จาก กกต.ถึงสรรพากร
คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12
โดย ประสงค์ วิสุทธิ์ prasong_lert@yahoo.com"สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"
เป็นวลีที่ได้ยินบ่อยในช่วงนี้ หลังจากที่ศาลอาญามีคำพิพากษาให้จำคุก พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กับพวก คนละ 4 ปี และศาลฎีกามีคำสั่งไม่ให้ประกันตัวตัวด้วยเหตุผลว่า ความผิดตามคำพิพากษาของศาลอาญา เป็นความผิดร้ายแรงก่อให้เกิดความเสียหายแก่ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และก่อให้เกิดความแตกแยกในบ้านเมือง เชื่อว่าการปล่อยตัวจะทำให้เกิดอันตรายและเป็นอุปสรรคในการดำเนินคดีในศาล (อุทธรณ์)
"กรรม" ในที่นี้น่าจะหมายถึง การกระทำโดยเจตนาซึ่งผู้กระทำย่อมได้รับผลแห่งการกระทำนั้น
ในช่วงที่ผ่านมา มีข้าราชการระดับสูงบางกลุ่มชอบทำตัวเป็น "ข้าทาส" รับใช้ผู้มีอำนาจทางการเมืองและทางการเงิน
ยอมทำทุกอย่าง เพื่อสนองความต้องการของผู้มีอำนาจ แม้จะผิดกฎหมายและจริยธรรมโดยหวังว่าจะได้รับผลประโยชน์ "ต่างตอบแทน" ในรูปแบบต่างๆ และคิดว่าผู้มีอำนาจจะคอยคุ้มกะลาให้อยู่รอดปลอดภัยไปได้ตลอด
อย่างไรก็ตาม คิดว่าผลแห่งกรรมของอดีต กกต.ทั้งสามคนน่าจะเป็นตัวอย่างที่ทำให้ข้าราชการเหล่านี้สำนึกได้ไม่มากก็น้อยสัปดาห์ที่ผ่านมาเล่าถึงกรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตข้าราชการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ยื่นฟ้องกรมสรรพากรต่อศาลภาษีอากรกลางเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2549 กรณีที่กรมสรรพากรมีคำสั่งคืนเงิน (เช็ค) ภาษีจำนวน 20,000 บาท ให้แก่นายเรืองไกรซึ่งกรมสรรพากรเรียกเก็บจาก "ส่วนต่าง" ราคาหุ้นที่นายเรืองไกรซื้อจากบิดาตนเองโดยกรมสรรพากรอ้างเหตุผลในการคืนภาษีว่า เป็นการประเมินผิดพลาด
แต่นายเรืองไกรเห็นว่า การเสียภาษีที่คิดจาก "ส่วนต่าง" ราคาหุ้นถูกต้องแล้วเพราะเป็นหน้าที่ของผู้มีเงินได้ทุกคนคำฟ้องของนายเรืองไกรระบุว่า คำสั่งให้คืนเงินภาษีของกรมสรรพากร เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยประมวลรัษฎากรเพราะคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์เป็นที่สุดเว้นแต่จะถูกเพิกถอนด้วยคำพิพากษาของศาล กรมสรรพากรไม่มีอำนาจใดๆ ที่จะคืนเงินภาษีและเงินเพิ่มที่ได้ชำระไปแล้ว เพราะเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีเจตนาทุจริต ซ่อนเร้น เป็นการบิดเบือนการใช้อำนาจและใช้อำนาจนั้นโดยไม่สุจริต เกิดจากการที่กรมสรรพากรประสงค์ต่อผลในการนำกรณีของนายเรืองไกรไปใช้เป็นข้ออ้างเพื่อประโยชน์แก่ผู้มีอำนาจทางการเมือง และญาติพี่น้องของนักการเมืองเหล่านั้น
เป็นที่ทราบกันดีว่า ผู้มีอำนาจทางการเมืองและเครือญาติตามที่นายเรืองไกรระบุในคำฟ้อง มีครอบครัว "ชินวัตร" ของ พ.ต.ท.ทักษิณรวมอยู่ด้วย
เพราะครอบครัวชินวัตรมีการโอนขายหุ้นชินคอร์ปกันเองในราคาต่ำกว่าราคาตลาดอย่างน้อย 2 ครั้งในปี 2543 และปี 2549 มี "ส่วนต่าง" กว่า 25,000 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าภาษี (ถ้าต้องเสีย) เกือบ 10,000 ล้านบาท
คำถามคือ ถ้าศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าการเสียภาษีจาก "ส่วนต่าง" ราคาหุ้นของนายเรืองไกรถูกต้องแล้ว กรมสรรพากรจะดำเนินการอย่างไร
อ้างอายุความหรือเหตุอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะดำเนินการกับครอบครัวชินวัตร?นอกจากกรณีนายเรืองไกรแล้ว สตง.ยังเข้าไปตรวจสอบกรณีที่ครอบครัวชินวัตรโอนขายหุ้นชินคอร์ปมูลค่า 73,000 ล้านบาท โดยไม่เสียภาษีแม้แต่สลึงเดียวโดยทำหนังสือเชิญข้าราชการระดับสูงตั้งแต่อธิบดีไปสอบปากคำ แต่ทางกรมสรรพากรยังสงวนท่าทีให้ทาง สตง.แจ้งประเด็นที่จะสอบไปให้ทราบก่อน
เท่าที่ทราบ สตง.จะเน้นประเด็นที่บริษัทแอมเพิลริช อินเวสต์เมนต์ จำกัด ขายหุ้นชินคอร์ปจำนวน 329.2 ล้านหุ้น ในราคาเพียง 1 บาท ขณะที่ราคาตลาดกว่า 40 บาท ให้แก่นายพานทองแท้และ น.ส.พิณทองทา ทำให้บุคคลทั้งสองได้ประโยชน์จาก "ส่วนต่าง" กว่า 15,000 ล้านบาท
ถ้าย้อนข้อมูลเก่าจะพบว่าความพยายามในการตรวจสอบภาษีการโอนหุ้นของครอบครัวชินวัตรมีมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยช่วงปี 2545 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชุดแรกเคยมีมติให้ไต่สวนนข้าราชการระดับสูงของกรมสรรพากรยุคนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล (ปลัดกระทรวงการคลัง) เป็นอธิบดี เนื่องจากเห็นว่าน่าจะมีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบกรณีไม่ประเมินภาษีการโอนหุ้นชินคอร์ป มูลค่า 738 ล้านบาท ที่คุณหญิงพจมาน ชินวัตร โอน (ฟรี) ให้แก่นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่บุญธรรม แต่ทำในลักษณะนิติกรรมอำพรางคือ ทำเป็นซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์
จนกระทั่ง ป.ป.ช.ตรวจสอบพบ คุณหญิงพจมานกลับอ้างว่าเป็นการยกหุ้นให้โดยเสน่หาตามขนบธรรมประเพณีและเป็นการอุปการะโดยธรรมจรรยาซึ่งกรมสรรพากรก็เชื่ออย่างเชื่องๆปรากฏว่าการไต่สวนเงียบหายไปท่ามกลางอิทธิพลทางการเมืองและการเงินแผ่ครอบคลุมองค์กรอิสระพร้อมๆ กับ ป.ป.ช.ชุดเก่าหมดวาระลง
ปัจจุบันอยู่ในภาวะ "รังโจร (ใกล้) แตก" อิทธิพลทางการเมืองกำลังเสื่อมถอย และไม่อาจคุ้มกะลาหัวใครได้อีกต่อไป ถ้าข้าราชการระดับสูงบางกลุ่มในกระทรวงการคลังยังไม่กลับตัวกลับใจ อาจต้องรับผลแห่งกรรมเหมือนกับอดีต กกต.ทั้งสามคน http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01col02290749&show=1§ionid=0116&day=2006/07/29