ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล สำเร็จกฏหมายจากเยอรมัน อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์
กล่าวใน
งานเสวนาหัวข้อ "เมืองไทย : หลังทักษิณ 4" ตอนหนึ่งว่า
ในสมัยพุทธกาลมีพระภิกษุที่ได้ชื่อว่าเป็นคนดื้อ เป็นคนว่ายาก ไม่รับโอวาทหรือคำเตือนใดๆ ของใคร คือพระฉันนะ ซึ่งถือตัวว่าเป็นข้าเก่า เนื่องจากคนจูงม้าของพระพุทธเจ้าเมื่อคราวเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก่อนสละราชสมบัติออกหาหนทางหลุดพ้นจากความทุกข์ พระอานนท์เกรงว่าเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไปแล้ว พระฉันนะจะเป็นผู้ว่ายากยิ่งขึ้น จึงได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ควรจะพึงปฏิบัติแก่พระฉันนะอย่างไร พระพุทธเจ้าทรงตอบแก่พระอานนท์ว่า เมื่อพระองค์ล่วงลับไปแล้ว ให้สงฆ์ลง "พรหมทัณฑ์" แก่พระฉันนะ โดยทรงขยายความว่า การลงพรหมทัณฑ์คือ การที่ภิกษุทั้งหลายไม่พึงว่ากล่าว ไม่พึงโอวาท ไม่พึงสั่งสอน ไม่พึงเจรจาคำใดๆ ด้วยทั้งสิ้น เว้นแต่คำอันเป็นกิจธุระโดยเฉพาะต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว สงฆ์ก็ได้ลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะ และผลก็คือ พระฉันนะได้สำนึกในความผิด สำเหนียกในพระธรรมวินัย และปฏิบัติธรรมจนต่อมาถึงกับบรรลุเป็นพระอรหันต์
การลงพรหมทัณฑ์เป็นวิธีการที่สังคมพุทธใช้จัดการกับคนดื้อด้าน คนว่ายาก คนไม่สำนึกในความผิด เพื่อให้กลับตัวกลับใจ เป็นวิธีการมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ดูจะคล้ายกับการบอยคอตของฝรั่ง แต่จริงๆ แล้วแตกต่างกัน เพราะการลงพรหมทัณฑ์นั้น เป็นการกระทำด้วยเมตตาจิต ทำด้วยความรัก ไม่ใช่ด้วยความเกลียด ไม่ได้มุ่งประท้วงหรือลงโทษ แต่มุ่งที่จะให้คนดื้อด้านที่สร้างปัญหาให้สังคมได้กลับตัวกลับใจ ซึ่งประโยชน์ก็ตกอยู่กับคนคนนั้นเองด้วย ที่สำคัญคือเป็นวิธีการที่ใช้ได้ผลมาแล้ว นายปริญญา กล่าวต่อว่า
พ.ต.ท.ทักษิณ จัดว่าเป็นคนดื้อ ว่ายาก ไม่รับคำตักเตือนของใคร สอบตกทางจริยธรรม ผู้คนไม่ยอมรับกันแทบทุกวงการ ซ้ำยังชวนทะเลาะกับหลายฝ่าย แล้วจะบริหารชาติบ้านเมืองต่อไปได้อย่างไร นายกรัฐมนตรีต้องเป็นนายกรัฐมนตรีของคนทั้งประเทศ ไม่ใช่เป็นแค่นายกรัฐมนตรีของคนชนบทภาคเหนือและภาคอีสานเท่านั้น แต่เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณยังคงดื้อ ยึดถือแต่ข้ออ้างว่าจะอยู่เพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตย ไม่ยอมเว้นวรรคทางการเมืองเพื่อพิสูจน์ตัวเองให้ประชาชนหายคับข้องใจแล้วค่อยกลับมาใหม่ จึงเสนอให้ สังคมลงพรหมทัณฑ์แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ
"
นั่นก็คือไม่พึงโอวาท ไม่พึงเจรจา ไม่พึงว่ากล่าว ไม่คบค้า ไม่สมาคม ไม่ขาย ไม่ให้บริการ ไม่ยุ่ง ไม่เกี่ยวข้องด้วยประการใดๆ พ่อค้าไม่ขายของให้ ร้านเพชรไม่ขายเพชรให้ ร้านเสื้อผ้าไม่ขายเสื้อผ้าให้ ร้านก๋วยเตี๋ยวไม่ขายก๋วยเตี๋ยวให้ ร้านตัดผมไม่ตัดผมให้ อาจทำเป็นป้ายหรือสติกเกอร์ข้อความว่า ร้านนี้ไม่ขาย-ไม่ให้บริการแก่ทักษิณ จนกว่าคุณทักษิณจะสำนึกผิด" "การกระทำเช่นนี้เป็นการกระทำด้วยความรัก ความเมตตา ไม่ใช่ด้วยความเกลียด เป็นการกระทำที่ประชาชนทุกหมู่เหล่า ทุกสาขาอาชีพสามารถร่วมดำเนินการได้ เช่นเดียวกับโนโหวต การเลือกตั้งเป็นหนทางที่จะทำให้ประเทศชาติจะกลับสู่ความปกติ แต่การเลือกตั้งจะไม่เรียบร้อยและไม่ยุติธรรม และจะไม่ทำให้ประเทศกลับสู่ความสงบได้ ถ้า กกต.ทั้ง 3 คนยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ และถ้าคุณทักษิณไม่ยอมเว้นวรรค เมื่อเป็นเช่นนั้น สังคมก็ต้องลงพรหมทัณฑ์แก่คุณทักษิณ และควรที่จะต้องขยายไปถึงคนที่อยู่รอบๆ และช่วยคุณทักษิณอยู่ด้วย สังคมไทยจึงจะพ้นทุกข์ในขณะนี้ไปได้
http://www.bangkokbiznews.com/2006/07/24/news_21173490.php?news_id=21173490 นายกรัฐมนตรีต้องเป็นนายกรัฐมนตรีของคนทั้งประเทศ ไม่ใช่เป็นแค่นายกรัฐมนตรีของคนรักทักษิณ คนสมประโยชน์ คนชนบทภาคเหนือและภาคอีสานเท่านั้น ถึงแม้คุณทักษิณจะเหมือนคุณ Killer ดูแคลน กล่าวร้าย ดร.ปริญญา มาก่อนก็ตาม
ดร.ปริญญา ยังมีเมตตาจิต แนะนำหนทางสว่างตามหลักพุทธศาสนา
อย่างนี้ ต้องพูดตามภาษาชาวบ้าน เขาทำตัวของเขาเอง
ไม่มีใครผลักดันให้เขาต้องถูก"พรหมทัณฑ์"อย่างนั้น..