ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
28-04-2024, 09:17
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  Re: ความ'เป็นกลาง' มีประโยชน์อะไรสำหรับสังคมไทย ประเทศไทย และระบอบประชาธิปไตย... 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
Re: ความ'เป็นกลาง' มีประโยชน์อะไรสำหรับสังคมไทย ประเทศไทย และระบอบประชาธิปไตย...  (อ่าน 1998 ครั้ง)
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« เมื่อ: 10-10-2008, 03:51 »

ทัศนะวิจารณ์ ทัศนะจากผู้อ่าน

9 ตุลาคม พ.ศ. 2551 00:44:00

ความคิดที่มากับ TG 1040

นวพร เรืองสกุล

กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : สำหรับพระสงฆ์ที่ประพฤติผิดวินัยและไม่ปลงอาบัติ พระสงฆ์ที่ประพฤติถูกต้องดีงาม จะไม่ร่วมสังฆกรรมด้วย คือ ไม่ยอมทำอุโบสถร่วมกัน แปลว่าต่างคนต่างอยู่ เพราะพระท่านทำอย่างอื่นไม่ได้ คนที่ผิดวินัยร้ายแรงขาดจากความเป็นพระแล้ว แม้ว่าจะห่มผ้าเหลือง ไม่จำเป็นต้องรอให้ใครมาเปลื้องผ้าเหลืองออกจากตัว

ในเวลานี้ก็เช่นเดียวกัน นักการเมืองบางคนขาดจากความเป็นผู้แทนราษฎรแล้วในทางความประพฤติ นับแต่วันที่มีการสั่ง มีการเห็นด้วย และมีการไม่ห้ามปราม ไม่คัดค้าน การกระทำที่เป็นการทำร้ายพลเมืองในประเทศของตนเอง โดยใช้อำนาจรัฐ แม้ว่าสถานะทางกฎหมายจะยังคงอยู่ก็ตาม

ก็สมควรที่นักการเมืองที่ถือว่าตนประพฤติถูกต้องตามทำนองคลองธรรม จะไม่ร่วมสังฆกรรมด้วย

สำหรับคนนอกวงการเมือง ซึ่งก็คือราษฎรทั่วไป เราใช้หลักไม่ร่วมสังฆกรรมไม่ได้ เพราะเราไม่ใช่คนกลุ่มเดียวกับเขา ทางเลือกส่วนบุคคล คือ Social Sanction

ขอคารวะนักบินเที่ยวบิน ทีจี 1040 ในสิ่งที่ได้ใช้สิทธิกระทำลงไป

สิ่งที่นักบินกระทำ ถือเป็นความกล้าหาญในการแสดงจุดยืนของตน


เป็นจุดยืนที่ใช้สิทธิที่มี เพื่อสิ่งที่เรียกว่า Social Sanction --- การไม่ยอมรับทางสังคม ต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือกลุ่มคนใดกลุ่มคนหนึ่ง ในสิ่งที่เขาเหล่านั้นได้มีส่วนกระทำลงไป


Social Sanction ดูเป็นเรื่องแปลกใหม่ในสังคมไทย แต่นั่นเป็นเพราะเราลืมไปแล้ว สิ่งนี้มีอยู่ตั้งแต่ครั้งพุทธกาล สมัยนั้นเรียกว่า ลงพรหมทัณฑ์

วิธีการนี้ใช้กันในหลายประเทศ อาทิเช่น พ่อค้าแม่ค้าไม่ยอมขายของให้ภรรยานักการเมืองที่ประพฤติตัวแย่มาก หรือเข้าไปในงานเลี้ยงที่ไหน คนทั่วไปในงานนั้นเขาก็ไม่พูดด้วย ปล่อยให้เก้อไปเอง เป็นต้น

ในเวลาที่เราเผชิญกับภาวะวิกฤติทางสังคม และการเมือง ดังที่เป็นอยู่ในเดือนตุลาคมนี้ คนทุกคนในฐานะปัจเจกบุคคลต้องนึกว่า เราจะทำอะไรได้บ้าง

แน่ละ แต่ละคนย่อมมีวิธีการตามครรลองของตน

ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องไปอยู่ที่ทำเนียบ หรือสนามหลวง คนที่ทำไม่เป็นก็มี คนที่ไม่เห็นด้วยกับผู้ประท้วงก็มี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เห็นด้วยกับรัฐบาล

เรื่องที่ทำได้ที่ได้ยินมามีสองกลุ่ม คือ

1. การขัดขืนตามหลักอหิงสา หรือที่เรียกกันในปัจจุบัน ว่า อารยะขัดขืน และการแสดงพลังความเห็นร่วมกันให้ปรากฏ

2. การไม่ร่วมสังฆกรรม และการลงพรหมทัณฑ์


การต่อสู้แบบอหิงสาของคานธี เริ่มด้วยการไม่ร่วมมือ (Non co-operation) และรุนแรงขึ้นด้วยอารยะขัดขืน (Civil Disobedience) ตัวอย่างเช่น

ก. ไม่ร่วมมือ ไม่ทำตามคำสั่ง

ที่ผู้นำพันธมิตรบอกว่า ไม่ไปมอบตัว อยากจับก็เข้ามาจับ คงจะจัดเข้าในแบบนี้ได้ เพราะการตั้งข้อหากบฏ ดูจะแรงเกินกว่าเหตุไปมาก

ข. จงใจฝ่าฝืนกฎหมายที่กำลังเป็นเป้าให้ประท้วง แล้วเดินเข้าคุก

แบบนี้บ้านเราอันตรายไปหน่อย

ค. หยุดทำกิจกรรมกันสักวัน

เป็นวิธีประท้วงที่แยบยลมาก ทางการจับใครเข้าคุกก็ไม่ได้ เพราะไม่ได้ทำผิด และทำได้ง่ายๆ ไม่ต้องใช้ความพยายาม ไม่ต้องเสี่ยงตาย คือ เพียงแค่ไม่ทำอะไร อาทิเช่น ไม่เปิดร้าน ไม่ไปโรงเรียน ไม่ไปทำงาน นอนอยู่บ้านเฉยๆ เท่านั้นเอง

เมื่อร้านรวงลั่นดาล ที่ทำการก็ปิด เป็นอันว่าประเทศทั้งประเทศเงียบสนิท

แบบนี้หาคนร่วมมือง่ายหน่อย เพราะไม่เปลืองตัวนัก ไม่เหนื่อยยาก หยุดแค่วันเดียวเอง พอแสดงมติมหาชนให้ปรากฏก็พอ

อารยะขัดขืน หรือการแสดงพลังร่วมกัน ต้องการผู้นำที่จะเป่านกหวีดว่าให้ทำอะไร อย่างไร ที่ไหน

อันนี้ยังไม่เห็นมีใครเรียกให้ทำ เรียกให้แต่งตัวสีๆ ให้ผูกริบบิ้น คนไม่กล้าทำมีมาก เพราะยังไม่อยากเสี่ยงตาม ในยามสังคมกำลังเผชิญกับความเห็นสุดขั้ว

มีข้อเสนอแนะ
สำหรับคนที่ทำอะไรไม่เป็นเลย
หรือไม่กล้าทำอะไรเลยด้วยสารพัดเหตุผล

อย่างน้อยที่ทำได้ คือ จับปากกาขึ้นมา
หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เขียนไป โทรไป SMS ไป
ที่ไหนก็ได้ที่เป็นสื่อสาธารณะ
แสดงความเห็นของคุณให้ปรากฏ

เพื่อที่ผู้ที่กล้าแสดงจุดยืนของเขา
จะได้มีเสียงคุ้มครอง

เพื่อจะยืนยันว่า "ถูกต้อง"
มีเกียรติกว่า "ถูกกฎหมาย"

http://www.bangkokbiznews.com/2008/10/09/news_301514.php



เรื่องที่ทำได้ที่ได้ยินมามีสองกลุ่ม คือ

1. การขัดขืนตามหลักอหิงสา หรือที่เรียกกันในปัจจุบัน ว่า อารยะขัดขืน และการแสดงพลังความเห็นร่วมกันให้ปรากฏ

2. การไม่ร่วมสังฆกรรม และการลงพรหมทัณฑ์....

คนที่อ้างตัว'เป็นกลาง' ไม่ได้ประพฤตอย่างนี้
ความ'เป็นกลาง' ของพวกเขา คือไม่เข้าข้าง'พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย'
และ 'นิ่งเฉย' ที่จะแสดงออกทางใดทางหนึ่งคัดค้านรัฐบาลเถื่อน รัฐบาลโฉด โหด ***ม และ จรเข้.....!!!

ความ'เป็นกลาง' ของพวกเขามีประโยชน์อะไรสำหรับสังคมไทย ประเทศไทย และระบอบประชาธิปไตย......?


บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #1 เมื่อ: 10-10-2008, 03:53 »



     เปลวสีเงิน

หรือจะยอม"ทรราช"กลืนเมือง?

9 ตุลาคม 2551    กองบรรณาธิการ

ผมนั่งนิ่ง ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว จากบ่าย ๒ ไปจนถึงบ่าย ๔ โมงครึ่ง ข้างหน้าผมคือสุภาพสตรีท่านหนึ่ง ที่รอดชีวิตกลับมาจากสมรภูมิ "รัฐสภาตรายางทรราช" เมื่อเช้าวันที่ ๗ ตุลา

    เธอเล่าไป-ร้องไห้ไป  มือก็คว้าทิชชูเช็ดน้ำตาและน้ำมูกเป็นระยะ  และจบลงด้วยการสะท้อนความรู้สึกต่อเหตุการณ์ที่เธอเผชิญด้วยตัวเองว่า

    "มันจบแล้ว  ประเทศไทย  เราจะหวังจากใครไม่ได้แล้ว  แม้กระทั่งทหาร เพราะมันเป็นของเขาไปหมดแล้ว"!!

    "เขา" คือใคร ถ้าไม่ใช่ทรราช "ระบอบทักษิณ"?

    เธอพร่ำย้ำแต่คำว่า ท่ามกลางห่ากระสุน จะเป็นห่าแก๊สน้ำตา หรือห่าอะไรของตำรวจก็ช่างเถอะ ฝูงชนที่ล้มคว่ำคะมำหงายเรี่ยรายพื้นหน้ารัฐสภาเช้านั้น เมื่อเข้าไปช่วยกันอุ้ม-ช่วยกันลากคนไหน

    ในความเวิ้งว้างจากจุดหวัง คำถามพรั่งพรู "จากใจ" ถามกันเองว่า "ทหารออกมาช่วยพวกเราแล้วหรือยัง?"

    คุณไชยา  พูนแก้ว พันธมิตรฯ ใจเหนือเพชรจากชุมพรที่ขาขาด ทั้งที่เลือดฉาดฉาน กระเถิบไป..กระเถิบไป..ลากขาที่ขาดรุ่งริ่ง เลือดไหลเรี่ยรายพื้น กระเถิบไป เพื่อเอาร่างช่วยบังห่ากระสุนที่ตำรวจระดมสาดใส่อย่างบ้าคลั่งให้กับสตรีพันธมิตรฯ คนหนึ่งที่ล้มจมเลือดอยู่!

    หัวใจเอ๋ย..หัวใจ นี่แหละหัวใจพันธมิตรฯ ในสนามร่วมรบ!

    หน่วยพยาบาลในชุดคล้ายทหาร ทั้งที่ติดเครื่องหมาย "ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ" หามเปลแหวกแนวสกัดตำรวจเข้าไปหวังช่วยหามคนเจ็บที่เรี่ยรายพื้น หัว-ท้าย หามเปล

    วิ่ง..วิ่ง..วิ่ง ไปไม่เท่าไหร่...

    ตูม..ตูม..ตูม..ใส่ทางข้างหลัง  คงเป็นกระสุนยางในระยะใกล้  บุรุษพยาบาลหมุนคว้าง  แล้วคะมำคว่ำคาเปล  พยายามตะกายจะลุกขึ้นมาให้ได้  หวังคว้าเปลวิ่งไปช่วยชีวิตพันธมิตรฯ ที่ร้องหาระงม

    พลั่กกก..!

    เป็นตีนตำรวจพิทักษ์ทรราชกระทืบเหยียบหลังไว้บนความหมาย "มึงไม่ต้องไปช่วยมัน"!!

    น้องโบว์ "น.ส.อังขณา ระดับปัญญาวุฒิ" อีกผู้หนึ่ง  เธอคือ "วีรสตรีอาจหาญ" ที่ต้องบันทึกเชิดชูไว้เป็นตำนาน "เยาวชนเพื่อชาติ" ทั้งบิดา-มารดา และตัวเธอคือ "ครอบครัวนักสู้"

    ชีวิตเธอ  ครอบครัวเธอ พร้อมอุทิศเพื่อประเทศไทยที่ต้องไม่ยอมให้ทรราชคนไหนครอง!

    ๗  ตุลา ที่สมรภูมิลานหน้าพระบรมรูปฯ "น้องโบว์" ผู้เยาว์วัย  เธอมาเพื่อแสวงหาความหมาย และเธอพบแล้ว ความหมายที่แจ่มกระจ่างใจไปนิรันดร์ คือ

    ประเทศชาติ  ถ้าจะเสียไป ไม่ได้เสียเพราะใคร แต่จะเสียเพราะ "ไทยทรราช" ด้วยกันนี่เอง!

    ต้องย้ำไว้ ไม่เพียงครอบครัว "ระดับปัญญาวุฒิ" เท่านั้นที่ต้องสูญเสีย หากแต่มันเป็นความสูญเสียร่วมกันของมวลหมู่พันธมิตรเรือนแสน-เรือนล้าน

ทั้งเหนือ-ใต้-ออก-ตก-อีสาน และเมืองฟ้าอมร

    เธอตายด้วยคำแก้ตัวของตำรวจว่า "แก๊สน้ำตา" ฆ่าคนไม่ได้!?

    ฉะนั้น  ตำรวจต้องหาคำตอบมาให้ได้ว่า  ที่ร่างเธอแหลกเหลวด้วยแรงอัดจากวัตถุระเบิดชนิดใด-ชนิดหนึ่งนั้น..มาจากไหน ใครทำ?

    ตลอดวานนี้-ทั้งวัน ระงมไปด้วยการสาธิตประกอบคำแก้ตัวของตำรวจผู้รับใช้นายกฯ ทรราช "สั่งฆ่าประชาชน" ว่า ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาฆ่าคนไม่ได้

    แล้วตำรวจก็สรุปเสร็จสรรพฉับพลันว่า  ประชาชนพี่น้องพันธมิตรฯ ที่ตาย ที่บาดเจ็บ ที่แขน-ขาขาด น่าจะพก "ระเบิดปิงปอง" ไปแล้วระเบิดเอง

    ถ้ายิ่งฟังที่ "พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง" โฆษกตำรวจ และ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน แถลง ก็ยิ่งเข้าใจได้ทางเดียว ที่ประชาชนบาดเจ็บ-ล้มตายกว่า ๔๐๐ คนนั้น
    พี่น้องพันธมิตรฯ ระเบิดกันเอง ให้เจ็บ-ให้ตายกันเอง

    ถุย...ไอ้ตำรวจทรราช!

    หูข้างหนึ่งผมฟังเธอเล่า  อีกข้างหนึ่งฟังข่าวจาก UBC ตาผมอ่านแฟกซ์ที่ส่งกันเข้ามา ส่วนใจนั้นมันคลั่งอยู่ข้างใน ที่ทำได้คือ "อัด" มันไว้ให้ลึกที่สุด

ยิ่งเธอจบคำระบายสลับการป้ายน้ำตาด้วยประโยคว่า

    "วันข้างหน้า-ใครมีทางไป ก็คงไป 'ประเทศไทย' คงไม่มีใครมีกะจิต-กะใจสู้ให้กับใครอีกแล้ว"

    ผมก็ยังคงไม่มีคำพูดใดต่อเธอเหมือนเดิม แต่ในใจก้องอยู่ด้วยประโยคซื่อจากใจสามัญชน ที่สื่อความหมายด้วยคำถามหาในภาวะเป็น-ตายที่ตำรวจระดมยิงใส่ว่า

    "แล้วทหารออกมาช่วยพวกเราหรือยัง?"

    เธอกลับไปด้วยคำตอบที่ตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่าได้ตอบคำถามนั้นด้วยตัวเองแล้ว เธอบอกว่า ในภาวะเป็นตาย ไม่ได้หวังให้ทหารออกมาปฏิวัติ

แต่ด้วยหวังว่าทหารจะออกมาช่วยยับยั้งมิให้ตำรวจฆ่าประชาชน

    แต่ตราบเช้า-ยันค่ำ หวังเห็นหน้า "ทหารของประชาชน" เจ้าก็ไม่มา เจ้าสวามิภักดิ์หนักหนาอยู่กับระบอบทักษิณ สงบยิ่งกว่านุ่งซิ่นอยู่ในที่ตั้ง

    ทหารผินหลังให้ประชาชน ปล่อยให้ตำรวจ "ฆ่าประชาชน" นับแต่นี้ ก็เหลือแต่ฟ้า-ปาฏิหาริย์เท่านั้น ที่เป็น "วันรอคอย" ว่าจะมี!

    ผมอยากจะบอกเธอว่า ทหารไม่ว่างจริงๆ เพราะวันนั้น ขณะตำรวจฆ่าประชาชนที่ลานหน้ารัฐสภา ทหารส่ง ฮ.ไปรับ "รัฐมนตรีกลาโหม" 

ที่ชื่อทรราชสมชายหนีออกจากรัฐสภาไปซุก "กองทัพไทย" ที่แจ้งวัฒนะตอนบ่าย

    ทรราชทายาทระบอบทักษิณ "ออกโทรทัศน์" โอ่อ่าสมศักดิ์ศรี มากบารมีเจ้านายเหนือ ๓ ทัพ เพราะขวา-ขนาบด้วย "พลเอกทรงกิตติ จักกาบาตร์" ผบ.สส.

ซ้าย-ขนาบด้วย "พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา" ผบ.ทบ.


    ตราบใดที่กองทัพไทยมีนายทหารหาญอย่าง "พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา" และบรรดารุ่น ๑๐ ของทักษิณ แยกย้ายครองความเป็นใหญ่

    ตราบนั้น "รัฐบาลทรราชไทย" สบายใจได้ ระบบทหารจะปล่อยให้ "การเมืองสามานย์แก้การเมืองสามานย์" ด้วยตัวมันเอง เพื่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศ "สามานย์เมือง" ตลอดไป

    รอความเป็นใหญ่ภายใต้ประชาธิปไตย "ระบอบทักษิณ" คืนเมือง!?

    ๗  ตุลา ณ สมรภูมิหน้ารัฐสภา และหน้า บช.น. มันไม่ใช่การต่อสู้ทางการเมืองของพันธมิตรฯ กับรัฐบาลนายกฯ สมชาย โดยมี "อำนาจเหนือ" ประเทศไทยเป็นเดิมพัน

    แต่มันเป็นการต่อสู้ของประชาชนพันธมิตรฯ กับตำรวจรัฐบาลลอนดอนโดยตรง!

    การ "ปล่อยวาง" ของทหารครั้งนี้ มีนัยที่สังคมชาติต้องศึกษา และต้องสังเกตในลีลาให้ดี ประเทศชาติวันนี้  ถ้ารักจะดำรงไว้ ประชาชนสามัญไม่มีขั้น-มียศ ต้องจำให้ขึ้นใจ

    เขมรมันยังเหิมยึดดินแดนได้รอบด้าน คล้ายไม่เห็นหัวทหาร "มันหมายความว่าอย่างไร?" ในขณะที่มันยอมยกแผ่นดินเกาะส่วนหนึ่งให้ระบอบทักษิณ "สร้างอาณาจักรใหม่"

    และนี่..ทรราชในสายพันธุ์ก็จะไป "คุยในที่ลับ" กับคนที่เคยไปเปิดถนนร่วมกันไว้ที่เกาะกงอีกมิใช่หรือ?

    ประชาชนมือเปล่า  ประชาชนที่ไม่มีงบฯ ซื้อรถถังยูเครน เราๆ ท่านๆ ทั้งหลายนี่แหละ..ต้องเตรียมพร้อม  เตรียมเข้าสู่ทั้งสงครามชิงแดน เข้าสู่ทั้งสงครามเศรษฐกิจ และทั้งสงครามชิงเมือง

    ว่าด้วยเรื่อง "อำนาจยึดประเทศไทย" เพื่อลอกคราบสู่อนาคตใหม่ ไม่เรา-ก็มัน ถึงวันที่ต้องขีดเส้นใต้ เพราะชะตาไทยถึงคราต้องฝ่าวิบากแล้ว มิตรสหายเอ๋ย!

    เราจะปล่อยให้ "รัฐบาลทรราชเริงเมือง" อยู่ต่อไปอย่างนั้นหรือ?

    เราจะปล่อยให้ทรราชสมชายฆ่าประชาชน  แล้วเดินสายประกาศชัยชนะ ปูทางให้ "ทรราชใหญ่" กลับจากลอนดอนมาครองเมืองงั้นหรือ?

    ท่านประธานวุฒิสภา "นายประสพสุข บุญเดช" ที่เคารพ ท่านซื่อ ท่านหน่อมแน้ม หรือไร้เดียงสาต่อสถานการณ์ "รัฐบาลทรราชฆ่าประชาชน" ได้อย่างน่าสมเพชยิ่งนัก!

    ท่านยังจะใช้สถานะประมุขสถาบันนิติบัญญัติร่วมเป็น "บัลลังก์ให้ทรราช" อยู่อีกหรือ ท่านยังฝันลมๆ แล้งๆ

 
ตามแรงกระพือปีกของอีแร้งการเมืองว่าด้วยเรื่องสมานอำนาจ "ส.ส.ร." อยู่อีกหรือ?

    เขาหลอกใช้ท่านแท้ๆ หรือท่านคิดว่ามาจากสถานะ "ผู้พิพากษา" เหมือนทรราชสมชาย  แล้วเขาจะน้ำใสใจจริงเหมือนท่าน  ผมไม่อยากให้ท่าน "เสียคนด้วยสุจริต"

และด้วยเหตุที่ท่านยังเยาว์วัยในการเมือง

    ผมจึงอยากให้ท่าน "ทบทวนบทบาท" ในการทำงานร่วมกับ "สภาทรราช" ที่ประกาศนโยบายกลางกองเลือดและชีวิตประชาชนผู้รักชาติ

อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเสียแต่เดี๋ยวนี้

    พี่น้องพันธมิตรฯ ทั้งหลาย  เราจะปล่อยให้นายกฯ ทรราชลอยนวลอยู่อย่างนี้ไม่ได้!

    พี่น้องพันธมิตรฯ ทั้งหลาย อนาคตประเทศไทย เราจะหวังจากใครไม่ได้อีกแล้ว นอกจากพวกเราทั้งหลาย  พี่น้องของเราต้องไม่ตายเปล่า ต้องไม่เจ็บเปล่า น่าอดสูนัก

ถ้าพวกเราจะปล่อยให้เลือดที่หลั่ง ต้องถูกละเลงหายไปใต้ตีนเหล่าทรราชและสมุนน้อยใหญ่

    ที่ย่ำเข้า-ย่ำออกรัฐสภา ทำหน้าที่ "ตรายาง" ยึดประเทศ!

    อดีต-เราพูดกันว่า คนต่างจังหวัดตั้งรัฐบาล คนกรุงเทพฯ ล้มรัฐบาล

    แต่วันนี้ ประจักษ์ชัดแล้วว่า คนกรุงเทพฯ ดูดาย พี่น้องต่างจังหวัดส่วนใหญ่ "ยึดกรุง" ล้มรัฐบาลทรราช!

    ยุคนี้ เป็นยุค "สตรีกู้ชาติ"
 
    ผู้ชาย ถ้าไม่ขายตัว ก็ไปแปลงเพศเป็นหญิงกันเกือบหมดแล้ว ที่ไม่ขายตัว และไม่แปลงเพศ ก็เป็นผู้ชาย "สงบเสงี่ยมเรียบร้อย-อยู่ในที่ตั้ง"

    เห็นที นับจากนี้ ต้องฝากประเทศไทยไว้กับ "กองทัพหญิง" ตัวจริงแล้ว!

    เลือกเอา ถ้า ๔+๓ แกนนำพันธมิตรฯ ยอมปล่อยให้ทรราชอยู่ได้  ก็ต้องยอมถอยออกไปจากทำเนียบฯ

เพราะไม่มีประโยชน์อะไรจะมาชุมนุมให้ยุงฟักไข่เพาะไข้เลือดออก วันนี้-ทรราชระบอบทักษิณได้ดื่มกินเลือดพันธมิตรฯ แล้ว  ก็ทำไม..พอใจวันไหน

มันจะมาเชือดอีกซักจอก-สองจอกดับกระหายไม่ได้ เอาปืนไฟมายิงใส่ในทำเนียบฯ ง่ายจะตายไป ใครจะทำไม เพราะกู..ทรราช ผงาดกินเมืองแล้ว.

http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&iDate=9/Oct/2551&news_id=165043&cat_id=200
บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #2 เมื่อ: 10-10-2008, 03:55 »

ยิ่งเธอจบคำระบายสลับการป้ายน้ำตาด้วยประโยคว่า

    "วันข้างหน้า-ใครมีทางไป ก็คงไป 'ประเทศไทย' คงไม่มีใครมีกะจิต-กะใจสู้ให้กับใครอีกแล้ว"

    ผมก็ยังคงไม่มีคำพูดใดต่อเธอเหมือนเดิม แต่ในใจก้องอยู่ด้วยประโยคซื่อจากใจสามัญชน ที่สื่อความหมายด้วยคำถามหาในภาวะเป็น-ตายที่ตำรวจระดมยิงใส่ว่า

    "แล้วทหารออกมาช่วยพวกเราหรือยัง?"

    เธอกลับไปด้วยคำตอบที่ตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่าได้ตอบคำถามนั้นด้วยตัวเองแล้ว เธอบอกว่า ในภาวะเป็นตาย ไม่ได้หวังให้ทหารออกมาปฏิวัติ

แต่ด้วยหวังว่าทหารจะออกมาช่วยยับยั้งมิให้ตำรวจฆ่าประชาชน

    แต่ตราบเช้า-ยันค่ำ หวังเห็นหน้า "ทหารของประชาชน" เจ้าก็ไม่มา เจ้าสวามิภักดิ์หนักหนาอยู่กับระบอบทักษิณ สงบยิ่งกว่านุ่งซิ่นอยู่ในที่ตั้ง

    ทหารผินหลังให้ประชาชน ปล่อยให้ตำรวจ "ฆ่าประชาชน" 
นับแต่นี้ ก็เหลือแต่ฟ้า-ปาฏิหาริย์เท่านั้น ที่เป็น "วันรอคอย" ว่าจะมี!

    ผมอยากจะบอกเธอว่า ทหารไม่ว่างจริงๆ เพราะวันนั้น ขณะตำรวจฆ่าประชาชนที่ลานหน้ารัฐสภา ทหารส่ง ฮ.ไปรับ "รัฐมนตรีกลาโหม" 

ที่ชื่อทรราชสมชายหนีออกจากรัฐสภาไปซุก "กองทัพไทย" ที่แจ้งวัฒนะตอนบ่าย

    ทรราชทายาทระบอบทักษิณ "ออกโทรทัศน์" โอ่อ่าสมศักดิ์ศรี มากบารมีเจ้านายเหนือ ๓ ทัพ เพราะขวา-ขนาบด้วย "พลเอกทรงกิตติ จักกาบาตร์" ผบ.สส.

ซ้าย-ขนาบด้วย "พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา" ผบ.ทบ.

    ตราบใดที่กองทัพไทยมีนายทหารหาญอย่าง "พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา" และบรรดารุ่น ๑๐ ของทักษิณ แยกย้ายครองความเป็นใหญ่


    ตราบนั้น "รัฐบาลทรราชไทย" สบายใจได้ ระบบทหารจะปล่อยให้ "การเมืองสามานย์แก้การเมืองสามานย์" ด้วยตัวมันเอง เพื่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศ "สามานย์เมือง" ตลอดไป

    รอความเป็นใหญ่ภายใต้ประชาธิปไตย "ระบอบทักษิณ" คืนเมือง!?

ข้อความโดย:เปลว สีเงิน




เวลานี้ ผมเกลียดคำพูดว่า
ทหารอยู่ข้างประชาชนที่สุด....!!!

เวลานี้ ผมจะด่าใส่หน้า
คนที่บอกว่า'เป็นกลาง' ให้ผมได้ยิน
ไม่ว่ามันจะเป็นใครมาจากที่ไหน....!!!


บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #3 เมื่อ: 10-10-2008, 03:56 »

สัตวแพทย์หญิงนุ่งดำวางหรีดหน้าสตช.ประท้วงผู้พิฆาตสันติราษฎร์

 
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) - เมื่อเวลา10.00 น. วันที่ 9 ตุลาคมกลุ่มวิทยุชุมชนคนแท็กซี่ กุล่มวิทยุชุมชนคนจริงใจ วิทยุชุมชนคนรู้ใจ องค์กรพิทักษ์ความเป็นธรรม กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตยแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ(นปช.) นำโดยนายชินวัฒน์หาบุญพาด ผู้อำนวยการวิทยุชุมชนคนแท็กซี่กว่า 200 คนเดินทางมามอบดอกไม้ให้กำลังใจ แสดงความเห็นใจ สดุดี และขอบคุณตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านโดยมี พล.ต.ท.เรืองศักดิ์จริตเอก จเรตำรวจ(สบ8) ในฐานะรองโฆษกตร. เป็นตัวแทนรับมอบทั้งนี้แนวร่วมนปช.ได้ถือแผ่นป้ายประณามการกระทำของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และให้กำลังใจตำรวจ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างที่กลุ่มนปช.กำลังชุมนุมให้กำลังใจตำรวจอยู่ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น กลุ่มแพทย์ นักวิชาการ นิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และประชาชนแนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกว่า 1,000 คนได้เดินขบวนออกจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อประท้วงการสลายการชุมนุมของตำรวจ ผ่านถนนพญาไท ถนนพระราม1 หน้าสยามสแควร์โดยมีเป้าหมายมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำให้ พล.ต.ต.วิทยารัตนวิชช์ บังคับการตำรวจนครบาล 6 ต้องเข้ามาเจราจาสอบถามกลุ่มนปช.ที่ยังรวมตัวอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเนื่องจากเกรงว่าจะเกิดการเผชิญหน้ากัน พร้อมนำกำลังตำรวจสน.ปทุมวัน30 นายมาตรึงที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และนำรถ6 ล้อขนผู้ต้องหามาจอดรอไว้ และปิดประตูสำนักงานตำรวจแห่งชาติฝั่งพระราม 1 ด้วยขณะเดียวกันตลอดเส้นทางการเดินขบวนของกลุ่มจุฬาฯนั้นตำรวจได้วางกำลังสังเกตุการณ์ทุกระยะ

ขณะเดียวกันเวลา 10.50น. ได้มีผศ.ดร.ร.ท.หญิงสัตวแพทย์หญิง เนาวรัตน์ สุธัมนาถพงษ์ สัตวแพทย์โรงพยาบาลสัตว์จุฬา แต่งชุดดำ ถือพวงหรีดสีดำ มีข้อความ แด่..ผู้ที่ควรจะพิทักษ์สันติราษฎร์ แต่ทำร้ายประชาชน ด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง  มายืนอยู่หน้าป้ายสำนักงานงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีชายสวมเสื้อแดง แนวร่วม นปช. ตะโกนด่าทอด้วยคำหยาบคายมาจากทางเดินลอยฟ้า(สกายวอล์ค) ก่อนที่ชายคนดังกล่าวจะเดินลงมาข้างล่างและด่าทอผศ.ดร.ร.ท.หญิงสัตวแพทย์หญิง เนาวรัตน์ ในระยะประชิด  โดยตำรวจได้แต่ยืนดูอยู่ห่างๆเท่านั้น ก่อนที่ผศ.ดร.ร.ท.หญิงสัตวแพทย์หญิง เนาวรัตน์ จะวางพวงหรีดไว้หน้าป้ายตร. และเดินทางกลับซึ่งต่อมามีแนวร่วมพันธมิตรฯสวมชุดดำประมาณ 10คนตามมาสมทบแต่ไม่ทัน

ผศ.ดร.ร.ท.หญิงสัตวแพทย์หญิง เนาวรัตน์ กล่าวว่า ตนมาในนามส่วนตัว ไม่เอาสถาบันมาเกี่ยวข้อง เพื่อแสดงจุดยืนว่าไม่เห็นด้วยการกระทำของตำรวจ และขอประณามในฐานะคนไทยคนหนึ่งและที่การกระทำรุนแรงของตำรวจทำให้เพื่อนหมอด้วยกันต้องได้รับบาดเจ็บพิการถูกตัดนิ้ว ส่วนกรณีที่แพทย์จุฬาออกมาประกาศหยุดรักษานั้นมองว่าเป็นการแสดงจุดยืนและไม่ผิดจรรยาบรรณเพราะไม่ได้ปฏิเสธเสียทีเดียวเพียงแต่ขอไม่รักษาตำรวจที่มาหาหมอทั้งที่ยังอยู่ในเครื่องแบบและมียศ

ต่อมาเวลา11 .30 น. กลุ่มนปช.ได้สลายตัวออกจากตร. ขณะที่กลุ่มแพทย์แนวร่วมพันธมิตรฯก็หยุดขบวนที่หน้าสยามพารากอนโดยไม่เดินทางมาที่ ตร. อ้างว่าไม่ต้องการเผชิญหน้ากับนปช.

http://www.komchadluek.com/specialreport/breakdownmob/specialreportnews.php?id=411


บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #4 เมื่อ: 10-10-2008, 03:57 »

อ.นิติศาสตร์ 7 สถาบัน เข้าชื่อจี้จิตสำนึก “สมชาย” 
 
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 9 ตุลาคม 2551 19:34 น.
 
 
       คณบดีนิติ มธ.-จุฬาฯ นำทีมอาจารย์นิติฯ 7 ม.ดัง ร่วมลงชื่อเรียกร้อง “สมชาย” ในฐานะที่เป็นถึงอดีตผู้พิพากษาศาลยุติธรรม เรียกจิตสำนึกและคุณธรรมของบรรพตุลาการที่ได้สั่งสอนไว้ สละการถูกครอบงำทางความคิด แสดงความรับผิดชอบตั้งกรรมการกลางเพื่อปฏิรูปการเมือง-ยุบสภา

 
 
สมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี
 
 
       เมื่อวันที่ 9 ต.ค.คณาจารย์คณะนิติศาสตร์สถาบันอุดมศึกษา จาก 7 สถาบัน ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยพายัพ ได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ต่อเหตุการณ์สลายการชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยระบุว่า ตามที่ปรากฏข้อเท็จจริง กรณีเจ้าพนักงานตำรวจใช้กำลังและยุทธภัณฑ์สลายการชุมนุมของประชาชนที่ร่วมชุมนุมอยู่ในบริเวณถนนรอบรัฐสภา โดยไม่มีสิ่งบ่งชี้ว่าประชาชนผู้ชุมนุมมีอาวุธร้ายแรง เพื่อก่อความรุนแรงแต่ประการใด จนเป็นเหตุให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของประชาชน เจ้าพนักงานตำรวจ และส่วนราชการ คณาจารย์นิติศาสตร์ผู้มีรายนามท้ายแถลงการณ์นี้ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อประชาชน เจ้าพนักงานตำรวจ และญาติมิตรของบุคคลดังกล่าวในความสูญเสียและเสียหายที่เกิดขึ้น
       
       ในโอกาสนี้ เพื่อมิให้เหตุการณ์ดังกล่าวได้กลายเป็นการจุดชนวนยกระดับความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นในสังคมไทยจนยากจะควบคุมได้ต่อไปในอนาคต คณาจารย์นิติศาสตร์ที่ลงนามในแถลงการณ์นี้มีความเห็นและข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล ดังต่อไปนี้
       1.การชุมนุมของประชาชนตั้งแต่ค่ำวันที่ 6 ต.ค.ต่อเนื่องจนถึงเช้าตรู่วันที่ 7 ต.ค.เป็นไปด้วยความสงบบนถนนบริเวณรอบรัฐสภา โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงในขณะนั้นว่าประชาชนผู้ชุมนุมมีอาวุธร้ายแรง หรือได้บุกรุกหรือล่วงล้ำเข้าไปในบริเวณรัฐสภา การชุมนุมของประชาชนดังกล่าว จึงถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาตรา 63 ตามสมควร แม้การชุมนุมดังกล่าวจะเป็นการกีดขวางจราจร และขัดขวางการเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาก็ตาม รัฐบาล และเจ้าพนักงานตำรวจพึงปฏิบัติต่อประชาชนผู้ชุมนุมดังกล่าวโดยสันติวิธีด้วยการเจรจา ในฐานะที่ประชาชนได้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญที่ให้ไว้ อีกทั้งยังเป็นการแสดงออกซึ่งสิทธิโดยพื้นฐานในการแสดงออกถึงความไม่พึงพอใจต่อผู้ปกครอง
       
       2.เจ้าพนักงานตำรวจสลายการชุมนุมโดยมิได้ดำเนินการตามลำดับขั้นตอนที่ควรเป็น และเลือกใช้วิธีที่รุนแรงจนเป็นเหตุให้เกิดความสูญเสีย และเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของทุกฝ่าย และสร้างความโกรธแค้นขึ้นในหมู่ประชาชนผู้ชุมนุมจนทำให้เหตุการณ์บานปลายยิ่งขึ้น การกระทำของเจ้าพนักงานตำรวจดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่เกินสมควรแก่เหตุ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เป็นต้นสังกัดของเจ้าพนักงานตำรวจดังกล่าวต้องรับผิดชอบต่อความสูญเสีย และความเสียหายที่เกิดขึ้น
       
       3.รัฐบาลในฐานะผู้รับผิดชอบดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง มุ่งดำเนินการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ อันได้แก่การแถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยไม่คำนึงถึงวิธีการที่บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวถึงกับละเว้นไม่ดำเนินการหรือสั่งการให้ระงับการใช้กำลังสลายการชุมนุม เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงมีผู้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติการของเจ้าพนักงานตำรวจ การละเว้นการดำเนินการหรือสั่งการของรัฐบาลดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ในสังคมอารยะและควรได้รับการตำหนิ และรัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อการละเว้นดำเนินการดังกล่าว โดยเฉพาะความรับผิดชอบทางการเมืองเพื่อสร้างมาตรฐานการเมืองที่ดีขึ้นในประเทศไทย
       
       4.เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่กระจ่างในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและหาผู้รับผิดชอบต่อความรุนแรงที่มีประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิตและบาดเจ็บหลายร้อยคน รัฐบาลต้องตั้งคณะกรรมการอิสระประกอบด้วยบุคคลที่สังคมไว้วางใจขึ้นมา คณะหนึ่งเพื่อไต่สวนหาข้อเท็จจริงและผู้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาลงโทษตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ ทางรัฐบาลและตำรวจต้องละเว้นในการกระทำใดๆ ที่จะเป็นการยั่วยุสร้างความโกรธแค้นชิงชัง ที่จะเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายยิ่งขึ้น
       
       5.ประชาชนทั่วไป สื่อมวลชน ข้าราชการ เจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและเอกชน โดยเฉพาะสมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาตลาดทุนไทย พึงแสดงออกเพื่อให้รัฐบาลและสาธารณชนได้รู้ถึงความไม่เห็นด้วยต่อการกระทำของรัฐบาลและเจ้าพนักงานตำรวจ อย่างไรก็ดี ผู้ให้บริการสาธารณะหรือที่มีวิชาชีพต้องไม่ปฏิเสธการให้บริการดังกล่าว แม้ผู้รับบริการจะเป็นบุคคลที่ตนเห็นว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามก็ตาม ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้สังคมเกิดความแตกแยกและแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายมากขึ้นไปกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
       
       6.ผู้เป็นคู่กรณีในปัจจุบันพึงละเว้นการสร้างกระแสปลุกเร้าความเกลียดชังระหว่างกันซึ่งอาจนำไปสู่การเผชิญหน้า และความรุนแรงระหว่างกัน และประชาชนพึงตระหนักถึงผลกระทบร้ายแรงที่ตามมา หากเกิดการเผชิญหน้า และความรุนแรงขึ้นในสังคมไทยเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในอดีตไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ 14 ต.ค.2516 เหตุการณ์ 6 ต.ค.2519 หรือเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 และ
       
       7.ภายใต้สถานการณ์การแบ่งแยกเป็นฝักฝ่ายในสังคม คณาจารย์นิติศาสตร์ ที่ลงนามในแถลงการณ์นี้เห็นว่า บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ต้องใช้ความกล้าหาญในฐานะผู้นำประเทศ และยิ่งไปกว่านั้นในฐานะที่เป็นนักกฎหมายที่เป็นถึงอดีตผู้พิพากษาศาลยุติธรรม ที่ต้องเรียกจิตสำนึกและคุณธรรมของบรรพตุลาการที่ได้สั่งสอนไว้ โดยสละการถูกครอบงำทางความคิดจากบุคคลใดๆ ก็ตาม โดยแสดงออกถึงความรับผิดชอบทางการเมืองที่จะเป็นแบบอย่างที่น่ายกย่องต่อไปด้วยการแต่งตั้งคณะกรรมการกลางที่เป็นอิสระเพื่อการปฏิรูปการเมืองขึ้นมา 1 คณะ โดยเร็ว เพื่อวางโครงสร้างทางการเมืองใหม่ที่สามารถนำพาประเทศให้มีระบบการปกครองที่มีธรรมาภิบาลมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และใช้อำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อคืนอำนาจในการตัดสินใจแก่ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย อันจะเป็นวิธีการที่สามารถคลี่คลายวิกฤตการณ์ทางการเมืองครั้งนี้ไปได้ในระดับหนึ่ง
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับคณาจารย์คณะนิติศาสตร์ที่ได้ร่วมลงชื่อในแถลงการณ์ดังกล่าว มีทั้งหมด 48 ราย จาก 7 สถาบันทั่วประเทศ อาทิ นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มธ.นายธิติพันธุ์ เชื้อบุญชัย คณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ นางสุชาดา รัตนพิบูลย์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ นายหริรักษ์ โล่พัฒนานนท์ มหาวิทยาลัยนเรศวร นายคมสัน โพธิ์คง มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช นายดำรงศักดิ์ จันโททัย มหาวิทยาลัยรามคำแหง นายชัช วงศ์สิงห์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
       
       **ปอมท.จี้ “สมชาย” ขอโทษ-รับเป็นตัวกลาง
       วันเดียวกัน ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต นายไชยา กุฏาคาร ประธานสภาคณาจารย์และข้าราชการ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ในฐานะประธานที่ประชุมประธานสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย แถลงภายหลังหารือกับประธานสภาอาจารย์มหาวิทยาลัย 21 แห่ง ว่า ที่ประชุมร่วมออกแถลงการณ์เรียกร้องรัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดย
       1.นายกรัฐมนตรีต้องขอโทษและแสดงความรับผิดชอบต่อผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ และต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
       2.ขอให้ทุกฝ่ายยุติการใช้ความรุนแรง และยอมรับหลักเกณฑ์การดำเนินการตามกฎหมาย
       3.ขอให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั้งระดับประเทศและระดับโลก หากไม่สามารถตั้งรับวิกฤติที่กำลังเกิดขึ้น จะทำให้ประเทศอ่อนแอและเสียหาย
       4.ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหารือโดยสันติวิธี ด้วยความสุภาพ มีเหตุผล และเคารพในศักดิ์ศรีของกันและกัน เพื่อปรับปรุงแก้ข้อบกพร่องทางโครงสร้าง กลไก บุคลากร และคุณภาพทางการเมือง โดยให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ทั้งนี้ หากไม่มีผู้ใดอยู่ในฐานะที่พร้อมจะเป็นผู้ประสานงานให้เกิดขึ้น ที่ประชุมประธานสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทยพร้อมเสนอเป็นตัวกลางในการประสานให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากันต่อไป
       
       ด้าน นายนพพร ลีปรีชานนท์ ประธานสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะรองประธานที่ประชุมประธานสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย แสดงความเห็นกรณีแพทย์จุฬาฯ ไม่รับรักษาเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ส่วนตัวคิดว่าเป็นการแสดงออกในเชิงสัญลักษณ์ไม่น่าจะเป็นการแสดงออกทางความคิดและการปฏิบัติ เพราะโดยจรรยาบรรณแพทย์ต้องมีความเมตตาและไม่แบ่งพรรคแบ่งฝ่าย หากมีการแสดงออกเชิงต่อต้านทางปฏิบัติจริง คิดว่าแพทยสภาก็คงต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง
       
       สำหรับรายนามคณาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ร่วมลงชื่อออกแถลงการณ์ มีดังนี้
       
       1.ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ คณบดี นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
       2.รศ.ธิติพันธุ์ เชื้อบุญชัย คณบดีนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
       3.ศ.แสวง บุญเฉลิมวิภาส คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
       4.ศ.สุขสม ศุภนิตย์ คณบดีนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
       5.ศ.ดร.ไพโรจน์ กัมพูสิริ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
       6.ผศ.ดร.ศารทูล สันติวาสะ นิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
       7.ศ.ดร.ไผทชิต เอกจริยกรคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
       8.ผศ.กนิช บุณยัษฐิติ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
       9.ศ.ดร.เสาวณีย์ อัศวโรจน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
       10.อาจารย์ธิดารัตน์ ศิลปภิรมย์สุข คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
       11.รศ.ดร.สมเกียรติ วรปัญญาอนันต์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
       12.อาจารย์ธิดาพร ศิริถาพร คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
       13.รศ.ดร.ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
       14.อาจารย์กิ่งกมล สินมา คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
       15.รองศาสตราจารย์ นพนิธิ สุริยะ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
       16.อาจารย์ภวิชญ์ เชาวลิตถวิล คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
       17.รศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
       18.รศ.ดร.อุดม รัฐอมฤต คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
       19.รศ.ดร.วิจิตรา วิเชียรชม คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
       20.ผศ.ดร.สุรศักดิ์ มณีศร คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
       21.ผศ.ดร.พินัย ณ นคร คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
       22.ผศ.ดร.วีรวัตน์ จันทโชติ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
       23.อาจารย์ ดร.เอกบุญ วงศ์สวัสดิ์กุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
       24.อาจารย์พัชยา น้ำเงิน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
       25.อาจารย์ ดร.นนทวัชร์ นวตระกูลพิสุทธิ์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
       26.อาจารย์มุนินทร์ พงศาปาน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
       27.อาจารย์จุมพล แดง สกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
       28.อาจารย์ นิรมัย พิศแข คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
       29.ผศ.หริรักษ์ โล่พัฒนานนท์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
       30.อาจารย์คมสัน โพธิ์คง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
       31.อาจารย์ นาถวดี ฟักคง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
       32.รศ.ดร.ดำรงศักดิ์ จันโททัย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
       33.อาจารย์นฤมล เสกธีระ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
       34.อาจารย์ชัช วงศ์สิงห์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
       35.อาจารย์รัฐศักดิ์ บำรุงสุข คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
       36.อาจารย์นิติลักษณ์ แก้วจันดี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
       37.อาจารย์ฉัตรพร หาระบุตร คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
       38.อาจารย์อภินันท์ ศรีสิริ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
       39.อาจารย์จตุภูมิ ภูมิบุญชู คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
       40.อาจารย์ประดิษฐ์ แป้นทอง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
       41.อาจารย์จันทิมา นิธิปัญญา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
       42.อาจารย์ชนาธิศ ซาเสน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
       43.อาจารย์ ดร.สุชาดา รัตนพิบูลย์ คณบดี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ
       44.อาจารย์ขรรค์เพชร ชายทวีป คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
       45.ผศ.ดร.ดิเรก ควรสมาคม คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ
       46.อาจารย์สมบัติ วอทอง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
       47.อาจารย์ธนัญชัย ทิพยมณฑล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ
       48.อาจารย์กิตติพงศ์ กมลธรรมวงศ์ สถาบันวิจัยและให้คำปรึกษา มธ.

 http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9510000120284



ผมไม่ได้ให้ความสนใจนักวิชาการ คณาจารย์ 'เป็นกลาง' จึงจำชื่อ-นามสกุลไม่ได้...
คนที่รู้ช่วยยืนยันว่า รายชื่ออาจารย์ 48 ท่าน มี'เป็นกลาง' บ้างไหม.....!!!


 

บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #5 เมื่อ: 10-10-2008, 04:00 »

เพิ่งจะรู้ว่าเวบเสรีไทยเข้าได้แล้ว สักครู่นี้เอง......

วันนี้ไปอยู่ที่นี่ http://www.weopenmind.com ........ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #6 เมื่อ: 10-10-2008, 14:02 »

ทัศนะวิจารณ์

กาแฟดำ

10 ตุลาคม พ.ศ. 2551 05:00:00

เมื่อต้องเลือกระหว่างวิชาชีพ กับสำนึกชั่วดีในยามวิกฤติ

ผมเขียนคอลัมน์ที่ตีพิมพ์เมื่อวานนี้ ก่อนจะได้อ่าน "บันทึกทูตไทยถึงบัวแก้ว"

กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : ก่อนจะได้ข่าวกัปตัน การบินไทย ประกาศว่าถ้า ส.ส. ของพรรครัฐบาลที่มีส่วนทำให้เกิด "ตุลาฯทมิฬ" เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม เป็นผู้โดยสาร เขาจะไม่ขับเครื่องบินลำนั้น

ก่อนที่จะมีข่าวว่าหมอบางคนที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จะไม่รับรักษาคนไข้ ที่เป็นฝ่ายกระทำต่อผู้ชุมนุมจ นต้องบาดเจ็บและล้มตายเป็นจำนวนมาก

ข่าวนักการทูต หมอ นักบิน ซึ่งล้วนเป็นคนมีเกียรติและศักดิ์ศรี ปฏิเสธจะทำหน้าที่ ที่มโนธรรมตนเองเตือน ว่าไม่ถูกต้องและไม่ชอบธรรม เป็นประเด็นน่าคิดน่าใคร่ครวญยิ่งนัก

เพราะโดยหลักแห่งจริยธรรมวิชาชีพแล้ว หมอไม่มีสิทธิจะไม่รักษาคนไข้ด้วยเหตุผลว่าเขาหรือเธอมีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกัน หรือด้วยเหตุผลของเพศ ศาสนา หรือ ชนชั้น

โดยหลักสากลแล้ว กัปตันเครื่องบินก็ย่อมจะไม่ปฏิเสธผู้โดยสารเพียงเพราะเขาหรือเธอมีสถานะทางสังคมอย่างใดอย่างหนึ่ง

และนักการทูตในฐานะข้าราชการประจำโดยหน้าที่ก็จะต้องชี้แจงกับรัฐบาลของประเทศนั้นๆ ตามคำสั่งของกระทรวงการต่างประเทศ

เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาปฏิเสธที่จะทำหน้าที่ด้วยเหตุผลอะไร?

ตอบได้ว่า ด้วยความสำนึกแห่งความเป็นคนไทยในยามที่จะต้องแสดงจุดยืนของตนเอง

แน่นอนว่าโดยหลักวิชาชีพแล้ว พวกเขาย่อมรู้ว่าการปฏิเสธที่จะทำหน้าที่ของตนเป็นสิ่งผิดหลักปฏิบัติ

และรู้ต่อไปด้วยว่าอาจจะถูกหัวหน้าหน่วยงานของตนเพ่งเล็ง สอบสวน และ ถึงขั้นลงโทษ

แต่ในยามบ้านเมืองวิกฤติ ในยามที่มโนธรรมของสุจริตชน ต้องตอบตัวเองว่าจะทำงานรับใช้ใคร เพื่ออะไร และสำนึกแห่งชั่วดีกระตุ้นเตือนให้ปัจเจกชนทุกคน ต้องเลือกข้างระหว่างธรรมกับอธรรม คนที่ถือว่าเป็นมืออาชีพ ก็ต้องตัดสินใจว่าจะยืนอยู่ตรงจุดไหนของสังคม

การยืนอยู่ตรงกลาง การแสดงความลังเล และ การทำประหนึ่งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นในบ้านเมืองหรือยังคงทำหน้าที่เดิมตามปกตินั้น ย่อมมิใช่วิสัยของผู้ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาของบ้านเมือง

จดหมายของ "เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศหนึ่งในเอเชีย" ที่ปฏิเสธที่จะชี้แจงกับรัฐบาลประเทศนั้นๆ ตามคำสั่งของกระทรวงการต่างประเทศนั้น ให้เหตุผลดั่งที่วิญญูชนผู้มีสติปัญญาพึงจะคิด

เพราะคนระดับเอกอัครราชทูต ระดับนายแพทย์ ระดับกัปตันสายการบินแห่งชาติ ย่อมแยกแยะได้ว่าอะไรคือความจริง อะไรคือความเท็จ อะไรคือคำสั่งการไร้จริยธรรม และอะไรคือสำนึกแห่งความเป็นมืออาชีพของตน

  "ท่านทูต" ผู้นี้ถามอย่างผู้มีสติปัญญาครบถ้วน ในฐานะคนไทยที่รับผิดชอบว่า จะให้ท่านอธิบายกับรัฐบาลนั้นๆ ได้อย่างไร ในเมื่อท่านในฐานะคนไทยเอง ยังไม่เชื่อตามที่กระทรวงการต่างประเทศให้แถลงเลย

ท่านถามในจดหมายเปิดผนึกฟ้องคนไทยที่เป็นเจ้าของประเทศตอนหนึ่งว่า

"...จะอธิบายอย่างไรว่ามาตรการของตำรวจ ระลอกแล้วระลอกเล่าตลอดวันที่ 7 ตุลาคม เป็นการกระทำที่เป็นไปตามกฎหมาย มาตรฐาน และ หลักปฏิบัติสากล...?"

"จะอธิบายอย่างไรกับมาตรการอันรุนแรงเกินกว่าเหตุของตำรวจ อันนำมาซึ่งการเสียชีวิตและบาดเจ็บของคนไทยจำนวนมาก...?"

"การชี้แจงสิ่งที่ไม่น่าเชื่อถือ หรือยังมีความเคลือบแคลงในข้อเท็จจริง หรือภาพเพียงบางส่วน รังแต่จะทำลายความน่าเชื่อถือของผู้ชี้แจงไปด้วย..."

นี่คือ ถ้อยคำที่ออกมาจาก "ความสำนึก" ของคนเป็นตัวแทนของประเทศไทยในต่างแดน ที่ต้องทำหน้าที่ตามมาตรฐานที่คนไทยรับได้และที่สังคมโลกตรวจสอบได้

เป็นความสำนึกที่ตอบตัวเองได้ ว่าเขาไม่ใช่ขี้ข้าของนักการเมืองที่บังเอิญขึ้นมามีอำนาจในแผ่นดิน

  แน่นอน ทั้งหมอ นักบิน และ นักการทูต ที่แสดงจุดยืนไม่ยอมทำหน้าที่ของตนเพื่อต่อต้านการกระทำของรัฐบาลต่อประชาชนนั้น ย่อมรู้ดีว่าตนกำลังเสี่ยงกับการถูกลงโทษและกล่าวหาจากบางวงการ

แต่ในยามบ้านเมืองวิกฤติและความสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมโดยส่วนรวมแล้ว เราเคารพในการกล้าตัดสินใจที่จะยกเว้นการปฏิบัติตามหลักการแห่งวิชาชีพบางข้อ

เพื่อแสดงความกล้าหาญจากสำนึกแห่งมโนธรรมต่อสังคม

พวกเขาเลือกแล้วระหว่างการทำหน้าที่ตามปกติแล้วรู้สึกผิดต่อวิญญาณของคนไทยที่ถูกทำร้าย และสังหาร กับการปฏิเสธที่จะรับใช้อธรรมเพื่อให้สังคมที่หดหู่รันทดและสิ้นหวังได้เห็นแสงสว่างเล็กๆ

แสงสว่างที่เรียกว่า "มโนสำนึก" ของคนกล้าในยามบ้านเมืองวิกฤติ


(เข้ามาร่วมแสดงความเห็นในยามบ้านเมืองวิกฤติ ได้ที่ www.oknation.net/blog/black และ www.suthichaiyoon.com ตลอด 24 ชั่วโมง)


http://www.bangkokbiznews.com/2008/10/10/news_301992.php



การยืนอยู่ตรงกลาง การแสดงความลังเล และ การทำประหนึ่งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นในบ้านเมืองหรือยังคงทำหน้าที่เดิมตามปกตินั้น ย่อมมิใช่วิสัยของผู้ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาของบ้านเมือง.......!!!

ความ'เป็นกลาง' ของพวกเขามีประโยชน์อะไรสำหรับสังคมไทย ประเทศไทย และระบอบประชาธิปไตย......?

บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
หน้า: [1]
    กระโดดไป: