ไปอ่านเจอบทความดีดี...
ทีแรกว่าจะไปแป่ะ ที่ห้องสโมสรฯ...
พออ่านบทสรุป ตัดสินใจแป่ะที่นี่ดีก่า...
แล้วอย่าลืมหาเวลา งีบหลับกันน่ะครับ...
งีบหลับ เพิ่อเพิ่มผลิตภาพ โดย วรากรณ์ สามโกเศศ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มติชนรายวัน วันที่ 03 สิงหาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10372
ถ้าการงีบหลับตอนกลางวันไม่ดี นโปเลียน ลีโอนาโด ดาวินชี และคนสำคัญของโลกอีกมากมายคงจะไม่ทำกัน
ปัจจุบันคนญี่ปุ่นซึ่งเคยรังเกียจการงีบหลับกลางวันมานาน กำลังเปลี่ยนทัศนคติจนทำให้การงีบหลับกลางวัน
ได้กลายเป็นแฟชั่นฮิตตลอด 2 ปีที่ผ่านมา
ญี่ปุ่นถือได้ว่าเป็นสังคมที่ทำงานหนัก และนอนกันน้อยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก การนอนหลังอาหารกลางวันดังที่เรียกกันว่า siesta นั้น
สังคมญี่ปุ่นเห็นว่าเป็นสิ่งที่น่าดูหมิ่น เพราะเป็นการบ่งบอกถึงความขี้เกียจ
คลื่นความนิยมการมีสภาพจิตและสมองที่ตื่นตัว (mental alertness) ในญี่ปุ่นใน 2-3 ปีที่ผ่านมา
(คนญี่ปุ่นดูจะนิยมสิ่งที่เรียกว่า fads ซึ่งเป็นความนิยมที่มาเป็นพักๆ มากกว่าสังคมอื่นๆ)
เพื่อสร้างข้อได้เปรียบเชิงสมองได้ฉุดให้คนญี่ปุ่นหันมานิยม siesta
siesta ซึ่งเป็นคำในภาษาสเปน หมายถึง การหลับช่วงสั้นๆ ในตอนบ่าย คำนี้มาจากคำว่า Hora-Sexto ในภาษาละติน
(The Sixth Hour หรือชั่วโมงที่หก ซึ่งเมื่อนับจากเวลาพระอาทิตย์ขึ้นถึงกลางวันก็ตกประมาณ 6 ชั่วโมง)
siesta เป็นเรื่องประจำวันมานมนานของคนสเปน โปรตุเกส อเมริกาใต้ และประเทศที่เคยเป็นเมืองขึ้นประเทศเหล่านี้ เช่น ฟิลิปปินส์
การนอนตอนบ่ายมีมานานแล้วในจีน (ไต้หวันปัจจุบันทำกันจริงจังมาก) อินเดีย เอเชียใต้ กรีก ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ
อันเนื่องมาจากความร้อนในตอนบ่ายทำให้ทำงานไม่ได้
ในปัจจุบันนักเรียนในระดับมัธยม ข้าราชการ ลูกจ้าง ผู้บริหารบริษัทในทุกระดับของญี่ปุ่นหันมานิยม siesta
จนเกิดสถานที่ที่เรียกว่า Nap Salon "ร้านบริการงีบ" ขึ้นหลายแห่งในเมืองใหญ่ ในโตเกียวมีร้านแห่งหนึ่งชื่อ Napia มีสมาชิก
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนทำงาน รับบริการถึง 1,500 คน สมาชิกสามารถใช้บริการงีบโดยนอนบนเตียงหลังอาหารกลางวัน
เป็นเวลาสั้น ๆ ในราคา 4.50 เหรียญ
มีงานวิจัยและหนังสือเกี่ยวกับการงีบหลับสั้นๆ ออกมามากมาย ข้อมูลที่เชื่อกันก็คือไม่ควรงีบหลับในเวลากลางวันเกินกว่า 30 นาที
มิฉะนั้นจะเข้าสู่การหลับลึก (ขั้นตอนที่เรียกว่า REM-Rapid Eye Movement) ซึ่งเมื่อตื่นขึ้นแล้วจะรู้สึกง่วงหงาวหาวนอน
มากกว่าที่จะรู้สึกสดชื่น เพื่อให้ได้ผลร้าน Napia ให้ลูกค้าดื่มกาแฟ 1 แก้วก่อนนอน เพราะคาเฟอีนซึ่งมีผลทำให้ตื่นตัว
นอนไม่หลับจะออกฤทธิ์ในเวลา 20 นาที กาแฟจึงทำหน้าที่เหมือนนาฬิกาปลุกไม่ให้หลับเกินกว่า 20 นาที
คนญี่ปุ่นชอบ siesta และพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทำให้สดชื่น ในหลายบริษัทใหญ่ในเวลาหลังอาหารกลางวัน ส่งเสริมให้นอนซบหลับกับโต๊ะ
หรี่ไฟ และเปิดเพลงเบาๆ เพราะรู้สึกว่าทำให้คนทำงานสดชื่น กระปรี้กระเปร่าขึ้นกว่าที่เคยเป็น
ถ้าจะว่าไปแล้ว siesta เป็นผลมาจากข่าวดังในปี 2003 เมื่อมีผู้เห็นว่าพนักงานขับรถไฟด่วน (bullet train) หลับใน
ถึงแม้ว่ารถไฟด่วนจะมีเครื่องช่วยป้องกันอุบัติเหตุในยามที่ไม่มีคนบังคับ แต่ปรากฏการณ์นี้ก่อให้เกิดประเด็นถกเถียงกันในประเทศ
อย่างกว้างขวาง ถึงการนอนหลับไม่เพียงพอของคนญี่ปุ่น เมื่อผนวกข้อเท็จจริงนี้เข้ากับความปรารถนาที่จะมีข้อได้เปรียบเชิงสมองของคนญี่ปุ่น
siesta ก็เลยเกิดเป็นแฟชั่นไปทั่วประเทศในปัจจุบัน
งานวิจัยพบว่าคนทำงานญี่ปุ่นนอนประมาณ 5-6 ชั่วโมงต่อคืน ซึ่งไม่เพียงพอต่อการทำงานในตอนเย็นหรือค่ำ siesta ช่วยให้สมองสดชื่น
เด็กนักเรียนจำนวนมาก ที่ต้องตื่นนอนตั้งแต่ตีห้าครึ่งหรือ 6 โมงเช้าเพื่อขึ้นรถไฟเดินทางมาโรงเรียนกันนาน 1-2 ชั่วโมง
มีชั่วโมงนอนที่ไม่เพียงพอ หากให้นักเรียนได้งีบหลับหลังอาหารกลางวันก็จะช่วยให้มีความฉลาดเพิ่มขึ้น
นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าในสมัยโบราณคนญี่ปุ่นงีบหลับในตอนบ่ายหลังจากทำงานหนักในช่วงเช้ากันเป็นธรรมดา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในศตวรรษที่ 17 ภายหลังจากที่มีมิชชันนารี (กลุ่มผู้เผยแผ่คริสต์ศาสนา) จาก Iberian Peninsula เดินทางเอา siesta
มาแพร่หลาย (นักประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นไม่แน่ใจว่าซามูไรก็นิยมด้วยหรือไม่)
แต่เมื่อญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากประเทศที่ไม่นิยม siesta เช่น เยอรมนี อังกฤษ ฯลฯ ในเวลาต่อมา การงีบหลับกลางวัน
จึงกลายเป็นสิ่งไม่น่าชื่นชมในสังคมญี่ปุ่นไป
"
มีต่อ"