา ดอกมีสีม่วง

สรรพคุณของน้ำมันลาเวนเดอร์ มีฤทธิ์เป็น antibacterial, anticonvulsive, antidepressant, antiinflammatory, analgesic, antirheumatic, antispasmodic,

ในปัจจุบันน้ำมันหอมระเหยจากดอกลาเวนเดอร์นั้นนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของน้ำหอมและนำมาใช้ในแง่ aromatherapy
บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #197 เมื่อ: 10-08-2006, 20:54 »

เกรเดียนท์(Gradient) และอัตรา (Rate)


หลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าวถึงภูเขาสูงชันมีเกรเดียนท์ของความสูงมาก กระแสลมแรงเพราะมีเกรเดียนท์ของความดันอากาศสูง กลิ่นน้ำหอมกระจายไปทั่วบริเวณจนรู้สึกหอมฉุนเพราะมีเกรเดียนท์ของความเข้มข้นของน้ำหอมสูง ในทางตรงกันข้าม เนินเขาที่มีความลาดชันต่ำย่อมแสดงว่ามีเกรเดียนท์ของความสูงน้อย กระแสลมอ่อน ๆ แสดงว่ามีเกรเดียนท์ของความดันอากาศน้อย และกลิ่นน้ำหอมที่กระจายไปทั่วบริเวณจนรู้สึกหอมจาง ๆ แสดงว่ามีเกรเดียนท์ของความเข้มข้นของน้ำหอมน้อย จากสิ่งที่กล่าวมานี้สามารถนิยามคำว่า เกรเดียนท์ ได้ดังนี้

เกรเดียนท์ของปริมาณใด ๆ คือ อัตราส่วนระหว่างปริมาณที่เปลี่ยนแปลงต่อระยะทางที่เปลี่ยนแปลงไป 




เมื่อ  H  =  ระดับความสูงของพื้นที่ 
 P  =  ความดันอากาศ 
 C  =  ความเข้มข้นของน้ำหอม 
 S  =  ระยะทาง 


เกรเดียนท์ที่มีค่าเป็นบวก แสดงว่ามีปริมาณเพิ่มขึ้นเมื่อระยะทางเพิ่มขึ้น เช่น ความดันอากาศที่กรุงเทพฯ 1,000 มิลลิบาร์ และความดันอากาศที่เชียงใหม่ 1,007 มิลลิบาร์ ระยะทางจากกรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่ 700 กิโลเมตร เกรเดียนท์ของความดันอากาศระหว่างกรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่ คำนวณได้ดังนี้ 

G.P B-->C  =  (1007 - 1000) / (700-0) 
 =  7/700 
 =  1/100 มิลลิบาร์/กิโลเมตร 



หมายความว่า เกรเดียนท์ของความดันอากาศระหว่างกรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่มีค่าเพิ่มขึ้น 1 มิลลิบาร์ ต่อระยะทางที่เพิ่มขึ้น 100 กิโลเมตร

ในทางตรงกันข้ามเกรเดียนท์ที่มีค่าเป็นลบ แสดงว่ามีปริมาณลดลงเมื่อระยะทางเพิ่มขึ้น เช่น เกรเดียนท์ของความดันอากาศระหว่างเชียงใหม่ถึงกรุงเทพฯ คำนวณได้ดังนี้ 

G.P C-->B  =  (1000 - 1007)/(700-0) 
 =  -7/700 
 =  -1/100 มิลลิบาร์/กิโลเมตร 



หมายความว่า เกรเดียนท์ของความดันอากาศระหว่างเชียงใหม่ถึงกรุงเทพฯ มีค่าลดลง 1 มิลลิบาร์ต่อระยะทางที่เพิ่มขึ้น 100 กิโลเมตร

ในกรณีเกรเดียนท์ของระดับความสูง ก็เช่นเดียวกันกับเกรเดียนท์ของความดันอากาศ เกรเดียนท์จากระดับความสูงที่สูงมากลงมายังระดับความสูงที่น้อยกว่าจะมีค่าติดลบ ซึ่งในทางตรงกันข้ามเกรเดียนท์จากระดับความสูงน้อยขึ้นไปยังระดับความสูงที่สูงกว่าจะมีค่าเป็นบวก

เกรเดียนท์ของความเข้มข้นของน้ำหอมเป็นบวกเมื่อคิดจากบริเวณที่มีกลิ่นหอมน้อยไปยังบริเวณที่มีกลิ่นหอมมาก และเกรเดียนท์ของความเข้มข้นของน้ำหอมมีค่าติดลบเมื่อคิดจากบริเวณที่มีกลิ่นหอมมากไปยังบริเวณที่มีกลิ่นหอมน้อยกว่า

เกรเดียนท์ของปริมาณใด ๆ ต่อระยะทางที่เพิ่มขึ้นสั้นมาก ๆ จนเกือบเป็นจุด เรียกว่า อนุพันธ์เทียบกับระยะทาง (Derivative with respect to distance) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของปริมาณใด ๆ ณ ตำแหน่งนั้นต่อระยะทางที่เปลี่ยนแปลงไปสั้นมากจนเกือบเป็นจุด



ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงปริมาณใด ๆ ต่อเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป กรณีนี้จะไม่เรียกว่า เกรเดียนท์ แต่เรียกว่า อัตรา (Rate) เช่น การเดินทางระหว่างกรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่ โดยรถยนต์จะใช้เวลา 7 ชั่วโมง อัตราการเปลี่ยนแปลงระยะทางต่อเวลา 

(S2-S1) / (t2-t1)  =  (700-0)/(7-0) 
 =  100 กิโลเมตร/ชั่วโมง 



เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงระยะทางที่เป็นช่วงยาวไม่เป็นจุด เช่นเดียวกันกับการเปลี่ยนแปลงเวลาที่เป็นช่วงยาวถึง 7 ชั่วโมง มิใช่การเปลี่ยนแปลงที่เวลาใดๆ จึงเรียกว่า อัตราการเปลี่ยนแปลงระยะทางต่อเวลาของการเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่นี้ว่าอัตราเร็วเฉลี่ย

อัตราการเพิ่มขึ้นของความดันอากาศที่เชียงใหม่เพิ่มขึ้นจาก 1,0007 มิลลิบาร์ เป็น 1,021 มิลลิบาร์ ตั้งแต่เวลา 19:00 นาฬิกา ถึงเวลา 21: 30 นาฬิกา หมายถึง อัตราเฉลี่ยของการเพิ่มขึ้นของความดันอากาศที่จังหวัดเชียงใหม่ 

=  (1,021 - 1,007) / (21:30 - 19:00) 
=  14 มิลลิบาร์ / 3.5 ชั่วโมง หรือเท่ากับ 4 มิลลิบาร์ต่อชั่วโมง 



ในกรณีนี้เป็นการเพิ่มขึ้นเฉลี่ย เนื่องจากในช่วงแรกอาจมีการเพิ่มขึ้นมากแล้ว เพิ่มขึ้นน้อยลงในช่วงหลัง หรืออาจมีการเพิ่มขึ้นเท่ากันตลอดเวลา หรือมีการเพิ่มขึ้นในช่วงแรกน้อย แต่เพิ่มขึ้นในช่วงหลังมากก็ได้

ถ้าต้องการทราบว่าอัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณใดๆ ขณะนั้นเป็นเท่าใด ช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปจะต้องสั้นมากจนเกือบเป็นศูนย์ เรียกการเปลี่ยนแปลงเทียบกับเวลาที่สั้นมากนี้ว่า อนุพันธ์เทียบกับเวลา (derivative with respect to time)



การเปลี่ยนแปลงของปริมาณใดๆ เฉพาะตำแหน่งที่กำหนด เมื่อเวลาเปลี่ยนแปลงน้อยมาก เรียกว่า อนุพันธ์เทียบกับเวลาหรืออัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณตามเวลา ณ ตำแหน่งที่กำหนด การเปลี่ยนแปลงของปริมาณใดๆ เฉพาะเวลาที่กำหนดเมื่อตำแหน่งเปลี่ยนแปลงน้อยมาก เรียกว่า อนุพันธ์เทียบกับระยะทางหรือเกรเดียนท์ของการเปลี่ยนแปลงปริมาณจามระยะทาง ณ เวลาที่กำหนด 



--------------------------------------------------------------------------------
ที่มา: เอกสารประกอบการสอน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 2542, วิชาบูรณาการ
หมวดการศึกษาทั่วไป รหัสวิชา 999211 คณิตศาสตร์และคอมพิวเตอร์ในชีวิตประจำวัน 

http://www.school.net.th/library/snet2/knowledge_math/gradrate/gradrate.htm
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

วิธีการกำจัดกลิ่นด้วยอีเอ็ม


EM กำจัดกลิ่นได้อย่างหมดจด โดยไม่มีสารตกค้าง

อีเอ็มจะกำจัดกลิ่นหรือดับกลิ่นได้แทบทุกชนิด ยกเว้นกลิ่นที่เกิดจากสารเคมี ( อีเอ็มไม่สามารถย่อยสลายสารเคมีได้ ) ดังนั้นการใช้อีเอ็มกำจัดกลิ่นจึงไม่ควรใช้ร่วมกับสารเคมีใดๆ เพราะจะทำให้อีเอ็มตายหรือเสื่อมสลายไปได้ จุลินทรีย์อีเอ็มเป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่มีประโยชน์ต่อทั้งพืชและสัตว์รวมไปถึงการรักษาสิ่งแวดล้อม ปลอดภัย 100% ไม่มีอันตรายใดๆต่อพืชและสัตว์ทุกชนิด ไม่มีสารเคมีเจือปน อีเอ็มไม่ต้องการอากาศ ดังนั้นหลังการใช้อีเอ็มทุกๆครั้งต้องรีบปิดฝาให้สนิททันที ใช้ในแต่ละครั้งพอประมาณตามที่ต้องการ และส่วนที่นำออกมาใช้งานควรใช้ให้หมดในคราวเดียวกัน การเก็บอีเอ็มควรเก็บให้ห่างจากแสงแดด อุณหภูมิที่ 30 – 45 องศาเซลเซียส กรณีอีเอ็มบรรจุอยู่ในขวดและทำให้ขวดบรรจุบวม ( ก๊าซที่เกิดจากการทำปฏิกิริยาของอีเอ็ม ) วิธีแก้ไขคือคลายฝาขวดเล็กน้อย เพื่อระบายก๊าซออก เสร็จแล้วให้หมุนกลับทันที ( ปิดฝาขวด )

วิธีการใช้อีเอ็มกำจัดกลิ่นเน่าเสีย กลิ่นเหม็น กลิ่นคาว กลิ่นสาบ ฯลฯ จากสิ่งปฏิกูลต่างๆ

1 ) จากมูลสัตว์ กลิ่นปัสสาวะจากฟาร์มสัตว์เลี้ยง เช่น ฟาร์มสุนัข ฟาร์มสุกร ฟาร์มโคกระบือ ฯลฯ

วิธีการ : การใช้ในครั้งแรก นำ EM สดแบบเพียวๆโดยไม่ผสมน้ำ เทลงในบัวรดน้ำ ( บัวรดน้ำต้นไม้ ) หรือถังสำหรับฉีดพ่นต่างๆ แต่ต้องล้างให้สะอาดก่อน ระวังอย่าให้มีสารเคมีตกค้าง ( เพราะจะไปทำลายอีเอ็ม ) หลังจากนั้นก็นำอีเอ็มไปรดหรือฉีดพ่นลงบนพื้นที่มีมูลสัตว์หรือบริเวณที่มีกลิ่นเน่าเหม็น กรณีที่มูลสัตว์เพิ่มขึ้นทุกๆวันหรือมีสิ่งปฏิกูลเพิ่มขึ้นทุกวันในปริมาณที่มากก็ควรใช้อีเอ็มรดทุกวัน แต่ถ้าปริมาณสิ่งปฏิกูลและกลิ่นมีไม่มาก ใช้อีเอ็มรด 3-4 วันหรืออาทิตย์ละครั้งก็ได้ แล้วแต่ปัญหาของแต่ละท่าน
การใช้ในครั้งที่สองและครั้งต่อๆไป ให้นำอีเอ็มผสมกับน้ำ อัตราส่วน 1 : 1 ( กรณีต้องการเข้มข้นสูง ) หรือ 1 : 5 หรือ 1 : 10 , 20 , 30 ……… ตามความต้องการ ถ้ากลิ่นแรงก็อาจใช้ความเข้มข้นสูง 1 : 1 หรือ 1 : 5 เป็นต้น ถ้ากลิ่นไม่แรงมากนักก็อาจใช้ความเข้มข้นน้อยลง 1 : 50 หรือ 1 : 100 ก็ได้ การใช้อีเอ็มใช้บ่อยได้ตามความต้องการ ไม่มีอันตรายใดๆต่อพืชและสัตว์ ช่วยทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น

2 ) จากบ่อเกรอะ ส้วม ห้องน้ำ ตามบ้านที่อยู่อาศัย คอนโดมิเนี่ยม โรงพยาบาล โรงแรม ฯลฯ

ใช้อีเอ็มสดไม่ผสมน้ำเทลงในบ่อเกรอะ / โถส้วม / ท่อน้ำทิ้ง โดยใช้อีเอ็ม 1 ลิตรต่อสิ่งปฏิกูลขนาด 1000 ลูกบาศก์ กรณีคอนโดมิเนี่ยม โรงแรม โรงพยาบาล ซึ่งมีปริมาณสิ่งสกปรกมากอาจใช้ความเข้มข้นเพิ่มขึ้น ใชบ่อยได้ตามความต้องการ

3 ) จากตลาดสด ร้านอาหาร ซึ่งตลาดสดและร้านอาหารจะมีเศษพืชผักและไขมันสัตว์ทับถมกันเกิดการเน่าเสียทำให้ส่งกลิ่นไปทั่วบริเวณ การใช้อีเอ็มกำจัดกลิ่นเหล่านี้ รดหรือราดอีเอ็มสดไม่ผสมน้ำลงในบ่อหรือหลุมที่รวมเศษอาหารหรือตะแกงดักไขมัน การใช้อีเอ็มกับท่อที่ไขมันอุดตันก็ทำเช่นเดียวกัน โดยการเทราดอีเอ็มลงในท่อที่อุดตันแล้วปล่อยทิ้งไว้ให้อีเอ็มย่อยสลายไขมันตามธรรมชาติ ข้อควรระวังคือห้ามใช้อีเอ็มร่วมกับสารเคมีเด็ดขาด

http://www.bangkokshow.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=347588


อีเอ็ม ( EM ) คืออะไร?

     คำว่า EM ย่อมาจาก Effective Microorganisms หมายถึง กลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่ง ศ.ดร.เทรูโอะ ฮิงะ นักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญสาขาพืชสวน มหาวิทยาลัยริวกิว เมืองโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น เริ่มค้นคว้าทดลองตั้งแต่ปี พ.ศ 2510 และค้นพบ EM เมื่อ พ.ศ. 2526

จากการค้นคว้าพบความจริงเกี่ยวกับจุลินทรีย์ว่ามี 3 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มสร้างสรรค์ เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีคุณภาพ มีประมาณ 10 %
2. กลุ่มทำลาย เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่เป็นโทษ ทำให้เกิดโรค มีประมาณ 10 %
3. กลุ่มเป็นกลาง มีประมาณ 80 % จุลินทรีย์กลุ่มนี้หากกลุ่มใด มีจำนวนมากกว่ากลุ่มนี้จะสนับสนุนหรือร่วมด้วย
ดังนั้น การเพิ่มจุลินทรีย์ที่มีคุณภาพลงในดิน ก็เพื่อให้กลุ่มสร้างสรรค์มีจำนวนมากกว่า ซึ่งจุลินทรีย์เหล่านี้จะช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดินให้กลับมีพลังขึ้นมาอีกหลังจากที่ถูกทำลายด้วยสารเคมีจนดินตายไป

จุลินทรีย์มี 2 ประเภท
1. ประเภทต้องการอากาศ (Aerobic Bacteria)
2. ประเภทไม่ต้องการอากาศ (Anaerobic Bacteria)

จุลินทรีย์ทั้ง 2 กลุ่มนี้ ต่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน และสามารถอยู่ร่วมกันได้ จากการค้นคว้าดังกล่าว ได้มีการนำเอาจุลินทรีย์ที่ได้รับการคัดและเลือกสรรอย่างดีจากธรรมชาติ ที่มีประโยชน์ต่อพืช สัตว์ และสิ่งแวดล้อม มารวมกัน 5 กลุ่ม (Families) 10 จีนัส (Genues) 80 ชนิด (Spicies) ได้แก่

กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มจุลินทรีย์พวกเชื้อราที่มีเส้นใย (Filamentous fungi) ทำหน้าที่เป็นตัวเร่งการย่อยสลาย สามารถทำงานได้ดีในสภาพที่มีออกซิเจน มีคุณสมบัติต้านทานความร้อนได้ดี ปกติใช้เป็นหัวเชื้อผลิตเหล้า ผลิตปุ๋ยหมัก ฯลฯ
กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มจุลินทรีย์พวกสังเคราะห์แสง (Photosynthetic microorganisms) ทำหน้าที่สังเคราะห์สารอินทรีย์ให้แก่ดิน เช่น ไนโตรเจน (N2) กรดอะมิโน (Amino acids) น้ำตาล (Sugar) วิตามิน (Vitamins) ฮอร์โมน (Hormones) และอื่นๆ เพื่อสร้างความสมบูรณ์ให้แก่ดิน
กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่ใช้ในการหมัก (Zynogumic or Fermented microorganisms) ทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นให้ดินต้านทานโรค (Diseases resistant) เข้าสู่วงจรการย่อยสลายได้ดี ช่วยลดการ พังทลายของดิน ป้องกันโรคและแมลงศัตรูพืชบางชนิด สามารถบำบัดมลพิษในน้ำเสียที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมเป็นพิษต่างๆ ได้
กลุ่มที่ 4 เป็นกลุ่มจุลินทรีย์พวกตรึงไนโตรเจน (Nitrogen fixing microorganisms) มีทั้งพวกที่เป็นสาหร่าย (Algae) และพวกแบคทีเรีย (Bacteria) ทำหน้าที่ตรึงก๊าซไนโตรเจนจากอากาศเพื่อให้ดินผลิตสารที่เป็นประโยชน์ต่อการเจริญเติบโต เช่น โปรตีน (Protein) กรดอินทรีย์ (Organic acids) กรดไขมัน (Fatty acids) แป้ง (Starch or Carbohydrates) ฮอร์โมน(Hormones) วิตามิน (Vitamins) ฯลฯ
กลุ่มที่ 5 เป็นกลุ่มจุลินทรีย์พวกสร้างกรดแลคติก (Lactic acids) มีประสิทธิภาพในการต่อต้านเชื้อรา และแบคทีเรียที่เป็นโทษ ส่วนใหญ่เป็นจุลินทรีย์ที่ไม่ต้องการอากาศหายใจ ทำหน้าที่เปลี่ยนสภาพดินเน่าเปื่อย หรือดินก่อโรคให้เป็นดินที่ต้านทานโรค ช่วยลดจำนวนจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของโรคพืชที่มีจำนวนนับแสน หรือให้หมดไป นอกจากนี้ยังช่วยย่อยสลายเปลือกเมล็ดพันธุ์พืช ช่วยให้เมล็ดงอกได้ดีและแข็งแรงกว่าปกติอีกด้วย
ลักษณะทั่วไปของ EM

EM เป็นจุลินทรีย์ กลุ่มสร้างสรรค์ เป็นกลุ่มที่มีประโยชน์ หรือ เรียกว่ากลุ่มธรรมะ ดังนั้น เวลาจะใช้ EM ต้องคำนึงถึงอยู่เสมอว่า EM เป็น สิ่งมีชีวิต การดูแลเก็บรักษา

1. หัวเชื้อ EM สามารถเก็บได้นานประมาณ 1 ปี โดยปิดฝา ให้สนิท
2. อย่าทิ้ง EM ไว้กลางแดด และ อย่าเก็บไว้ในตู้เย็น เก็บรักษาไว้ในอุณหภูมิปกติ
3. ทุกครั้งที่แบ่งไปใช้ต้องรีบปิดฝาให้สนิท เพื่อไม่ให้เชื้อโรค หรือจุลินทรีย์ในอากาศที่เป็นโทษ เข้าไปปะปน
4. การนำ EM ไปขยายต่อ ควรใช้ภาชนะที่สะอาด และใช้ให้หมดในระยะเวลาที่เหมาะสม

ข้อสังเกตพิเศษ

• หาก EM เปลี่ยนเป็นสีดำ มีกลิ่นเหม็นเน่า ถือว่า EM ตาย ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อีก ให้นำ EM ที่เสียผสมน้ำรดกำจัดหญ้าและวัชพืชที่ไม่ต้องการได้
• กรณีเก็บไว้นานๆ จะมีฝ้าขาวเหนือผิวน้ำ แสดงว่า EM พักตัว เมื่อเขย่าภาชนะ ฝ้าสีขาวจะสลายตัว กลับไปอยู่ในน้ำเหมือนเดิมนำไปใช้ได้
• เมื่อนำไปขยายเชื้อในน้ำและกากน้ำตาล จะมีกลิ่นหอมและ เป็นฟองขาวๆ ภายใน 2-3 วัน ถ้าไม่มีฟอง น้ำนิ่งสนิทแสดงว่าการหมักขยายเชื้อยังไม่ได้ผล

จุลินทรีย์ EM มีประโยชน์อย่างไร

การใช้จุลินทรีย์สด หรือ EM สด หมายถึงการใช้จุลินทรีย์ EM จากโรงงานผลิต หรือ ผู้จำหน่ายที่ยังไม่ได้ทำการแปรสภาพ

วิธีใช้และประโยชน์ EM สด

1.ใช้กับพืช (ปุ๋ยน้ำ)
• ผสมน้ำในอัตรา 1 : 1000 (EM 1 ช้อนโต๊ะ กากน้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ : น้ำ 10 ลิตร) ใช้ ฉีด พ่น รด ราด พืชต่างๆ ให้ทั่วจากดิน ลำต้น กิ่ง ใบ และนอกทรงพุ่ม
• พืช ผัก ฉีด พ่น รด ราด ทุก 3 วัน
• ไม้ดอก ไม้ประดับ เดือนละ 1 ครั้ง การใช้จุลินทรีย์สด ในดิน ควรมีอินทรีย์วัตถุปกคลุมด้วย เช่น ฟางแห้ง ใบไม้แห้ง ฯลฯ เพื่อรักษาความชื้นและเป็นอาหารของจุลินทรีย์ต่อไป

2. ใช้ในการทำ EM ขยาย ปุ๋ยแห้ง
3. ใช้กับสัตว์ (ไม่ต้องผสมกากน้ำตาล)
• ผสม EM 1 ช้อนโต๊ะ : น้ำ 200 ลิตร ให้สัตว์กินทำให้ แข็งแรง
• ผสม EM 1 ช้อนโต๊ะ : น้ำ 10 ลิตร ใช้พ่นคอกให้สะอาดกำจัดกลิ่น
• หากสัตว์เป็นโรคทางเดินอาหารให้กิน EM สด 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับอาหารให้สัตว์กิน ฯลฯ

4. ใช้กับสิ่งแวดล้อม
• ใส่ห้องน้ำ - ห้องส้วม ในโถส้วมทุกวันๆ ละ 1 ช้อนโต๊ะ (หรือ สัปดาห์ละ 1/2 แก้ว) ช่วยให้เกิดการย่อยสลาย ไม่มีกาก ทำให้ส้วมไม่เต็ม
• กำจัดกลิ่น ด้วยการผสมน้ำและกากน้ำตาล ในอัตราส่วน 1 : 1 : 1,000 (EM 1 ช้อนโต๊ะ : กากน้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ : น้ำ 1 ลิตร) ฉีด พ่น ทุก 3 วัน
• บำบัดน้ำเสีย 1 : 10,000 หรือ EM 2 ช้อนโต๊ะ : น้ำ 200 ลิตร
• ใช้กำจัดเศษอาหาร หรือ ทำปุ๋ยน้ำจากเศษอาหาร
• แก้ไขท่ออุดตัน EM 1 ช้อนโต๊ะ ใส่ 5-7 วัน / ครั้ง
• ฉีดพ่นปรับอากาศในครัวเรือน
• กำจัดกลิ่นในแหล่งน้ำ

วิธีใช้และประโยชน์ EM ขยาย

1. ใช้กับพืชเหมือน EM สด
2. ใช้กับสัตว์ o ผสม น้ำ 1 : 100 ฉีดพ่นคอก กำจัดแมลงรบกวน o ผสม น้ำ 1 : 1,000 ล้างคอก กำจัดกลิ่น o ผสม น้ำ ในอัตรา : 1 : 500 หรือ 2 ช้อนโต๊ะ : น้ำ 10 ลิตร เพื่อหมักหญ้าแห้ง ฟางแห้ง เป็นอาหารสัตว์
3. ใช้ทำปุ๋ยน้ำ ปุ๋ยแห้ง เหมือนใช้ EM สด
4. ใช้กับสิ่งแวดล้อม เหมือนใช้ EM สด


การเก็บรักษาจุลินทรีย์ EM

• จุลินทรีย์ EM สามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน 1 ปี อย่างน้อย 6 เดือน ในอุณหภูมิปกติ ไม่เกิน 45-50 องศาเซลเซียลโดยปิดฝาให้สนิท อย่าให้มีอากาศเข้า และอย่าเก็บไว้ในตู้เย็น
• ทุกครั้งที่แบ่งไปใช้ต้องรีบปิดฝาให้สนิท
• การนำจุลินทรีย์ EM ไปขยายต่อ ควรใช้ภาชนะที่สะอาด และใช้ให้หมดภายในเวลาที่เหมาะสม
• การเก็บไว้หลายๆ วัน โดยไม่มีการเคลื่อนไหว ในภาชนะจะมีฝ้าขาวเหนือผิวน้ำ นั่นคือการทำงานของจุลินทรีย์ที่ฟักตัว เมื่อเขย่าแล้วทิ้งไว้ชั่วขณะ ฝ้าขาวจะสลายตัวกลับไปอยู่ในจุลินทรีย์เหมือนเดิม
• เมื่อนำไปขยายเชื้อในน้ำและกากน้ำตาล จุลินทรีย์จะมีกลิ่นหอมและเป็นฟองขาวๆ ภายใน 2-3 วัน ถ้าไม่มีฟองดังกล่าวแสดงว่า การหมักขยายเชื้อยังไม่ได้ผล
• จุลินทรีย์ EM ที่นำไปขยายเชื้อแล้ว
ควรใช้ภายใน 7 วันหลังจากหมักได้ที่แล้ว ทั้งนี้เพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพที่อาจเกิดจากความไม่สะอาดของภาชนะ และสิ่งสกปรกแปลกปลอมจากอากาศ เพราะจุลินทรีย์ส่วนใหญ่ไม่ต้องการอากาศ
• ถ้าใช้ไม่หมดภายใน 3 วัน ต้องปิดฝาให้สนิทด้วยพลาสติก เพื่อไม่ให้อากาศเข้า ก่อนใช้ทุกครั้งต้องตรวจดูก่อนว่ายังมีกลิ่นหอมอมเปรี้ยว
อมหวานหรือไม่ ถ้ามีแสดงว่ายังใช้ได้

การประยุกต์ใช้ปุ๋ยชีวภาพ

ปัจจุบัน EM ได้รับความนิยมขยายไปสู่ชาวโลก เนื่องจากเป็นจุลินทรีย์ที่ไม่มีพิษภัย มีแต่ประโยชน์ ถ้าสามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง และมุ่งเน้นการไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ทำให้การขยายการใช้ EM ไป สู่เกษตรกรและองค์กรทั่วโลกแล้วกว่า 30 ประเทศ อาทิ International Nature Farming Reserch Center Movement (INFRC) JAPAN, EM Research Orgnization (EMRO) JAPAN, International Federation of Agriculture Movement (IFOAM) GERMANY เป็นต้น และ California Certified Organics Farmers ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเกษตรธรรมชาติได้ให้คำรับรองเมื่อ คศ.1993 ว่าเป็นวัสดุประเภทจุลินทรีย์ (Microbial Innoculant) ที่ปลอดภัยและได้ผลจริง 100 %

สำหรับในประเทศไทย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้นำไปวิเคราะห์แล้วรับรองว่าจุลินทรีย์ EM ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์ จึงสามารถนำ EM ไปใช้ประโยชน์ได้หลายประการ

http://www.bangkokshow.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=346390

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ชีวิตหลังความตาย ภาค 2 ตอน “กลิ่น” หลังความตาย
 
โดย Uncle fat 31 สิงหาคม 2548 09:14 น.
 
 
              หลังจากสร้างความฮือฮาและก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย กับการเสวนาเรื่อง “ชีวิตหลังตาย : ชีวิตใหม่ที่ต้องเตรียมตัว” กับแนวความคิดของ ดร.สนอง วรอุไร อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทพิสูจน์เรื่อง “ผี” และ “เทวดา”
       
       มาคราวนี้ โครงการผู้จัดการสุขภาพก็ได้หยิบยกเรื่องนี้มาเสวนากันอีกครั้ง ในงานอุทยานอนุรักษ์สุขภาพ ครั้งที่ 14 ณ บ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม และใช้ชื่องานว่า “ชีวิตหลังตาย : ชีวิตใหม่ที่ต้องเตรียมตัว (ตอนที่ 2) ทั้งนี้ โดยมี รศ.ดร.อาภรณ์ เชื้อประไพศิลป์ อาจารย์มหาวิทยาสงขลานครินทร์ ผศ.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ อาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาให้ความรู้
       
       ชีวิตหลังความตาย ภาค 2 จะแตกต่างจากภาคแรกอย่างไร ต้องติดตาม....

 
   
รศ.ดร.อาภรณ์ เชื้อประไพศิลป์ จาก ม.สงขลานครินทร์
 
 
              รศ.ดร.อาภรณ์ อธิบายให้ฟังว่า ชีวิตที่จะเกิดใหม่จะเกิด “ดี” หรือ “ไม่ดี” นั้นขึ้นอยู่สภาพชีวิตก่อนตายว่าเป็นอย่างไร รวมทั้งระหว่างที่มีชีวิตทำบุญหรือบาปไว้มากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตาม ก่อนที่วิญญาณจะออกจากร่าง หากคนคนนั้นยังมีความรู้สึกโกรธ เมื่อเกิดใหม่เขาจะมีอารมณ์เศร้าหมองอยู่ตลอดเวลา
       
       ทว่า ถ้าคนก่อนตายมีจิตใจผ่องใส ร่าเริง อารมณ์ดี เมื่อเกิดในภพใหม่จะมีร่างกายผิวพรรณผ่องใส เพราะฉะนั้นหากสังเกตจะพบได้ว่าใบหน้าของแต่ละคนสามารถบ่งบอกถึงความสุขความทุกข์ได้ทางสีหน้าและแววตา
       
       “หน้าตาที่บ่งบอกถึงความผ่องใส ถ้าจะเปรียบเทียบกับเทวดา ซึ่งเทวดาจะมีหลายระดับชั้น โดยดูจากรัศมีที่เปล่งประกายออกจากเทวดา ก็เหมือนมนุษย์เรายังมีคนหลากหลายระดับมีทั้งระดับสูง กลาง และต่ำ แล้วมนุษย์ส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับกลาง ซึ่งก็คือพวกเรานี่แหละ”
       
       ในประเด็นนี้ รศ.ดร.อาภรณ์ขยายความเพิ่มเติมว่า ความเชื่อนี้เกิดจากการที่ตนเองนั่งวิปัสสนากรรมฐาน พร้อมกันนี้ยังได้ศึกษาเกี่ยวกับการเตรียมตัวตาย โดยมีผลการศึกษาวิจัยของนักศึกษาปริญญาเอกยืนยัน โดยมีเรื่องเล่าในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งว่ามีคุณหมอที่เสียชีวิตประมาณ 7 วัน มาตรวจคนไข้ตอนตี 2 ซึ่งคุณหมอมีจิตผูกพัน ความกังวลว่าจะต้องมาตรวจอาการคนไข้
       
       ดังนั้น จะเห็นได้ว่าโรงพยาบาลหลายแห่งจะมีการทำบุญห้อง ICU เนื่องเพราะห้องที่มีคนไข้เสียชีวิตจำนวนมากแล้ววิญญาณของพวกเขายังวนเวียนอยู่ในห้องนั้น จึงทำให้คนไข้บางรายบอกว่ามีคนมาดึงขาดึงแขนหรือปลุกให้ตื่น
       
       รศ.ดร.อาภรณ์ ให้คำแนะนำด้วยว่า ทุกคนควรเตรียมตัวตายเสียแต่เนิ่นๆ รวมทั้งญาติที่กำลังจะตายด้วย โดยก่อนตายควรไหว้พระ ตั้งสติ มีสมาธิ และมีจิตใจดีงามคิดแต่เรื่องดีๆ พร้อมปล่อยวางอย่าเก็บเรื่องหนักๆ หรือหวงสมบัตินอกกาย หากมัวแต่หวงสมบัติคิดว่าบ้านที่ดินเป็นของเรา เวลาตายไปเราอาจไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์แต่อาจเกิดเป็นเทวดาเจ้าที่คอยดูแลสมบัติ
       
       “วาระสุดท้ายของชีวิตญาติพี่น้องควรไปให้กำลังใจโดยเลือกพูดคุยเรื่องที่ประทับใจในอดีตเพื่อระลึกถึงความทรงจำดีๆ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถร่วมพูดคุยได้ แต่เขาสัมผัสได้ หรือแสดงความรักด้วยการสัมผัสมือ กุมมือไว้โดยไม่ต้องพูดแต่ผู้ป่วยจะมีสัมผัสหนึ่งจะรู้ว่าคุยอะไรกับเขาบ้าง ส่วนเรื่องที่ญาติไม่ทำก็คือร้องไห้ฟูมฟาย พูดเรื่องที่ทำให้ผู้ป่วยไม่สบายใจ เพราะเขาจะไปอย่างไม่สงบ”
       
       “ยกตัวอย่างเช่น มีอยู่ครั้งหนึ่ง ดิฉันไปเยี่ยมคนไข้วัย 90 กว่าปี ป่วยด้วยโรคมะเร็ง ดิฉันถามก็ได้ความว่าผู้ป่วยมีความศรัทธาหลวงปู่ทวด จึงแนะนำญาติให้นำพระพุทธรูปหลงปู่ทวดมาตั้งบูชาไว้หัวเตียง คนไข้มีความสุข และก่อนจะสิ้นใจมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส”

 
 
ผศ.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
 
 
              ด้าน ผศ.ดร.บรรจบ กล่าวเสริมว่า การเกิดการตายเป็นเรื่องที่ทุกศาสนาสอน แต่ศาสนาพุทธจะสอนให้คนทำความดี เพราะการตายส่งผลต่อการเกิดว่า จะได้เกิดเป็นเทวดาหรือมนุษย์ หรือจะเกิดเป็นอะไรในภพหน้า
       
       “วิญญาณของผู้ตายจะเห็นร่างเดิมและเห็นญาติพี่น้อง เพียงแต่ญาติไม่เห็นเขา เขาจึงมาในรูปของกลิ่น แล้วกลิ่นยังบ่งบอกด้วยว่าเขาจะไปอยู่ภพไหน อย่างกลิ่นดอกไม้ จะเกิดเป็นเทพ กลิ่นธูปเทียน เกิดเป็นเทวดา และกลิ่นเหม็น จะเป็นเปรตหรืออยู่ในนรกนอกจากนี้ ยังมีความเชื่อว่า ถ้าลูกตายก่อนพ่อแม่ หรือคนที่ฆ่าตัวตาย และประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต มีความเชื่อว่าไม่ควรนำกระดูกไว้ในบ้านให้นำไว้ที่วัด เพราะว่าเป็นการตายที่ไม่เป็นธรรมชาติ”ผศ.ดรบรรจบให้ข้อมูลทิ้งท้าย
       
       ....และทั้งหมดนั้นคือ ส่วนหนึ่งขององค์ความรู้ที่นำมาเสนอให้ได้รับทราบ ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่อย่างไร เป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะตัดสินใจ

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9480000117759

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ความเชื่อและคำสอนทางพุทธศาสนา 

จิตตสังเขป


โดย


สุจินต์ บริหารวนเขตต์



บทที่ ๙

จิต ๘๙ ดวงซึ่งต่างกันนั้น จำแนกโดยประเภทของภูมิคือระดับขั้นของจิตเป็น ๔ ภูมิ คือ

กามาวจรภูมิ ๑

รูปาวจรภูมิ ๑

อรูปาวจรภูมิ ๑

โลกุตตรภูมิ ๑

จิตที่เป็นกามาวจรภูมิ ได้แก่ กามาวจรจิต ๕๔ ดวงในอัฏฐสาลินี จิตตุปปาทกัณฑ์ อธิบายความหมายของกามาวจรจิต ๔ นัย มีข้อความว่า

นัยที่ ๑ บทว่า กามาวจร ได้แก่จิต อันนับเนื่องในกามาวจรธรรมทั้งหลาย คือ เป็นจิตที่อยู่ในขั้นของกาม (คำเต็ม คือ กามาวจร แต่ตัดบทหลังออกเหลือเพียงกามเท่านั้นได้) โดยท่องเที่ยวอยู่ในกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ จึงเป็นจิตขั้นกาม เป็นกามาวจรจิต

ทุกขณะในชีวิตประจำวันเป็นกามาวจรจิต เมื่อไม่ใช่จิตระดับอื่นที่ละเอียดกว่า ประณีตกว่าขั้นกาม เมื่อใดที่อบรมเจริญกุศล จิตที่สงบขึ้นโดยมีรูปเป็นอารมณ์ จนจิตสงบมั่นคงขึ้นถึงขั้นอัปปนาสมาธิ เป็นฌานจิตที่มีรูปเป็นอารมณ์ ขณะนั้นก็เป็นรูปาวจรภูมิหรือรูปวจรจิต พ้นจากระดับของกาม และเมื่อจิตสงบมั่นคงกว่าขั้นนั้นอีก โดยเป็นจิตที่สงบแนบแน่นในอารมณ์ที่พ้นจากรูปก็เป็นอรูปวจรจิต และจิตที่ละเอียดประณีตกว่าอรูปาวจรจิต คือ โลกุตตรจิตซึ่งประจักษ์แจ้งลักษณะของนิพพานจึงเป็นโลกุตตรภูมิ ฉะนั้น จิตที่ต่างกันโดยภูมิ คือ จิต ๘๙ ดวง จำแนกเป็น

กามาวจรจิต ๕๔ ดวง

รูปาวจรจิต ๑๕ ดวง

อรูปาวจรจิต ๑๒ ดวง

โลกุตตรจิต ๘ ดวง

ขณะใดที่ไม่ใช่รูปาวจรจิต อรูปวาจรจิต โลกุตตรจิต ขณะนั้นต้องเป็นกามาวจรจิต

ชื่อว่า "กาม" เพราะอรรถว่า อันสัตว์ใคร่กาม กามมี ๒ อย่างคือ กิเลสกาม ๑ วัตถุกาม ๑

กิเลสกาม ได้แก่ ฉันทราคะ คือ โลภเจตสิก ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ยินดี พอใจติดข้องในอารมณ์

วัตถุกาม คือ สภาพธรรมซึ่งเป็นที่ตั้งของความยินดี ความพอใจ ความปรารถนา ฉะนั้น วัตถุกาม ได้แก่ วัฏฏะ ซึ่งเป็นไปในภูมิทั้ง ๓ คือ ทั้งกามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ เพราะไม่พ้นจากการเป็นวัตถุที่ยินดีพอใจของกิเลสกาม ตราบใดที่ยังดับโลภะไม่ได้ก็ยังมีวัตถุกาม คือ สภาพธรรมซึ่งเป็นที่ยินดี พอใจของกิเลสกาม

กามาวจรจิตซึ่งยินดี พอใจ ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ นั้นเหนียวแน่นมาก แม้ว่ารูปจะปรากฏเพียงชั่วขณะที่เล็กน้อยเหลือเกิน คือ ชั่วขณะที่กระทบจักขุปสาทคือตา เสียงก็ปรากฏเพียงชั่วขณะทีเล็กน้อยเหลือเกิน คือ ชั่วขณะที่กระทบกับโสตปสาท กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ ก็เช่นเดียวกัน ล้วนเป็นปริตตธรรม คือ เป็นสภาพที่ปรากฏเพียงเล็กน้อยแล้วก็ดับไป แต่จิตยินดีพอใจติดข้องในปริตตธรรมนั้นอยู่เสมอ เพราะการเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วของปริตตธรรมนั้นๆ จึงดูเสมือนไม่ดับไป

ความเพลิดเพลินยินดีพอใจในกามอารมณ์ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะไม่หมดสิ้น แม้ว่ารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะอื่นๆ ก็เกิดสืบต่อทำให้เกิดความหลงติดยินดี พอใจในรูปเสียง ฯลฯ สืบต่อกันอยู่เรื่อยๆ เมื่อเห็นรูปใดก็ตามซึ่งเป็นที่ พอใจแล้ว ก็อยากจะเห็นอีกบ่อยๆ เมื่อได้ยินเสียงที่พอใจแล้วก็อยากได้ยินเสียงนั้นอีก กลิ่น รส โผฏฐัพพะก็เช่นเดียวกัน เมื่อบริโภครสใดที่พอใจแล้วก็อยากบริโภคนั้นซ้ำๆ อีก ความยินดีพอใจติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเกิดขึ้นเป็นประจำทุกวันซ้ำแล้วซ้ำอีกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั่นเอง

เมื่อชอบสิ่งใดก็อยากจะเห็นสิ่งนั้นอยู่ตลอดเวลาได้ไหม ไม่ได้ เพราะสังขารธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา เมื่อรสอร่อยเกิดขึ้นปรากฏ ความพอใจก็อาศัยลิ้นเกิดขึ้น ขณะความพอใจในกลิ่นที่ปรากฏ ขณะนั้นความพอใจทางตา หู ลิ้น กาย ก็ไม่เกิด เพราะจิตเกิดขึ้นทีละขั้นเท่านั้น จะมีจิต ๒ ดวงเกิดขึ้นพร้อมกันไม่ได้เลย ทุกคนพอใจใจสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏสลับกันทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง ทางใจบ้าง ไม่ใช่พอใจเฉพาะสีเดียว เสียงเดียว กลิ่นเดียว รสเดียว และโผฏฐัพพะเดียวเท่านั้น ทั้งนี้เพราะความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะสะสมสืบต่อกันอยู่เรื่องๆ ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และต่อไปในอนาคต

ฉะนั้น กามาวจรจิต คือ จิตขั้นกามที่ท่องเที่ยวไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นจิตที่ยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นจิตที่ไม่พ้นจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ บางท่านบอกว่าทำบุญแล้วอยากจะเกิดในสวรรค์ สวรรค์ก็ไม่พ้นจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แต่เป็นกามอารมณ์ที่ประณีตกว่าอารมณ์ในโลกมนุษย์

ฉะนั้น ตั้งแต่เกิดจนตาย ขณะใดที่จิตสงบไม่ถึงขั้นอัปปนาสมาธิ คือ ไม่เป็นฌานจิต และไม่เป็นโลกุตตรจิตขณะนั้นก็เป็นกามาวจรจิต ขณะหลับและตื่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึกต่างๆ นั้น ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเลย แต่เป็นจิตขั้นกามคือกามาวจรจิตทั้งสิ้น

ผู้ที่ไม่ใช่พระอนาคามีพระและอรหันต์นั้น ยังมีความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แสดงว่าความพอใจในกามอารมณ์ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั้นละได้ยากเพียงใด และถึงแม้ว่าจะอบรมเจริญความสงบถึงขั้นฌานจิตและเกิดในพรหมโลก ก็ยังละความยินดี พอใจ ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะไม่ได้เป็นสมุจเฉท เมื่อยังไม่ใช่พระอนาคามีบุคคล ก็ยังต้องกลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้อีก คือ เป็นผู้ยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฉะนั้นจึงไม่ควรประมาทกิเลส และจะต้องเข้าใจสภาพธรรมตรงตามความเป็นจริง ตามเหตุผล จึงจะสามารถอบรมเจริญปัญญาที่ดับกิเลสได้จริงๆ เป็นสมุจเฉท

ส่วนคำว่า "วัตถุกาม" นั้นมีความหมายกว้างกว่ารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เพราะไม่ว่าจะเป็นสภาพธรรมใดทั้งสิ้น เมื่อเป็นที่ตั้งของความยินดีพอใจก็เป็นวัตถุกาม คือ เป็นที่ตั้งของความยินดีพอใจของรูปพรหมบุคคลนั้น เมื่อเกิดเป็นพรหมบุคคลในรูปพรหมภูมิ รูปพรหมภูมินั้นก็เป็นวัตถุกาม คือ เป็นที่ตั้งของความยินดีพอใจของพรหมบุคคลนั้น ผู้ที่เกิดในอรูปพรหมภูมิ อรูปพรหมก็เป็นวัตถุกาม คือ เป็นที่ตั้งของความยินดี พอใจของอรูปพรหมบุคคลนั้นได้ โลภเจตสิกเป็นสภาพธรรมที่ยินดีพอใจ ติดข้องอารมณ์ทุกอย่างนอกจากโลกุตตรธรรมเท่านั้น ฉะนั้น นอกจากโลกุตตรธรรมแล้ว ธรรมอื่นๆ จึงเป็นวัตถุกาม คือ เป็นที่ตั้ง เป็นที่ยินดีพอใจของโลภะได้

ความหมายของกามาวจรจิตนัยที่ ๑ คือ เป็นจิตขั้นกามไม่พ้นไปจากกาม

นัยที่ ๒ เป็นจิตที่ท่องเที่ยวอยู่ในกามภูมิ ๑๑ คืออบายภูมิ ๔ มนุสสภูมิ ๑ และสวรรค์ ๖ ชั้น

นัยที่ ๓ ชื่อว่า กามาวจรจิต เพราะว่าย่อมท่องเที่ยวไปด้วยสามารถแห่งการกระทำให้เป็นอารมณ์ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ย่อมท่องเที่ยวไปในจิตนั้นๆ ด้วยสามารถแห่งการกระทำให้เป็นอารมณ์ แม้เพราะเหตุนั้นๆ ชื่อว่า กามาวจร

ถ้าจะให้เข้าง่ายคือ จิตใดก็ตามที่เกี่ยวเนื่องเป็นไปในกาม คือ รูป เลียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเป็นอารมณ์ จิตนั้นเป็นกามาวจร

ถาม พระอรหันต์มีกามาวจรจิตไหม

ตอบ มี เมื่อพระอรหันต์เห็นรูปารมณ์ที่ปรากฏทางตา รูปารมณ์เป็นกามอารมณ์ จิตเห็นจึงเป็นกามาวจรจิต ไม่ว่าจะเป็นจิตของพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันตสาวก หรือจิตของบุคคลใดขณะใดๆ ก็ตามที่มีกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเป็นอารมณ์ จิตนั้นเป็นกามาวจรจิต

นัยที่ ๔ อีกอย่างหนึ่ง จิตใดย่อมยังปฏิสนธิให้ท่องเที่ยวไปในกาม กล่าวคือ กามภพ (อบายภูมิ ๔ มนุษย์ ๑ สวรรค์ ๖) เหตุนั้น จิตนั้นชื่อว่า กามาวจร

ทุกท่านที่อยู่ในโลกมนุษย์นี้ เพราะกามาวจรจิตทำให้กามปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นในมนุษย์ ซึ่งเป็นกามภูมิ

ผู้ที่เจริญสมถภาวนาจนจิตสงบถึงขั้นอัปปนาสนธิเป็นรูปฌานจิตหรืออรูปฌานจิต ถ้าฌานจิตไม่เสื่อม และฌานจิตเกิดก่อนจุติจิต ฌานกุศลจิตนั้นเป็นปัจจัยให้เกิดในโลกนี้ แต่ปัจจัยให้เกิดรูปพรหมภูมิหรือในอรูปพรหมภูมิตามขั้นของฌานนั้นๆ คือ การอบรมเจริญสมถภาวนา การเจริญสติปัฏฐานซึ่งยังไม่พ้นไปจากกาม ฉะนั้น จึงทำให้ปฏิสนธิในกามภูมิ

คำว่า "ภูมิ" มี ๒ ความหมาย คือ หมายถึงจิตซึ่งเป็นภูมิของสัมปยุตตธรรม คือ เจตสิกธรรมทั้งหลายที่เกิดร่วมกัน ๑ และหมายถึง "โอกาส" คือ สถานที่เกิดของสัตวโลก ๑ โลกมนุษย์เป็นภูมิ คือสถานที่เกิดภูมิ ๑ ในที่เกิดทั้งหมด ๓๑ ภูมิ

เมื่อจิตต่างกันเป็นประเภทๆ และจิตแต่ละประเภทนั้นก็วิจิตรต่างกันมาก ภูมิซึ่งเป็นที่เกิดของสัตวโลกก็ต้องต่างกันไป ไม่ใช่มีแต่มนุสสภูมิ คือโลกนี้โลกเดียว และแม้ว่าจะเป็นกามวจรกุศล กำลังของศรัทธา ปัญญา และสัมปยุตตธรรมคือเจตสิกทั้งหลายที่เกิดรวมด้วยในขณะนั้นก็วิจิตรต่างกันมาก จึงจำแนกให้ได้รับผล คือ เกิดในสุคติภูมิต่างๆ ไม่ใช่แต่ในภูมิมนุษย์เท่านั้น

สำหรับอกุศลกรรมก็เช่นเดียวกัน ขณะที่ทำอกุศลกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งนั้น ถ้าสังเกตจะรู้ความแตกต่างกันของอกุศลกรรม ว่าหนักเบาด้วยอกุศลธรรมเพียงไร บางครั้งก็ประกอบด้วยความพยาบาทมาก บางครั้งก็ไม่ได้ประกอบด้วยความพยาบาทรุนแรง บางครั้งก็ขาดความเพียร ไม่ได้มิวิริยะอุตสาหะที่จะทำร้ายเบียดเบียน แต่เป็นการกระทำซึ่งประกอบด้วยเจตนาเพียงเล็กน้อยและสัตว์เพียงเล็กๆ นั้นตายลง เมื่อแต่ละกรรมที่ได้กระทำไปนั้นประกอบด้วยสัมปยุตธรรม คือเจตสิกขั้นต่างๆ อกุศลกรรมซึ่งเป็นเหตุที่จะทำให้เกิดผลวิจิตรต่างๆ กัน ภูมิซึ่งเป็นที่เกิดที่เหมาะที่ควรแก่กรรมนั้นๆ ก็ย่อมต้องมีมาก ไม่ได้มีแต่เฉพาะมนุสสภูมิแห่งเดียวเท่านั้น

คำว่า "ภูมิ" หมายถึงโอกาสโลกซึ่งเป็นสถานที่เกิดของสัตวโลกทั้งหมด ๓๑ ภูมิ ตามระดับขั้นของจิต คือ กามภูมิ ๑๑ ภูมิ รูปพรหม ๑๖ ภูมิ อรูปพรหม ๔ ภูมิ รวมโอกาสโลกซึ่งเป็นสถานที่เกิดของสัตวโลกทั้งหมดมี ๓๑ ภูมิ คือ ๓๑ ระดับขั้น ซึ่งสถานที่เกิดแต่ละขั้นนั้นมีมากว่านั้น คือ แม้แต่ภูมิของมนุษย์ก็ไม่ได้มีแต่โลกนี้โลกเดียว ยังมีโลกมนุษย์อื่นอีกด้วย

กามภูมิ ๑๑ ภูมินั้นเป็นอบายภูมิ ๔ มนุษย์ ๑ และสวรรค์ ๖ ซึ่งขอกล่าวถึงเพียงย่อๆ คือ

อบายภูมิ ๔ ได้แก่ นรก ๑ สัตว์เดรัจฉาน ๑ ปิตติวิสัย (เปรต) ๑ อสูรกาย ๑

นรกไม่ใช่มีเพียงแต่แห่งเดียวหรือขุมเดียว นรกขุมใหญ่ๆ มีหลายขุม เช่น สัญชีวนรก กาฬสุตนรก สังฆาตนรก โรรุวนรก มหาโรรุวนรก ตาปนรก มหาตานนรก และอเวจีนรก นอกจากนรกใหญ่ ก็ยังมีนรกย่อยๆ ซึ่งในพระไตรปิฏกก็ไม่ได้กล่าวถึงโดยละเอียดมากนัก เพราะจุดประสงค์ที่พระผู้ภาคทรงแสดงภูมิต่างๆ ก็เพื่อทรงแสดงให้เห็นเหตุและผลของกุศลกรรมและอกุศลกรรม สิ่งใดซึ่งไม่สามารถที่เห็นชัดประจักษ์ด้วยตา ก็ย่อมไม่เป็นสิ่งที่ควรแสดงเท่ากับสภาพที่สามารถจะพิสูจน์โดยอบรมเจริญปัญญาให้รู้ได้

การเกิดในอบายภูมิ ๔ นั้น ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมหนักก็เกิดในนรก ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมที่หนักมากก็เกิดในมหานรกที่สุดจะทรมาน คือ อเวจีนรก และเมื่อพ้นจากขุมนรกขุมใหญ่ๆ แล้ว ก็เกิดในนรกขุมย่อยๆ อีก เมื่อยังไม่หมดผลของอกุศลกรรม ขณะที่กระทำอกุศลกรรมนั้นไม่คิดเลยว่า ภูมินรกรออยู่แล้วข้างหน้า แต่ว่ายังไปไม่ถึง เพราะว่ายังอยู่ในโลกนี้ก็ยังไม่ไปสู่ภูมิอื่น แม้ว่าเหตุคืออกุศลกรรมมีแล้ว เมื่อทำอกุศลกรรมแล้วย่อมเป็นปัจจัยให้ไปสู่อบายภูมิใดภูมิเมื่อสิ้นชีวิตแล้ว

ผลของอกุศลกรรมที่เบากว่านั้น ก็เป็นปัจจัยให้เกิดอบายภูมิอื่น เช่น เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน จะเห็นได้ว่าสัตว์ดิรัจฉานนั้นมีรูปร่างประหลาดๆ ต่างๆ นานา บางชนิดมีขามาก บางชนิดมีขาน้อย บางชนิดไม่มีขาเลย มีปีกบ้าง ไม่มีปีกบ้าง อยู่ในน้ำบ้าง อยู่บนบกบ้าง มีรูปร่างลักษณะ ต่างๆ มากมาย ตามความวิจิตรของจิต มนุษย์มีตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่ผิวพรรณวัณณะ ความสูงต่ำก็ยังวิจิตรต่างๆ กัน ไม่เหมือนกันเลย ไม่ว่าจำนวนคนโลกนี้จะมากสักเท่าไรก็ตาม รวมทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตด้วย แต่สัตว์ดิรัจฉานก็ยิ่งวิจิตรต่างกันมากกว่ามนุษย์ ทั้งสัตว์น้ำ สัตว์บก และสัตว์ที่บินได้ ซึ่งก็ย่อมเป็นไปตามกรรม อันเป็นเหตุให้มีรูปร่างวิจิตรนั้นๆ

ผลของอกุศลกรรมที่น้อยกว่านั้นเป็นปัจจัยให้เกิดในภูมิของ เปรต ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า ปิตติวิสัย เปรตทรมานด้วยความหิวโหยอยู่เสมอ และภูมิของเปรตก็วิจิตรต่างๆ กันมาก

มนุษย์ทุกคนมีโรคประจำตัวประจำวันคือ โรคหิว ซึ่งจะว่าไม่มีโรคไม่ได้ เพราะความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง ลองหิวมากแล้วจะรู้สึก ถ้าหิวนิดหน่อยแล้วรับประทานอาหาร ซึ่งถ้าเป็นอาหารอร่อยๆ ก็เลยลืมว่าแท้จริงนั้นความหิวไม่ใช่ความสบายกายเลย เป็นสิ่งที่จะต้องแก้ไขบรรเทาให้หมดไป คนที่หิวมากเมื่อไม่ได้รับประทานอาหาร ก็จะรู้สภาพที่เป็นความทุกข์ของความหิวว่าถ้าหิวมากๆ กว่านั้นจะเป็นอย่างไร

ท่านผู้หนึ่งมีมิตรสหายมาก วันหนึ่งท่านรับโทรศัพท์ตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น ไม่ได้รับประทานอาหาร พอค่ำก็เลยรู้สึกว่าหิวที่แสนทรมาน ใช้คำว่าแสบท้องหรือแสบไส้นั้นเป็นอย่างไร และท่านก็ไม่สามารถรีบร้อนรับประทานเพื่อแก้หิว เพราะถ้าทำอย่างนั้นก็จะเป็นลม เป็นอันตรายต่อร่างกายท่านต้องค่อยๆ บริโภคแก้ไขความหิวไปทีละน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นลม นี่ก็แสดงให้เห็นว่าความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง เป็นโรคประจำวันที่ยังไม่ค่อยพูดถึงโรคอื่นๆ แล้วอย่างนี้ผู้ที่เป็นเปรตจะหิวสักแค่ไหน ในภูมิเปรตไม่มีการค้าขาย ไม่มีกสิกรรม จะไปปลูกข้าวทำนา หุงข้าวเองหรือซื้อขายอะไรกับใครเพื่อให้ได้อาหารมาบริโภคก็ไม่ได้ การเกิดเป็นเปรตนั้นเป็นผลของอกุศลกรรม เปรตใดอนุโมทนากุศลที่บุคคลอื่นกระทำแล้วอุทิศไปให้ กุศลจิตที่อนุโมทนานั้นเป็นปัจจัยให้ได้อาหารที่เหมาะสมแก่ภูมิของตนบริโภค หรืออาจจะพ้นสภาพของเปรตโดยจุติแล้วปฏิสนธิในภูมิอื่น เมื่อหมดผลของกรรมที่ทำให้เป็นเปรตต่อไป

อบายภูมิ อีกภูมิหนึ่ง คือ อสูรกาย การเกิดเป็นอสุรกายเป็นผลของอกุศลกรรมที่เบากว่า อกุศลกรรมอื่น เพราะผู้ที่เกิดเป็นอกุศลกรรมนั้นไม่มีความรื่นเริงใดๆ อย่างในภูมิมนุษย์และสวรรค์ ในภูมิมนุษย์มีหนังสืออ่าน มีหนังละครดู มีเพลงฟัง แต่ในอสุรกายภูมิไม่สามารถที่จะแสวงหาความเพลิดเพลินสนุกสนานได้เหมือนในสุคติภูมิ

เมื่อกุศลกรรมมีต่างกัน ภูมิซึ่งเป็นที่เกิดย่อมต่างกันออกไปตามเหตุ คืออกุศลกรรมนั้นๆ

สำหรับภูมิซึ่งเป็นของกามาวจรกุศลมี ๗ ภูมิ คือ มนุษย์ ๑ ภูมิ สวรรค์ ๖ ภูมิ

ในพระไตรปิฏกแสดงภูมิที่เกิดของมนุษย์ว่า มนุสสภูมิ คือที่เกิดของมนุษย์นั้น มี ๔ ทวีป คือ

๑. ปุพพวิเทหทวีป อยู่ทางทิศตะวันออกของภูเขาสิเนรุ

๒. อมรโคยานทวีป อยู่ทางทิศตะวันตกของภูเขาสิเนรุ

๓. ชมพูทวีป (คือโลกนี้) อยู่ทางทิศใต้ของภูเขาสิเนรุ

๔. อุตตรกุรุทวีป อยู่ทางทิศเหนือของภูเขาสิเนรุ

ผู้ที่ในโลกนี้ซึ่งเป็นชมพูทวีปก็เห็นแต่ชมพูทวีป ไม่ว่าจะท่องเที่ยวไปที่ใดก็เห็นแต่อารมณ์ต่างๆ ของชมพูทวีป ยังไม่สามารถที่ไปถึงทวีปอื่น ซึ่งเป็นโลกของมนุษย์อื่นอีก ๓ โลก

สวรรค์มี ๖ ภูมิ ตามลำดับคือ

สวรรค์ภูมิที่ ๑ คือ จาตุมหาราชิกา มีเทวดาซึ่งเป็นใหญ่ ๔ องค์คือ

ท้าวธตรัฏฐ เป็นเทพผู้เป็นใหญ่ทางทิศตะวันออก มีชื่อว่าอินทะ เป็นผู้ปกครองคันธัพพเทวดา (คนธรรพ์)

ท้าววิรุฬหก เป็นเทพผู้เป็นใหญ่ทางทิศใต้ หรือบางครั้งเรียกว่า ยมะ เป็นผู้ปกครองกุมภัณฑ์เทวดาด้วย

ท้าววิรูปักข เป็นเทพผู้เป็นใหญ่ทางทิศตะวันตก บางครั้งมีชื่อว่า ท้าววรุณ เป็นผู้ปกครองนาคเทวดา

ท้าวกุเวร เป็นเทพผู้ใหญ่ทางทิศเหนือ บางครั้งมีชื่อว่า ท้าวเวสสุวัณณ เป็นผู้ปกครองยักขเทวดา

สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาเป็นสวรรค์ชั้นต้น ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากภูมิมนุษย์ สวรรค์ซึ่งเป็น ภูมิของเทพนั้นสูงขึ้นๆ ตามระดับความประณีตของสวรรค์

สวรรค์ภูมิที่ ๒ คือ ดาวดึงส์ อยู่สูงกว่าสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา มีพระอินทร์เป็นจอมเทพ ทุกท่านคงได้ยินชื่อสวนสวรรค์ในชั้นดาวดึงส์บ่อยๆ สวนสวรรค์ในชั้นดาวดึงส์มี ๔ ข้อ คือ สวนนันทวันอยู่ทางทิศตะวันออก สวนจิตรลดาวันอยู่ทางทิศตะวันตก สวนมิสสกวันอยู่ทางทิศเหนือ สวนผารุสกวันอยู่ทางทิศใต้

สวรรค์ภมิที่ ๓ คือ ยามา

อยู่สูงกว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

สวรรค์ภูมิที่ ๔ คือ ดุสิต

อยู่สูงกว่าสวรรค์ชั้นยามา

สวรรค์ภูมิที่ ๕ คือ นิมมานรดี

อยู่สูงกว่าสวรรค์ชั้นดุสิต

สวรรค์ภูมิที่ ๖ คือ ปรนิมมิตวสวัตตดี

อยู่สูงกว่าสวรรค์ชั้นนิมมานรดี

ใครอยากจะอยู่สวรรค์ชั้นไหน เมื่อไม่ใช่พระอรหันต์ก็ยังต้องเกิดอีก แต่จะเกิดที่ไหน คงไม่ถึงพรหมภูมิ เพราะการที่จะเกิดเป็นพรหมบุคคลในพรหมภูมิได้นั้น ต้องเป็นผลของฌานกุศลที่ไม่เสื่อมตามที่กล่าวแล้ว ฉะนั้น ก็คงจะเกิดในกามภูมิ ภูมิใดภูมิหนึ่ง แล้วแต่ว่าจะเป็นอบายภูมิหรือสุคติภูมิตามเหตุ คือ กรรมหนึ่งที่ได้กระทำแล้วในสังสารวัฏฏ์

รูปวจรภูมิซึ่งเป็นที่เกิดของรูปพรหมบุคลมี ๑๖ ภูมิ คือ

ปฐมฌานภูมิ มี ๓ ภูมิ คือ

ปาริสัชชภูมิ ๑ (เป็นที่เกิดของผู้ที่บรรลุปฐมฌานกุศลจิตที่มีกำลังอ่อน)

ปุโรหิตาภูมิ ๑ (เป็นที่เกิดของผู้ที่บรรลุปฐมฌานกุศลจิตที่มีกำลังปานกลาง)

มหาพรหมาภูมิ ๑ (เป็นที่เกิดของผู้ที่บรรลุปฐมฌานกุศลจิตที่มีกำลังประณีต)

ทุติยฌานภูมิ มี ๓ ภูมิ เป็นที่เกิดของผู้ที่บรรลุทุติยฌานโดยจตตุถนัย และตติยฌานโดยปัญจกนัย คือ

ปริตตาภาภูมิ ๑

อัปปมาณาภูมิ ๑

อาภัสสราภูมิ ๑

ตติยฌานภูมิ มี ๓ ภูมิ เป็นที่เกิดของผู้ที่บรรลุตติยฌานโดยจตุตถนัย และจตุตถฌานโดยปัญจกนัย คือ

ปริตตสุภาภูมิ ๑

อัปปมาณสุภาภูมิ ๑

สุภกิณหาภูมิ ๑

จตุตถฌานภูมิ มี ๗ ภูมิ คือ

เวหัปผลาภูมิ ๑ เป็นที่เกิดของผู้ที่บรรลุจตุตถฌานโดยจตุตถนัยและปัญจมฌานโดยปัญจกนัย

อสัญญสัตตาภูมิ ๑ เป็นที่เกิดของผู้ที่บรรลุปัญจมฌานที่มีแต่รูปปฏิสนธิ ไม่มีจิตเจตสิกเกิดเลย

อวิหาภูมิ ๑*

อตัปปาภูมิ ๑*

สุทัสสาภูมิ ๑*

สุทัสสีภูมิ ๑*

อกนิฏฐาภูมิ ๑*

* สุทธาวาส ๕ ภูมิ เป็นที่เกิดของพระอนาคามีบุคคลผู้ได้จตุตถฌานโดยจตุตถนัย หรือปัญจมฌานโดยปัญจกนัย

อรูปพรหมภูมิ มี ๔ ภูมิ เป็นภูมิที่เกิดของผู้ที่บรรลุอรูปฌาน (ปัญจมฌานที่เพิกรูปแล้วมีอรูปเป็นอารมณ์) ตามลำดับขั้น คือ

อากาสานัญจายตนภูมิ ๑

วิญญาณัญจายตนภูมิ ๑

อากิญจัญญายตนภูมิ ๑

เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ ๑

ในอรูปพรหม ๔ ภูมินี้ มีแต่นามขันธ์ คือ จิตและเจตสิกไม่มีรูปใดๆ เกิดเลย

ในอังคุตตรนิกาย ติกนิบาต จุฬนีสูตร พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงเรื่องของโลกและจักรวาลไว้ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่โดยละเอียดอย่างที่บางท่านสงสัยใคร่รู้ แต่ก็แสดงให้เห็นพระปัญญาบารมีของพระผู้มีพระภาค ผู้ทรงเป็นโลกวิทู คือ ผู้ทรงรู้แจ้งโลกทั้งสิ้น

ลักษณะของจิตประการที่ ๔ คือ อนึ่ง จิตแม้ทุกดวงชื่อว่าจิต เพราะเป็นธรรมชาติวิจิตรตามสมควร โดยอำนาจแห่งสัมปยุตตธรรม (เจตสิกที่เกิดร่วมด้วย) ทำให้จำแนกจิตออกเป็นประเภทต่างๆ ได้หลายนัย เช่น โดยชาติ ๔ ได้แก่ เป็นกุศล ๑ อกุศล ๑ วิบาก ๑ กิริยา ๑ โดยภูมิ ๔ คือ กามาวจรจิต รูปาวจรจิต อรูปาวจรจิต โลกุตตรจิต

กามาวจรจิต มีทั้ง ๔ ชาติ คือ เป็นอกุศลก็มี เป็นกุศลก็มี เป็นวิบากก็มี เป็นกิริยาก็มี นอกจากกามาวจรจิตแล้ว จิตระดับที่สูงกว่านั้นไม่เป็นอกุศล คือ รูปาวจรจิตที่เป็นอกุศลไม่มี อรูปาวจรจิตที่เป็นอกุศลไม่มี โลกุตตรจิตที่เป็นอกุศลไม่มี (และที่เป็นกิริยาไม่มี)

ฉะนั้น รูปาวจรจิตจึงมี ๓ ชาติ คือ กุศล วิบาก กิริยา รูปาวจรกุศลจิตเป็นเหตุให้รูปาวจรวิบากจิตทำกิจปฏิสนธิเป็นพรหมบุคคลในพรหมโลก ภูมิหนึ่งภูมิใดในรูปพรหม ๑๕ ภูมิและรูปา วจรปัญจมฌานเป็นปัจจัยให้รูปปฏิสนธิเป็นอสัญญสัตตาพรหมบุคคลในอสัญญสัตตาพรหมภูมิ ๑ ภูมิ รูปาวจรกิริยาเป็นกิริยาจิตของพระอรหันต์ขณะที่เป็นรูปฌานจิตขั้นต่างๆ

อรูปวาจรจิตก็มี ๓ ชาติ คือ กุศล วิบาก กิริยา โดยนัยเดียวกัน

รูปาวจรจิตและอรูปาวจรจิต เป็นมหัคคตจิต ข้อความในอัฏฐสาลินี จิตตุปปาทกัณฑ์ อธิบายความหมายของ "มหัคคตะ" ว่า ชื่อว่า มหค?คต เพราะถึงความเป็นสภาวะอันใหญ่ เพราะสามารถข่มกิเลสได้ เพราะมีผลไพบูลย์

กิเลสเป็นสิ่งที่ข่มไม่ได้ง่าย เพราะพอเห็นก็เกิดพอใจหรือไม่พอใจ แต่ในขณะที่จิตเป็น อัปปนาสมาธิเป็นฌานจิตนั้น จิตสงบแนบแน่นในอารมณ์ทางมโนทวาร ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่รู้รส ไม่รู้โผฏฐัพพะ ขณะที่เป็นฌานจิต ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลานานเท่าไรก็ตาม ภวังคจิตจะไม่เกิดคั่นแทรกเลย ไม่เหมือนกับเวลาที่เป็นกามาวจรจิต ซึ่งเป็นขณะที่เล็กน้อยและสั้นมากเป็นปริตตธรรม เพราะเห็นชั่ววาระสั้นๆ ได้ยินชั่ววาระสั้นๆ คิดนึกชั่ววาระสั้นๆ ขณะที่เป็นกามาวจรจิตนั้น รู้อารมณ์หนึ่งๆ ชั่ววาระที่สั้นจริงๆ เมื่อจักขุทวารวิถีจิตเกิดขึ้นรู้รูปารมณ์ คือ สิ่งที่ปรากฏทางตาดับไป ภวังคจิตก็ต้องเกิดต่อทันทีก่อนที่มโนทวารวิถีจิตจะรับรู้สิ่งที่ปรากฏทางตาต่อจากจักขุทวารวิถีจิต กามาวจรธรรม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และจิตที่รู้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะจึงเป็นปริตตธรรม แต่มหัคคตจิตซึ่งได้แก่ รูปาวจรจิตและอรูปาวจรจิตนั้นถึงความเป็นสภาวะอันใหญ่ เพราะสามารถข่มกิเลสได้ จึงเป็นมหัคคตจิต

ขณะที่เป็นอัปปนาสมาธิ คือ ฌานจิตเกิดดับสืบต่อกันนั้น ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้โผฏฐัพพะ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และไม่คิดนึกเรื่องรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะใดๆ เลย จึงชื่อว่าสามารถข่มกิเลส แต่เมื่อฌานจิตดับหมดแล้ว กามาวจรจิตก็เกิดต่อเมื่อวิถีจิตเกิดขึ้นทางทวารต่างๆ อกุศลชวนวิถีก็เกิดได้ถ้าไม่ใช่กุศล เพราะเมื่อยังไม่ได้ดับกิเลส เป็นสมุจเฉท เมื่อเห็นแล้วอกุศลจิตก็เกิดขึ้น เมื่อได้ยินแล้วอกุศลจิตก็เกิด เมื่อกายกระทบสัมผัสแล้วอกุศลจิตก็เกิด มีใครรู้บ้างว่าอกุศลจิตเกิดอยู่เรื่อยๆ เมื่อไม่รู้ก็ไม่ได้ข่มและไม่ได้อบรมเจริญหนทางที่จะดับกิเลส

ก่อนการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่เห็นโทษของอกุศลจิตซึ่งเกิดสืบต่อจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้โผฏฐัพพะ ก็ได้พยายามหาทางที่จะข่มกิเลส และรู้ว่าทางเดียวที่จะข่มกิเลสได้ คือ ต้องไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่รู้รส และไม่รู้โผฏฐัพพะ เพราะถ้าเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส และรู้โผฏฐัพพะ ก็กั้นกิเลสไม่ได้ เมื่อรู้อย่างนี้จึงอบรมเจริญกุศลจิตที่ทำให้สงบจากโลภะ โทสะ โมหะ จนถึงอัปปนาสมาธิ ซึ่งไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่รู้รส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสใดๆ นอกจากอารมณ์ที่ทำให้จิตเป็นกุศลสงบมั่นคงแนบแน่นทางใจเพียงอารมณ์เดียวเท่านั้น อัปปนาสมาธิซึ่งเป็นฌานจิตนั้นไม่ใช่หนทางที่จะดับกิเลส เพราะเมื่อฌานจิตไม่เกิด กิเลสก็เกิด ชั่วขณะที่เป็นรูปาวจรจิตและอรูปาวจรจิตนั้นเป็นสภาวะอันใหญ่ เป็นมหัคคตะ เพราะข่มกิเลสได้โดยไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่รู้รส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่เหมือนพระอนาคามีบุคคลซึ่งเห็นแต่ดับความยินดีพอใจในรูป ได้ยินแต่ดับความยินดีพอใจในเสียง ได้กลิ่นแต่ดับความยินดีพอใจในกลิ่น ลิ้มรสแต่ดับความยินดีพอใจในรส กระทบสัมผัสแต่ดับความยินดีพอใจในเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึงไหวที่ปรากฏ ฉะนั้น จิตจึงต่างกันเป็น ๔ ภูมิ คือ ๔ ระดับขั้น

รูปาวจรจิตและอรูปาวจรจิตมี ๓ ชาติ คือกุศล ๑ วิบาก ๑ กิริยา ๑

โลกุตตรจิตมี ๒ ชาติ คือ เป็นโลกุตตรกุศลประเภท ๑ เป็นโลกุตตรวิบากประเภท ๑ ไม่มี โลกุตตรกิริยาจิต โลกุตตรจิตมี ๘ ดวง คือ

โสตาปัตติมัคคจิต เป็นโลกุตตรกุศล

โสตาปัตติผลจิต เป็นโลกุตตรวิบาก

สกทาคามิมัคคจิต เป็นโลกุตตรกุศล

สกทาคามิผลจิต เป็นโลกุตตรวิบาก

อนาคามิมัคคจิต เป็นโลกุตตรกุศล

อนาคามิผลจิต เป็นโลกุตตรวิบาก

อรหัตตมัคคจิต เป็นโลกุตตรกุศล

อรหัตตผลจิต เป็นโลกุตตรวิบาก

โลกุตตรกุศลจิต เป็นปัจจัยให้โลกุตตรวิบากจิตเกิดสืบต่อทันที ไม่มีจิตอื่นเกิดคั่นได้เลย กุศลอื่นทั้งหมดไม่สามารถที่จะให้ผลทันที คือ ไม่ทำให้วิบากจิตเกิดสืบต่อจากกุศลจิตได้ทันที แต่โลกุตตรกุศลเป็นปัจจัยให้โลกุตตรวิบากเกิดสืบต่อทันที โดยไม่มีจิตอื่นคั่นระหว่างโลกุตตรกุศลจิตซึ่งเป็นเหตุ และโลกุตตรวิบากจิตซึ่งเป็นผลเลย ทันทีที่โสตาปัตติมัคคจิตซึ่งเป็นโลกุตตรกุศลดับ โสตาปัตติผลจิตซึ่งเป็นโลกุตตรวิบากก็เกิดสืบต่อทันที ทันที่ที่อนาคามิมัคคจิตซึ่งเป็นโลกุตตรกุศลดับ อนาคามิผลจิตซึ่งเป็นโลกุตตรวิบากจิตก็เกิดสืบต่อทันที ทันที่อรหันตมัคคจิตซึ่งเป็นโลกุตตรกุศลดับ อรหัตตผลจิตซึ่งเป็นโลกุตตรวิบากจิตก็เกิดสืบต่อทันที

ฉะนั้น โลกุตตรวิบากจิตทั้ง ๔ จึงไม่ได้ทำปฏิสนธิกิจภวังคกิจและจุติกิจ ไม่เหมือนโลกียกุศลวิบากและอกุศลวิบากเมื่อโลกุตตรกุศลจิตดับ โลกุตตรวิบากจิตก็เกิดขึ้นมีนิพพานเป็นอารมณ์ต่อจากโลกุตตรกุศลทันที ฉะนั้น ผลจิตซึ่งเป็นโลกุตตรวิบากจิตนั้น จึงเป็นชวนวิถีจิตเช่นเดียวกับโลกุตตรกุศลจิต ผลจิตเป็นวิบากจิตประเภทเดียวเท่านั้นที่เป็นชวนวิถีจิต ทำชวนกิจและมีนิพพานเป็นอารมณ์ โลกุตตรกุศลจิตเกิดขึ้นเพียงขณะเดียวในสังสารวัฏฏ์ โดยดับกิเลสเป็นสมุจเฉทตามขั้นของโลกุตตรกุศลจิตนั้นๆ แต่โลกุตตรวิบากจิตที่เกิดต่อจากโลกุตตรกุศลจิตนั้น เกิดดับสืบต่อกันโดยมีนิพพานเป็นอารมณ์อีก ๒ หรือ ๓ ขณะตามประเภทของบุคคล

พระโสดาบันบุคคลยังเกิดอีกอย่างมากไม่เกิน ๗ ชาติ แต่ปฏิสนธิจิตของพระโสดาบันไม่ใช่โสตาปัตติผลจิต ทำกิจปฏิสนธิแล้วแต่ว่าพระโสดาบันบุคคลนั้นจะเกิดในภูมิใด วิบากจิตระดับภูมินั้นๆ ก็ทำกิจปฏิสนธิในภูมินั้น คือ ถ้าพระโสดาบันบุคคลนั้นเกิดในสวรรค์ กามาวจรวิบากจิตก็ทำกิจปฏิสนธิ ถ้าพระโสดาบันบุคคลนั้นเกิดในพรหมภูมิใด รูปาวจรวิบากจิตหรืออรูปวจรวิบากจิตก็ทำกิจปฏิสนธิในภูมินั้นๆ

ฉะนั้น คำว่า ภูมิ มี ๒ ความหมาย คือ หมายถึง ระดับขั้นของจิต ๑ และหมายถึงภูมิซึ่งเป็นที่เกิดของสัตวโลก ๑

ภูมิซึ่งเป็นระดับขั้นของจิตมี ๔ ภูมิ คือ

กามาวจรจิต ๑

รูปาวจรจิต ๑

อรูปาวจรจิต ๑

โลกุตตรจิต ๑

ภูมิซึ่งเป็นที่เกิดของสัตวโลก หมายถึง โอกาสโลก ซึ่งเป็นสถานที่เกิดของสัตวโลก มี ๓๑ ภูมิตามระดับขั้นของจิต คือ

กามภูมิ ๑๑ ภูมิ

รูปพรหมภูมิ ๑๖ ภูมิ

อรูปพรหมภูมิ ๔ ภูมิ



คำถามทบทวน
๑. กิเลสกามและวัตถุกามต่างกันอย่างไร
๒. ปริตตธรรมคืออะไร
๓. พระพุทธเจ้ามีกามาวจรจิตไหม
๔. คำว่าภูมิหมายถึงอะไรบ้าง
๕. สุทธาวาสภูมิคืออะไร ใครเกิดในสุทธาวาสภูมิได้
๖. รูปาวจรจิต อรูปาวจรจิตมีกี่ชาติ
๗. โลกุตตรจิตมีกี่ชาติ
๘. มหัคคตจิตได้แก่จิตอะไร
๙. โลกุตตรจิตเป็นวิถีจิตอะไร
๑๐. โลกุตตรวิบากจิตทำกิจอะไร



 

๒๘ พฤษภาคม ๒๕๔๓

http://www.dhammastudy.com/thpar10.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-08-2006, 21:01 โดย 999 » บันทึกการเข้า

ใบไม้ทะเล
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,321


In politics stupidity is not a handicap


« ตอบ #198 เมื่อ: 10-08-2006, 21:01 »

คุงปู่ขา วันนี้เป็นอะไรค่ะ บ้าพลังเหลือเกิน  Laughing Laughing

เรื่องกลิ่นปากนี้ มีเคล็ดลับ ว่าถ้าทานผลไม้พวก ฝรั่งหลังอาหาร จะลดกลิ่นปากได้ค่ะ ส่วนที่ญี่ปุ่นผลการวิจัยบอกว่า ทานโยเกิร์ตจะช่วยได้ค่ะ

บันทึกการเข้า

立てばしゃくやく、座ればぼたん、歩く姿はゆりの花
999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #199 เมื่อ: 10-08-2006, 21:07 »

คุงปู่ขา วันนี้เป็นอะไรค่ะ บ้าพลังเหลือเกิน  Laughing Laughing

เรื่องกลิ่นปากนี้ มีเคล็ดลับ ว่าถ้าทานผลไม้พวก ฝรั่งหลังอาหาร จะลดกลิ่นปากได้ค่ะ ส่วนที่ญี่ปุ่นผลการวิจัยบอกว่า ทานโยเกิร์ตจะช่วยได้ค่ะ




ก็เก็บใส่คลัง ไว้ย่อยละเอียดอีกทีครับ บอกแล้วว่าจะนั่งนับใบไม้ในมือกับคำนวณใบไม้ในป่าด้วย หากยังไม่ยอมบอกว่ากี่วินาที?  Twisted Evil Mr. Green Cool
บันทึกการเข้า

หน้า: 1 2 3 [4] 5 6
    กระโดดไป: