พฤติกรรมของรัฐบาล ที่ส่อว่าเป็นกบฏ และ/หรือ ส่อว่าพยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจปกครองประเทศโดยมิชอบพฤติกรรมที่ 1 รัฐบาลนายสมัครและรัฐบาลนายสมชาย ร่วมกระทำผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 เพราะมีพฤติการณ์ส่อว่าสมรู้ร่วมคิดกระทำความผิด รัฐธรรมนูญ มาตรา 68 คือกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ตามที่มาและเหตุผลดังต่อไปนี้ 1. ผลการสอบสวนของคณะอนุกรรมการ กกต.สรุปว่า พรรคพลังประชาชนมีการกระทำที่เข้าข่ายเป็นกระทำการแทนพรรคไทยรักไทย (
http://www.siamha.com/issue/data/1/00001062-1.html )
2. และผลการพิพากษาของตุลาการ รัฐธรรมนูญ (คำตัดสินที่ 3-5/2550 เรื่องพิจารณาที่ 20/2549 21/2549 และ 22/2549 ลงวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ.2550 )คือห้ามไม่ให้ กรรมการบริหารพรรตไทยรักไทย ยุ่งเกี่ยวการเมืองเป็นเวลา 5 ปี
3. พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นหนึ่งใน 111 กรรมการบริหารพรรค ไทยรักไทย ซึ่งถูกลงโทษตามคำพิพากษาของตุลาการรัฐธรรมนูญ (คำตัดสินที่ 3-5/2550 เรื่องพิจารณาที่ 20/2549 21/2549 และ 22/2549 ลงวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ.2550 )โดยถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง(เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง) เป็นเวลา 5 ปี แต่พ.ต.ท.ทักษิณกลับมีพฤติกรรมเป็นที่ประจักษ์ว่าดำเนินการทางการเมืองโดยชักใยอยู่เบื้องหลังในนามพรรคพลังประชาชน ( อาจตรวจสอบทางลับ สถิติการโทร ของคนในรัฐบาล(รวมพรรคพลังประชาชน และพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ที่มีอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยอยู่เบื้องหลัง) ที่โทรไปหาเบอร์ของทักษิณ และข้อมูลการบินไปหาทักษิณที่ฮ่องกง อังกฤษ จีน ฯลฯ ย่อมชัดเจนว่าทักษิณยุ่งเกี่ยวการเมืองไทยร่วมกับคนในพรรคพลังประชาชนอย่างอย่างแน่นอน เมื่อพิจารณาร่วมกับหลักฐานอื่นๆ เช่น
VCD ที่ทักษิณปราศัยสนับสนุนพรรคพลังประชาชนแล้วผู้สมัคร สส.นำไปแจก
เทปการให้สัมภาษณ์ของทักษิณผ่านสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศ
เทปการพูดของสมัคร หลังรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เทปการพูดของเฉลิม ให้สัมภาษณ์สื่อหลังรับตำแหน่ง เรื่อง ยุบไทยรักไทย ก็มี พลังประชาชน ยุบพลังประชาชน ก็มีพรรคทักษิณได้ เหตุเหล่านี้แสดงพฤตินัยโดยชัดเจน ว่าพรรคไทยรักไทย (อันหมายถึงกรรมการบริหารและสมาชิก) กำลังแสดงบทบาททางการเมืองผ่านตัวแทน ซึ่งแสดงว่าละเมิดต่อ คำตัดสินของตุลาการรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน
เทปการพูดของนายสมชาย ที่เชียงใหม่ อันมีเนื้อหาชื่นชมว่าทักษิณเป็นคนดี และเป็นคนส่งเสริม นายสมชายมาโดยตลอด กระทั่งได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ฯลฯ )
4. นายสมัคร และต่อมามีการสืบทอดอำนาจโดย นายสมชาย เป็นตัวแทนดำเนินการทางการเมือง ของผู้ที่ถูกตัดสิทธิ์ โดยดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีอำนาจปกครองประเทศ
5. การกระทำดังกล่าว เป็นการกระทำเพื่อให้ได้ตำแหน่งทางการเมือง ที่มีอำนาจทางการบริหารราชการแผ่นดิน (ปกครองประเทศ) จึงเป็นการผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 เพราะการใช้ตัวแทน ดำเนินการปกครองประเทศแทนตัวเอง เป็นการกระทำ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
ดังนั้น ความผิดที่ประจักษ์แจ้งคือ พตท.ทักษิณ กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย กระทำความผิดร่วมกับพรรคพลังประชาชน โดยให้พรรคพลังประชาชน กระทำการแทนในการเป็นรัฐบาล
ซึ่งการใช้ตัวแทนดำเนินการทางการเมืองจนกระทั่งได้อำนาจในการปกครองประเทศดังกล่าว เป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ จึงเป็นการกระทำความผิดตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 681/ อย่างชัดเจน
พฤติกรรมที่ 2 รัฐบาลพรรคพลังประชาชนมีพฤติการณ์ส่อว่าสมรู้ร่วมคิดกระทำความผิด รัฐธรรมนูญ มาตรา 68 คือกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ตามที่มาและเหตุผลดังต่อไปนี้แฉ! เจ้าหน้าที่ กกต.ปั้นหลักฐานเท็จช่วย ยงยุทธ สู้คดีใบแดง
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000068602 1. จากข่าวเนื่องจาก กกต.โดยฝ่ายสืบสวนสอบสวน ของนายสมชัย กระทำการทุจริตยื่นเอกสารเท็จต่อศาลฎีกา
2. จากข่าว กรณีการที่ฝ่ายสืบสวนสอบสวน ของนายสมชัย ยกคำร้อง จำนวนหลายร้อยกรณีทุจริตทิ้งไป ส่อให้เห็นว่าการทุจริตเลือกตั้งเป็นกระบวนการจัดตั้งอย่างเป็นระบบ โดย กกต.เองมีส่วนอย่างสำคัญ (ทุกท่านคงประจักษ์แจ้งแล้วว่าทำไม นายสมชัย จึงมีการกระทำส่อว่าช่วยพรรคพลังประชาชนในทุกกรณีที่ผ่านมา)
3. หากคำร้องดังกล่าว เป็นกรณีของพรรคพลังประชาชนที่โดนใบแดง หมายความว่า พรรคพลังประชาชนจะมีจำนวน ส.ส. ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นเหตุให้ พรรคพลังประชาชน ไม่มีความชอบธรรม และไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ตั้งแต่แรก ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 อย่างชัดเจน
พฤติกรรมที่ 3 รัฐบาลพรรคพลังประชาชนมีพฤติการณ์ ส่อว่าสมรู้ร่วมคิดกระทำความผิด ฐานเป็นกบฏ ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 113 และ114 และส่อว่ากระทำความผิดขายอธิปไตยของชาติ ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 119 และ120 จากกรณีขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามข้อมูลดังต่อไปนี้เปิดเนื้อหาร่างแก้ไขรธน.ปี50ฉบับ คปพร.
http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=178660&NewsType=1&Template=1 คำนูณ อัด หมัก คิดล้มล้าง รธน.-ยกอธิปไตยให้เขมร
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000073635 โละองคมนตรีชุดป๋าเปรม ! เนื้อแท้กระบวนการล้มรัฐธรรมนูญ ทั้งฉบับ เหวง-จรัล และฉบับ พปช.
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000073130พฤติกรรมที่ 4 รัฐบาลพรรคพลังประชาชนมีพฤติการณ์ ส่อว่าสมรู้ร่วมคิดกระทำความผิด ขายอธิปไตยของชาติ ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 119, 120 และ 157 จากพฤติการณ์และท่าที ที่ส่อว่าเอื้อประโยชน์ใหแก่กัมพูชา และกระทำความผิดขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 จากกรณีแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา เกี่ยวกับการขึ้นมรดกโลกเขาพระวิหาร ตามข้อมูลดังต่อไปนี้ศาลรธน.ชี้ชัดแถลงการณ์ร่วมขัดม.190
http://webboard.mthai.com/16/2008-07-08/401978.html ข้อมูลเกี่ยวกับ "กรณีเขาและปราสาทพระวิหาร"
1. ปราสาทพระวิหาร
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3 2. คำประท้วงคำตัดสินของศาลโลก เมื่อ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๐๕ หลังจากศาลโลกตัดสินแล้ว ๒๐ กว่าวัน รัฐบาลไทยโดย ดร.ถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้มีหนังสือไปยัง นายอูถั่น เลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อประท้วงคำพิพากษาของศาลโลก โดยอ้างว่าคำพิพากษานั้นขัดต่อกฎหมายและความยุติธรรม นอกจากนี้ ยังสงวนสิทธิที่ประเทศไทยจะเอาปราสาทพระวิหารกลับคนมาในอนาคตด้วย
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000072311 3. มติ ครม.พ.ศ.2505
ที่มา เว็บไซต์มติชน
4. ข้อมูลประเด็นผลประโยชน์ทับซ้อน ของทักษิณในกัมพูชา มูลเหตุของกรณีนี้
http://www.oknation.net/blog/talkwithMetha/2008/06/18/entry-1 5. ถ้ายึดข้อเท็จจริง ตามหลักสากล คือการใช้สันปันน้ำ แบ่งเขตแดนระหว่างประเทศที่มีภูเขากั้น กล่าวคือหากเทน้ำลงไปบนหน้าผา(เป้ยตาดี)ที่ตั้งของปราสาทเขาพระวิหาร น้ำก็จะไหลลงฝั่งประเทศไทย
อ้างอิง "เขาพระวิหาร ระเบิดเวลาจากยุคอาณานิคม" ศรีศักดิ์ วัลลิโภดมและคณะ สนพ.มติชน
6. คนไทย ตื่น! ก่อนเสีย 'ดินแดน' ชู 'พระวิหาร' วาระแห่งชาติ
...ทั้งนี้ ประเด็น 4.6 ตารางกิโลเมตรนี้เอง ทำให้การหารือนอกรอบของ "จีบีซี" ระหว่าง ไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมา "ไม่ได้ข้อยุติ"
เพราะ 2 นักกฎหมายกัมพูชาที่ "แข็งกร้าวต่อไทย" คือ นายลอง วิสาโล รมช.ต่างประเทศ และความร่วมมือระหว่างประเทศ นายวา กิม ฮง รมต.อาวุโสที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชาส่วนกิจการ ประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมฝ่ายกัมพูชา โต้แย้งและยืนยันว่า "พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นของกัมพูชาตั้งแต่มีคำสั่งศาลโลกเมื่อปี 2505"
แต่ถูกนายวีระชัย พลาศรัย อดีตอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ที่นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ ปรับย้ายพ้นตำแหน่ง เพราะ "ไม่เห็นด้วย" ที่จะให้ร่วมลงนามแถลงการณ์ร่วมไทยกัมพูชา เมื่อช่วงเดือนกุมพาพันธ์หลังเข้ามาคุม "บัวแก้ว" ได้ไม่นาน
ทั้งนี้ การหารือนอกรอบ "วีระชัย" เป็น "คีย์แมน" ในการโต้ตอบข้อกฎหมาย ด้วยชั้นเชิง "ผู้เชี่ยวชาญ" กฎหมายระหว่างประเทศทั้งเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ จนทำให้ 2 นักกฎหมายกัมพูชา "ต้องถอย" เพราะไทยโต้แย้งได้ "ทุกข้ออ้าง"
โดยเฉพาะที่กัมพูชาอ้างสิทธิเหนือพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรว่า "ไทยไม่มีสิทธิ" วีระชัยโต้ทันทีว่า "พื้นที่ดังกล่าวคำพิพากษาศาลโลกไม่ได้ยกให้เป็นสิทธิของกัมพูชา ซึ่งคำพิพากษาให้สิทธิกัมพูชาเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น แต่พื้นที่รอบตัวปราสาทยังคงเป็นสิทธิของไทยเช่นเดิม"
เมื่อพิจารณาคำพิพากษาศาลโลก เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2505 ตัดสินว่า
1.ปราสาทพระวิหาร ตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา ด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 3 ประเทศไทยมีพันธะที่จะต้องถอนกำลังทหาร หรือตำรวจผู้เฝ้ารักษาหรือดูแลซึ่งประเทศไทยส่งไปประจำอยู่ที่ปราสาทพระวิหารหรือในบริเวณใกล้เคียง ด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 3
2.คำฟ้องกัมพูชาระบุเฉพาะอำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่ที่ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ มิอาจขยายให้กว้างออกไปนอกพื้นที่จนครอบคลุมเขาพระวิหาร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทิวเขาดงรัก
ดังนั้น ย่อมชัดเจนว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร "เป็นของไทย" !!....
ที่มา เว็บไซต์มติชน
7. ดูรูปเขาพระวิหารชัดๆ ในGoogle Earth (ไม่ชัด) และ MapPoint Asia (ชัดกว่า เพราะเก็บข้อมูลเฉพาะประเทศไทย)
อ้างอิงรัฐธรรมนูญมาตรา 68 บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ มิได้
มาตรา 69 บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใด ๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้
มาตรา 190 พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการทำหนังสือสัญญาสันติภาพสัญญาสงบศึก และสัญญาอื่น กับนานาประเทศหรือกับองค์การระหว่างประเทศ
หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา หรือมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา
ในการนี้ รัฐสภาจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่องดังกล่าว
อ้างอิงประมวลกฏหมายอาญามาตรา ๑๑๓ ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ
(๑) ล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ
(๒) ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญ
หรือให้ใช้อำนาจดังกล่าวแล้วไม่ได้ หรือ
(๓) แบ่งแยกราชอาณาจักรหรือยึดอำนาจปกครองในส่วนหนึ่งส่วนใดแห่งราชอาณาจักร
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นกบฏ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
มาตรา ๑๑๔ ผู้ใดสะสมกำลังพลหรืออาวุธ ตระเตรียมการอื่นใด หรือสมคบกันเพื่อเป็นกบฏ หรือกระทำความผิดใดๆ อันเป็นส่วนของแผนการเพื่อเป็นกบฏ หรือยุยงราษฎรให้เป็นกบฏ หรือรู้ว่ามีผู้จะเป็นกบฏ แล้วกระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี
มาตรา ๑๑๙ ผู้ใดกระทำการใดๆ เพื่อให้ราชอาณาจักรหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรตกไปอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ หรือเพื่อให้เอกราชของรัฐเสื่อมเสียไป ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
มาตรา ๑๒๐ ผู้ใดคบคิดกับบุคคลซึ่งกระทำการเพื่อประโยชน์ของรัฐต่างประเทศ ด้วยความประสงค์ที่จะก่อให้เกิดการดำเนินการรบต่อรัฐ หรือในทางอื่นที่เป็นปรปักษ์ต่อรัฐ ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี
มาตรา ๑๕๗ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ