ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
20-04-2024, 13:35
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ผมเห็นว่าน่าสนใจดี เลยเอามาให้อ่านครับ 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
ผมเห็นว่าน่าสนใจดี เลยเอามาให้อ่านครับ  (อ่าน 905 ครั้ง)
Atisaki
สมาชิกสามัญขั้นที่ 1
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 21


รักกันๆ


« เมื่อ: 05-08-2006, 22:05 »

เครดิต คุณ chiangraiplus

ผมอยากจะเตือนความจำ ของคนในชาติครับ ใครทำอะไร

ผมไม่ได้คิดและเขียนขึ้นมาเองนะครับ ผมแค่แต่งเติมในส่วนที่ผมรู้และมีข้อมูลเท่านั้นครับ ส่วนใหญ่ ผมนำมาประติดปะต่อกัน เพื่อให้มองเห็นภาพของความเป็นไปในอดีตที่ผ่านมาเท่านั้น

ใครชอบก็โหวตให้ผมด้วย ผมอยากจะให้ได้อ่านและเก็บไว้ หาความรู้กันนานๆครับ กว่าจะรวมกันออกมา มันก็ยุ่งมากๆ ขอบคุณล่วงหน้าครับ


ผมอยากจะเตือนความจำของคนในชาติครับ ใครทำอะไรไว้ เราทุกคนควรรู้ เพราะว่าเราคือประชาชน ที่เป็นเจ้าของประเทศตัวจริงเสียงจริง

เรามาเริ่มต้นดูตั้งแต่รัฐบาล ท่านนายกชาติชายเลยละกันครับ (สิงหา 2531-กุมภา 2534)

เป็นยุคของการเปิดเสรีทางการลงทุน ชักชวนต่างชาติมาลงทุน เศรษฐกิจขยายตัวรวดเร็ว และเริ่มมีการสะสมฟองสบู่ โดยเฉพาะที่ดินที่มีการเก็งกำไรกันมาก
อัตราการขยายตัวประมาณ 11~13%ของ GDP
ดุลบัญชีเดินสะพัดติดลบประมาณ 3~ 8% ของ GD P
หนี้ต่างประเทศรวม (ปี 2533) 29600 ล้านดอลลาร์

และแล้วก็มาถึงรัฐบาล ท่านนายกอานันท์1 (มี.ค. 25 34-เม.ย. 2535) และท่านนายกอานันท์2(มิ.ย 2535-ก.ย.2535)
รัฐบาลได้สร้างภาพพจน์ต่อต่างประเทศด้วยการเปิดเสรีทางการค้า มีการลดภาษีนำเข้าหลายรายการเช่น รถยนต์ ไทยขาดดุลการค้ามากขึ้น
อัตราการขยายตัวประมา ณ 8.5 %ของ GDP
ดุลบัญชีเดินสะพัดติดลบประมาณ 5.5~ 7.5% ของ GDP
หนี้ต่างประเทศรวม (ปี 2535) 43621 ล้านดอลลาร์

ต่อมาก็ถึงคิวของรัฐบาล ท่านนายกชวน 1 (ก.ย.35-พ.ค.38)
นโยบายเปิดเสรีทางการ เงิน อันนี้ได้ใจเลยครับโดยหวังว่าไทยเราจะเป็นศูนย์กลางทางการเงินในภูมิภาคนี้ คนเรามีสิทธ์ที่จะฝันครับ  และในช่วงเวลาที่ไม่ห่างกันมากนัก นโยบายเปิดเสรีทางสาธารณูปโภค ก็เริ่มต้นทำงานเลยครับ ทุกอย่างเพื่อความเป็นเลิศครับ น่าภาคภูมิใจ จริงๆ รัฐบาลชวนหนึ่งนั้น ท่านมีนโยบายจำกัด บทบาทของภาครัฐ โดยให้สัมปทานกับเอกชน และรัฐบาลเป็นผู้เรียกเก็บค่าสัมปทานล่วงหน้า เช่น เรื่องโทรคมนาคม หรือพวกทางด่วนต่างๆ การเพิ่มบทบาทของเอกชนผู้รับสัมปทานนั้น ทำให้ยอดเงินกู้ ที่เอกชนต้องกู้มาเพื่อลงทุน สูงมากเข้าไปอีกเอ้า ยังไม่พอครับ รัฐบาลนี้ยังคงติดยึดอยู่กับที่ ในเรื่องของดอกเบี้ยที่แพงกว่านอกประเทศ ท่านไม่ยอมปรับหรอกครับ คนไทยที่หัวดีทั้งหลาย ก็เลยกู้เงินเอามากินดอกส่วนต่างสบายไปเลยครับ และแล้วความหละหลวมในทางการเงิน เพียงในเวลาไม่กี่ปี หนี้สินต่างประเทศของไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในปี 2537 IMF ได้เริ่มเตือนประเทศเราให้เปลี่ยนนโยบายการเงิน และได้เตือนซ้ำอีกในปี 38 แต่ไม่ได้รับความสนใจจากรัฐบาลที่แสนดีเลยครับ
ทั้งที่ในเวลานั้นอัตราการขยายตัวของไทย ยังคงอยู่ในระดับสูง คือประมาณ 8~9% ของ GDP แต่ช่วงนี้ก็มีดุลบัญชีเดินสะพัดที่ติดลบรุนแรงเช่นกัน (-5~ -5.5 %ของ GDP ) ส่วนหนี้ต่างประเทศก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก (ปี 2538 ไทยมีหนี้ต่างประเทศ 82,568 ล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นประมาณ หนึ่งเท่าตัวในช่วงเวลา 3 ปีของรัฐบาล )

เอ้าเลยมาถึงรัฐบาลท่านนายกบรรหาร จนได้ (ก.ค.2538-ก.ย.39)

ช่วงรัฐบาลท่านนายกบรรหาร เริ่มมีการเสื่อมลงของ อสังหาริมทรัพย์และหนี้สินในสถาบันการเงิน ตลาดหุ้นตกต่ำลง การส่งออกกุ้งถูกกีดกันจากกฎหมายสิ่งแวดล้อมของสหรัฐ ประจวบกับค่าเงินดอลลาร์ได้สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เงินบาทที่ผูกติดไว้กับดอลลาร์ก็สูงตามไปด้วย ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยลดลงไปอีก ปี 2538 และ 2539 ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยตกต่ำเข้าขั้นวิกฤต สองปีติดต่อกัน คือ -8.2 และ -8.1 ตามลำดับทำให้เงินบาทอยู่ในฐานะที่ล่อแหลมต่อการถูกโจมตี ในเดือน มี.ค. 2539 สถาบันจัดอันดับ Moody’s ได้เตือนว่าจะลดอันดับหนี้ระยะสั้นของไทย และการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย แก้ไขปัญหา BBC โดยเพิ่มทุนใหม่โดยไม่ได้ลดทุนเก่าเสียก่อน ยิ่งซ้ำเติมให้ต่างชาติขาดความเชื่อมั่น และกระบวนการขนเงินกลับก็ได้เริ่มต้นขึ้นในเดือน
ก.ย. 2539 สถาบันจัดอันดับ Moody’s ได้ลดอันดับ พันธบัตรระยะสั้นของไทย ในช่วงรัฐบาลบรรหาร นักเก็งกำไรต่างชาติได้เข้ามาโจมตีค่าเงินหลายครั้ง แต่ยังไม่รุนแรงนักเป็นการหยั่งเชิงว่า ธปท. จะเปลี่ยนนโยบายค่าเงินหรือไม่ ถึงตรงนี้คงจะกล่าวได้ว่า มีนโยบายทางการเงินการคลังที่ควรได้รับการแก้ไข แต่รัฐบาลไทยในอดีต ไม่ได้มีการตัดสินใจใดๆ เลยคือ

1. ไม่ได้ดำเนินนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดพอ

2. ไม่ได้ดำเนินนโยบายทางการคลังที่เข้มงวดและเกินดุลมากพอ

3. ไม่ได้เตรียมเงินทุนสำรองระหว่างประเทศให้เพียงพอ ต่อการไหลออกของเงินกู้และใช้ในยามวิกฤติ ขณะนั้นทุนสำรองของชาติมีเพียงพอสำหรับชำระสินค้าขาเข้าราว 4 เดือนเท่านั้น และยังเป็นเงินที่กู้มาเกือบทั้งหมด

4. ไม่ได้เปลี่ยนนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนทั้งๆ ที่ IMF ได้เคยเตือน ในปี 2537 2538(ชวน1) และ 2539(บรรหาร)

5  ไม่ได้มีนโยบายสะกัดกั้นการกู้เงินระยะสั้น (ในระยะหลังการกู้เงินจากต่างประเทศส่วนใหญ่เป็นการกู้ระยะสั้น)

มาถึงรัฐบาลท่านนายกชวลิต (พย.39-พ.ย.40)

ต้นปี 2540 รัฐบาลได้ตัดงบประมาณแผ่นดินลงอย่างรุนแรงถึง 2 ครั้ง เพื่อชะลอเศรษฐกิจและเพื่อลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
ในปี 2540 ธุรกิจอสังหาริมทรัย์ก็ได้กลายเป็นหนี้เสียในสถาบันการเงินมากขึ้น อุตสาหกรรมบางอย่างก็แสดงอาการเป็นฟองสบู่ เกิดเป็นหนี้เสียเช่นกัน ในเดือน มี.ค. ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศว่ามีบริษัทเงินทุน 10 แห่งต้องเพิ่มทุนด่วน ประชาชนที่ได้ข่าวหนี้เสีย ก็แห่กันมาถอนเงินฝาก บ. เงินทุนขาดสภาพคล่อง จึงหันไปขอความช่วยเหลือจากกองทุนฟื้นฟู เดือน ก.ค. บริษัทเงินทุน 16 แห่งถูกระงับกิจการเป็นการชั่วคราว และอีก 42 แห่งในเดือน สิงหา เพื่อให้ ธ.ป.ท. เข้าไปตรวจสอบ

มาแล้วครับกับการโจมตี ค่าเงินบาทของต่างชาติ

14 ก.พ. 2540 (เดือนที่ 3 ของรัฐบาลท่านนายกชวลิต) มีการโจมตีค่าเงินโดยกองทุนต่างชาติอย่างรุนแรง ด้วยความกลัวว่า ระบบการเงินจะพัง ธปท.ได้ทำสัญญา swap เพื่อปกป้องค่าเงินบาทไปถึง 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ (ขณะนั้นไทยมีหนี้ต่างประเทศ 91000 ล้านดอลลาร์ ) ครั้งนั้นแม้ ธปท. จะแกล้งสั่งจำกัดการแลกเปลี่ยนเงินบาทของธนาคารในประเทศ จนทำให้กองทุนต่างชาติต้องไปตั้งโต๊ะขอซื้อเงินบาทที่สิงคโปร์ในราคาแพงและขาดทุนไปตามกัน แต่กองทุนต่างชาติมิได้ล่าถอยแต่กลับไปเตรียมเงินบาทเพื่อกลับมาใหม่

14 พ.ค. ได้มีการโจมตีค่าเงินบาทครั้งใหญ่อีกครั้ง ธปท. ได้ต่อสู้โดยทำสัญญา swap ไปกว่าหมื่นล้านดอลลาร์ จนทำให้ทุนสำรองสุทธิ เหลือเพียง 2.5 พันล้านดอลลาร์(ทุนสำรองสุทธิ คือทุนสำรอง หักด้วยภาระ swap แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุนสำรองจริงๆเหลือเท่านั้น เพราะการส่งมอบภาระ swap ทำที่เวลาต่างๆ กันในอนาคต ส่วนจะเสียหายเท่าไรก็อยู่ที่อัตราแลกเปลี่ยนเมื่อถึงกำหนดส่งมอบ)

ตามรายงาน ศ.ป.ร.(ที่ตั้งโดย ป.ช.ป.) การต่อสู้ครั้งใหญ่ทั้งสองครั้ง ธ.ป.ท รายงานแต่ชัยชนะ แต่ไม่ได้รายงานยอด swap ให้ ร.ม.ต. คลังทราบ เพราะถือว่าเป็นบัญชีซื้อขายของฝ่ายการธนาคาร และไม่ได้กระทบกับเงินสำรองในทันที อีกทั้งต้องการซ่อนไม่ให้ ตลาดเงินและประชาชนรู้ (จริงๆแล้ว ร.ม.ต. คลังกับพลเอกชวลิตจะทราบหรือไม่ กระผมไม่อาจรู้ได้)

25 มิ.ย. ดร.ทนง (ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่ง ร.ม.ต. คลัง แทน ดร. อำนวย)ได้สั่งให้ ธ.ป.ท. รายงานสถานะเงินสำรองสุทธิ และเข้ารายงาน พลเอกชวลิต ในวันที่ 29 มิ.ย. จากนั้น พลเอกชวลิต ได้ตัดสินใจลดค่าเงินบาทโดยการปล่อยลอยตัว ในวันที่ 2 ก.ค. 40 (เหตุผลคือ เงินสำรองสุทธิลดลงมาก จนไม่อยู่ในสถานะที่จะปกป้องค่าเงินได้อีก และเพื่อเป็นการแก้ปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด)

เป็นอันสรุปว่า ธปท. ได้ทำให้เกิดความเสียหายจากการที่พยายามตั้งค่าเงินไว้สูงเกินไป และได้ทำสัญญา swap เพื่อต่อสู้กับการโจมตีค่าเงินบาท เป็นวงเงินรวมทั้งหมดเกือบ 30,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งภายหลังเมื่อ ธปท. ได้ชำระภาระ swap หมดแล้วพบว่ามีขนาดความเสียหาย 188,760 ล้านบาท หรือทำสัญญา swap 30,000 ล้านเหรียญแล้วขาดทุนเฉลี่ยเหรียญละ 6.3 บาท (ไม่ใช่เสียหายทั้ง จำนวนสัญญาสามหมื่นล้านเหรียญ หรือ แปดแสนกว่าล้านอย่างที่มีคนบางกลุ่มพยายามทำให้ประชาชนเข้าใจอย่างนั้น)

การลดค่าเงินโดยการปล่อยลอยตัว แม้จะทำให้ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเป็นบวก(นับจากเดือนกันยายน 2540 ไทยมีดุลการค้าเป็นบวก 800~ 1000 ล้านดอลลาร์ต่อเนื่องทุกเดือน) แต่ก็ทำให้ธุรกิจที่กู้เงินต่างประเทศและธนาคารต่างๆ มีหนี้สินสูงขึ้นทันที

เมื่อเงินสำรองสุทธิ ลดต่ำลงมากทำให้รัฐบาลต้องขอความช่วยเหลือจาก IMF เพื่อของวงเงินสำรองไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน IMF ได้ตั้งวงเงินกู้ให้ไทยเพียง 17.2 พันล้านดอลลาร์ (ให้เป็นงวดๆ ) ซึ่งทำให้เจ้าหนี้ต่างประเทศ คาดว่าวงเงินเพียงเท่านั้น แม้จะเพียงพอต่อรัฐบาล แต่จะไม่เพียงพอต่อการคุ้มกันการทวงหนี้ของภาคเอกชน เมื่อวงเงินคุ้มกันไม่มากพอ การทวงหนี้ในภาคเอกชนจึงดำเนินต่อไปอย่างรุนแรง ก่อให้เกิดการลดค่าเงินอย่างรุนแรง และปัญหาการขาดสภาพคล่องที่นำไปสู่การล้มละลายของธุรกิจจำนวนมากตามมา

ช่วงเดือน สิงหา ถึงตุลา ได้มีการปลุกกระแสสังคมอย่างหนักว่า ประเทศไทยกำลังจะล้มละลาย เพราะรัฐบาลท่านนายกชวลิต( ใครปลุกกระแส เราๆท่านๆน่าจะรู้ความนัยละนะ คนที่ทำแบบนี้ได้เนียนจริงๆนี่ มีไม่มากครับ ) จากกระแสต่อต้าน ท่านพลเอกชวลิตได้ตัดสินใจลาออก ขณะนั้นเงินบาทอยู่ที่ 36.85 บาท

มาแล้วครับ รัฐบาล ชวน 2 ( พย. 40 - กพ 44 )

หลังจากที่ ได้เข้ามาบริหารประเทศ ด้วยเสียงเชียร์อันดังกระหึ่มของบรรดานักวิชาการหน้ามืด และสื่อทั้งหลายแล้ว คนที่ดีใจมากๆอีกคนหนึ่ง คือท่านเจ้าของซีพีครับ ท่านดีใจมาก ขนาดที่ว่า ท่านไปหาและแสดงความยินดีกับคุณชวนถึงพรรค ปชป เลยครับ รัฐบาลชวน ก็ได้พยายามหยุดยั้งการไหลออกของเงิน ด้วยการขึ้นดอกเบี้ย แต่เนื่องจากขาดความเชื่อมั่น แม้จะขึ้นดอกเบี้ยการไหลออกของเงินก็ยังไม่ลดลง ยังคงมีการเรียกหนี้คืนอย่างหนักจากต่างประเทศ ค่าเงินบาทได้ไหลลงต่อเนื่องและทำจุดต่ำสุดที่ 57.5 บาทต่อดอลลาร์ ในเดือน มกราคม 2541 ก่อนจะกลับขึ้นมาอยู่ในระดับประมาณ 40 บาทเมื่อสิ้นไตรมาสที่ 1 แต่รัฐบาลก็ยังคงตั้งเป้าที่จะทำให้ค่าเงินให้เข็งขึ้นไปอีก และจะยังคงนโยบายดอกเบี้ยสูงต่อไป ทั้งๆที่เงินบาทได้เข้าสู่ระดับสมดุลแล้ว และเศรษกิจเองก็กำลังชะลอลงอย่างรุนแรงแล้วนะนี่ แต่ความพยายามคือความพยายามครับ

ความพยายามที่จะทำให้ค่าเงินแข็งขึ้น โดยใช้นโยบายดอกเบี้ยสูง และควบคุมฐานเงินทำให้เงินฝืดเป็นเวลานาน เพื่อช่วยธุรกิจขนาดใหญ่ และสถาบันการเงิน ที่กู้เงินจากต่างประเทศมาเป็นจำนวนมากๆ ( นี่คือที่มาของคำว่า การลดน้ำจากยอดส่วนบนสุดและปล่อยให้น้ำไหลลงมายังรากในภายหลัง ทำได้ดี น่านับถือจริงๆครับ ) และยังทำให้ธนาคารของนายทุนพรรค สามารถหากำไร จากการไม่ปล่อยสินเชื่อได้อีกต่างหาก โดยการนำเงินมาฝากกับ ธ.ป.ท. อย่างนี้คนจนก็รับไปละกัน

ช่วงปลายเดือน ก.ค. ปี 2541 รัฐบาลได้เริ่มลดอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารลงเรื่อยๆ ธนาคารเองก็ลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงไปเรื่อยๆ เช่นกัน และยังไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเงินกู้เข้าสู่ระบบเศรษกิจ เพิ่มขึ้นแต่อย่างไร เนื่องจากธนาคารถูกบังคับให้ต้องกันสำรองหนี้เสียให้ได้ ตามเกณฑ์ 8.5% ต่อสินทรัพย์เสี่ยง

สำหรับสถาบันทางการเงินที่ถูกปิดกิจการชั่วคราวและอยู่ในการดูแลของ ป.ร.ส. นั้น มี 56 แห่ง ไม่สามารถสำรองตามเกณฑ์ 15 % (หลังจากถูกตรวจสอบบัญชีและประเมินราคาสินทรัพย์โดย บ.สอบบัญชีต่างชาติแล้ว) จึงถูกปิดกิจการถาวร ปล่อยรอดมาเพียง BIC และ KK ซึ่งแข็งแรงถึงขนาดเข้าประมูลสินทรัพย์ ป.ร.ส. แข่งกับต่างชาติได้ (กรณีที่ใช้เกณฑ์การสำรองหนี้เสียที่เข้มงวดกว่าปกตินี้รัฐบาลอธิบายว่า เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่กลับมาเป็นปัญหาอีก คิดและพูดได้ดีครับ) จากนั้นรัฐได้รีบจัดให้ประมูลขายสินทรัพย์และหนี้ที่ติดอยู่กับ ป.ร.ส. ออกไปทั้งหมด ตามคำแนะนำของที่ปรึกษาชาวต่างชาติ โดยไม่มีการประนอมหนี้แต่อย่างไร

ด้วยผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกัน ที่ปรึกษาต่างชาติได้ตั้งกฎเกณฑ์ที่เอื้อให้พวกตัวเองและกีดกันคู่แข่งขัน ในการประมูลขายสินทรัพย์ในปี 2541 เราขายได้ราคาต่ำมาก เพียงแค่ 20% เท่านั้นครับ (รัฐบาลให้เหตุผลว่า ที่รีบขายออกไป เพราะต้องการขายก่อนประเทศอื่นๆ ที่มีปัญหาเช่นกัน เช่นเกาหลี อินโด และจะทำให้ได้เงินเข้าประเทศได้ดี คิดและพูดได้ดีอีกแล้วครับ น่ายกย่องมากครับ)

การปิดสถาบันการเงิน ทำให้ธุรกิจที่กู้เงินถูกปิดวงเงินลง ทรัพย์สินถูกยึดติดไปกับหนี้ ก็ทำให้ไม่มีเงินหมุนเวียน กลายเป็นหนี้เสีย ลุกลามต่อไปยังสถาบันการเงินอื่น ทั้งสินทรัพย์ที่ได้ถูกประมูลไป แล้วขายออกมาในราคาถูกกว่าท้องตลาดก็มีส่วนทำให้สินทรัพย์ที่ตกต่ำอยู่แล้ว ตกต่ำลงไปอีก และย้อนกลับมาเป็นภาระให้ธนาคารต้องกันสำรองมากขึ้น (สินทรัพย์ที่ราคาต่ำลง ทำให้หลักประกันไม่คุ้มมูลหนี้ หนี้สินที่ให้กู้จึงจัดเป็นหนี้เสีย ต้องตั้งสำรอง นำไปสู่การลดลงของกองทุน ซึ่งธนาคารเกือบทุกแห่งต้องลดทุนลงจนสูญเสียความเป็นเจ้าของ ไปในที่สุด)

ความเสียหายจากฟองสบู่แตกในครั้งนั้น มีความเสียหายเท่าไรไม่อาจประเมินได้แน่ชัดครับ เฉพาะความเสียหายในภาคสถาบันการเงินก็มีมูลค่านับล้านล้านบาท ยังไม่รวมการที่รัฐต้องยอมลดค่าสัมปทานให้กับธุรกิจเอกชน การล้มละลายของธุรกิจนับหมื่นแห่ง รวมถึงธุรกิจไทยที่ต้องตกไปอยู่ในมือต่างชาติ

ต่อจากนี้คือคำถามครับ

1.) หากรัฐบาลไทยในอดีตได้ตัดสินใจเปลี่ยนนโยบายค่าเงิน หรือได้ทำการชะลอเศรษฐกิจลงบ้าง เมื่อเห็นว่าดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศติดลบมากเกินไป โดยเฉพาะหากกระทำก่อนที่หนี้ต่างประเทศจะอยู่ในระดับสูง สถานการณ์จะเปลี่ยนไปอย่างไร และการโจมตีค่าเงินจะเกิดขึ้นหรือไม่

2.) เมื่อมีการโจมตีค่าเงิน หาก ธ.ป.ท. ตัดสินใจไม่ปกป้องค่าเงินแต่ยอมให้ค่าเงินลดลงในทันที ปัญหาการไหลออกของเงินกู้ การล้มละลายของธุรกิจ อันเนื่องมาจากการขาดสภาพคล่องที่รุนแร งและภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้น การตกต่ำของสินทรัพย์ หนี้เน่าใน ภาคสถาบันการเงินจะเกิดขึ้นหรือไม่ หรือเปลี่ยนไปอย่างไร

3.) การใช้ข้อมูลเท็จ ปลุกกระดม สร้างกระแสให้เกิดความหวาดกลัว เพื่อโค่นล้มรัฐบาล พลเอกชวลิต รวมถึงการไปพูดโจมตีถึงต่างประเทศ มีส่วนทำให้ค่าเงินบาทรูดลงไปที่ 57.5 บาทต่อ ดอลลาร์หรือไม่ ใครไปพูดเพื่อเผาบ้านตนเอง ใครครับ แต่น่าจะรู้ๆกันดีนะ เรื่องเลวๆน่าจะมีทำได้อยู่ไม่มากคน และตอนนี้ พลพรรคนี้ ก็กำลังใช้คารมกลับขาวเป็นดำ เพื่อสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติของเราอีกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่มีพลพรรคใดๆ จะเลวเท่าพลพรรคนี้อีกแล้วครับ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ พลพรรคพวกนี้ ก็จะยอมทำทุกอย่าง ร่วมมือกับโจรโกงเงินชาวบ้าน เช่น นายเอกยุทธ พลพรรคนี้ก็ทำครับ สุดยอดของความเลวในยุคนี้ ผมขอยกตำแหน่งนี้ให้ไปเลยครับ

ผมว่าเราน่าจะเก็บไว้ เพื่อให้คนรุ่นใหม่ๆ ที่ยังไม่ได้รับรู้ ได้รับรู้บ้างนะครับ ผมขอร้องให้เราช่วยกัน นำไปขยายผลให้กว้างออกไป ให้มากๆด้วยครับ ขอบคูณครับ


พรรคประชาธิปัตย์ในยุคที่คุณชวน เป็นนายกฯ ในครั้งแรกนั้น เกิดขึ้นมาหลังจากที่ คณะ รสช. ได้ล่มสลายไป และนายกฯ ชวนเป็นนายกฯ เพียงสั้นๆ แค่ปีกว่าๆเท่านั้นครับ แหมจริงๆแล้วผมไม่อยากบอกสาเหตุ ที่ต้องล้มหายตายจากในทางการเมือง ในครั้งนั้นเลยครับ มันยังอุ่นๆอยู่เลย เอ้า สปก  ก็ สปก. สิเอ้า คือมันมีการออกโฉนด มอบให้กับประชาชนที่ไม่มีที่ทำกิน หรือประชาชนที่ยึดครองที่ดิน หรือยึดครองที่อยู่แล้ว และก็ยังไม่สามารถออกโฉนดได้ แต่ต้องเป็นคนที่ยากจน แต่ผลงานของ ปชป ที่เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา ก็เพราะ ปชป ได้ยกเอาแผ่นดินไปให้คนรวย ซึ่งเป็นพรรคพวกเดียวกัน ก็เลยเป็นเหตุเป็นผลในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกฯ ชวน  แต่ท่านชวนของผมก็ยังยืนยัน ความถูกต้องว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และรัฐบาลไม่ได้ทำอะไรผิด ท่านก็สู้ของท่านไป ตามมีตามเกิด ท่านไม่ยอมรับผิดหรอกครับ

นิสัยที่ไม่ยอมรับผิดแบบนี้ของท่านชวน มันส่อให้เห็น และมันได้แพร่ขยาย มาจนถึงยุคที่ท่านเป็นนายกครั้งที่ 2 ด้วยการอุ้มคุณธารินทร์ นิมมานเหมินท์ อย่างสุดชีวิต ไม่ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไร ท่านจะออกมาปกป้องคุณธารินทร์ อย่างสุดลิ้มทิ้มประตู ฉะนั้นแล้ว คนชอบ ปชป อย่าได้คิดมากและโมโหผมเลยนะครับ พรรค ปชป ที่พ่ายแพ้ต่อ ทรท นั้น เป็นเพราะความเป็นนายกฯ ชวน ที่เป็นคนที่ดื้อ แล้วก็ไม่ยอมเอาชาติขึ้นมาอยู่เหนือพรรคพวกของตัวเอง มันก็สมควรละครับนะ

ถ้าคุณชวน คิดได้และคิดเป็น ก็อาจจะเปลี่ยนตัวคุณธารินทร์ ได้ แต่ไม่กล้าเปลี่ยนครับ คนไม่มีความรู้ จะตัดสินใจอะไรก็ยากไปหมด ที่เหลืออยู่ก็พวกง่ายๆ เลยทำได้แบบที่เห็นนี่ละนะ และเพราะความดื้อที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมในตัวตนของความเป็นคุณชวน ใครบอกให้เปลี่ยนตัว การคลัง ท่านจะยอมตามที่บอกได้ไง ถ้าเปลี่ยนตามที่บอกออกมา ก็หมายความว่า คุณชวนเองก็ผิดพลาดที่เลือกคุณธารินทร์ มาในตอนแรก โธ่ หน้าบางจริงนะพ่อคุณ เหมือน สปก. 4-01 เลยนะ ที่ท่านชวนไม่มีวันยอมรับผิด ถ้ายอมรับผิด ก็ให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ขอโทษประชาชน แล้วลาออกซะ แล้วคุณชวนก็ตั้งคนใหม่แทนก็ได้ แต่คุณชวนไม่มีวันยอมเสียหน้าแน่นอนครับ 

เหตุผลอันนั้น กับเหตุผลอันนี้เกิดจากความดื้ออันเดียวกัน เพราะฉะนั้นแล้ว เบื้องหลังการยุบสภาในครั้งนั้น หลังจากที่ได้อภิปรายสปก. 4-01 ถึงที่สุดแล้ว เบื้องหลังการยุบสภาในครั้งนั้น ก็เป็นที่รู้กันว่าคุณชวน ซึ่งเป็นนายกในขณะนั้น ประกาศยุบสภา ในวันลงคะแนนเสียง ก็เพราะว่า ท่านสืบรู้มาว่าพรรคพลังธรรม ซึ่งมีพลตรีจำลอง เป็นหัวหน้าพรรคนั้น จะไม่เล่นด้วย และจะถอนตัวจากการสนับสนุนรัฐบาล ท่านนายกฯ ชวน ท่านไม่ต้องการแพ้เสียงในสภา จะเสียหน้าท่าน จะเสียศักดิ์ศรี ท่านก็เลยเลือกการยุบสภา แล้วก็ให้ทุกคนไปเผชิญโชคเอาวันข้างหน้า พอหมดช่วงนายกฯ ชวน หลีกภัย เราก็มีนายกฯ บรรหาร ศิลปอาชา และนายกฯ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ สองท่านนี้นี้เข้ามาคั่นเป็นเวลาประมาณ 3 ปี ซึ่งใน 3 ปีนี้ ก็พอเพียง ที่ทำให้ ปชป สามารถที่จะสั่งสมกำลังอีกครั้ง แล้วก็สร้างกระแสขึ้นมาได้อีกครั้ง ได้จริงๆด้วยนะเอ้า ไม่เชื่อตามมาดูเลยเอ้า

มันเป็นเวรเป็นกรรมอะไรของบ้านเราก็ไม่รู้นะ ในยุคของคุณบรรหาร เป็นนายกฯ และพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกนั้น จริงๆแล้ว ถ้าเรามาดูอย่างลึกๆแล้ว สองพรรคการเมืองคือ พรรคชาติไทยและพรรคความหวังใหม่ ที่พลัดกันเป็นรัฐบาลนั้น ถ้าพูดถึงความฉาวโฉ่ในวงการ การเมือง อย่างที่ยุคพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลในยุคที่แล้ว พรรค ปชป เองนั้น มีคดีเพียบไปหมดเลยครับ ไม่ว่าจะเป็น วูฟล์กัง บ้านสามหลัง ปรส. หรือกรณีจับยาบ้าซึ่งเป็นลูกน้องคนสนิทของรมช. กระทรวงมหาดไทย นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ หรือว่าจับซีดีเถื่อนในบ้านพิษณุโลก บ้านนายกฯ ซึ่งคนสนิทหรือว่าคนขับรถของท่านนายกฯ เป็นคนค้าขาย กรณีแบบนี้เพื่อความธรรมแล้วในยุคของบรรหาร ศิลปอาชา และพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกฯ นั้น ไม่เคยมีครับ

แต่มันเป็นความโชคร้ายของคุณบรรหาร และพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ที่มีลูกน้องบริวารที่ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ประชาชน และสังคมไทยไม่ยอมรับ เพราะคนไทยเป็นคนที่ชอบภาพ ไม่ว่าจะเป็น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ไม่ว่าจะเป็นนายเกียรติชัย ชัยชวรัตน์ ไม่ว่าจะเป็นนายเนวิน ชิดชอบ ในยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครต่อใครพอเอ่ยชื่อมาแต่ละคนแล้ว สังคมไทยส่ายหน้าร้องยี้ ร้องแย้ ร้องเย้า กันไปหมดในช่วงนั้น มันก็เลยเกิดภาพที่ทำให้เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ที่ประชาชนไม่พอใจ และไม่ชอบคนในรัฐบาลของรัฐบาลของท่านบรรหาร และพลเอกชวลิต ทั้งๆที่ ทั้งสองรัฐบาล ถ้าพูดถึงความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นนั้น แทบจะไม่มีเลย เมื่อเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นใน 3 ปี 4 เดือน ของรัฐบาลชุดที่พรรค ปชป เป็นหัวหน้าคณะ

เมื่อวิกฤติ 2540 เกิดขึ้นมานั้น มันก็เลยเกิดการร้องเรียน และโวยวายกันขึ้นมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่คนชนชั้นกลาง มีกระบวนการเดินขบวนกัน มีการชวนพลพรรคสีลม ออกมาแล้ว คนที่นำพลพรรคสีลมในตอนนั้นคือคุณโพธิพงษ์ ล่ำซำ ซึ่งถ้าเห็นชื่อในวันนี้ จะต้องร้องอ๋อ เพราะคุณโพธิพงษ์ ล่ำซำ เป็นปาร์ตี้ลิสต์ ของพรรคประชาธิปัตย์ในวันนี้ 
เขาเล่นการเมืองกันแบบนี้ เราต้องอ่านข่าวและจำเอาไว้บ้างครับ  แล้วก็ถึงบางอ้อ อ๋อมันเป็นอย่างนี้นี่เอง

วิกฤติเศรษฐกิจ 2540 นั้นทำให้พลเอกชวลิตจำเป็นต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แล้วถ้าติดตามทางการเมืองดีๆ จะได้เห็นว่า ในการช่วงชิงตำแหน่งในการเป็นนายกนั้น พรรค ปชป ทำเลวๆ ผิดอุดมการณ์ ทำลายหลักการทางการเมืองของพรรค ปชป และของคุณชวน เอง ที่เคยมีมาตั้งแต่อดีตจนกระทั่งถึงวันนั้น ด้วยการขโมยคนของพรรคประชากรไทยออกมา ซึ่งก็คือกลุ่มงูเห่า ให้มาสนับสนุนตนเอง ให้ได้เป็นนายก เจริญจริงๆนะพี่นะ
คุณชวน จะไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้เลยนะครับ โน่นเรื่องแบบนี้ ให้พลตรีสนั่น เป็นคนทำละกัน คุณชวนจะไม่สนใจ จะไม่รับรู้ จะรู้อย่างเดียวว่า เมื่อไรจะได้เข้าไปนั่งในสภาวะ แล้วมีมือ มายกมือสนับสนุนให้เป็นนายกได้ก็พอแล้ว ความเป็นผู้เป็นคน ไม่ต้องมาถามถึงนะ อย่าเชียว ท่านด่าเอาจริงๆด้วยนะขอบอก   
 
3 ปี 4 เดือนที่ผ่านมา เราก็เริ่มเห็นว่า  ปชป ทำงานไม่เอาอ่าวเลยครับ เพราะคนของ ปชป ตั้งแต่เล่นการเมืองมานั้น  เขาได้ดีมาเพราะปากอย่างเดียว ทำงานไม่เป็น ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจกันละนะ เพราะในอดีตนั้น เขาเพิ่งได้ทำงานจริงก็ 3 ครั้งเท่านั้น

ครั้งที่ 1  ก็เป็นชุดรัฐบาลที่เต็มตัวในชุดที่มรว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็ต้องเป็นเพียงสั้นๆ ก็พังทะลายลงไป

ครั้งที่ 2  ก็เพราะว่าขี่กระแสของ คณะ รสช. แล้วก็ได้ขึ้นมาเป็นรัฐบาล ก็เพราะมีคนไปปล่อยข่าวว่าพลตรีจำลอง พาคนไปตาย เป็นรัฐบาลหลัง คณะ รสช. ก็เป็นเพียงได้แค่ปีกว่าก็พัง พังเพราะตัวเองไปดื้อด้าน กับเรื่องของการปกป้อง สปก. 4-01

ครั้งที่ 3  นั้นก็อยู่ได้นานหน่อย ที่อยู่ได้นานนั้น ไม่ใช่อะไร เหตุเพราะว่าติดเงื่อนไขรัฐธรรมนูญ ที่เปิดโอกาสให้อยู่ได้จนถึงปลายปี 2543 โดยที่ไม่สามารถที่จะอภิปรายไม่ไว้วางใจและยุบสภาได้ ก็สามารถลากกันต่อไปได้ จนถึงปี 2543 จะเห็นว่าใน 3 ครั้งที่ผ่านมานั้น พลพรรค ปชป ไม่ได้ทำงานอะไรเป็นรูปร่างเลย มันเป็นข้อคาใจของคนหมู่มาก ทำไมมันยากเย็นแสนเข็ญ อะไรกันนักหนา มันทำไมสร้างปัญหาให้พลพรรค ปชป ได้มากมายขนาดนี้ ในเรื่องของการทำงานที่จับต้องได้นี่นะ แสดงว่าจริงๆแล้ว เนื้อหาที่แท้จริงของคน พลพรรค ปชป นั้น ทำงานกันไม่เป็นทั้งหมดเลยหรือ  พฤติกรรมต่างๆ ของคนในพลพรรค ปชป นั้น ทำไมพรรค ปชป ถึงเป็นคนที่ชอบใช้ปากในการทำงาน เป็นพรรคที่ชอบใช้โวหารเล่นการเมือง ไม่ชอบใช้การกระทำ ไม่ชอบใช้ผลงาน แต่จะเก่งกันที่ปาก ได้ดีกันที่ปาก เป็นคนซึ่งชอบทำลายคน ชอบกระแนะกระแหน เป็นคนซึ่งมีแต่ความไร้สาระ มากกว่ามีสาระ อันนี้มันแสดงถึงอะไรครับ

ผมขอฝากข้อมูลเหล่านี้ไว้ด้วยนะครับ ข้อมูลนี้ ผมนำออกมาเพื่อแก้ข้อหาที่ว่า ทรท เป็นผู้ชักศึกเข้าบ้าน ตามที่คุณชวน ชอบออกมาใส่ความอยู่เรื่อยๆ ชอบหาว่า ทรท ยกเลิก ศอบต จะทำความเสียหายอย่างมาก ในภาคใต้ แต่ตนเองแอบทำบ้าบอ ไม่เคยคิดที่จะบอกออกมา มันน่าทุเรศครับ กระทู้นี้ขอเป็นกระทู้เก็บข้อมูลละกันครับ


รัฐบาลชวน หลีกภัย แอบไปตกลงกับสหรัฐฯ ให้ CIA ตั้งศูนย์ต้านก่อการร้าย 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เปิดปูมหลัง ดร.วันกาเดร์ เจ๊ะมัน หัวหน้ากลุ่มเบอร์ซาตู

ด้วยฝีมือของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี ที่ขุดหลุมล่อ นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ให้หล่นลงไปในกับดัก แล้วงัดหลักฐานขึ้นมาฟาด โดยท่านได้ระบุว่า รัฐบาลนายชวน หลีกภัย ได้ไปตกลงลับกับหน่วยงาน Confederete Intelligence Agency ของสหรัฐอเมริกา อันเป็นหน่วยงานข่าวกรองที่คนไทยรู้จักมักคุ้นในชื่อย่อ CIA ข้อตกลงลับที่ว่านั้น คือ การอนุญาตให้ CIA เข้ามาตั้งหน่วยงานที่มีชื่อย่อว่า CTIC หรือ Counter Terrorist Intelligence Center หรือ ศูนย์ต่อต้านการก่อการร้าย ในจังหวัดชายแดนภาคใต้  หน่วยงานนี้ ตั้งมา 4 ปีแล้ว เป็นการตั้งขึ้นมาลับๆ พร้อมๆ กับการตั้งหน่วยเฉพาะกิจ 399 ด้านชายแดนไทย - พม่า ที่รัฐบาลชวน หลีกภัย แอบอนุญาตให้สหรัฐอเมริกา เข้ามาตั้งที่ภาคเหนือ โดยอเมริกันจัดส่งอุปกรณ์ ส่งหน่วยพิเศษเข้ามาร่วมงาน

และทหารอเมริกัน ที่เข้ามารับผิดชอบ ชื่อ พ.อ.แบร์รี ชาปิโร เป็นเจ้าหน้าที่ CIA หน่วยเฉพาะกิจ 399 ตั้งขึ้นมา เพื่อนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทันสมัย เข้าไปจับตาดูสถานการณ์ด้านพม่า และจีนตอนใต้ ตามนโยบายของสหรัฐอเมริกา ด้วยเพราะขณะนั้น ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุชไม่ไว้ใจจีนเป็นอย่างยิ่ง หลังจากเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน 2544 และสหรัฐอเมริกาได้ตัดสินใจบุกอัฟกานิสถาน พ.อ.แบร์รี ชาปิโร จึงถูกย้ายจากเมืองไทยไปอัฟกานิสถาน และยังคงอยู่ที่นั่น อันเป็นช่วงเวลาเดียวกัน กับที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โยก พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ จากผู้บัญชาการทหารบก ไปเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด พร้อมกับยุติบทบาทของ พล.อ.วัธนชัย ฉายเหมือนวงศ์ อดีตแม่ทัพภาค 3 ไว้ที่ตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก อย่าลืมว่านายทหารทั้ง 2 ร่วมกันก่อปฏิบัติการ OVER ACTION ภายใต้ข้ออ้างปราบปรามยาเสพติด จนเกิดเหตุกระทบกระทั่งกับรัฐบาลพม่าอยู่เป็นระยะ

อันเป็นปฏิบัติการที่เกี่ยวพันแนบแน่น กับหน่วยเฉพาะกิจ 399 ในความรับผิดชอบของ พ.อ.แบร์รี ชาปิโร หลังเหตุการณ์ 11กันยายน 2544 สหรัฐอเมริกา ได้เปิดแนวรบและแนวรุก เพื่อยันไม่ให้ภัยการก่อการร้ายเข้าไปอาละวาดในสหรัฐอเมริกา โดยยกพลเข้าไปอยู่ตามจุดต่างๆ ทั่วโลก อันหมายรวมถึง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ที่อยู่ติดกับประเทศมุสลิม คือ มาเลเซีย ด้วยความเชื่อว่ าอาณาบริเวณนี้ มีกลุ่มผู้ก่อการร้ายหลายกลุ่ม แอบเข้ามาฝังตัวอยู่ เมื่อเข้าไปตั้ง หน่วยต่อต้านการก่อการร้าย ที่ไหน ก็ต้องใช้คนที่นั่น เมื่อสหรัฐอเมริกาเข้ามาตั้งหน่วยงานนี้ ณ จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงต้องใช้ตำรวจไทย ทหารไทย ต้องใช้คนในพื้นที่ ข้อตกลงอันนี้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ บอกกับสภาผู้แทนราษฎร เมื่อกลางดึกย่างเข้าวันที่ 20 พฤษภาคม 2547 ด้วยเวลาเฉียด 01.00 น.ว่า เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์

เป็นรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ในห้วงปี 2543 ต่อต้นปี 2544 ที่มี นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มี นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นผู้บัญชาการทหารบก มี น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เป็นที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคง
เป็นข้อตกลงที่ทำให้เกิดหน่วยงานลับนาม Counter Terrorist Intelligence Center : CTIC หรือ ศูนย์ต่อต้านการก่อการร้าย ณ จังหวัดชายแดนภาคใต้ นัยและรายละเอียดของหน่วยงานนี้ ปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ของศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และกิจการระหว่างประเทศ หรือ Center for Strategic and International Studies หรือ CSIS ของสหรัฐอเมริกา ในชื่อ http:www.csis.org/tnt/ttu/ttu_0310.pdf โดยมี Link ที่เกี่ยวข้อง คือ http://fpc.state.gov/documents/organization/2753.pdf และ http://www.usembassy.it/pdf/other/RL31152.pdf
อันเป็นเว็บไซต์ ที่เหมือนกับศูนย์การวิเคราะห์จุดยุทธศาสตร์ของโลกที่ทุกคนเข้าไปดูได้ ในเว็บไซต์นั้น ปรากฏรายงานชิ้นหนึ่งระบุว่า ...

Working directly with at least a score of CIA operatives, the Counter Terrorism Intelligence Center [CTIC] combines key personnel from Thailand's three main security agencies : the National Intelligence Agency ; the Thai police, and the armed forces.
The CTIC relies heavily on the CIA for its structure, guidance, and funding. The two agencies share facilities, equipment, and information on a daily basis.

เป็นรายงานที่ยืนยันว่า มีเจ้าหน้าที่ Confederete Intelligence Agency : CIA 10 กว่าคน เข้ามาตั้งศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยร่วมมือกับหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทย ถึง 3 หน่วยงาน มีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิด ระหว่าง CIA กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และทหารของไทย โดย CIA ให้การสนับสนุนทางด้านการเงิน นั่นคือ หลังจากลงนามในข้อตกลง ในปี 2543 พอต้นปี 2544 หน่วยงานนี้ ก็เข้ามาปฏิบัติการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ความลับอันนี้ ถูกเปิดเผยโดยเว็บไซต์ CSIS ของสหรัฐอเมริกา รายงานของ CSIS ถือว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะระบุชัดเจนว่า การจัดตั้งศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายในภาคใต้ของไทย เพื่อต่อต้านกลุ่ม Jamaah Islamiah : JI และ Al Qaeda นั้น CIA เป็นคนวางโครงสร้าง วางแผนปฏิบัติงาน และให้เงินสนับสนุนทุกอย่าง

ประเด็นที่ควรให้ความสนใจอย่างเป็นพิเศษ ก็คือ ในส่วนของการปฏิบัติการ มีตำรวจและทหารไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง โดยอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาโดยตรงของ CIA
ถึงวันนี้ เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า การจับกุมคดี Jamaah Islamiah หรือ JI ในประเทศไทย นับตั้งแต่การจับกุมนายฮัมบาลี ต่อด้วยการจับกุมนายแพทย์แวมะฮ์ดี แวดาโอะ, นายมัยสุรุ อับดุลเล๊าะ, นายมุญาอิด อับดุลเล๊าะ จนมาถึงนายสมาน อาแวกะจิ ที่เข้ามอบตัวในภายหลัง แท้จริงแล้วเป็นฝีมือของหน่วยงานนี้ การเกิดขึ้นและดำรงอยู่ของหน่วยงานนี้ จึงเป็นเรื่องผลประโยชน์ อันพึงมีพึงได้ พึงปกป้องของสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ผลกระทบที่จะมีต่อวัฒนธรรมในพื้นที่ และสังคมของชาวบ้านในภาคใต้ จึงไม่อยู่ในการพิจารณาของหน่วยงานนี้ และรัฐบาลไทยแม้แต่น้อย



ในเมื่อศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายอันนี้ กระทำการภายใต้คำสั่งของ CIA การกระทำใดๆ ของศูนย์แห่งนี้ ที่อาจจะเกิดความขัดแย้งภายในขึ้น ก็ไม่มีความหมายให้ต้องเก็บรับมาพิจารณา เจ้าหน้าที่ของศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายแห่งนี้ จึงสามารถไล่ล่าจับกุมคุมขังใครก็ได้ ที่ถูกกล่าวหาว่า ต่อต้านสหรัฐอเมริกา โดยไม่ต้องมีหมายศาล
ด้วยเพราะ นี่คือ การทำงานของ CIA ภายใต้ภารกิจ war on terrorism ถึงแม้ในอนาคต บรรดาตำรวจและทหารไทย อาจจะเรียงหน้าออกมาปฏิเสธว่า CIA ไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้อง และไม่สามารถสั่งการตำรวจไทย - ทหารไทยได้ก็ตาม ทว่า ประเด็นที่สำคัญที่สุด ที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ ก็คือ ศูนย์ต่อต้านการก่อการร้าย หรือ CTIC และ CIA เป็นหน่วยงานต่างชาติ  ปัญหาที่เกิดขึ้น ณ จังหวัดชายแดนภาคใต้วันนี้ จึงไม่ใช่ปัญหาระดับชาติอีกต่อไป ด้วยเพราะรูปลักษณ์ดังที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นลักษณะของ จักรวรรดินิยม อีกรูปแบบหนึ่ง ที่เหยียบย่างเข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการในประเทศไทย ชนิดแจ่มแจ้งชัดเจนยิ่งแล้ว





นี่ถ้าถามถึง และชอบหาเรื่อง แบบไม่ลืมหูลืมตากันเลยละนะ ปชป คงโดนถล่มไปพร้อมกับความมั่นคงของชาติเราอีกแน่ๆ แต่ด้วยความเป็นคนที่โตพอรู้จักแยกแยะ คำสั่งที่มีออกมาจากปาก ของท่านนายกทักษิณคือ ทำอย่างไรชาติของเราจะได้ประโยชน์ นี่คือธงที่ท่านตั้งไว้

ไม่มีการนำเรื่องแบบนี้มาเล่นลิ้นอย่างเด็ดขาด นึกแล้วเสียวโว้ย นี่ถ้ากลับกันละครับ ลองเรื่องแบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลของ ท่านนายกทักษิณ มันคงดูไม่จืดละนะท่านนะ นี่แสดงให้เห็นถึงอะไรได้บ้างครับ ขนาดเขียนจดหมายไปบอก คนที่มีประโยชน์ต่อชาติเรา ในแนวคิดของเรื่อง PRIMAL LEADERSHIP ในข้อที่ว่าด้วย management relationship พวก ปชป มันยังแกล้งทำโง่ หาเรื่องมาเล่นกันได้อย่างหน้าดำคร่ำเครียด เห็นแล้วอนาจใจจริงๆ อายุขนาดนี้แล้ว ยังคงคิดแบบเด็กๆ สงสารประเทศไทยอีกแล้วครับ

ตอนนี้เห็นคุณพิเชษ ออกมาเต้นตีข่าวเรื่องการดักฟังโทรจากบ้านของพลเอกเปรมอีกแล้ว สุดท้ายก็ไม่ได้ความอีกตามเคย แทงหวยได้เลย สุดท้ายไม่ได้ความเหมือนร้อยเรื่อง ที่พยายามหามาประเคนเข้าใส่ ทรท สุดๆเลยครับ กับความเลวที่มีอยู่

คุณอภิสิทธิ์นี่จริงๆแล้วเขาทำอะไรได้บ้างนะ

สมมุติว่าเขาเป็นนายกของชาติเรา เขาเป็นนายกฯได้จริงๆหรือ และการเป็นนายก ของคุณอภิสิทธ์นั้น มันจะแก้ปัญหาวิกฤตของชาติได้จริงๆหรือ และจะแก้ได้ในระดับใด วิกฤตของชาติเรา ในความหมายที่ผมมองนั้น ผมมองว่า ทางออกของมันคือความสูญเสีย แล้วคนแบบคุณอภิสิทธิ์ แค่สะกดคำว่าความสูญเสีย ท่านก็ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว

ถ้าถามคุณอภิสิทธิ์ในเรื่องของวันข้างหน้า ผมไม่แน่ใจว่า คำตอบของคุณอภิสิทธิ์คืออะไร มันไม่มีรูปธรรมที่ชัดเจน มันลอยๆแบบจับไม่ติดเลยครับ สมมุติเล่นๆว่า อีก 50 ปีข้างหน้า โลกเราจะไม่มีน้ำมันแล้ว คุณอภิสิทธิ์เข้ามา เราจะได้เห็นอะไรบ้างครับ แค่ทำให้เราตายช้าลงไปอีกนิดหน่อย แค่นั้นหรือ เพราะที่ผ่านมาคุณอภิสิทธิ์คนนี้ เขาไม่มีอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนที่สนับสนุน ที่พอจะเป็นแรงและกำลัง ในการผลักดันประเทศ ขุมกำลังที่จะช่วยกันพลิกพื้นเปลี่ยนแปลงประเทศเรา ไม่มีแม้แต่น้อย

คุณอภิสิทธิ์ มีแต่เครือข่ายสำหรับการเลือกตั้งเท่านั้นเองครับ ที่พอจะมองเห็นและจับต้องได้ ส่วนเรื่องกองกำลัง ที่สามารถสนับสนุน เพื่อให้เกิดพลังในทางสังคมนั้น ถ้าบอกกันตรงๆ แบบไม่ไว้หน้าเลยนะ สนธิยังมีกำลัง ที่จะเปลี่ยนแปลงทิศทางในบ้านเมืองของเรา ได้มากกว่า อย่างเห็นได้ชัด กลุ่มของสนธิยังมีภาษีดีกว่ามาก

ถ้าเราลองไว้ใจ ให้คุณอภิสิทธิ์ เข้ามาเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง ในชาติของเรา ผมมองว่า คุณอภิสิทธิ์ พอเลือกตั้งเข้ามาแล้ว เขาก็จะใช้ระบบราชการ ในแบบที่คุณชวนฝังหัวไว้ เข้ามาทำงานในทางการเมือง ไม่มีเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่แน่นอนครับ แล้วระบบราชการนี่ มันเชื่อถือได้ และใช้งานได้แค่ไหน ในเวลาแบบนี้ ความเป็นพรรคข้าราชการของ ปชป มันจะไปช่วยสร้างเสริมความมั่นคง ให้กับชาติเราตรงไหน ผมเองยังวังเวงอยู่เลยครับ

จริงๆแล้วคุณอภิสิทธิ์ เป็นคนดี มือสะอาด ใจสะอาด แต่ด้วยวิสัยทัศน์ มุมมอง หลักการคิด แกนทางความคิด อำนาจในตัวตน และความพร้อมในการเป็นผู้นำ และเมื่อนำมาบวกรวมกัน กับกลุ่มพลังที่เกื้อหนุน คุณอภิสิทธิ์ อยู่ในเวลานี้นั้น พลังที่มีอยู่นั้น ไม่สามารถทำงานอะไรที่จับต้องได้เลย เราไม่มีทางจะได้เห็นกันในชาตินี้แน่นอนครับ

คุณอภิสิทธิ์ ไม่มีพลังในการขับเคลื่อน และดึงดูดใจคนรอบข้างแม้แต่น้อย เราลองดูเรื่องหลักๆอย่างเรื่องนายทุนที่จะเข้ามาช่วยเหลือพรรคนะ เวลาที่ผ่านไป คุณอภิสิทธิ์ไม่สามารถทำคะแนนขึ้นมาไล่หลังคุณสุเทพ ซึ่งเป็นเลขาพรรคได้เลย แม้แต่ครั้งเดียว ขอแค่ขึ้นมาคู่กันกับคุณสุเทพ คุณอภิสิทธิ์เองก็ยังทำไม่ได้เลยครับ

ดูจากเรื่องเงินที่หาเข้าพรรค ทุกวันนี้ ลูกของคุณสุเทพต้องโอนเงินเข้าพรรคทุกเดือน ๆละหนึ่งล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในด้านต่างๆ นี่หมายความเกินเลยไปถึงอะไรครับ ผมไม่กล้าตำหนิคุณสุเทพ อีกต่อไปแล้วครับ ผมรู้สึกละอายต่อคุณสุเทพ เขาเองพยายามมากมายขนาดนั้น ทำไมกะอีแค่ชี้นำพรรคแค่นี้ ผมต้องไปว่าเขาด้วย ตอนนี้ทำใจได้แล้วครับ คุณอภิสิทธิ์เขาเป็นคนดี น่ารัก ดูอบอุ่น ผมยอมรับนับถือได้ในมุมมองนี้ แต่ถ้าเมื่อมีการลงสมัครรับเลือกตั้ง ผมก็คงไม่ลงคะแนนให้ แน่ๆครับ อนาคตลูกหลานไทย ในภายภาคหน้า มันไม่มีอะไรที่พอจะบ่งบอกให้รับรู้ได้ว่า เขาเหล่านี้มีหัวคิดและความมุ่งมั่นที่มากพอ ในการนำพาอนาคตของชาติเรา ผมคงต้องร้องบอกออกไปให้ได้ยินโดยทั่วกัน คนกลุ่มนี้ดีแต่เปลือกน่าจะเหมาะสมที่สุดครับ

นายกของไทยในยุคนี้ ต้องมีข้อเด่น 5 ข้อนี้นะครับ รับรองเจอใครเราสู้ได้แน่ๆครับ ( ปชป ครับ พยายามสร้างคุณอภิสิทธิ์มากๆหน่อยครับ )

1    ต้องเป็นคนที่มีความเป็น Inter ไม่ใช่แค่จบจากนอก แต่ต้องรู้ว่าถูมิภาคนี้ อะไรคือปัญหา อะไรคือจุดขาย เราต้องวิ่งไปด้วยกัน เราจะมากัดกัน กับคนข้างบ้านแบบก่อนๆ เราไม่รอดแน่ในยุคนี้ เพราะปัญหาในภูมิภาคนี้ ในอนาคตจะเป็นปัญหาของทุกชาติ ที่ต้องนั่งล้อมวง แล้วช่วยกันแก้ เอาอย่างง่ายที่สุดเช่นเรื่อง ปัญหาของประเทศพม่า ไม่ใช่เรื่องของพม่าแล้ว มันบวกไทย ลาว เข้าไปด้วย เราจะไปคนเดียวแบบก่อน เราไม่รอดแน่ เราต้องทำอย่างไร ที่จะให้พม่า เดินไปพร้อมกับเรา ลองนั่งลงแล้วคิดแบบตรงไปตรงมานะ

การที่ท่านนายกให้เงินพม่าไป สี่ ห้าพันล้าน ช่วยกันจำนะครับ มีคนแออกมาด่า ออกมาประจาน เขาเหล่านั้นมองไม่เห็น คิดไม่เป็น แต่ด่าเป็นชุด คนพวกนี้สักวัน ต้องเอามือตบปากตัวเอง การที่พม่าจน มันคือปัญหาของเราด้วย ในโลกยุคปี 2000 นี้ ลองดูกันต่อไปว่า มันจะกระทบกับเราตรงจุดไหนบ้าง ผมจะไม่ไปคัดค้าน คนที่ไม่เข้าใจ และไม่เห็นด้วยกับผมในข้อนี้ แต่จะรอดู วันที่ฟ้าเปลี่ยนสีนะ ปล่อยให้พม่าจน เขาจนและเรารวยอยู่คนเดียว เราไม่รอด หรอกครับ เราลำบากแน่นอน จะอยู่ดีมีสุขได้ไง ในเมื่อคนไม่มีจะกิน อยู่รายรอบบ้านเราเต็มไปหมด 

2    ต้องเป็นคนที่ติดดิน ต้องรู้เรื่องการเงิน รู้เรื่องดอกเบี้ยพันธบัตร อัตราแลกเปลี่ยน อัตราเงินเฟ้อ ต้องรู้เรื่องของตลาดทุน ต้องรู้เรื่องหุ้น ถ้าไม่รู้รื่อง แล้วขอให้เป็นคนดีก็พอ ทำท่าทางให้เป็นคนดี ทำแบบนั้นง่ายจะตายไปครับ ก็น่าจะทำได้ไม่ยากนะ แต่คิดอะไรเอง ไม่เป็น จะทำอะไรทีก็ต้องรอให้ข้าราชการ เสนอขึ้นมาเพื่อทราบ ตายครับ ตายแบบแห้งๆด้วยนะ

แต่ขณะเดียวกันก็เข้าใจความยากจนของผู้คน เข้าใจว่า จะต้องแก้ไขความไม่เท่ากัน ของคนในชาติได้อย่างไร ไม่ใช่ว่า การแก้ปัญหาของชาตินั้น ต้องสร้างให้ภาคเอกชนที่รวยๆเท่านั้น ภาคเอกชนที่ว่าคือ คนรวยไม่กี่คน
แต่จะต้องทำอะไรบ้าง ทำอย่างไร ที่จะให้คนจนๆได้มีโอกาสสร้างความเข้มแข็ง ในกลุ่มก้อนของตนเองขึ้นมาให้ได้ ง่ายๆคือต้องรู้จักกับคนจนแบบจริงๆจังๆนะ ต้องติดดิน นี่มันต้องมาก่อนนะ

3    ต้องเป็นคนที่ ใจถึง ใจใหญ่ ใจนักเลง ใจสู้ ในบางเรื่องต้องกล้า ต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง พร้อมที่จะลุยกับขาใหญ่ได้แบบสุดๆ การตัดสินใจ ต้องเฉียบขาด

4    ต้องมีเงิน ผู้นำในยุคนี้ ไม่มีเงินไม่ได้ คอยแต่ขอเขา พอเขาให้มา ไม่นานเขาจะตามมาขอคืน แบบจะขอทั้งต้นทั้งดอก ชาติเราก็ได้เท่าที่เห็นนี่แหล่ะ 30 ปีที่ผ่านมา สัก 30 ปีที่แล้ว 1 ดอลล่าร์ สักประมาณ 18 บาท 100 เยน สัก 8 บาท พอมาปีนี้ เรามั่วทำบ้าอะไรกันอยู่ ปล่อยให้ผู้นำที่เก่งแต่เรื่องที่ไม่เข้าท่า มานำพาบ้านเมืองเรา ตลอด 30 ปีคนในชาติยังคงไม่มีให้หยุด ทุกคนทำงานตลอดจากเช้ายันค่ำ แต่ด้วยความอ่อนหัดของท่านผู้นำ ที่ดีแต่สร้างภาพ สุดท้าย บ้านเมืองอื่นๆ เขาก็เริ่มทิ้งห่างเราออกไปมากขึ้นๆทุกที ไม่ใช่ว่าเราไม่มีคนเก่ง ไม่ใช่ว่าเราไม่มีคนดี  ตอนนี้มันแสดงถึงอะไรได้บ้าง ผู้นำหน้าโง่ ที่ยังคงดักดานอยู่กับกลิ่นของอำนาจ หลงงมงายอยู่กับคำหวาน ของกลุ่มคนที่ได้รับผลประโยชน์ ที่พยายามยกยอจนต้องเสียคนเมื่อแก่ นี่คือความสลดใจครับ

5    ต้องเก่ง ต้องรู้ทุกเรื่อง ไม่จำเป็นต้องรู้ลึก แต่ต้องนำมาประมวลผล ได้เสียเป็น ไม่ใช่ว่า พอไม่รู้เรื่อง แล้วเขาเสนอบ้าบอมาก็ เอาตามที่ว่านะ มันก็มีความหมายแค่คนดูแลข้าราชการเท่านั้น มันทำงานแบบ เช้ากับเย็นชามสิแบบนี้ ง่ายๆก็ต้องคำนี้นะ มีวิสัยทัศน์

คุณสมบัติในตัวของผู้นำ 7 ประการที่อยากจะฝากให้คุณอภิสิทธิ์ ครับ

1     รู้หลักการ จะทำอะไรก็ตาม ต้องรู้หลักการ รู้งาน รู้หน้าที่ รู้กฎเกณฑ์กติกาที่เกี่ยวข้อง เช่น อย่างผู้ปกครองประเทศชาติก็ต้องรู้หลักรัฐศาสตร์ และรู้กฎกติกาของรัฐ คือกฎหมาย ตั้งแต่รัฐธรรมนูญลงมา แล้วก็ยืนอยู่ในหลักการ ตั้งตนอยู่ในหลักการให้ได้ ชุมชน สังคม องค์กร หรือกิจการอะไรก็ตาม ก็ต้องมีหลักการ มีกฎ มีกติกา ที่ผู้นำจะต้องรู้ต้องชัด แล้วก็ตั้งมั่นอยู่ในหลักการนั้น ( ข้อนี้  100  คะแนน คุณอภิสิทธิ์ ได้ 25 ครับ )

2    รู้จุดหมาย ผู้นำถ้าไม่รู้จุดหมายก็ไม่รู้ว่าจะนำคนและกิจการไปไหน นอกจากรู้จุดหมาย มีความชัดเจนในจุดหมายแล้ว จะต้องมีความแน่วแน่มุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงจุดหมายด้วย ข้อนี้เป็นคุณสมบัติที่สำคัญมาก เมื่อใจมุ่งจุดหมาย แม้มีอะไรมากระทบกระทั่ง ก็จะไม่หวั่นไหว อะไรไม่เกี่ยวข้อง ไม่เข้าเป้า ไม่เข้าแนวทางก็ไม่มั่ววุ่นวาย ใครจะพูดจาด่าว่า เหน็บแนม เมื่อไม่ตรงเรื่อง ก็ไม่มัวถือสา ไม่เก็บเป็นอารมณ์ ไม่ยุ่งกับเรื่องจุกจิกไม่เป็นเรื่อง เอาแต่เรื่องที่เข้าแนวทางสู่จุดหมาย ใจมุ่งสู่เป้าหมาย อย่างชัดเจนและมุ่งมั่นแน่วแน่ ( ข้อนี้  100  คะแนน คุณอภิสิทธิ์ ได้ 15 ครับ )

3     รู้ตน คือ ต้องรู้ว่าตนเองคือใครมีภาวะเป็นอะไร อยู่ในสถานะใด มีคุณสมบัติ มีความพร้อม มีความถนัด สติปัญญา ความสามารถอย่างไร มีกำลังแค่ไหน มีข้อยิ่งข้อหย่อน จุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร ซึ่งจะต้องสำรวจตนเอง และเตือนตนเองอยู่เสมอ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาปรับปรุงตัวเอง ให้มีคุณสมบัติความสามารถยิ่งๆ ขึ้นไป ไม่ใช่ว่าเป็นผู้นำแล้ว จะเป็นคนสมบูรณ์ไม่ต้องพัฒนาตนเอง ยิ่งเป็นผู้นำก็ยิ่งต้องพัฒนาตนเองตลอดเวลาให้นำได้ดียิ่งขึ้นไป ( ข้อนี้  100  คะแนน คุณอภิสิทธิ์ ได้ 10 ครับ )

4     รู้ประมาณ คือ รู้จักความพอดี หมายความว่าต้องรู้จักขอบเขตขีดขั้นความพอเหมาะที่จะจัดทำในเรื่องต่าง ๆ ท่านยกตัวอย่าง เช่น ผู้ปกครองบ้านเมืองรู้จักประมาณในการลงทัณฑ์อาชญา และการเก็บภาษี เป็นต้น ไม่ใช่เอาแต่จะให้ได้อย่างใจ และต้องรู้จักว่าในการกระทำนั้น ๆ หรือในเรื่องราวนั้น ๆ มีองค์ประกอบหรือมีปัจจัยอะไรเกี่ยวข้องบ้าง ทำแค่ไหนองค์ประกอบของมันจะพอดี ได้สัดส่วนพอเหมาะ การทำการต่าง ๆ ทุกอย่างต้องพอดี ถ้าไม่พอดีก็พลาดความดีจึงจะทำให้เกิดความสำเร็จที่แท้จริง ฉะนั้นจะต้องรู้องค์ประกอบและปัจจัยที่เกี่ยวข้องและจัดให้ลงตัวพอเหมาะพอดี ( ข้อนี้ไม่มีความชัดเจนในข้อมูล ผมไม่กล้าให้คะแนนครับ )

5     รู้กาล คือ รู้จักเวลา เช่น รู้ลำดับ ระยะ จังหวะ ปริมาณ ความเหมาะของเวลาว่า เรื่องนี้จะลงมือตอนไหน เวลาไหน จะทำอะไรอย่างไร จึงจะเหมาะ ดังจะเห็นว่าแม้แต่การพูดจา ก็ต้องรู้จักกาลเวลา ตลอดจนรู้จักวางแผนงานในการใช้เวลา ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ เช่น วางแผนว่า สังคมมีแนวโน้มจะเป็นอย่างนี้ในเวลาข้างหน้านั้น และเหตุการณ์ทำนองนี้จะเกิดขึ้น เราจะวางแผนรับมือกับสถานการณ์นั้นอย่างไร ( ข้อนี้  100  คะแนน คุณอภิสิทธิ์ ได้  5 ครับ )

6     รู้ชุมชน คือ รู้สังคม ตั้งแต่ในขอบเขตที่กว้างขวาง คือ รู้สังคมโลก รู้สังคมของประเทศชาติ ว่าอยู่ในสถานการณ์อย่างไร มีปัญหาอะไรมีความต้องการอย่างไร โดยเฉพาะถ้าจะช่วยเหลือเขา ก็ต้องรู้ปัญหารู้ความต้องการของเขา แม้แต่ชุมชนย่อย ๆ ถ้าเราจะช่วยเหลือเขา เราต้องรู้ความต้องการของเขา เพื่อสนองความต้องการได้ถูกต้อง หรือแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด ( ข้อนี้  100  คะแนน คุณอภิสิทธิ์ ได้  5  ครับ )

7     รู้บุคคล คือ รู้จักบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคนที่มาร่วมงานร่วมการ ร่วมไปด้วยกัน และคนที่เราไปให้บริการตามความแตกต่างเฉพาะตัว เพื่อปฏิบัติต่อเขาได้ถูกต้องเหมาะสมและได้ผล ตลอดจนสามารถทำบริการให้ความช่วยเหลือได้ตรงตามความต้องการ รู้ว่าจะใช้วิธีสัมพันธ์พูดจาแนะนำ ติชมหรือจะให้เขายอมรับได้อย่างไร โดยเฉพาะในการใช้คน ซึ่งต้องรู้ว่าคนไหนเป็นอย่างไร มีความถนัดอัธยาศัย ความสามารถอย่างไร เพื่อใช้คนให้เหมาะกับงาน นอกจากนั้นก็รู้ประโยชน์ที่เขาพึงได้ เพราว่าในการทำงานนั้นไม่ใช่ว่าจะเอาเขามาเป็นเพียงเครื่องมือทำงานได้ แต่จะต้องให้คนที่ทำงานทุกคนได้ประโยชน์ ได้พัฒนาตัวเอง ผู้นำควรรู้ว่า เขาควรจะได้ประโยชน์อะไรเพื่อความเจริญงอกงามแห่งชีวิตที่แท้จริงของเขาด้วย ( ข้อนี้  100  คะแนน คุณอภิสิทธิ์ ได้ 0 ครับ )




จาก 700 คะแนน ผมเองให้คุณอภิสิทธิแค่ 60 คะแนน ไม่ต้องโมโหผมนะครับ ที่ต้องทำคือ นำกลับไปคิด ทำไมคุณถึงได้รับความไว้วางใจน้อยมากๆ ในเรื่องของการเป็นผู้นำที่ดี ผมอาจไม่มีหมายหมายอะไรเลยสำหรับคุณ ในความคิดของคุณอภิสิทธิ์ คุณก็ไม่ต้องใส่ใจครับ แต่ผมขอร้องให้คุณลองนำข้อคิดนี้ กลับไปถามคนใกล้ตัว ที่คุณเองให้ความสำคัญในระดับต้นๆ ว่า

จริงแล้วในเรื่องที่ผมว่ามานี้ เขาเหล่านั้น จะให้คะแนนกับข้อคิดเหล่านี้ได้ดีที่สุด ได้มากที่สุด เท่าไร แล้วคุณก็นำข้อคะแนนจากคนใกล้ตัว มาคิดต่อเลยครับ ผมมั่นใจว่า คนรอบๆตัวคุณ ต้องมีบ้างที่คิดว่า คุณเองยังน้อยเกินไปในด้านของหลักการที่น่าจะมี ก็ลองดูเองละกันครับ  เหตุที่ผมนำข้อคิดนี้มามอบให้คุณอภิสิทธิ์ เพราะว่าคุณเสนอตัวเข้ามาทำงานการเมืองอย่างเด่นชัด และคุณเองก็พร่ำบอกอยู่เสมอว่า คุณอยากทำงานการเมือง ก็อยากจะเสนอมุมมองให้คุณบ้าง ก็เท่านั้นเองครับ


เครดิต คุณ chiangraiplus
-----------------------------------

เยอะหน่อยนะครับ  แต่ผมว่าน่าสนใจ 
บันทึกการเข้า

เหอๆๆ    - -"
ชอบแถ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,138



« ตอบ #1 เมื่อ: 05-08-2006, 22:09 »

ในราชดำเนินมีคนรู้มากมีแหล่งอ้างอิงน่าเชื่อถือหลายคน จัดได้ว่าเป็น web board คุณภาพ
แห่งหนึ่ง ผมยังไม่กล้าเข้าไปให้ความเห็นเลยครับ กลัวปล่อยไก่
บันทึกการเข้า
varada
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1,193



เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 05-08-2006, 22:11 »

จำได้แม่นๆคือยุคชวลิตที่มีคนรวยเพราะค่าเงินบาทอื้อซ่า
ทั้งๆที่บิ๊กจิ๋วปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่ได้บอกใครตัดสินใจคนเดียวเดี๋ยวนั้นเลย
ผล...........วันรุ่งขึ้นน้าชาติให้สัมภาษณ์ว่า ผมก็รู้ Wink

เลยเป็นที่มาของข้อกังขาที่ว่า แล้วตกลงมีใครรู้ล่วงหน้าบ้าง
มีใครฟันกำไร(แต่ชาติฉิบหาย)จากงานนี้กันบ้าง
จนเป็นที่มาของฉายามีสเตอร์ที
บันทึกการเข้า
so what?
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,729


« ตอบ #3 เมื่อ: 05-08-2006, 22:36 »

ถ้าข้อมูลยาวๆอย่างนี้แล้วเขียนโดยเชียงรายพลัสผู้รับประทานขนหน้าแข้งไอ้เหลี่ยมเป็นอาหารละก็
ขอโทษเถอะครับ คงไม่เสียเวลาไปอ่านให้เมื่อยตุ้มหรอก

เอาแค่คำถามสั้นๆของคุณ varada ข้างบนนั่น ไปเรียกเชียงรายพลัสมาตอบให้เคลียร์หน่อยได้ป่าว
เขาก็เป็นสมาชิกอยู่เหมือนกันนี่
   Mr. Green  Mr. Green
บันทึกการเข้า
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #4 เมื่อ: 06-08-2006, 15:27 »

เป็นข้อมูลบิดเบือนธรรมดาค่ะ  พยายามกันมานานแล้วที่จะโยนความผิดออกจกรัฐบาล ชวลิต-ทักษิณ ที่โง่เขลาจนพาประเทศชาติไปล่มจมกับสงครามต่อสู้ค่าเงินบาท  และที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ มีหนึ่งในผู้ร่วมรัฐบาล ช่วยฝรั่งถล่มค่าเงินบาทของชาติตนเองด้วย  ว่ากันว่า  ฝรั่งถล่มคราวนั้น  คิดเป็นมูลค่าน้อยกว่าไอ้ชั่วที่ผสมโรงถล่มมากมายนัก  โดยใช้บริษัทนอมินีที่เกาะบริติชเวอร์จินส์เป็นฐานในการปล้นชาติ  และเงินที่ได้มา ส่วนหนึ่งเอามาตั้งพรรคการเมือง เพื่อจะปล้นชาติต่อค่ะ

คำถามโง่ๆที่มีเสมอมาว่า ทำไมรัฐบาลก่อนหน้านั้น ไม่คิดปกป้องเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น  ดูเหมือนว่าจะสร้างภาพว่ารัฐบาลชวลิต-ทักษิณ จะต้องมาแก้ไขปัญหาที่ตนไม่ได้ก่อขึ้น  ฟังดูเหมือนเราเปิดประตูบ้านไว้ ให้การสัญจรไปมาสะดวก  แต่ในยุคของเราเรามียามที่ฉลาดเฝ้าประตูบ้านไว้ กันขโมยฉวยโอกาศ  แต่เมื่อเราไม่ได้ดูแลบ้านนั้น  คนดูแลคนใหม่กลับโง่จนหลับยามกันหมด  มารู้ตัวเอาตอนขโมยมันยกเค้าเกลี้ยงแล้ว  ก็ร้องโวยวายว่าเจ้าบ้านคนก่อนทำไว้ไม่ดี   งี่เง่าจริงๆค่ะ

การคำนวนยอดหนี้ต่อจีดีพี  และคำนวนการเจริญเติบโตของจีดีพีนั้น  ใช้อ้างอิงในงานทางวิชาการได้  แต่การนำเสนอประชาชน  ทำไปเพื่อหลอกลวงค่ะ  จะยกตัวอย่างให้ดู เผื่อจะเลิกโง่ยกจีดีพีมาหลอกกันเสียที

นายประเทศไทย ในปี 2500 มีรายได้ 100 บาทต่อปี   ปีถัดมา2501 มีรายได้ 150 บาทต่อปี   จีดีพีของนายประเทศไทย โตขึ้น 50 % ค่ะ

นายประเทศอเมริกา ในปี 2500 มีรายได้ 1,000,000 (หลึ่งล้าน) บาทต่อปี  ปีถัดมา 2501 มีรายได้ 1,100,000 (หนึ่งล้านหนึ่งแสน) บาทต่อปี  จีดีพีของนายประเทศอเมริกาโต 10% ค่ะ

นายประเทศไทยคุยทับถมนายประเทศอเมริกาว่า    ไอเจริญเติบโตมากกว่ายู   จีดีพีของไอโต 50 %  ของยูโตแค่ 10%

คนฉลาดก็จะรู้ว่า การยกจีดีพีมานั้น นายประเทศไทยตั้งใจจะหลอกรากหญ้ากระบือค่ะ  เพราะถ้าดูตัวเลขจริงแล้ว ท่านคิดว่าใครหาเงินเพิ่มได้มากกว่ากันคะ

อ่านแล้วก็ลบเรื่องจีดีพีทิ้งไปค่ะ  เศรษฐกิจดีไม่ต้องยกตัวเลขมาอ้างค่ะ  ประชาชนล้วงกระเป๋าดูก็รู้แล้ว  วาทะใครคะ จำได้ไหม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-08-2006, 15:30 โดย พรรณชมพู » บันทึกการเข้า
ไทมุง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,543



« ตอบ #5 เมื่อ: 06-08-2006, 15:44 »



โอยยยยย ตาลาย อ่านซะตาลาย

แต่สรุปสั้นๆ ของกระทู้ที่อ้างจาก คุณ chiangraiplus คือ  นายกในการเลือกตั้งครั้งถัดไปคือ ท้ากกกกสิน


บันทึกการเข้า
RiDKuN
Administrator
ขาประจำขั้นที่ 3
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,015



เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 06-08-2006, 16:09 »

เล่าเรื่องได้ดี แต่เครดิต = 0 เพราะส่วนที่เป็นความเห็นมีประมาณ 95% ส่วนข้อเท็จจริงมีไม่ถึง 5% เท่านั้น
และเผอิญเป็นความเห็นของคุณ chiangraiplus... ขอบายดีกว่า...
บันทึกการเข้า

คนไม่มี "อุดมคติ" ไม่ใช่ "นักการเมือง"
ชอบแถ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,138



« ตอบ #7 เมื่อ: 06-08-2006, 17:43 »

จีดีพี มันวัดยาก เอานอกระบบเข้าในระบบ มันก็เพิ่มได้เองแล้ว
คุณซื้อของขอใบกำกับภาษีทุกครั้ง จีดีพี จะได้เพิ่ม
บันทึกการเข้า
นายเบียร์
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 997



« ตอบ #8 เมื่อ: 06-08-2006, 18:26 »

เชียงรายบวกเคยมาแสดงความกลวงจนโดนจับได้ในที่นี่มาซักพักแล้วละคุณ ไม่อัทเดทซะเลยนะครับ 555 Laughing
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
    กระโดดไป: