บ.มะกันจดสิทธิบัตรฮุบ***น!มังคุดไทยรวดเดียว17รายการ
บริษัทเอกชนสหรัฐยื่นจดสิทธิบัตรมังคุดไทย 17 รายการ ตั้งแต่น้ำผลไม้ยันสูตรผสมน้ำเปลือกมังคุด ผอ.ไบโอไท ชี้ธุรกิจเอสเอ็มอีไทย เป็นได้เพียงผู้ส่งออกวัตถุดิบ ไม่มีสิทธิแปรรูป จี้รัฐบาลรวบรวมข้อมูลคัดค้าน พร้อมตั้งหน่วยงานติดตามเฝ้าระวังการจดสิทธิบัตรจริงจัง
เป็นอีกครั้งที่ไทยตกอยู่ในฐานะเสียเปรียบ เมื่อบริษัทเอกชนสหรัฐยื่นจดสิทธิบัตร ผลิตผลที่เกิดจากมังคุดไทยมากถึง 17 รายการ ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นเพียงผู้ส่งออกวัตถุดิบผลมังคุดเท่านั้น ไม่สามารถแปรรูปผลไม้ชนิดนี้เป็นสินค้าอื่นใดที่อยู่ในสิทธิบัตรดังกล่าวได้
เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม มีการประชุมสัมมนาทางวิชาการเรื่อง "การละเมิดภูมิปัญญาไทย กรณีฤาษีดัดตน : แนวทางในการป้องกันคุ้มครองภูมิปัญญาไทยในสถานการณ์ปัจจุบัน ที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดขึ้นที่โรงแรม มิราเคิล แกรนด์ นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผอ.องค์การความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาไทย (ไบโอไท) กล่าวว่า จากการสำรวจการยื่นจดสิทธิบัตรสมุนไพรไทยในต่างประเทศ พบว่ามีการยื่นจดสิทธิบัตรคุ้มครองการสกัดน้ำผลไม้จากเปลือกมังคุด เพื่อนำไปทำเครื่องดื่ม ยื่นจดโดยบริษัทเนเจอร์ ซันซายน์ โปรดักส์ สหรัฐอเมริกา ซึ่งยื่นจดที่สำนักงานกฎหมายสิทธิบัตรสหรัฐ เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2549 ทั้งหมด 17 รายการ
พร้อมกันนี้ นายวิฑูรย์ได้อธิบายถึงเนื้อหาสำคัญในการยื่นจดทะเบียนที่มีผลกระทบต่อไทยคือการจดสิทธิบัตรคุ้มครองกระบวนการสกัดน้ำผลไม้จากเปลือกมังคุดมาทำเครื่องดื่มและวิธีการสกัด ด้วยการใช้แอลกอฮอล์ โดยมีเมทิลแอลกอฮอล์ผสม 50% การอบแห้งเปลือกมังคุดในระบบสุญญากาศ รวมถึงจดสูตรเครื่องดื่มน้ำมังคุดในรูปแบบต่างๆ ที่นำไปผสมกับน้ำผักผลไม้อื่นๆ เช่น องุ่น เป็นต้น
ผอ.ไบโอไท กล่าวด้วยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกระทบต่อไทยอย่างมาก แม้ต้นมังคุดจะไม่ได้มีที่ประเทศไทยแห่งเดียว แต่ไทยเป็นต้นกำเนิดของผลไม้ชนิดนี้ และมีอัตราการส่งออกมังคุดมากที่สุดในโลก การจดสิทธิบัตรในลักษณะนี้จะทำให้ไทยตกอยู่ในฐานะเพียงแค่ผู้ส่งออกวัตถุดิบเท่านั้น ไม่สามารถพัฒนาหรือแปรรูปผลิตภัณฑ์เป็นรูปแบบอื่นได้ แม้จะมีศักยภาพก็ตาม อีกทั้งการทำเครื่องดื่มน้ำมังคุด คนไทยโดยเฉพาะชาวสวนทำมาก่อนแล้ว ถือเป็นภูมิปัญญาไทย การจดสิทธิบัตรอาจจะกระทบธุรกิจเอสเอ็มอีของไทย เพราะเท่าที่ทราบมีบริษัทที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเครื่องดื่มสมุนไพรไทยในรูปแบบต่างๆ จำนวนมาก
"การยื่นจดสิทธิบัตรที่เป็นภูมิปัญญาเกิดขึ้นแล้วหลายครั้ง เป็นเพราะเราไม่มีหน่วยงานเฝ้าระวัง สะท้อนให้เห็นว่าจำเป็นต้องมีกลไกเฝ้าระวัง ถึงเวลาแล้วที่เราต้องทำงานอย่างจริงจัง ก่อนที่สมุนไพรไทยจะถูกต่างชาติยื่นจดไปหมด รัฐบาลควรกระตือรือร้นในการปกป้องมากกว่านี้ มิฉะนั้นไทยจะกลายเป็นประเทศที่ส่งออกแค่วัตถุดิบ ไม่สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับตัวเองได้" ผอ.ไบโอไท กล่าว
นายวิฑูรย์ แนะนำว่า รัฐบาลของไทยต้องตรวจสอบว่า บริษัท เนเจอร์ ซันซายน์ โปรดักส์ ได้ยื่นจดสิทธิบัตรไปยังประเทศอื่นๆ นอกสหรัฐหรือไม่ เพราะจะมีผลกระทบต่อการส่งออกของไทย และต้องศึกษาว่าทั้ง 17 รายการนั้นมีข้อไหนบ้างที่สามารถฟ้องยกเลิกได้ เช่น การนำน้ำสกัดมังคุดมาทำเป็นเครื่องดื่ม ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหม่ จนไปจดสิทธิบัตรได้ เช่นเดียวกับการสกัดน้ำจากเปลือกมังคุดด้วยแอลกอฮอล์ที่ภูมิปัญญาไทยก็มีเรื่องนี้มานานแล้ว จำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลคัดค้าน
ด้าน พ.ญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ รองอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า เป็นเรื่องน่าห่วงเพราะจากการศึกษาของหน่วยงานภายในกรมพบว่า มีผู้สนใจจดสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์เปลือกมังคุดจำนวนมาก ดังนั้นควรจัดทำฐานข้อมูลผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้ไทย เพื่อเป็นข้อมูลยืนยันก่อนถูกนำไปจดสิทธิบัตรเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น มังคุด ก็ให้รู้ว่ามีการนำมากินและใช้อย่างแพร่หลายมาก
"ควรมีหน่วยงานโดยตรงในการติดตามเฝ้าระวังการจดสิทธิบัตรสมุนไพรไทย และเร่งดำเนินการจดสิทธิบัตร ภูมิปัญญาที่เป็นของคนไทยเอง ซึ่งมีจำนวนมากมายหลายร้อยชนิด ไม่ใช่เพียงสมุนไพร ยาไทยเท่านั้น ยังรวมไปถึงเรื่องของอาหารที่เป็นตำรับไทย ไม่อย่างนั้นเราจะเป็นแค่ผู้ส่งออกวัตถุดิบ ไม่สามารถขยายเป็นผลิตภัณฑ์ได้" พ.ญ.เพ็ญนภา กล่าว
แหล่งที่มา
http://www.komchadluek.net/2006/07/27/a001_31514.php?news_id=31514