ถึงเวลาของภาคประชาชน
7 เมษายน 2549 17:49 น.
เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคไทยรักไทยประกาศจะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา แต่ยังคงดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคไทยรักไทยและยังทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
เพื่อสานต่อนโยบายของพรรค หลังบริหารประเทศมาแล้ว 5 ปี นับว่าเพื่อสร้างความต่อเนื่องทางนโยบาย ซึ่งการประกาศเว้นวรรคแบบ "ครึ่งๆกลางๆ" นี้เอง ทำให้ประชาชนจำนวนไม่น้อยเริ่มวิตกกังวลว่าจะแก้ปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นมาตลอดเวลา 5 ปีได้หรือไม่
ความหวาดระแวงทำให้เกิดศัพท์เรียกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ว่า "นอมินี"บ้าง หรือ "หุ่นเชิด"บ้าง นั่นแสดงให้เห็นว่านอกจากตัวพ.ต.ท.ทักษิณจะเป็นปัญหาแล้ว วิธีการทำงานของเขายังมีปัญหาอีกด้วย
ความหวาดระแวงนี้เอง ทำให้กระแสสังคมขณะนี้พุ่งเป้าไปที่สิ่งที่เรียกว่า "ระบอบทักษิณ" ซึ่งเข้าใจโดยทั่วไปว่าเป็นรูปแบบวิธีการจัดการของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่นำมาใช้ในการบริหารประเทศ แม้ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนนักว่าระบอบทักษิณที่ว่านี้คืออะไรกันแน่ แต่ก็เข้าใจกันว่า"ระบอบ"นั้นติดตัวมากับพ.ต.ท.ทักษิณนั่นเอง
หากออกไปพ้นวงการเมืองแล้ว อาจทำให้ความเลวร้ายต่างๆ ในสังคมที่เกิดขึ้นในช่วง 5 ปีสิ้นสุดลง แต่คำถามก็คือหากพ.ต.ท.ทักษิณหลุดวงโคจรการเมืองไปแล้ว ปัญหาที่มีอยู่ในปัจจุบันอันเนื่องมาจากการบริหารงานของเขาจะหมดลงหรือไม่และแน่ใจกันแค่ไหนว่าเป็นสิ่งที่เกิดจากตัวเขาเอง ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมทั่วไปแต่มาปรากฏเด่นชัดในยุคนี้
หากประมวลสิ่งที่หลายคนเรียกว่า "ระบอบทักษิณ" สามารถแยกแยะได้เป็นเรื่องใหญ่ๆ ซึ่งมีความเกี่ยวพันและเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ดังนี้ ด้านแรก ด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลของเขาดำเนินนโยบายที่เอื้อกับตัวเองและพวกพ้อง ซึ่งเห็นได้ชัดเจนในหลายเรื่อง ตั้งแต่การแก้ระเบียบ แก้กฎหมาย จนถึงนโยบายระดับรัฐบาล
ด้านที่สอง การใช้อำนาจรัฐ ซึ่งปรากฏว่ามีการใช้อำนาจรัฐอย่างกว้างขวางในทุกๆ กระทรวงทบวงกรม รวมทั้งองค์กรอิสระ เพื่อเอื้อทางเชิงเศรษฐกิจและเอื้อต่อด้านที่สามคือ การเมือง โดยพบว่าเป็นการเมืองรวมศูนย์แบบครอบครัว เนื่องจากคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจล้วนแต่เป็นคนแวดล้อมเพียงไม่กี่คน มีการตัดสินใจแบบธุรกิจครอบครัว โดยทั้งสามด้านเกื้อหนุนกันอย่างแนบแน่น
อันที่จริง สิ่งที่เกิดขึ้นใน "ระบอบทักษิณ" นั้นไม่ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ในสังคมไทย แต่เป็นสิ่งพบเห็นได้ในชีวิตปกติทั่วไปอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาคอร์รัปชัน ปัญหาการเล่นพวกพ้อง แก้กฎหมายเพื่อตัวเอง การกลั่นแกล้งคนที่ไม่เห็นด้วย การติดสินบน ฯลฯ
ซึ่งเป็นพฤติกรรมของนักการเมืองและข้าราชการที่ร่วมมือกันให้เกิดความเลวร้ายต่างๆ ในบ้านเมือง เพียงแต่ทุกสิ่งที่ประชาชนเห็นว่าเป็นความเลวร้ายในสังคมนั้น มาปรากฏเด่นชัดที่สุดและเป็นไปอย่างกว้างขวางในยุคนี้ และกระทำกันเหมือนว่าเป็นเรื่องชอบธรรมตามกฎหมาย
ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ความเลวร้ายของ"ทุนการเมือง"อย่างสมบูรณ์แบบ กล่าวคือ ใช้เงินเพื่ออำนาจทางการเมืองและใช้อำนาจทางการเมืองเพื่อสร้างความมั่งคั่ง
ดังนั้นการล้ม "ระบอบทักษิณ"จะต้องขจัดปัญหาที่หมักหมมมานานในสังคม คำถามก็คือจะทำได้หรือไม่ และจะทำอย่างไร ซึ่งถือว่าเป็นงานหนักมากของสังคมที่จะเข้าไปแก้ปัญหา
เพราะอดีตที่ผ่านมา เราพูดกันมากวิจารณ์กันแทบทุกวัน แต่ปัญหากลับหนักยิ่งขึ้น ซึ่งอาจเป็นเพราะว่าเราได้แต่เสนอแนวคิดในการแก้ปัญหา ไม่เคยกระทำอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม ความตื่นตัวของสังคมอันเนื่องมาจาก "ระบอบทักษิณ" น่าจะเป็นสัญญาณที่ดีว่าภาคประชาชนจะเข้ามามีส่วนกันอย่างแข็งขัน
และอาจเป็นความหวังเดียวที่จะแก้ปัญหาที่"ต้นตอ" จนนำไปสู่สถาปนาสิ่งที่เรียกว่า"ระบอบทักษิณ"ได้ ซึ่งภาคประชาชนจึงเป็นทางออกเดียว หาไม่แล้ว "ระบอบทักษิณ"ก็คงอยู่กับเราต่อไป และเราก็จะมาพูดกันซ้ำๆ ซากๆ เมื่อเกิดวิกฤติ
http://www.bangkokbiznews.com/2006/04/08/w011_93791.php?news_id=93791