คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ คอนเสิร์ตการเมือง ครั้งที่ 6 โดยสนธิ ลิ้มทองกุล วันนี้(7 ก.ค.) เมื่อเวลา19.30น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ขึ้นเวทีเมืองไทยรายสัปดาห์ คอนเสิร์ตการเมือง ครั้งที่ 6 โดยก่อนเริ่มรายการ นายสนธิ เปิดโปงแผนก่อกวนของสมุนจากระบอบทักษิณที่ทำตามคำสั่งของยี่ห้อยร้อยยี่สิบ ที่มาก่อกวน แต่ถูกขับไล่ออกไป
จากนั้นนายสนธิ ได้กล่าวถึงเหตุการณ์อาเพศในบ้านเมืองต่างๆนานา ไม่ว่าไก่ผสมพันธุ์กับเป็ด หรือว่าสัตว์ออกลูกประหลาดๆ เหตุการณ์ภัยธรรมชาติ เช่น คลื่นยักษ์สึนามิ น้ำท่วมตามภาคต่างๆหลายครั้งหลายครา ทุกอย่างถือเป็นอาเพศในบ้านเมืองที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แล้วเกิดขึ้นในยุคพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯมาตั้งแต่ปี2544ถึงปัจจุบัน สิ่งที่เกิดอาเพศเหล่านี้ พระพุทธเจ้าเคยตรัสสมัยพุทธกาลว่า บ้านเมืองเกิดอาเพศ เป็นเพราะเกิดจากผู้นำที่ไร้ศีลธรรม
นายสนธิ กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองในตอนนี้เรียกได้ว่าถึงขั้นติดดาบปลายปืนรบขั้นแตกหักแล้ว พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงพฤติกรรมที่ไร้ความรับผิดชอบ ปฏิเสธคำพูดที่ตนเองเคยพูดไม่ว่ากรณีที่กล่าวหาว่าสาเหตุที่นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและนายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกฯ ลาออก ว่าถูกชักจูงจากผู้มีบารมี แต่เมื่อคนทั้งสองปฏิเสธ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เบี่ยงเบนเฉไฉไปเรื่องอื่น แต่ไม่เคยปฏิเสธคำพูดที่ต้วเองเคยพูดเมื่อวันที่ 29 มิ.ย.49 แสดงให้เห็นว่าในใจคิดอย่างนั้นจริงๆ และหมายถึงพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และคนที่อยู่เหนือพล.อ.เปรม ใช่หรือไม่
นายสนธิ ยังได้ลำดับเหตุการณ์ถึงคำพูดของพ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมทั้งลิ่วล้อในพรรคไทยรักไทยที่พยายามออกมากดดันให้มีการเลือกตั้งวันที่ 15 ต.ค.49 โดยตั้งคำถามว่า สิ่งที่ทำไปนั้น รู้หรือเปล่าว่าการเลือกตั้งที่จะมีผลตามกฎหมายต้องมีการโปรดเกล้าฯจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเท่านั้น เมื่อพูดถึงตอนนี้ นายสนธิได้ย้ำว่า สนธิท้ารบ(ระบอบทักษิณ)แล้ว
นายสนธิยังตั้งข้อสังเกตว่า ที่ผ่านมาพ.ต.ท.ทักษิณ เคยพูดในพรรคไทยรักไทย ว่า เขารู้ดีว่ากำลังทำอะไร และรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมา จนกระทั่งนายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานวุฒิสภา ทนไม่ไหวต้องออกมาเตือนพ.ต.ท.ทักษิณว่ากำลังละเมิดมาตรา 8 มีการพูดถึงระบอบประชาธิปไตยห้วนๆ โดยไม่มีคำว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขต่อท้าย
นายสนธิ ยังเล่าย้อนเหตุการณ์ให้ฟังว่า หลังจากที่ให้ประชาชนเลือกข้างจงรักภักดีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา แต่พ.ต.ท.ทักษิณก็ยังเงียบไม่มีการปฏิเสธ แต่กลับส่งลิ่วล้อออกมากล่าวหารังแกคนอื่น เช่น น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โฆษกรัฐบาล แก้ต่างแทนว่าผู้มีบารมีเป็นสามัญชน ซึ่งเป็นบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ทั้งทีลืมไปแล้วว่าพ.ต.ท.ทักษิณ บอกถึงแรงจูงใจที่เป็นสาเหตุให้นายบวรศักดิ์กับนายวิษณุลาออกหรือหัวหน้าองค์กรยอมทำให้องค์กรของตัวเองเสียแล้วทำตามนโยบายของบางคนคือใคร พร้อมกับยกความหมายของคำว่าบารมีตามพจนานุกรมที่พ.ต.ท.ทักษิณเคยลงนามประกาศเอาไว้ ซึ่งคำว่าผู้มีบารมีจะใช้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเท่านั้น
จากนั้นได้กล่าวถึงกรณีที่นายสุรชัย เบ้าจรรยา ฝ่ายกฎหมายของพรรคไทยรักไทย ออกมาตีความบิดเบือนว่าผู้มีบารมีคือพันธมิตรฯ และพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งทำให้รู้สึกตลกยิ่งกว่าดูตลกคาเฟ่เสียอีก แล้วยังตอบโต้นางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ที่กล่าวว่าอย่าดึงฟ้าต่ำ จะปกป้องสถาบันด้วยชีวิตนั้น ขอตั้งคำถามว่า ถ้าจงรักภักดีจริง ตอนที่เคยทูลเกล้าฯถวายบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรคได้เคยขอพระราชทานอภัยโทษแล้วหรือยัง และตอนแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชซ้อน ซื้อเครื่องบินไทยคู่ฟ้าของนายกฯ แล้วจะเอาที่นั่งเป็นพระราชอาสน์ได้อย่างไร กรณีที่ทรงสาปแช่งคนโกง คนเหล่านี้เคยทักท้วง กรณีทุจริตซีทีเอ็กซ์ ทุจริตคาร์ปาร์ค โรงงานยาสูบที่เชียงใหม่ หรือซื้อเครื่องบินซู30 เป็นต้น หรือกรณีที่แต่งตั้งผู้ว่าฯ 6คน ที่ยังไม่ทรงโปรดเกล้าฯ หรือสนับสนุนให้วิทยุชุมชนออกมาด่าศาล แล้วนี่จะบอกว่าจงรักภักดีได้อย่างไร
ทำไมถึงต้องออกมาปฏิเสธแทน ทำไมไม่บอกให้นายของพวกคุณมาพูดเอง ถ้าไม่มาพูด แสดงว่าจะชนกับฟ้าแล้วใช่หรือไม่ นายสนธิ กล่าว
นายสนธิ ได้ย้ำว่า คำพูดของพ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.49 เป็นการวางแผนมานานแล้ว เริ่มตั้งแต่การยุบสภาเมื่อวันที่ 24 ก.พ.49 เพื่อต้องการสลายการชุมนุมของพันธมิตรฯในวันที่ 26 ก.พ.49 กลัวพลังประชาชนและเมื่อพรรคใหญ่ไม่ยอมลงเลือกตั้งก็ต้องไปหาพรรคเล็กๆมาลงแทน เพื่อต้องการให้เป้าหมายเสียงสนับสนุน 20 ล้านเสียงเข้ามา แต่ทุกอย่างก็ทำไม่สำเร็จ และที่ผ่านมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงตรัสชัดเจนว่า เลือกตั้งพรรคเดียวไม่เป็นประชาธิปไตย แล้วทรงให้ตุลาการลงมาแก้วิกฤติ
นายสนธิตั้งข้อสังเกตอีกว่า จากนั้นวันที่ 4 เม.ย.49 พ.ต.ท.ทักษิณ เล่นละครน้ำเน่าออกทีวี ซึ่งทั้งหมดนี้คือกระบวนการที่เริ่มมองเห็นว่าการทำอะไรตามใจชอบ แต่ติดอยู่ที่คนเดียวที่ทำไม่ได้คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ให้ทรงเป็นสัญลักษณ์เท่านั้น การเว้นวรรคทางการเมืองแล้วบินไปต่างประเทศนั้น มีเป้าหมายเพื่อไปทำธุรกิจแล้วฟ้องผู้นำต่างประเทศว่าถูกผู้มีบารมีทำลายประชาธิปไตย และขณะเดียวกันได้ให้แกนนำพรรคไทยรักไทย ไปจ้างมวลชน สร้างโครงการเอสเอ็มแอล แล้วให้รองโฆษกพรรคฯ ออกมาโจมตีว่ากล่าวเพื่อเบนเป้าไม่ให้มาด่าตัวเอง ซึ่งคนเหล่านี้อยู่ภายใต้การกำกับของสหายจรัส ซึ่งก็คือน.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช รักษาการเลขาธิการนายกฯ และอีกทางหนึ่งก็สั่งการให้กกต.ดื้อ ไม่ยอมลาออก เพื่อยื้อเลือกตั้งอัปยศ และเมื่อเห็นว่าจะถูกยุบพรรคแน่นอนจึงได้สั่งให้ยุบประชาธิปัตย์ด้วยและส่งตัวแทน เช่น ชมรมแท็กซี่ คาราวานคนจนมาชนกับศาลหรือสื่อมวลชน โดยมีวิทยุชุมชนผสมโรงด่าศาลตลอดเวลา
นายสนธิ กล่าวว่า สาเหตุที่พ.ต.ท.ทักษิณต้องกลับมาอีกครั้ง หลังจากเว้นวรรคเพราะใกล้จะมีพระราชพิธีและต้องการสร้างภาพ ถ้าจงรักภักดีจริงจะต้องสั่งเตรียมงานเอาไว้ให้พร้อม แต่นี่ไม่ได้ทำอะไรเลย และเหตุการณ์เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.49 เป็นวันที่ช็อคพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่คิดว่าพสกนิกรจะมากมาย ไม่คิดว่ากระแสเสื้อเหลืองจะมากมายขนาดนั้น จึงต้องสั่งยุติการด่าศาล สิ่งที่สรุปได้ก็คือ ยังมีที่พ.ต.ท.ทักษิณคุมไม่ได้คือ พระราชอำนาจ หรือระเบียบปฏิบัติต่างๆ เนติบริกรลาออก ไม่มีการโปรดเกล้าฯพ.ร.ฎ.เลือกตั้งวันที่ 15 ต.ค.49 การแต่งตั้งข้าราชการ ไม่โปรดเกล้าฯงานสโมสรสันนิบาต ทำให้เกิดอาการเคว้งคว้าง ถ้าเกิดศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ทำให้เดือดร้อนจึงต้องกดดันชนกับคนมีบารมี
นายสนธิได้ลำดับเหตุการณ์คำพูดของพ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อยืนยันว่าได้เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เริ่มตั้งแต่วันศุกร์ที่ 23 มิ.ย.49 ซึ่งเป็นวันที่นายวิษณุจะลาออก ที่พูดถึงสิ่งซ่อนเร้นในรัฐธรรมนูญที่ทำลายโอกาสการเป็นนายกฯ และการพูดครั้งยังไม่ได้ผล ต่อมาวันที่ 25 มิ.ย.49เป็นวันอาทิตย์ พูดว่า ไม่มียุบพรรคใจยังอยู่กับตัว ถ้าถอดใจต้องควักออกมา จากนั้นวันที่ 26 มิ.ย.49 ไปพูดที่จอมเทียน พัทยา ชนฟ้าเหน็บแนมศาล เตือนให้รู้จักหน้าที่ อย่าทำลายระบบ วันที่ 28 มิ.ย.49 สั่งอบรมลูกจ้างกรมอุทยานฯ จำนวน 1,600 คน ให้ฝึกอาวุธที่สระบุรี ซึ่งน่าสังเกตว่าจะไปรบกับใคร
จากนั้นวันที่ 29 มิ.ย.49 ท้าชนคนมีบารมี ปากบอกว่าจะจงรักภักดี แต่คำพูดมีเนื้อหาแตะต้องพระองค์ตลอดเวลา พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตกรณีนายจาตุรนต์ ฉายแสง พูดเมื่อวันที่ 28 มิ.ย.49 สนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ จากนั้น วันที่ 30 มิ.ย.49 มติชนสุดสัปดาห์ ก็ลงคำให้สัมภาษณ์ของนายจาตุรนต์ถึง 11 หน้าเต็ม ส่งเสริมระบบทักษิณ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ต้องมีการเตรียมการจัดตั้งล่วงหน้า ซึ่งไม่น่าแปลกใจว่าบรรณาธิการของมติชน สุดสัปดาห์ คือนายเสถียร จันทิมาธร ที่เขียนคอลัมน์ในหน้า 3 มติชนรายวัน เป็นพวกเดียวกับนายเกรียงกมล เลาหะไพโรจน์ นายจาตุรนต์ ฉายแสง นั่นเอง
วันที่ 30 มิ.ย.49 นายประชา ประสพดี อดีตส.ส.สมุทรปราการ พรรคไทยรักไทย มาพูดชี้เป้าไปที่ป๋าเปรม ที่ย้อนความหมายคำพูดของนายเสนาะว่าหมายถึงใคร จากนั้นก็แจกเงินส.ส.คนละ 4 แสนบาท โดยอ้างว่าเตรียมเลือกตั้ง ทั้งที่จริงแล้วเป็นการเตรียมงานมวลชน ซึ่งนายสนธิเตือนว่าจะมีการเตรียมปลุกระดมจากต่างจังหวัดเพื่อมาชนกับฟ้า แล้วระบุว่า กรณีนายคำตา แคนบุญจันทร์ แกนนำกลุ่มคาราวานคนจน ที่กล่าวว่า จะถวายฎีกาให้มีการเลือกตั้งวันที่ 15 ต.ค.49 ทั้งหมดนี้มีการเตรียมการเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อชนกับฟ้าขั้นแตกหัก นี่เป็นการท้าชนกับอุปสรรคทางเมืองของระบอบทักษิณโดยตรง
ทักษิณเป็นตำรวจ ชอบหาแพะ ก็เลยต้องใช้ป๋าเปรมเป็นแพะเพราะกลัวกระแสเสื้อเหลือง แต่อีกทางหนึ่งโหนกระแส อีกทางหนึ่งก็ชนป๋าเพื่อกระทบชิ่ง มีการประโคมว่ามีคนอยากเป็นนายกฯมาตรา 7 คือป๋าเปรม ทำเพื่อป้องกันถูกยุบพรรคไทยรักไทย และเกิดสุญญากาศทางการเมือง เกรงว่าจะเกิดรัฐบาลแห่งชาติ ผมไม่เชื่อว่าคนที่ไม่รู้จักประชาธิปไตยอย่างพ.ต.ท.ทักษิณจะยอมตายเพื่อรักษาระบบนี้ แต่จะยอมตายเพื่อปกป้องระบอบทักษิณ ซึ่งไม่ใช่กล้าหาญ แต่ถลำลึกจนสายไปแล้วนายสนธิ กล่าว
นายสนธิ กล่าวว่า สาเหตุที่พันธมิตรฯตัดสินใจชุมนุมวันที่ 14 ก.ค.49 เป็นการชุมนุมโดยสงบ เริ่มตั้งแต่เวลา 8.00น. ที่หน้าศาลฎีกา และจะขับเคลื่อนไปที่ทำเนียบรัฐบาล เป็นการชุมนุมตามมาตรา 44 เพื่อแสดงพลัง มีเป้าหมายดังนี้ คือ เราต้องการให้สังคมไทยรู้ว่า คนที่ไปร่วมชุมนุมมีความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย ทีมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ไม่ใช่ประชาธิปไตยในระบอบทักษิณ ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นแค่สัญลักษณ์เท่านั้น
ถึงเวลาติดดาบปลายปืน ไม่มีเวลาขี่ม้าเลียบค่าย ผมกำลังบอกว่าให้ประชาชนเลือกข้าง ไม่ใช่เป็นการทำให้บ้านเมืองแตกแยกแต่เราต้องเลือกกันระหว่างระบอบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข กับระบอบทักษิณนายสนธิ กล่าว
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9490000087934 
