องค์กรผู้บริโภค เตรียมตรวจสอบ"หมอมิ้ง"โยงใยผลประโยชน์ทับซ้อนในปตท.พบพิรุธ ยับยั้งการแยกกิจการท่อก๊าซฯ ไม่ให้เกิดการแข่งขัน หลัง"มนู-วิเศษ"โดนมีผลประโยชน์ทับซ้อนจากการจัดสรรหุ้น ด้าน"เชิดพงษ์-เมตตา"โดนหางเลข ในฐานะเป็นผู้ควบคุมราคาพลังงานแต่มานั่งเป็นกรรมการในปตท. ขณะที่"ปิยสวัสดิ์"รู้เห็นแปลงสภาพปตท.ตลอด แต่ยังปล่อยให้ทรัพย์สินของรัฐตกอยู่ในมือเอกชน
นางสาวรสนา โตสิตระกูล กรรมการมูลนิธิองค์กรผู้บริโภค เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ขณะนี้ทางเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค อยู่ระหว่างการสืบสวนหาข้อมูลในเชิงลึก เพื่อหาช่องทางดำเนินการฟ้องการแปลงสภาพบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) ว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยเฉพาะกรณีที่มติคณะรัฐมนตรี ได้เห็นชอบให้ปตท.ดำเนินการแยกกิจการทางท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ออกจากกิจการ ภายใน 1 ปี หลังจากปตท.กระจายหุ้นแล้ว
โดยเฉพาะกรณีการให้ปตท.จัดตั้งและถือหุ้นทั้งหมดในบริษัท ปตท.ท่อส่งก๊าซธรรมชาติ จำกัด รวมถึงให้ปตท.เปิดบริการขนส่งก๊าซฯทางท่อแก่บุคคลที่ 3 สำหรับระบบท่อในอนาคตและในระบบท่อเดิมของปตท. เพื่อให้ผู้ใช้ก๊าซฯสามารถซื้อก๊าซฯจากผู้ขายก๊าซฯได้โดยตรง และให้มีการตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระขึ้นมา
แต่เนื่องจากระยะเวลาผ่านมา 4 ปี ทางปตท.ไม่ได้ดำเนินการตามมติดังกล่าว โดยอ้างถึงรัฐบาลได้เปลี่ยนนโนยบายโครงสร้างกิจการไฟฟ้าใหม่ จากเดิมที่กำหนดเป็นแบบพาวเวอร์พูล มาเป็นระบบอีเอสบี และรอการแปรรูปบริษัท กฟผ.ให้แล้วเสร็จเสียก่อน ทำให้ปตท.ไม่สามารถดำเนินการได้ แต่ข้ออ้างดังกล่าวกลับกลายมาเป็นประเด็นที่ผูกมัดถึงการมีผลประโยชน์ทับ ซ้อนที่เกิดขึ้นในเวลานี้
นอกจากนี้เมื่อมีการตรวจสอบข้อมูล พบว่านายแพทย์ พรมมินทร์ เลิศสุริย์เดช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในสมัยนั้น ได้เป็นผู้ยับยั้งการแยกกิจการท่อก๊าซฯออกจากปตท. และการจัดตั้งองค์การอิสระด้านพลังงาน ไม่ให้เป็นไปตามมติครม.ซึ่งเป็นประเด็นที่ทางองค์กรผู้บริโภคจะเข้าตรวจสอบ ว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่อย่างไร เพราะเป็นการแทรกแซงของนักการเมือง เนื่องจากนายแพทย์พรมมินทร์ เข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานไม่นาน แต่สามารถดึงเรื่องดังกล่าวออกมาพิจารณาใหม่ และภายหลังตั้งนายวิเศษ จูภิบาล มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานแทน เพื่อรับผิดชอบในเรื่องนี้แทน
"ที่สำคัญจะต้องมาดูว่า การที่นายแพทย์พรหมินทร์ ยับยั้งการแยกกิจการก่อนนั้น ต้องไปดูว่านโยบายที่กำหนดออกมา เป็นนโยบายที่ให้ประโยชน์กับรัฐหรือให้ประโยชน์กับปตท. ซึ่งหากมองในแง่ของการแปรรูป การดำเนินงานจะต้องมีการแข่งขัน แต่การแปรรูปแล้วกลายเป็นว่ายกอำนาจผูกขาดจากรัฐไปเป็นของเอกชนก็ถือว่าผิด อยู่แล้ว"
"การที่ปตท.อ้างว่า การแยกกิจการท่อก๊าซฯออกมาแล้วจะทำให้หุ้นไม่มีค่า มองว่าเวลานี้จำนวนหุ้นได้ผ่องถ่ายไปเป็นของนักลงทุนแล้วจำนวนมาก กระทรวงการคลังถือหุ้นเพียง 52 % ผลประโยชน์ไม่ได้ตกอยู่กับภาครัฐแล้ว การไม่แยกกิจการท่อก๊าซฯออกมาเป็นการกระทำเพื่อผลประโยชน์ของนักลงทุน มากกว่า โดยอาศัยทรัพย์สินของชาติไปแสวงหาผลประโยชน์ ซึ่งการเวนคืนที่ดิน การวางท่อก๊าซผ่านที่ดินชาวบ้าน เป็นการรอดสิทธิ์ จะมาบอกว่าปตท.มีอำนาจในการดำเนินงานไม่ได้ แม้จะอ้างว่าศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินให้ดำเนินการได้ก็ตาม"
นางสาวรสนา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ในเบื้องต้นมองว่า คณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งปตท.ที่มีนายมนู เลียวไพโรจน์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมและประธานบอร์ดสมัยนั้น เข้ามาเป็นประธานคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้ง และหลังจากปตท.กระจายหุ้นแล้ว นายมนูได้มีผลประโยชน์จากการจัดสรรหุ้นไปจำนวนหนึ่ง จำนวนร้อยละ 0. 013584 ซึ่งตาม พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ ได้มีข้อกำหนดให้คณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งจะต้องเว้นวรรคการไม่รับหุ้น หลังจากการกระจาหยุ้น 3 ปี
ขณะที่นายวิเศษ จูภิบาล ผู้ว่าการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยสมัยนั้น ได้เป็นกรรมการเตรียมการจัดตั้งปตท.และได้รับการจัดสรรหุ้นด้วย จำนวนร้อยละ 0.005766 แต่เนื่องจากนายวิเศษ เป็นผู้บริหารถึงกลางปี 2546 แต่ยังถือหุ้นอยู่อีกประมาณ 1 ปี ทำให้ต้องมีการตรวจสอบว่านายวิเศษพ้นจากตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดแล้ว จะยังสามารถถือหุ้นต่อไปได้อีกหรือไม่
นอกจากนี้ ปตท.ไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนการแปลงสภาพที่ถูกต้องตั้งแต่ต้น ในเรื่องของการจัดทำประชาพิจารณ์ ซึ่งพบว่าปตท.ทำการประกาศสาระสำคัญก่อนการตรา พ.ร.ฎ.เพื่อแปลงสภาพปตท. 2 ฉบับเพียง 1 วันก่อนที่จะมีการรับฟังความคิดเห็น ซึ่งไม่ถูกต้องตามระเบียบที่กำหนดให้ลงประกาศในหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวติด ต่อกัน 3 วัน ทำให้การแปลงสภาพปตท.ขัดกับเจตนารมณ์ของพ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ
ด้านแหล่งข่าวจากองค์กรผู้บริโภค เปิดเผยว่า สำหรับกรณีของนายเชิดพงษ์ สิริวิชช์ ปลัดกระทรวงพลังงาน ซึ่งเป็นประธานกรรมการ ของปตท.และบริษัท ไทยออยล์ และมีบทบาทในฐานะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ที่ดูแลการกำหนดราคาพลังงาน และ นายเมตตา บันเทิงสุข ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายพลังงานแห่งชาติ(สนพ.) ในฐานะเลขาคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ซึ่งมีส่วนดูแลโครงสร้างราคาด้านพลังงาน แต่มานั่งเป็นกรรมการปตท.ด้วยนั้น
มองว่าบุคคลเหล่านี้สามารถรับรู้ข้อมูลภายในของภาครัฐ และมาบริหารจัดการปตท.ได้ จะเห็นได้จากช่วงที่ผ่านมา ปตท.และโรงกลั่นน้ำมันมีกำไรจำนวนมาก ซึ่งมีปัญหามาจากการที่มีผู้ควบคุมราคาและผู้ที่กำหนดราคาน้ำมันเป็นคน กลุ่มเดียวกัน ซึ่งถือเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนของเจ้าหน้าที่รัฐกับเอกชน
นอกจากนี้ ในส่วนของนายพละ สุขเวช กรรมการปตท.ยังเข้าไปเป็นกรรมการในกฟผ.ด้วย ทำให้เห็นผลประโยชน์ทับซ้อนของสองหน่วยงานนี้อย่างเห็นได้ชัด ที่จะเอื้อผลประโยชน์ซึ่งกันและกันในการซื้อขายก๊าซธรรมชาติ ซึ่งจะมีผลต่อค่าไฟฟ้าของประชาชนได้
อย่างไรก็ตาม จากที่ตรวจสอบรายงานการประชุมคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งปตท.พบว่า มีนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานกรรมการ บลจ.หลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย อดีตเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน ได้เข้าร่วมประชุมด้วยทุกครั้ง ซึ่งไม่ทราบว่าทำไมถึงปล่อยให้มีการดำเนินงานในลักษณะนี้ออกมา โดยเฉพาะประเด็นการโอนสินทรัพย์ของรัฐไปเป็นของเอกชนปล่อยให้มีการดำเนิน งานได้อย่างไร
ทั้งที่เวลานี้นายปิยสวัสดิ์เองสนับสนุนให้มีการแยกกิจการท่อก๊าซออกจากปตท. เพื่อกำกับดูแลได้ง่ายขึ้น และสามารถเปิดให้บริการผ่านท่อทำได้อย่างเป็นธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะการไม่ให้อำนาจผูกขาดไปอยู่ในมือของเอกชน
ต่อเรื่องนี้นายมนู เลียวไพโรจน์ อดีตปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวชี้แจงว่า ตามกฏหมายคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้ง สามารถถือหุ้นได้ เพราะฉะนั้นในส่วนของตนและนายวิเศษ จูภิบาล รักษาการว่าการกระทรวงพลังงาน จะไม่มีปัญหา ซึ่งทุกอย่างมันเป็นไปตามขั้นตอน ไม่ได้เป็นไปตามที่ถูกกล่าวหา เพราะมันมีกฏหมายมาตรา12 มาตรา18 ที่ข้าราชการที่ได้รับแต่งตั้งให้ดูแลเรื่องนี้ สามารถถือครองหุ้นในส่วนนี้ได้ "คำกล่าวหาที่ทำให้ผมเสียหาย ถ้าเล่นกับผมมากๆ ผมคงต้องขออำนาจศาลช่วยเหลือ"นายมนูกล่าว
โยงหมอมิ้งพัวพันปตท. ปูดตัวเบ้งติดร่างแหอื้อ!อ่านกันรึยังครับ ถ้าอ่านแล้วก็ขออภัย
หุหุ