ข้อหาละเว้นปราบปรามทุจริตในวงราชการ อุ้มอดีตรองอธ.บังคับคดี-ชี้ความผิดร้ายแรงกว่า "สมัคร" จัดชิมไปบ่นไป
รอง ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 7 บี้ ป.ป.ช.เร่งสรุปข้อร้องเรียนสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ สมัยเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม ข้อหาละเว้นปราบปรามการทุจริต-ช่วยคนผิดทุจริตในหน้าที่ ชี้คดีนี้ร้ายแรงกว่ากรณีอดีตนายกฯ จัดรายการชิมไปบ่นไป เพราะเป็นเรื่องข้าราชการไม่จริงใจปราบทุจริตในวงราชการ ด้าน กรรมการ ป.ป.ช. เผยสรุปคดีได้เร็วๆ นี้
นายกรัฐมนตรีกำลังเผชิญการตรวจสอบความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐละเว้นปฏิบัติหน้าที่ไม่ปราบปรามทุจริตในวงราชการ โดยวานนี้ (25 ก.ย.) นายชำนาญ ระวิวรรณพงษ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค 7 เปิดเผยว่า เมื่อปี 2543 เขาได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้สอบสวนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม (ตำแหน่งในขณะนั้น) กรณีที่นายสมชาย ตั้งกรรมการสอบวินัยเขา อันสืบเนื่องมาจากการที่เขาเป็นผู้ร้องเรียนความไม่ชอบมาพากลกรณีที่กรม บังคับคดี ไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมขายทอดตลาดทรัพย์ ตามคำพิพากษาศาลจังหวัดธัญบุรี ทำให้ราชการได้รับความเสียหาย
" เรื่องนี้ ป.ป.ช.ได้ชี้มูลว่า นายมานิตย์ สุธาพร รองอธิบดีกรมบังคับคดี ในขณะนั้น มีความผิดและต่อมากระทรวงยุติธรรม ได้มีคำสั่งให้นายมานิตย์ ออกจากราชการ แต่สำหรับผมซึ่งเป็นผู้ร้องให้มีการสอบสวนการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กลับโดนนายสมชาย สั่งตั้งกรรมการสอบสวนวินัย ถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก คนที่ปกป้องประโยชน์ของทางราชการ กลับโดนตั้งกรรมการสอบวินัย"
รอง ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 7 เปิดเผยด้วยว่า คดีนี้มีความผิดร้ายแรงยิ่งกว่าคดีที่อดีตนายกรัฐมนตรี นายสมัคร สุนทรเวช โดนตัดสินว่าขาดคุณสมบัติเพราะจัดรายการชิมไปบ่นไป เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการปกป้องคนที่กระทำผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ในวง ราชการ ซึ่งเขาทราบว่าในส่วนที่เป็นข้าราชการพลเรือนคือนายมานิตย์ กฎหมายให้ลงโทษไล่ออก ปลดออก แต่สำหรับอธิบดีซึ่งเป็นตุลาการ คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) กำลังตั้งกรรมการสอบสวนอดีตอธิบดีกรมบังคับคดี คนดังกล่าว
นาย ชำนาญ กล่าวว่า หากป.ป.ช.ชี้มูลว่านายสมชาย มีความผิดจะต้องขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพราะตามกฎหมายแล้วให้ถือตามช่วงเวลาที่มีการชี้มูล ซึ่งตอนนี้นายสมชาย เป็นรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน เป็นนายกรัฐมนตรี แม้ตอนที่กระทำความผิดเป็นข้าราชการ แต่ในช่วงที่มีการชี้มูล นายสมชาย เป็นนักการเมือง จึงจะต้องขึ้นศาลฎีกานักการเมือง
" คดีนี้เป็นเรื่องข้าราชการระดับปลัดกระทรวง ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ปราบปรามขบวนการทุจริตคอร์รัปชันในวงราชการ ซึ่งถือเป็นปัญหาการขาดคุณธรรมและจริยธรรมที่ข้าราชการจะต้องมี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี"
เปิดกฎหมาย ป.ป.ช.-รธน.ฟันอาญานายกฯทั้ง นี้ มาตรา 66 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ระบุว่า ในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีเหตุอันควรสงสัยหรือมีผู้กล่าวหาว่าผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือข้าราชการการเมืองอื่น ร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงโดยเร็ว เว้นแต่ในกรณีที่ผู้กล่าวหามิใช่ผู้เสียหาย และคำกล่าวหาไม่ระบุพยานหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงต่อ ไปได้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะไม่ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงก็ได้
นอก จากนั้น รัฐธรรมนูญ มาตรา 272 วรรคสี่ บัญญัติว่า ถ้าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการเท่าที่มีอยู่ ว่าข้อกล่าวหาใดมีมูลนับแต่วันดังกล่าวผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ ถูกกล่าวหาจะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปมิได้จนกว่าวุฒิสภาจะมีมติ และให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ส่งรายงานไปยังประธานวุฒิสภาเพื่อดำเนินการตามมาตรา 273 และอัยการสูงสุด เพื่อฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่ง แต่หากเห็นว่าไม่มีมูลให้ข้อกล่าวหานั้นตกไป
ป.ป.ช.เผยเตรียมจะสรุปสำนวนเร็วๆ นี้ขณะ ที่ นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการป.ป.ช. ในฐานะเจ้าของสำนวนคดีร้องเรียนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ปฏิบัติหน้าที่มิชอบเพราะตั้งกรรมการสอบวินัยนายชำนาญ ระวิวรรณพงษ์ ว่า ตั้งแต่มีการยื่นคำร้องมา ป.ป.ช.ก็ได้มีการสืบสวนสอบสวนมาเป็นระยะ เนื่องจากคดีนี้มีความเกี่ยวพันกับบุคคลป็นจำนวนมาก และมีหลายคำร้อง ป.ป.ช.จึงต้องใช้เวลา และมีการร้องเรียนเข้ามาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. หลายชุดด้วยกันจึงต้องมีการเรียกสอบเป็นช่วง ๆ
อย่าง ไรก็ตาม ขณะนี้กรรมการ ป.ป.ช.ได้ชี้มูลความผิดผู้ที่เกี่ยวข้องเรื่องนี้ไปแล้ว 2 รายคือ นายมานิตย์ สุธาพร รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และอดีตอธิบดีกรมบังคับคดี ส่วนการชี้มูลความผิด นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นั้น ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการไต่สวนข้อมูลเพิ่มเติม คาดว่าอีกไม่นานคงได้ข้อสรุป
ด้าน นายวิชา มหาคุณ กล่าวถึงกรณีเดียวกันนี้ว่า เรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบของท่านกล้านรงค์ โดยมีการสอบสวนมาเป็นระยะ ๆ แต่เท่าที่ทราบขณะนี้การสืบสวนมีความคืบหน้าไปมากแล้ว และคาดว่าจะสรุปผลคดีได้เร็วๆ นี้
ป.ป.ช.ชี้ "มานิตย์" ทำรัฐเสียหาย70ล้านผู้ สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2549 นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช. แถลงผลการประชุมว่า ได้พิจารณากรณี นายมานิตย์ สุธาพร อดีตรองอธิบดีกรมบังคับคดี ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตในการสั่งคืนเงิน 70 ล้านบาท ที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดิน 897 ล้านบาท โดยไม่ได้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีของศาลจังหวัดธัญบุรี ตามกฎหมาย จึงมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และมีมูลความผิดทางอาญา โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะทำการส่งเรื่องให้แก่ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัย พร้อมส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดฟ้องคดีต่อศาลต่อไป
ข้องใจลูกนายกฯ รวยผิดสังเกตด้าน ความคืบหน้ากรณี นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว. ระบบสรรหา ยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบทรัพย์สินของ น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคพลังประชาชน บุตรสาวนายสมชาย กรณีการไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินจากเงินกู้ยืม 100 ล้านบาท ที่กู้ยืมจากนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ นั้น
นาย วิชา กล่าวว่า ที่ประชุม ป.ป.ช. ได้รับเรื่องดังกล่าวไว้ตรวจสอบแล้ว โดยมอบให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นตามที่นายเรืองไกรร้องเรียนมา และให้รายงานกลับมายังที่ประชุม ป.ป.ช.โดยเร็ว หากพบว่ามีความผิดปกติก็จะตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาไต่สวนต่อไป
ขณะ ที่ น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีการร่ำรวยผิดปกติของนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ภริยาของนายสมชาย กล่าวถึงความคืบหน้าการไต่สวนคดีดังกล่าว ว่า มีความคืบหน้าไปมาก โดยคณะอนุกรรมการได้ขอข้อมูลทางการเงินของนางเยาวภา จากธนาคารต่างๆ มาตรวจสอบแล้วหลายบัญชี พร้อมกับสอบสวนพยานบุคคลไปแล้วหลายปาก
เบื้อง ต้นพบว่า การเคลื่อนไหวของเงินในบัญชีนางเยาวภายังเป็นปกติ ไม่มียอดบัญชีใดพุ่งผิดสังเกต ยังไม่พบว่าจะเชื่อมไปสู่การร่ำรวยผิดปกติ ส่วนกรณีบุตรทั้งสามคนของนางเยาวภามีเงินเป็นพันล้านบาท และนำไปซื้อหุ้นในบริษัท 4 แห่งนั้น คณะอนุกรรมการก็มีการตั้งข้อสงสัยเช่นกันว่า ทำไมจึงมีเงินมากมายขนาดนั้น เพราะช่วงเวลาดังกล่าวบุตรบางคนเพิ่งบรรลุนิติภาวะ บางคนกำลังศึกษาในมหาวิทยาลัย แต่มีเงินเป็นจำนวนมาก จึงต้องไต่สวนต่อไป
http://www.moj.go.th/th/cms/detail.php?id=2061