เศรษฐกิจชะงักแล้ว ไทยรัฐ ปีที่ 57 ฉบับที่ 17696 วันอังคาร ที่ 4 กรกฎาคม 2549
วันนี้ประเด็นร้อนที่รักษาการนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร จุดพลุขึ้นมา ประกาศชักธงรบกับ ผู้มีบารมี ที่ต้องการ ล้มรัฐบาลทักษิณ เพื่อหวังเป็น นายกรัฐมนตรีมาตรา 7 ก็ยังเป็นเค้กร้อนที่ถกกันทั่วบ้านทั่วเมือง โดยเฉพาะ นักธุรกิจใหญ่ ของประเทศ ต่างพูดด้วยความไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่งเป็นความไม่สบายใจที่แฝงด้วยหลายนัยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
วันศุกร์ที่แล้ว ผมเพิ่งเขียนเตือนไปหมาดๆว่า การเมืองวุ่นวายที่ลากยาวจะทำให้เศรษฐกิจไทยซึมลึกกว่าที่คิด ต่างชาติไม่เชื่อมั่น การไปโรดโชว์ไม่เกิดผล เศรษฐกิจในประเทศถดถอย ส่งผลให้ เศรษฐกิจปีหน้าไม่มีการเติบโต หรือเติบโตอย่างมากก็แค่ 1-2 เปอร์เซ็นต์ จากปีนี้ที่คาดว่าจะโตต่ำกว่า 4 เปอร์เซ็นต์
แล้วก็เป็นจริงอย่างที่ผมเป็นห่วง
คุณสันติ วิลาศศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผู้นำภาคเอกชนที่ปกติจะยิ้มร้อยแปดสิบองศา พูดแต่เรื่องดีๆมาตลอด แต่ วันวานคุณสันติออกมาพูดอย่างตรงไปตรงมาเลยว่า
ขณะนี้ภาคเอกชนในส่วนของนักลงทุนภาคอุตสาหกรรม ทั้งนักลงทุนรายใหม่ และนักลงทุนที่ผลิตเพื่อการจำหน่ายในประเทศ ต่างพากันชะลอการลงทุน เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่มีความชัดเจน สถานการณ์ทางการเมืองถือเป็นปัจจัย ที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยตรง
ส่วนปัจจัยอื่น เช่น ราคาน้ำมันแพง ดอกเบี้ยแพง ประธานสภาอุตสาหกรรมบอกว่า ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อนักลงทุน เพราะเปลี่ยนแปลงไปตามตลาดโลก นักลงทุนยังมั่นใจว่าเศรษฐกิจโลกจะยังขยายตัวต่อไปได้
ในขณะที่หน่วยงานเศรษฐกิจภาครัฐยังหลับหูหลับตาอ้างแต่เรื่องราคาน้ำมันแพง ดอกเบี้ยแพง โดยไม่ยอมพูดความจริงเรื่องปัจจัยการเมือง
ยิ่งได้ฟังรักษาการนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ประกาศชักธงรบกับ ผู้มีบารมี อย่างเปิดเผยแล้ว ความเชื่อมั่นของนักลงทุนก็ยิ่งหดจนน่าห่วง และไม่เข้าใจ ออกมาพูดทำไม เพื่ออะไร เพราะมีแต่เสียกับเสีย ไม่มีใครได้ ประโยชน์อะไรเลยที่ผมเป็นห่วงว่า การเมืองจะทำเศรษฐกิจไทยพังพินาศรอบใหม่ ก็เพราะวันนี้แรงเหวี่ยงที่เป็นตัวหลักใน การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในยามว่างรัฐบาลก็คือ การลงทุนจากภาคเอกชน
เมื่อภาคเอกชนขาดความเชื่อมั่น แม้แต่ประชาชนเองก็ยังขาดความเชื่อมั่น มีแต่ความหวั่นวิตกในอนาคตที่ไม่แน่นอน ต้องลดการบริโภคจับจ่ายใช้สอยลง รุนแรงถึงขั้นเอกชนต้องหยุดการลงทุน เศรษฐกิจไทยก็น่าเป็นห่วง
แต่ก็ยังโชคดีที่ การส่งออก ของภาคเอกชนยังเป็น พระเอกขี่ม้าขาว มากอบกู้เศรษฐกิจไทยเอาไว้ด้วยปริมาณการส่งออกสูงถึง 63 เปอร์เซ็นต์ ของจีดีพี ส่งผลให้จีดีพีของประเทศยังคงมีการเติบโต
ถ้าหากเศรษฐกิจ Dual Track โตด้วยจีดีพีในประเทศร้อยละ 50 และการส่งออกอีกร้อยละ 50 อย่างที่รักษาการนายกฯทักษิณวาดฝันไว้ ผมว่าป่านนี้เศรษฐกิจไทยมีหวังทรุดไปนานแล้ว เพราะกำลังซื้อในประเทศหดตัวค่อนข้างรุนแรง
การแก้ปัญหาวิกฤติของชาติตามขั้นตอนรัฐธรรมนูญ ท่ามกลางความดื้อรั้นเกาะกุมอำนาจของฝ่ายต่างๆ ผมยังอยากเห็น ศาลยุติธรรม เร่งสนอง พระราชดำรัส ให้ศาลเป็นผู้แก้ปัญหา ด้วยการเร่งพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับการเมืองยุ่งๆในปัจจุบัน และพิพากษาให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว จะได้ช่วยทะลวงทางตันทั้งหลายให้ หายตันเสียที
ความยุติธรรมและประโยชน์ของชาติต้องมาก่อน กฎหมายต่างๆ เป็นเพียงเครื่องมือที่จะนำไปสู่ความยุติธรรมและปกป้องผลประโยชน์ของชาติเท่านั้น
วันนี้อำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติ แก้ปัญหาของชาติไม่ได้แล้ว ก็เหลือเพียง อำนาจตุลาการ อำนาจเดียวเท่านั้น จะต้องแก้ปัญหาของชาติให้สำเร็จ ไม่อย่างนั้นชาติพังแน่นอน. ลม เปลี่ยนทิศ
http://www.thairath.co.th/news.php?section=society03&content=11423