ภาระกิจ ครั้งนี้ โดย ท่านสุภาพสตรีเหล่านี้ ประกายดาวขอคารวะหวังว่าคงไม่มี คำพูดแบบ ไร้วิจารณญาณ จาก ภาวะไร้สติตามรู้ จาก คุณทักษิณ ให้ได้ยินกันอีกนะคะ
อ่าน เปลวสีเงินวันนี้ กันหรือยังคะ 
เปลวสีเงิน
ถึงคราว'แผ่นดินที่สิ้นชาย'4 กรกฎาคม 2549 กองบรรณาธิการ
สงสัยผมนี่คงถึงคราวซะแล้ว เมื่อวานนั่งจิ้มคอมพิวเตอร์คุยกับท่านทางตัวหนังสือกำลังได้ที่
จู่ๆ เก้าอี้ก็หักโครม ทำเอาหงายท้อง-หงายไส้ เค้เก้ลงไปหงายเก๋งอยู่กะพื้นชนิด "ไม่มีท่า"
แบบนี้เขาบอกว่า "เป็นลางร้าย"
ก็คงจะร้ายจริงๆ ด้วยแหละ เพราะรุ่งขึ้นเห็นผลทันตาคือ "เอวเดี้ยง"!
เคราะห์ดีที่ผมพอมีวิทยายุทธอยู่บ้าง จึงใช้กระบวนท่า "บินบก" ในลีลานกนางแอ่นถลาลม
ค่อยๆ ดึงลมปราณไปกรุยจุดหยิม จุดต๊ก
เออ..ค่อยยังชั่ว!
แต่คนที่อาการ "ค่อยยังชั่ว" ชนิดคู่ควรแก่การดีใจจริงๆ คือ อาการป่วยของ "คุณครูจูหลิง ปงกันมูล"
วานซืนนี้
ท่านรองศาสตราจารย์นายแพทย์สุเมธ พีรวุฒิ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ แถลงใจความว่า
"ขณะนี้ครูจูหลิงอาการเริ่มดีขึ้น สามารถรับอาหารทางสายยางได้เกือบเป็นปกติ ถือเป็นสัญญาณที่ดี
ส่วนอาการอื่นยังอยู่ในภาวะทรง เช่น สัญญาณชีพที่การเต้นของหัวใจ และความดันโลหิต
อยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่มีอาการไข้แทรกซ้อน ยกเว้นระบบการหายใจที่ยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา"
ครับ.. นับว่าเป็นข่าวดีในรอบเดือน นับตั้งแต่ครูจูหลิงถูกนำตัวจากโรงเรียนบ้านกูจิงลือปะ นราธิวาส
มารักษาอยู่ที่โรงพยาบาลนี้ ยิ่งได้ฟังคำ "คุณคำมี ปงกันมูล" มารดาครูจูหลิงที่เฝ้าอาการลูกตลอด
๒๔ ชั่วโมงบอกด้วยแล้ว พูดได้คำเดียวว่า
"ใจภาวนาจากสารทิศ..ไม่สูญเปล่า"
คือคุณคำมีบอกผ่านนักข่าวว่า "ครูจูหลิงมีอาการน้ำตาไหลออกมาทางหางตา
เมื่อทราบว่าประชาชนเป็นห่วง เข้ามาเยี่ยมและให้กำลังใจให้หายป่วยไวๆ"
ขอให้ปาฏิหาริย์มีจริงด้วยเถอะ ตอนหลังงานพระราชพิธี "ฉลองทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี"
มีข่าวว่าครูจูหลิงอาการทรุดลง!
รับอาหารทางสายยางได้น้อย
ต้องเพิ่มยาฆ่าเชื้อ
บอกตรงๆ ผมก็ทำใจ และคิดว่า ต่อไปนี้
ข่าวที่จะแถลงออกมาจากทางโรงพยาบาลคงต้องเป็นข่าวที่ไม่ทำให้หัวใจคนฟังบานแน่ๆ
แต่เมื่อท่านผู้อำนวยการบอกในอาการตรงกันข้ามเช่นนี้ ผมถือว่านี่คือ "ปาฏิหาริย์แรก"
ที่เกิดขึ้นจริง และเกิดขึ้นแล้ว!
"ปาฏิหาริย์" สำหรับคนไทย-สังคมไทย "มีจริง" เสมอครับ อย่าว่าแต่เรื่องครูจูหลิงเลย
เรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พูดถึง "คนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ" นั่นก็เช่นกัน ..อีกไม่ช้า-ไม่นาน
"ปาฏิหาริย์" จะปรากฏให้ท่านทั้งหลายได้ทัศนา!
คำว่า "ปาฏิหาริย์" นี้ต้องเข้าใจกันด้วยนะครับว่า เป็นศัพท์ "ฝ่ายคุณ" ไม่ใช่ศัพท์ "ฝ่ายโทษ"
พูดง่ายๆ-เข้าใจง่ายๆ คือ คำว่าปาฏิหาริย์ จะเป็นปรากฏการณ์ที่ถูกทำให้เกิดขึ้น
จากพลังขับดันอันบริสุทธิ์ด้วยแรงอธิษฐานใจจากมหาประชาชน กอรปด้วยเพียรปรารถนาแรงกล้า
ด้วยเหตุนี้ "ปาฏิหาริย์" อันเป็นสิ่งเกิดได้ยาก เป็นสิ่งเกิดนอกเหนือความคาดหมาย จึงเป็นปรากฏการณ์มีคุณ
เป็นการ "ให้สุข" ที่สมหวัง-ดังหวัง กับประชาชน
สุขจากปาฏิหาริย์ จึงเป็นสุขมาจาก "บารมีเทพ" เป็นส่วนใหญ่
ตรงข้ามกับคำว่า "อิทธิฤทธิ์-อิทธิเดช" มักจะเป็นปรากฏการณ์ที่ถูกทำให้เกิดขึ้นโดยอำนาจอหังการนอกธรรม
แต่มีพลังเหนืออารยะและอนารยะขัดขืนอันเป็นฝ่ายประชาชน "อิทธิฤทธิ์-อิทธิเดช" จึงให้ความรู้สึก กดทับ ข่มขู่ บังคับ ประชาชน "จำรับด้วยใจขัดขืน" สุจริตชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า เว้นแต่เจ้าอิทธิฤทธิ์-อิทธิเดช
และผู้สยบยอมเป็นบริวารเท่านั้น
เพราะฉะนั้น คำว่า "อิทธิฤทธิ์-อิทธิเดช" คืออิทธิพลที่ถูกใช้แล้วสร้าง "ทุกขุกเข็ญ" ให้อาณาประชาราษฏร์
ซึ่งเป็นทุกข์ที่มาจาก "ฤทธิ์เดชอสูร" ดังที่เรียกว่าฝ่ายมาร
เมื่อวาน มีคณะบุคคล และตัวบุคคลออกมาเคลื่อนไหวในรูปของความคิด-ความอ่าน
ในรูปของการขับเคลื่อนไปตามกระบวนการสังคมและอำนาจบ้านเมือง หลายต่อหลายคน
และหลายต่อหลายคณะบุคคล"คุณสมฤดี บุญตานนท์" ที่แฟกซ์ข้อความถึงผมนั้น ผมได้รับทราบถึง "ความเก็บกด" ในใจคุณแล้วครับ
คุณ หรือผม หรือใครๆ อีกมากมาย คงมีความรู้สึกไม่ต่างกันนักต่อคำพูดของท่านนายกฯ
ที่พูดถึงบางคนด้วยคำว่า "คนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ"
วานนี้ มีคณะบุคคลอันประกอบด้วย
ม.ร.ว.รำพิอาภา เกษมศรี คุณปราไพ ปราสาททองโอสถ คุณสุมาลี วีระไวทยะ และอีกหลายท่าน
ร่วมกันออกมาแสดงท่าทีต่อคำพูดนายกฯ ทักษิณด้วยปฏิทัศนะ
ม.ร.ว.รำพิอาภา เกษมศรี คือภริยาอดีตท่าน "ราชเลขาธิการ" ผู้ล่วงลับไปแล้ว
การที่ท่านทนนิ่งไม่ได้ และกล้าหาญประกาศตน "เป็นปฏิปักษ์ กับนายกฯ" ให้ประจักษ์ต่อสังคม เพราะ
เห็นสังคมนิ่งเฉย ด้วยจิตสำนึกกตัญญูต่อคุณแผ่นดิน จะทนเฉยตามไปด้วยต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
กับคำพูดจ้วงจาบทั้งเบื้องสูง-เบื้องต่ำ ของนายกฯ ครั้งแล้ว-ครั้งเล่า
ผมอยากให้ท่านสังเกตกันไว้
เพราะจะมีประโยชน์ต่อการศึกษาและการเห็นในเหตุการณ์ข้างหน้าต่อไป คือผมอยากให้สังเกตว่า
ครั้งนี้ "สุภาพสตรี" คือผู้หญิง เป็นหน่วยแรกของสังคมไทยที่กล้า "ก้าวจากแถว"
คนนับล้านๆ ออกมายืน "ตั้งแถวใหม่" ด้วยสุภาพสตรีสูงศักดิ์ล้วน ๕-๖ ท่าน
ประกาศตนเป็น "ศัตรูกับความคิดทักษิณ"
ความคิดจ้วงจาบด้วยคำว่า "คนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ"
ทักษิณมีความ "กล้า" ที่จะพูดกระแทกแดกดันถึง
แต่ทักษิณ "ไม่กล้า" ที่จะชี้หน้าบอกตรงๆ ว่า..ที่ข้าพูดหมายถึงเอ็งนั่นแหละ!
และวันนี้ ในสังคมสยบยอม มีปรากฏการณ์ "สุภาพตรี" ประกาศตนเป็นปฏิปักษ์ต่อ "อำนาจจาบจ้วง"
ชนิดตาต่อตา-ฟันต่อฟันให้ปรากฏ
อาจมีผู้ถามย้ำว่า "แล้วให้สังเกตอะไร?"
ก็ให้สังเกตว่ายุคนี้ "ผู้หญิง" อาจหาญ น่าที่ "ผู้ชาย" จะไปกราบชายกระโปรงน่ะซี!
แต่ถ้าศึกษาประวัติศาสตร์ไทยเรื่อยมาก็จะเห็นว่า ในภาวะวิกฤติคับขันของบ้านของเมือง "ผู้หญิง"
จะเป็นฝ่าย "ยอมตาย" เพื่อชาติก่อนเสมอ
อย่างเช่น "สมเด็จพระสุริโยทัย" เป็นต้น
สมเด็จย่าโม ที่โคราชก็ดี ท่านท้าวเทพกระษัตรี ท่านท้าวศรีสุนทร ที่ภูเก็ตก็ดี
ล้วนแล้วแต่ "วีรสตรี" อาจหาญ อาสานำหน้า "ท่านชายกระเบนเหน็บ" ทั้งสิ้น!
แต่ก็ใช่ว่า "แผ่นดินนี้สิ้นชาย" นะครับ ท่ามกลางสุภาพสตรีที่ประกาศตนต้านทักษิณเป็นแบบอย่าง
ก็ยังมี "ชายชาตรี" กู้หน้าชายไว้ได้ยามนี้ อย่างน้อยก็ ๑ รายแล้วละครับ คือ
ท่าน ส.ว.สมัคร สุนทรเวช!
เพราะท่านก็เป็น "ตัวของท่าน" เมื่อเห็นด้วยกับคำว่า "คนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ"
ท่านก็ประกาศตัวเป็นแนวร่วมทักษิณทันที และในฐานะเจ้าของคำพูด "ฤาษีแปลงสาร-ปุโรหิตแปลงสาร"
มาก่อน จึงขานรับเสียงหวานจ๋อยว่า
"ไอ้ความขุ่นมัวทางการเมือง นายกฯ ก็พยายามที่จะแหวกอะไรให้มันใส ให้เห็นหน่อย
นายกฯ ก็ใช้ถ้อยคำซึ่งผมก็ไม่รู้ใครไปบอกให้ใช้อย่างนั้น แต่มันเป็นถ้อยคำที่เก๋มาก "
มีคนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ" เป็นคำที่ใช้ได้เหมาะสมกับจังหวะจะโคนดี..."
และตอนท้ายท่านยัง "เสริมความ-เสริมทักษิณ" ให้หนักแน่นขึ้นไปอีกว่า "
อะไรที่คนอยู่ข้างบนไม่เคยได้ยินก็จะต้องได้ยิน อะไรที่ไม่เคยได้รู้เลยต้องรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
หมากที่เดินตัวนี้ไป ผมจะบอกว่ามีคนดิ้นรนกระวนกระวาย บอกว่าจะมีคนที่เดือดร้อนนั้น
ผมว่าไม่ แต่ผมว่ามันจะคลี่คลายทุกอย่างหมด และคนที่ดำเนินการอยู่ ต้องหด"
เมื่อพูดถึง "ชายชาตรี" สไตล์สมัคร ก็ต้องบอกว่า ใช่ว่าสิ้นสมัคร-ก็สิ้นชายชาตรี ยังมีอยู่อีกเหมือนกัน
แต่เป็นคนละสไตล์ นั่นคือ
ชายชาตรีสไตล์ "สนธิ ลิ้มทองกุล"
เมื่อวาน ไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งความจับ พ.ต.ท.ทักษิณฐานทำผิดตาม ป.วิ.อาญา
มาตรา ๑๕๗ เป็นเจ้าพนักงานรู้ว่า "มีคนมากบารมีนอกรัฐธรรมนูญ" เข้ามาวุ่นวายในองค์กรรัฐธรรมนูญ
แต่กลับละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
นึกๆ แล้วก็ต้องขอบคุณ "คุณสนธิ ลิ้มทองกุล" กับคณะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ถ้าไม่มีชายชาตรีกลุ่มนี้ไว้ประดับ "วงการชาย" ของประเทศประชาธิปไตยไทยแล้วละก็
ป่านนี้ประเทศไทยเสร็จ "วงการชาย" ของไทยระบอบทักษิณไปนานแล้ว!
พระท่านว่า "ให้มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน" คุณสนธิกับคณะจงเฝ้าปัจจุบันนี้ไว้ให้ข้อตึงเถอะ ถ้าปัจจุบัน-คือวันนี้
"เสร็จเขา" อนาคตเราก็...รับจ้างเข็นกระเป๋าสนามบินสุวรรณภูมิ..แหงๆ!.
