วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10358
"ยูเอ็น"ชี้พ.ร.ก.ละเมิดสิทธิ "ฮิวแมนไรท์"จี้ไทยยกเลิก!
ยูเอ็นออกแถลงการณ์ระบุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ เป็นเครื่องมือให้เจ้าหน้าที่สังหารคนโดยไม่มีความผิด ด้านองค์กรฮิวแมนไรท์ เฟิร์สท์ แฉโหมเชื้อไฟปัญหาใต้รุนแรงขึ้น จี้ รบ.ไทยยกเลิก เสนอให้การอุ้มหายผิดอาญา**ยูเอ็นชี้พ.ร.ก.ฉุกเฉินละเมิดสิทธิ
สำนักข่าวเอพีรายงานเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ระบุว่านายฟิลิป อัลสตัน ทูตพิเศษฝ่ายกิจการการสังหารตามอำเภอใจ,โดยรวบรัดหรือนอกกระบวนการยุติธรรม ของสำนักข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชเอชอาร์) ซึ่งตั้งอยู่ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้ออกแถลงการณ์ว่าพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉินของไทย มีบทบัญญัติที่ละเมิดหลักการสิทธิมนุษยชน และกฎหมายระหว่างประเทศ เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกมาตราที่ล่วงละเมิดทันที เชื่อเป็นการอนุญาตให้เจ้าหน้าที่สังหารได้ตามอำเภอใจโดยไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ
เอพีระบุว่า ถ้อยแถลงดังกล่าวของนายอัลสตันส่งมายังสำนักงานของตนผ่านทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ และมีขึ้นหลังจากคณะรัฐมนตรีไทยเห็นชอบให้ขยายอำนาจตาม พ.ร.ก.ดังกล่าวออกไปอีก 3 เดือน เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมา
"พ.ร.ก.ฉุกเฉินดังกล่าวทำให้เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจสามารถประกอบการฆาตกรรมได้โดยไม่จำเป็นต้องรับผิด เนื้อความใน พ.ร.ก.ดังกล่าวนี้มีส่วนละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และไม่ให้ความสนใจต่อหลักการสิทธิในการมีชีวิตอยู่ซึ่งเป็นหลักการสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน และเรียกร้องต่อรัฐบาลไทยให้ยกเลิกบางส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับการละเมิดดังกล่าวใน พ.ร.ก.ทิ้ง" นายอัลสตันระบุ
ทูตพิเศษของยูเอ็นกล่าวอีกว่า การได้รับการยกเว้นไม่ต้องรับการไต่สวนพิจารณาโทษในการกระทำการรุนแรงโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของรัฐได้กลายเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย แต่ พ.ร.ก.ดังกล่าวนี้ยิ่งไปไกลมากไปกว่านั้นด้วยการทำให้การไม่ต้องได้รับโทษดังกล่าวมองแล้วราวกับเป็นนโยบายที่เป็นทางการของรัฐบาล
**ฮิวแมนไรท์ฯระบุยิ่งโหมไฟใต้
วันเดียวกัน ฮิวแมนไรท์ เฟิร์สท์ องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนที่ทำงานด้านการเปลี่ยนแปลงแก้ไขนโยบายด้านสิทธิมนุษยชน มีสำนักงานอยู่ที่กรุงนิวยอร์กและวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ได้ออกรายงานเรื่อง ความพ่ายแพ้:นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน และการต่อต้านการก่อการร้ายของไทย เผยแพร่ทางเว็บไซต์
www.humanrightsfirst.org โดยนางมารีน บรานส์ ผู้อำนวยการบริหารขององค์กรดังกล่าวระบุว่า 1 ปี ภายหลังจากรัฐบาลไทยประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อแก้ปัญหาภาคใต้ มีสัญญาณให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอ่อนแอลงอย่างมาก
"ยิ่งไปกว่านั้น พ.ร.ก.ภาวะฉุกเฉินยังกลับเป็นเชื้อไฟโหมใส่ความรุนแรงในภาคใต้มากขึ้น ภาพพจน์ของไทยในเรื่องสิทธิมนุษยชนยังไม่ดี เพราะไม่มีการแก้ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในกรณีเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในภาคใต้ของไทยรวมทั้งยังคงมีการจับกุมคุมขังโดยพลการ และการอุ้มหาย" นางบรานส์ กล่าว และว่า รัฐบาลควรยกเลิก พ.ร.ก.ดังกล่าวนี้
นางบรานส์กล่าวอีกว่า นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนได้ทำหน้าที่สำคัญในการช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมในกรณีความรุนแรงภาคใต้ แต่คนเหล่านี้กลับถูกคุกคามและข่มขู่เนื่องจากการทำงานนี้ มีนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนกว่า 20 คน ในรอบ 5 ปีนี้ที่ถูกสังหารเสียชีวิตไป ตั้งแต่พระภิกษุจนถึงทนายความ
"ในส่วนของปัญหาอุ้มฆ่า รัฐบาลควรที่จะดำเนินการอย่างดีและจัดหากลวิธีในการแก้ไขเรื่องการอุ้มหายหรือบังคับให้คนหายไป โดยการยอมรับว่าการอุ้มหายเป็นการกระทำความผิดทางอาญา และสร้างแนวทางการปฏิบัติงานในระดับชาติให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจกรณีการอุ้มหาย" นางบรานส์ระบุ
**ผบ.ทบ.ลงใต้พบ"ผู้นำศาสนา"
ที่ท่าอากาศยานกรุงเทพ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พร้อมด้วย พล.ท.องค์กร ทองประสม แม่ทัพภาคที่ 4 เดินทางลงพื้นที่ จ.ยะลา เพื่อพบปะผู้นำทางศาสนาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดย พล.อ.สนธิให้สัมภาษณ์ว่า การลงพื้นที่ภาคใต้ครั้งนี้ เพื่อต้องการไปประสานงานกับบุคคลที่เคารพนับถือในพื้นที่ เพื่อขอความร่วมมือและเก็บข้อมูล นำมาปรับแก้แนวทางการปฏิบัติงาน ซึ่งคำว่าสันติวิธีคือการทำความเข้าใจกันทั้งสองฝ่าย เพื่อให้สามารถยอมรับกันได้ ซึ่งการแก้ปัญหาต้องอาศัยความร่วมมือของประชาชนเป็นหลัก
พล.ท.องค์กรกล่าวว่า ในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ ยังคงมีความจำเป็นต้องใช้พระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉินต่อไปอีกจนกว่าสถานการณ์ในพื้นที่จะอยู่ภาวะที่เรียบร้อย คือไม่มีเหตุระเบิดขึ้น ซึ่งคงจะต้องมีการพูดคุยร่วมกันหลายฝ่าย แต่ในขณะนี้ยังถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการปฏิบัติหน้าที่
**น.ร.กูจิงลือปะเยี่ยมครู"จูหลิง"
เวลา 11.30 น. เจ้าหน้าที่กองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กอ.สสส.จชต.) นำตัวแทนนักเรียน ครู และผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนบ้านกูจิงลือปะ ต.เฉลิม อ.ระแงะ จ.นราธิวาส จำนวน 130 คน เข้าเยี่ยมอาการ น.ส.จูหลิง ปงกันมูล ครูโรงเรียนบ้านกูจิงลือปะ ที่ถูกชาวบ้านจับเป็นตัวประกันและทำร้ายบาดเจ็บ ที่ยังคงนอนรักษาตัวที่ห้องไอซียู โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เป็นเวลา 2 เดือนแล้ว โดยมี พล.ท.องค์กร ทองประสม ผอ.สสส.จชต.และ แม่ทัพภาคที่ 4 พล.ต.ท.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบช.ภ.9 และตัวแทน ผู้ว่าราชการ 4 จังหวัดเข้าร่วม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตัวแทนนักเรียนได้เขียนป้ายข้อความให้กำลังใจ น.ส.จูหลิง และครอบครัว พร้อมมอบการ์ดอวยพรขอให้ น.ส.จูหลิงหายจากอาการบาดเจ็บโดยเร็ว มอบช่อดอกไม้เป็นกำลังใจให้กับนายสูนและนางคำมี บิดา-มารดา น.ส.จูหลิง
นพ.สุเมธ พีรวุฒิ ผู้อำนวยการการโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา กล่าวว่า อาการในภาพรวม น.ส.จูหลิงยังคงทรงตัว ซึ่งตามปกติคนไข้ที่ถูกทำร้ายบาดเจ็บขนาดนี้จะเสียชีวิตภายใน 2-3 สัปดาห์ แต่ น.ส.จูหลิงอยู่ได้ถึง 2 เดือน โดยที่ไม่มีอาการติดเชื้อ ไม่มีแผลกดทับ เชื่อว่าการที่ น.ส.จูหลิงยังอยู่ได้เป็นเพราะพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ
เวลา 14.30 น. พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.เดินทางเยี่ยมอาการ น.ส.จูหลิง พร้อมลงนามในสมุดเยี่ยมอาการบาดเจ็บ โดยมีนายสูนและนางคำมี ปงกันมูล ให้การต้อนรับ
**ยิง2พ่อค้าเจ็บที่ปัตตานี-อส.ดับ
ส่วนสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่นั้น ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง โดยเวลา 11.00 น. วันที่ 19 กรกฎาคม เกิดเหตุคนร้าย 2 คน นั่งจักรยานยนต์เข้ามายิงนายถาวร กาฬแก้ว อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 14 หมู่ 5 ต.ป่าบาง อ.เทพา จ.สงขลา ได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะนายถาวรนั่งขายของอยู่ในตลาดบ้านเกาะหม้อแกง หมู่ที่ 6 ต.ท่ากำชำ
อีกรายเวลา 14.00 น. คนร้ายใช้จักรยานยนต์ประกบยิงนายอนุชา สวาทพันธ์ อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 86 หมู่ 9 ต.โนนผึ่ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดบนถนนสายปัตตานี-ยะลา ในพื้นที่หมู่ 7 ต.ปูยุด ขณะนายอนุชาเข็นรถบรรทุกไม้กวาดไปขายในหมู่บ้าน เจ้าหน้าที่เชื่อว่าเหตุการณ์ทั้งสองรายคนร้ายพยายามปรับเปลี่ยนการก่อเหตุ โดยลอบยิงพ่อค้าเพื่อสร้างสถานการณ์
เวลา 16.00 น. ขณะที่นายมะแอ เต๊ะหะ อายุ 45 ปี อาสาตำรวจชุมชนสัมพันธ์ สภ.อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี กำลังนั่งรอรับบุตรที่หน้าโรงเรียนอิสลามประชาสงเคราะห์ หมู่ 4 ต.พิเทน อ.ทุ่งยางแดง ได้มีคนร้าย 2 คน ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะเข้ามาประกบและใช้ปืนยิงศีรษะนายมะแอ 1 นัด เสียชีวิตทันที
**พ่อค้าที่ยะลาถูกยิงดับคู่
ส่วนที่ จ.ยะลา คนร้าย 2 คนประกบยิง นายสมศักดิ์ วงค์ชื่น อายุ 42 ปี และนายธีรพันธ์ สายอ้าย อายุ 38 ปี ชาวบ้าน ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง เสียชีวิต ขณะขับรถกระบะยี่ห้อโตโยต้า ตอนเดียวสีบรอนซ์ บรรทุกบานประตูและบานหน้าต่างไม้สัก เข้ามาเร่ขายในหมู่ 3 ซอยข้างอนามัยตำบลบาเจาะ ต.บาเจาะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา
ทั้งนี้ ก่อนที่คนร้ายจะหลบหนีตะโกนบอกประชาชนในที่เกิดเหตุว่า จะไม่รับรองความปลอดภัยกับคนที่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ เบื้องต้นเชื่อว่าน่าจะเป็นฝีมือของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่
หน้า 1********************