ศาลยุติธรรม ได้ผลประโยชน์อะไรบ้างหรือไม่ จากการเข้ามาช่วยแก้วิกฤติการเมือง

เคยโต้เถียงกับ TRAT, X-CU , พี่หนุ่มใหญญ่,...ฯลฯ ในราชดำเนิน พวกเค้าหาว่าศาลทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม ที่บอกให้ กกต. ลาออก ผมก็ไปโต้สุดฤทธิ์ ท้ายสุด ยอมแพ้กับลูกตะแบงของพวกเค้า ก่อนจะย้ายวิกมาที่นี่
แต่เหตุที่ยกมาพูดอีกครั้งในที่นี้ เพราะคาดว่าอีกไม่นาน สาวกทักษิณ คงต้องกลับมาเล่นเรื่องนี้อีกรอบ เลยออกมาให้ข้อมูลพวกเรากันไว้ก่อน เผื่อเอาไว้ดักทางพวกเค้า
"......เหตุการณ์เริ่มมาจากกระแสรับสั่ง ศาลจึงดำเนินการ จนสุดท้ายการเลือกตั้งเป็นโมฆะ ถัดจากนั้น 3 ศาลก็ออกมา บอกให้กกต.ลาออก คำถามที่เกิดขึ้นทันใด ทำไมศาลต้องออกมาทำดังกล่าว ดูแล้วล้ำขอบเขตไปบ้างหรือไม่ และเพื่ออะไร ก็คงต้องวิเคราะห์ไปตามลำดับ
วาระซ่อนเร้นของศางเอง ที่ต้องการแผ่ขยายขอบเขตอำนาจของตัวเอง
คำตอบ ทุกวันนี้ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา เป็นองค์กรอิสระ ที่ไม่ได้สังกัด หน่วยงานใดอยู่แล้ว เดิมทีนั้น ศาลสังกัดกระทรวง แต่เพื่อความอิสระจริงเลยถูกแยกออกมา ทุกวันนี้ศาลว่าไปแล้วเหมือนปกครองตัวเอง เพียงแต่ได้งบจากรัฐบาล
ถ้างั้น มาถามกันว่า แล้วจะเชื่อได้อย่างไรว่าศาลบริสุทธิ์จริง มีการตรวจสอบหรือไม่
ลักษณะการตรวจสอบของศาลเป็นการตรวจกันเอง มีคณะกรรมการตุลาการเป็นหลัก โดยผ่านการคัดเลือกจากตัวแทนต่างๆ ของศาลชั้นต้น คัดเลือกเข้ามาตามลำดับขั้น (ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา) ลักษณะการคัดเลือกก็คล้ายกับการเลือกตั้ง
ซึ่งถ้าจะมอง ว่ามีสิทธิ ที่จะเกิดการให้ผลประโยชน์ หรือระบบอุปถัมภ์ เข้ามามีส่วนได้หรือไม่
ก็สามารถมีได้ แต่ทุกวันนี้ ไม่มีผู้พิพากษาคนใดเฃาทำกัน หรือถ้ามีก็น้อยมาก เพราะเงินเดือนของผู้พิพากษาก็สูงอยู่แล้ว ไม่ค่อยมีผู้พิพากษาคนใด
อยากทำลายเกียรติภูมิของตัวเอง อีกอย่างวัณนธรรมองค์กรของศาลได้ถูกปลูกฝังกันมาอย่างยาวนานในเรื่องความยุติธรรม
แต่อย่างไรก็ตาม บรรดาเหล่าผู้พิพากษาทั่วประเทศ ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ในเรื่องอันตรายของลักษณะการเลือกตั้ง ที่จะเข้ามาทำให้การคัดเลือกคณะกรรมการตุลาการ เกิดความไม่ยุติธรรม ดังเช่นที่อาจารย์จรัล ท่านได้เคยให้สัมภาษณ์ไว้ ว่ากำลังมีการแก้ไข ให้กำเนิดระบบที่เที่ยงธรรมที่สุด เพราะวัณนธรรมองค์กรที่ดีก็เป็นสิ่งที่เสื่อมสลายได้
อีกทั้งการตรวจสอบจากองค์กรอิสระอีกชั้นหนึ่งก็เป็นสิ่งที่ทำได้ เช่น คตง. ฯลฯ
ดังนั้นการกระทำครั้งนี้ของศาลเอง เป็นการทำเพื่อตัวเองหรือไม่ คำตอบคือไม่ ด้วยลักษณะของศาลเอง ได้มีที่อยูที่ทางของตัวเองที่ดีอยู่แล้ว มิจำเป็นต้องหาอำนาจใดๆเพิ่ม อีกทั้งลักษณะ พฤติกรรมที่ผ่านมาของศาล ไม่เคยเกิดการกระทำใดๆ ที่ ส่อลักษณะการต้องการเข้ายุ่งเกี่ยวกับการเมือง มีแต่การเมืองพยายามมายุ่งศาล แต่ศาลยังรักษาความบริสุทธิ์ยุติธรรมของตัวเองได้ดีอยู่ ยกตัวอย่างคดีกำนันเป้าะ ที่แม้บุตรชาย จะมีอำนาจทางการเมือง แต่ก็มิอาจหลีกหนีจากความผิดได้
ศาลมีความจำเป็นต้องเข้ามา เกี่ยวข้องในลักษณะที่ค่อนข้างเกินขอบเขตุเช่นนี้ ศาลเองก็มีความเสี่ยง ใครจะรับประกันได้ว่า เมื่อศาลเสร็จภารกิจ เกิดการเลือกตั้งพรรคไทย รัก ไทย กลับเข้ามา จะมีกรณีคล้ายๆกับ ทนายสมชายหรือไม่
และเหตุที่ศาลต้องเข้ามา คัดเลือกกกต.ใหม่ทั้งหมด วิญญูชน ย่อมรับทราบได้เองถึงพฤติกรรม ของคณะกรรมการเลือกตั้งทั้งหลาย ที่ได้กระทำการอันใดไว้...."

ก็ยกมากล่าวไว้ในที่นี้ เป็นการให้ข้อมูลเผื่อไว้ เมื่อจำเป็นต้องใช้