หน่วยงานของจังหวัดได้รับการติดต่อขอเข้ามอบตัวจากกลุ่มผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ที่บ้านห้วยกว้าง
ตำบลแซว อำเภอเชียงแสน ทำให้เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2512 นายประหยัด สมานมิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย พ.ต.อ. ศรีเดช ภูมิประหมัน ผู้กำกับตำรวจภูธรเชียงราย นายทหารจากกองทัพภาคที่3 และคณะ รวมทั้งสิ้น 8 นายได้เดินทางเพื่อเข้าไปต้อนรับการกลับตัวกลับใจของกลุ่มผู้ก่อการร้ายดังกล่าว การเดินทางไปครั้งนี้ผู้นำชาวจีนอพยพได้ทำการทักท้วงมิให้คณะของผู้ว่าเข้าไปในเขตของคอมมิวนิสต์ เพราะรู้ว่าเป็นกลลวงแต่ทางคณะไม่ฟังคำทักท้วงจึงได้เดินทางเข้าไปในบริเวณพื้นที่ที่ ผกค. ตกลงจะทำการมอบตัวแต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่ทั้งคณะถูก ผกค. สังหารเกือบหมดเหลือรอดมาได้แต่เพียงนายอำเภอเมืองเชียงรายเพียงคนเดียว เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้รัฐบาลไทยรู้ว่าคอมมิวนิสต์ร้ายแรงเพียงใด
เมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นทางกองบัญชาการทหารสูงสุดได้มีคำสั่งให้ชาวจีนอพยพที่เคยได้รับการฝึกแบบทหาร ออกช่วยปราบปรามโดยเข้าร่วมกับกองกำลังทหารและตำรวจ ซึงการปราบปรามผู้ก่อการร้ายใช้เวลายืดเยื้อ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 ไปจนถึง พ.ศ.2516 เหตุการณ์ผู้ก่อการร้ายจึงได้สงบลง
เมื่อสิ้นสุดการปราบปรามผู้ก่อการร้ายสงบลงแล้ว รัฐบาลไทยก็ได้ให้กองกำลังจีนอพยพ(กองพล93)จัดตั้งเป็นหมู่บ้านยุทธการได้แก่
หมู่บ้านผาตั้ง หมู่บ้านแม่แอบ สำหรับ หมู่บ้านแม่สลอง เดิมที่เรียกว่า หมู่บ้านหินแตก จึงให้เปลี่ยนชื่อเป็น
หมู่บ้านสันติคีรี โดย
พล.อ.อ. ทวี จุลละทรัพย์ เป็นผู้กำหนดชื่อหมู่บ้าน ปี พ.ศ. 2524 พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้ให้ชาวจีนอพยพจัดตั้งเป็นกองกำลังอาสาสมัครไทย จำนวน 4 กองร้อย ร่วมกับกองกำลังกองทัพภาคที่ 3 เพื่อออกกวาดล้างผู้ก่อการร้ายที่เขาค้อ และที่เขาหญ้า จังหวัดเพชรบูรณ์ ผลการกวาดล้างได้รับชัยชนะตามเป้าหมายที่รัฐบาลไทยกำหนด
ทางรัฐบาลไทยมองเห็นความสำคัญและผลงานที่ได้กระทำต่อบ้านเมืองของกลุ่มชาวจีนอพยพหรือที่รู้จักในนามของกองพล 93 กองบัญชาการทหารสูงสุดจึงตั้งคณะกรรมการเพื่อแปลงสัญชาติให้เป็นคนไทย ในพ.ศ. 2514 , 2518 , 2520 สิ้นสุดในปี พ.ศ. 2521 โดยทางราชการจะออกบัตรประจำตัวชัวคราวให้กับนายทหารจีน(กองพล93) ใช้ในการออกจากเขตกำหนด(ดอยแม่สลอง) โดยใช้บัตร(ตามภาพ)แสดงแทนบัตรประชาชนไทย หลังจากนั้นอีก 8 ปี จึงได้อนุมัติให้ทำบัตรประชาชนไทยถาวร แก่ชาวจีนอพยพ(กองพล93) เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2529
โดยออกให้กับครอบครัวของนายทหารก่อน จากนั้นจึงออกให้ประชาชนจีนที่ติดตามกองทัพมานั้นเป็นลำดับไป
สำหรับบัตรประจำตัวนายทหารจีน(กองพล93) ที่ทางราชการออกให้ก่อนหน้านั้น(ตามภาพ) ทางราชการได้เรียกกลับคืน โดยเปลี่ยนกับบัตรประชาชนไทยถาวรในเวลาเดียวกันนั้นเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ กองทัพภาคที่ 3 จึงได้มอบอำนาจการปกครองหมู่บ้านอดีตทหารจีน(กองพล93)บางหมู่บ้านให้กับกระทรวงมหาดไทย ตามนโยบายของรัฐบาล เช่น
หมู่บ้านสันติคีรี ( ดอยแม่สลอง ) เป็นหมู่ที่ 18 ตำบลป่าซาง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ตามข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่า ชาวจีนอพยพ(กองพล 93) เพิ่งจะได้รับอนุญาตให้มีบัตรประชาชนไทยถาวรได้ในปี พ.ศ.2529 (2514-2521 เป็นช่วงของการอนุญาตให้แปลงสัญชาติเป็นไทย)
โรงเรียนนายร้อยหว่างฟู่ ไม่ใช่มีแต่นักเรียนที่เป็นชาวจีนเท่านั้น แต่มีคนไทยเข้ารับการศึกษาด้วย(ตามภาพ เป็นคนไทยแท้ ๆ บ้านอยู่บางกอกน้อย ธนบุรี) จึงเป็นการสะดวกในสืบค้นข้อมูลกรณีของบิดานายสนธิ ลิ้มทองกุล
ดังนั้น เราสามารถที่จะพิจารณา วิเคราะห์จากหลักฐาน ข้างต้น จึงสามารถสรุปได้ดังนี้ ว่า
1. กรณีนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่อ้างว่าบิดาเป็นนายทหารกองร้อยหว่างฟู่ สังกัดกองพล93
จากรายงานพบว่า บิดาของนายสนธิ ได้ "
หลบหนีจากกองพล93(
หนีทหาร)"
ก่อน พ.ศ.2514 ซึ่งเป็นระยะก่อนที่รัฐบาลไทย จะมีคำสั่งอนุญาตให้กองพล93 แปลงสัญชาติเป็นไทยได้ นั่นหมายถึง ซึ่งบิดาของนายสนธิ จึงเป็นเพียงคนจีนหลบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฏหมาย จึงไม่ได้รับสิทธิในการแปลงสัญชาติเป็นไทย เช่นบุคคลที่อยู่ในกองพล93 ตามคำสั่งของกองบัญชาการทหารสูงสุด (เพราะหนีทหารไปก่อนหน้านั้น จึงไม่ปรากฏหลักฐานการได้สัญชาติ เช่นผู้อื่นที่สังกัดกองพล93 ในระยะเวลาดังกล่าวโดยสิ้นเชิง) ดังนั้น
2. เมื่อบิดาของนายสนธิ ไม่ได้สัญชาติไทย มีฐานะทางกฏหมายเป็นผู้กระทำความผิด ฐานเป็นคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง แต่เหตุใดนายสนธิ ซึ่งเป็นบุตร จึงมีสัญชาติไทยได้ ?
3. ตามบัตรประชาชน ซึ่งหลักฐานปรากฏตามหมายจับ(ดูภาพในวงกลมสีแดง) ระบุว่า นายสนธิ "
เชื้อชาติไทย" คำว่า "
เชื้อชาติ " หมายถึง "
ผู้ที่เกิดในประเทศ " แต่เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นว่า "
นายสนธิ เกิดปี พ.ศ.2490 "
ซึ่งเป็นระยะเวลาก่อนที่กองพล 93 จะรบกับกองทัพปลดแอกของเหมาเจอตุง และก่อนที่กองพล93 จะพ่ายแพ้และหลบหนีเข้ามายังเมืองเชียงตุงของพม่า และก่อนเวลาที่รัฐบาลไทยจะรับกองพล93 เข้ามาตั้งหมู่บ้านเป็นกันชนคอมมิวนิสต์ ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า "
นายสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ใช่เชื้อชาติไทย " แน่นอน
4.
ในระยะช่วงเวลาดังกล่าว (พ.ศ.2514-2520) ผู้ที่อยู่ฐานชายแดนแถบพม่า จะทราบดีว่าการเดินทางระหว่างเชียงราย มาลำปาง ก็กินเวลาเป็นวัน ๆ เพราะถนนไม่ดี(สายเอเซียยังไม่สร้าง...นั่งรถกันงี้ขี้เป็นเลือด..เรื่องจริง เพราะไม่มีเบาะมีแต่กระดานไม้) ไม่ต้องกล่าวถึงจังหวัดสุโขทัย ซึ่งอยู่ห่างไกลกับพื้นที่ตั้งของจังหวัดเชียงรายซึ่งกองพล93อยู่(คิดในด้านดีไว้ก่อน) จึงมีคำถามว่า นายวิเชียร บิดาของนายสนธิ มามีภรรยาที่สุโขทัยได้อย่างไร ? ฉะนั้น
เมื่อเทียบตามระยะเวลาจากบัตรประชาชนของนายสนธิ ลิ้มทองกุล กับ วันเวลาที่ทางราชการ อนุมัติให้ผู้ที่อยู่ในปกครองของกองพล93 แปลงสัญชาติได้นั้น(2514) นายสนธิ ลิ้มทองกุล จะบรรลุนิติภาวะแล้ว และมีอายุ 24 ปี หากอนุมานว่าเป็นเช่นนั้น จุดที่เป็นสิ่งสังเกตุสำคัญคือ " จะเป็นได้เพียงแค่
สัญชาติไทย ไม่ใช่ เชื้อชาติไทย "
::::
ข้อพิรุธ ::::
นายสนธิ เกิดก่อนที่นายวิเชียรบิดาของตนซึ่งอยู่ที่เมืองจีน จะพบกับแม่ของตน ซึ่งอยู่ที่ประเทศไทยจังหวัดสุโขทัย(กรณีหากว่าแม่มีสัญชาติไทย) เพราะกองพล 93 เข้าประเทศไทยปี 2504 นั่นหมายถึงบิดาของนายสนธิ มาพบและแต่งงานกับมารดานายสนธิ จึงจะตั้งท้องและคลอดเป็นนายสนธิได้ ก็ต้องเป็นปี 2505 (ตามหลักฐานปรากฏว่าปี2504...นายสนธิอายุได้ 14 ปีแล้ว ...จึงเป็นไปไม่ได้ว่า นายสนธิ จะเกิดก่อนพ่อแม่แต่งงานกัน) ตกลง นายสนธิ เกิดจากใคร ...รูกระบอกไม้..???!!ภาพ นายพลเจียงไคเชค เป็นผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อยหว่างฟู่ (ไม่ใช่พ่อนายสนธิ)
_________________________
เมื่อคำนวณนับจากปีเกิดนายสนธิ (พ.ศ.2490) ก็ยังเป็นระยะเวลาก่อนที่เจียงไคเชค จะตั้งกองพล93 รบกับกองทัพเหมาเซตุง ซึ่งเป็น พ.ศ.2492 นั่นหมายถึง นายสนธิมีอายุได้ 2 ขวบแล้ว
...... คำถาม ณ เวลานี้คือ มารดาของนายสนธิ เป็นใคร ? นายสนธิ เกิดที่ไหน ? เมื่อไร ? และได้ " เชื้อชาติไทย" และ " สัญชาติไทย " มาได้อย่างไร ?
ในชั้นต้นสรุปได้ว่า เอกสารบัตรประจำตัวประชาชน เป็นของปลอมแน่นอน
ดังนั้น การเคลื่อนไหวทางการเมืองของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ปลุกระดมชาวไทยออกไปก่อการชุมนุม ยึด ทำลายทรัพย์สิน จนถึงขั้นใช้กำลังอาวุธปะทะกัน โดยอ้างว่า " กู้ชาติ " จึงเป็นไปไม่ได้
เพราะ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ได้มีสัญชาติไทย หรือ เชื้อชาติไทย โดยสถานะทางกฏหมาย ปรากฏตามหลักฐานหมายจับ(ซึ่งเป็นเอกสารทางราชการ รับรองแล้ว)
นายสนธิ ลิ้มทองกุล ณ เวลาปัจจุบัน สถานะทางกฏหมาย เท่ากับเป็น " บุคคลไร้สัญชาติ "
.... การกระทำของนายสนธิ ลิ้มทองกุล จึงมีลักษณะไม่ผิดกับว่า " นายสนธิฯ เป็นนักท่องเที่ยว เข้ามาในประเทศไทย หรือ กะเหรี่ยงหลบหนีเข้าเมือง แล้วมาปลุกระดมให้ประชาชนเจ้าของประเทศเกิดความแตกแยกทางความคิด แบ่งฝ่ายใช้อาวุธเข้าประหัตประหารกัน โดยอ้างคำว่า " กู้ชาติ " ...!! เป็นเครื่องบังหน้าเพื่อก่อความไม่สงบขึ้นในบ้านเมือง
เมื่อเทียบลักษณะความผิดที่ปรากฏทั้งหลักฐานและพยานเชิงประจักษ์แล้ว การกระทำของนายสนธิ ลิ้มทองกุล เข้าข่าย " จารชน " ซึ่งประชาชนไทยมีสิทธิ " ยิงทิ้ง " หรือ " จับตาย " ได้โดยไม่ผิดกฏหมาย (ตามระเบียบรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๑๗) ทั้งยังเป็นการช่วยทางราชการอีกด้วย ในส่วนของเจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ เจ้าพนักงานตำรวจ สามารถจับกุมได้โดยไม่ต้องใช้หมายจับ โทษของ " จารชน " มีสถานเดียวคือ " ประหาร " โดยไม่ต้องขึ้นศาลอีกด้วย(เป็นกฏหมายสากล International Law ):::: หมายเหตุ :::ข้อมูลเชิงลึก ในกรณีอาชีพของบิดานายสนธิซึ่งหนีราชการทหาร แต่กลับมีเงินตั้งโรงพิมพ์(เขาเอาเงินมาจากไหน...ประกอบอาชีพอะไรจึงร่ำรวย และเหตุใดจึงถูกฆ่าล้างครัวที่กรุงเทพฯ) ที่เหลือ จะนำมาเสนอให้ทราบต่อไปในโอกาสหน้า