'ฮิวแมนไรท์วอทช์' จี้'ทักษิณ'ยุติคุกคามข่มขู่ประชาชน
14 กรกฎาคม 2549 19:31 น.
ตัวแทน'ฮิวแมนไรท์วอทช์' ฝ่ายเอเซีย จี้รัฐบาลรักษาการไทย ยุติใช้ข้อหากบฏปิดปากฝ่ายต่อต้านรัฐบาล และคุกคาม ข่มขู่คนวิจารณ์ ระบุขัดต่อกติการะหว่างประเทศ และรัฐธรรมนูญไทย มาตรา 39
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นิวยอร์ก - นายแบรด อาดัมส์ ผู้อำนวยการฝ่ายเอเชียของ "องค์การฮิวแมนไรท์วอทช์" กล่าวว่า พ.ต.ท.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำลังพยายามเล่นงานผู้ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ตนเอง โดยอาศัยการตั้งข้อหากบฏ และการฟ้องหมิ่นประมาท
"การใช้กฏหมายที่รุนแรงเป็นเครื่องมือเล่นงานศัตรูทางการเมืองเช่นนี้ส่งสัญญานที่ไม่ดี ในช่วงที่รัฐบาลกำลังพยายามจัดให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่ รัฐบาลควรที่จะยกเลิกข้อหาเหล่านั้น แล้วหันมาชี้แจงตอบคำวิพากษ์วิจารณ์ของฝ่ายตรงข้ามอย่างเปิดเผยจะดีกว่า” นายแบรด ระบุ
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2549 ตำรวจนครบาลมีหมายเรียกแกนนำทั้ง 5 คนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พปป.) ประกอบด้วย นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายสมศักดิ์ โกศัยสุข พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายพิภพ ธงไชย และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ให้ไปรายงานตัวเพื่อรับทราบข้อหาความผิดต่อความมั่นคง และกบฏต่อราชอาณาจักร
โดย พล.ต.ต.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ระบุว่า แกนนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้กล่าวปราศัย และให้สัมภาษณ์ในที่ต่าง ๆ รวมทั้งกระทำการอื่น ๆ ที่เป็นความผิดตามมาตรา 116 215 และ 216 ของประมวลกฏหมายอาญา คือ เป็น “ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ และวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่แสดงความคิดเห็น หรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดิน หรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืน หรือใช้กำลังประทุษร้าย หรือเพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือกระทำการให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน”
เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2549 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งข้อหาความผิดต่อความมั่นคง และกบฏต่อราชอาณาจักรแก่สมาชิกของพันธมิตรฯ เพิ่มอีก 8 คน ประกอบด้วย สุริยะใส กตะศิลา รสนา โตสิตระกูล ชัยวัฒน์ สินสุวงศ์ สุวิทย์ วัดหนู เพียร ยงหนู ศิริชัย ไม้งาม การุณ ใสงาม และอวยชัย วะทา
ในวันเดียวกันนั้นเอง ทักษิณ ได้กล่าวยืนยันเจตนาที่จะปกป้องประชาธิปไตย ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี และหัวหน้าส่วนราชการระดับสูงฝ่ายต่างๆ ที่ทำเนียบรัฐบาลว่า “ผมจะไม่ยอมให้การเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่ไม่ผ่านกระบวนการประชาธิปไตยเด็ดขาด จะปกป้องประชาธิปไตยของชาติด้วยชีวิต”
นอกจากนี้ ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2544 ทักษิณ ได้อาศัยอำนาจรัฐ และอิทธิพลทางธุรกิจคุกคาม และปิดปากบรรดาผู้ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ตนเองมาโดยตลอด เพื่อที่จะจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และเสรีภาพของสื่อมวลชน โดยมีการยื่นฟ้องหมิ่นประมาททางอาญา และการเรียกค่าเสียหายทางแพ่งเป็นจำนวนเงินมหาศาลกับนักกิจกรรมทางการเมืองคนสำคัญๆ และสื่อมวลชนที่ไม่อยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาล
องค์การฮิวแมนไรท์วอทช์ ในฐานะประเทศไทยเป็นรัฐภาคีของกติการะหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิทางการเมือง และสิทธิพลเมือง ประเทศไทยจะต้องเคารพสิทธิดังกล่าว และจะต้องดำเนินการทุกวิถีทางให้การใช้สิทธิดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้ มาตรา 19 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางการเมือง และสิทธิพลเมืองระบุว่า
"บุคคลทุกคนมีสิทธิที่จะมีความคิดเห็น และแสดงความคิดเห็นได้ โดยปราศจากการแทรกแซง โดยสิทธินี้รวมถึงเสรีภาพที่จะแสวงหา รับรู้ และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร และความคิดทุกประเภท โดยไม่คำนึงถึงพรมแดน และประเภทของสื่อ"
นอกจากนี้ มาตรา 39 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของไทย ซึ่งสะท้อนเจตนารมณ์ของการต่อสู้เรียกร้องให้มีการยอมรับสิทธิเสรีภาพภายใต้กฏหมายก็ยังระบุด้วยว่า
"คคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น"
จึงเรียกร้องให้รัฐบาลรักษาการ ภายใต้ พ.ต.ท.ทักษิณ ระงับการคุกคาม ข่มขู่ องค์กรภาคประชาชนโดยเร็ว
ที่มา
http://www.norsorpor.com/go2.php?u=http%3A%2F%2Fwww.bangkokbiznews.com%2F2006%2F07%2F15%2Fc001_120417.php%3Fnews_id%3D120417------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แล้วตกลงเดี๋ยวจะมีประโยคแบบเดียวกับตอนที่บอกว่า
UN ไม่ใช่พ่อ ออกมาอีกรึเปล่าว๊าาาาาา