"ลากไส้ ขบวนการกบฏพันธมิตรฯ โดย คุณ Albatross
ที่มา เวบไซต์ thaifreenews
21 กันยายน 2551
ในที่สุดบริษัทใหญ่ๆ หลายบริษัท ที่มีชนักคดี ปรส.อัปยศขายชาติ มูลค่ากว่าแสนล้านบาทติดหลังอยู่ ก็เริ่มปล่อยเกาะกบฏพันธมิตรฯ หน้าทำเนียบให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวและหิวโหย เพราะคดีดังกล่าวได้หมดอายุความไปแล้ว อีกทั้งอดีตนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช หนึ่งเดียวที่เคยประกาศกร้าวว่า จะทวงเงินของแผ่นดินจากคดีนี้คืน ก็ได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้การสนับสนุนอีกต่อไป ม็อบจัดจ้างจึงลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว จนแกนนำรู้สึกวิตกกังวลอย่างหนัก
การห้อมล้อมเหล่าแกนนำ เพื่อป้องกันการบุกจับของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงกลายเป็นหน้าที่หลักของเหล่าสาวก สันติอโศก ของนายรักษ์ รักพงศ์ หรือ โพธิรักษ์ ซึ่งไม่เคยลดจำนวนลงเลย
สันติอโศกคือใคร ทำไมจึงยอมปกป้องแกนนำกบฏพันธมิตรฯ โดยไม่สนใจสินจ้างรางวัล และถวายชีวิตให้ได้ถึงเพียงนี้
การขับเคลื่อนม็อบพันธมิตรฯ ตั้งแต่สมัยรัฐบาลคุณทักษิณ ชินวัตร จนถึงปัจจุบัน หลายต่อหลายครั้ง ที่มีผู้เข้าร่วมชุมนุมบางตา แค่หลักร้อยแต่สามารถทำให้เพิ่มขึ้นได้ชั่วข้ามคืน โดยกำลังเสริมจากสาวกสันติอโศก ใครคือผู้สั่งรวมพลสาวกสันติอโศก จำลอง หรือ โพธิรักษ์
ทุกๆที่ ที่ม็อบกบฏพันธมิตรฯ หยุดปักหลัก สิ่งอำนวยความสะดวกในทุกๆ ด้านที่เป็นสมบัติของ กทม.จะเข้าถึงทันที ในขณะที่ฝ่ายต่อต้าน เช่น นปก.ต้องอยู่กันอย่างทุลักทุเล ไม่เคยได้รับการเหลียวแล และถูกหมางเมิน เมื่อถูกร้องขอ เผลอเมื่อไรเป็นต้องถูกรื้อเวทีทุกครั้งไป แต่กลับนำแผงเหล็กไปกั้นการจราจรให้ทันที ถ้าเป็นม็อบกบฏพันธมิตรฯ
เป็นเพราะผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร คนของพรรคประชาธิปัตย์ เห็นด้วยกับการทำลายชาติของกบฏพันธมิตรฯ อย่างนั้นหรือ?
นักวิชาการ ตลอดจนแพทย์บางส่วน ผู้ได้รับการยกย่องจากสังคม ได้ร่วมมือกับสื่อเกือบทุกแขนง ออกมาทำลายล้างรัฐบาลที่เพิ่งเริ่มทำงานมาได้ไม่นาน เพราะรัฐบาลชั่วร้ายจนเหลือทน หรือเสียผลประโยชน์ เพราะรัฐบาลคุณสมัครฯ ประกาศสานต่อนโยบายของรัฐบาลคุณทักษิณฯ กันแน่
คนที่เข้าไปร่วมชุมนุมกับกบฏพันธมิตรฯ แน่นอนว่า ต้องมีทั้งที่ถูกจ้างมา และพลังบริสุทธิ์ แต่การที่พลังบริสุทธิ์ยอมทุ่มเทจิตวิญญาณ เข้าร่วมชุมนุมและปกป้องแกนนำด้วยชีวิต เป็นเพราะพวกเขาเชื่อในสิ่งที่สนธิฯ โกหกหรือต้องการจะปกป้องอะไรบางอย่าง ที่ตัวเองรักและเทิดทูน
แล้วเหล่าชนชั้นสูงล่ะ......ทำไมจึงไม่ชอบรัฐบาลประชาธิปไตย
เพราะเชื่อสนธิฯ หรือเห็นแก่ตัว
หลายกลุ่มที่กล่าวไว้ข้างต้น เป็นตัวอย่างกลุ่มหลักๆ ที่กำลังทำตัวเป็นศัตรูกับรัฐบาล แต่ถ้าเพ่งเล็งไปที่ม็อบกบฏพันธมิตรฯ หน้าทำเนียบ กลุ่มที่น่าที่จะนำออกมาตีแผ่ให้ประชาชนชาวประชาธิปไตยได้รับรู้มากที่สุด เพราะคนกลุ่มนี้ถือว่าเป็นกลุ่มกำลังหลักให้ม็อบพันธมิตรฯ คงรูปอยู่ได้หน้าทำเนียบดังเช่นทุกวันนี้คือ สาวกสันติอโศก จึงขอตีแผ่คนกลุ่มนี้ก่อนเป็นกลุ่มแรก ก่อนไปถึงกลุ่มอื่นๆ เป็นลำดับต่อไป
เป็นที่ทราบกันดีว่า ลัทธินอกรีตสันติอโศก ถูกจัดตั้งขึ้นโดยโพธิรักษ์ พระนอกรีต ผู้ประกาศตัวเป็นศัตรูกับมหาเถรสมาคมไทย เดิมชื่อนายมงคล รักพงษ์ (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นนาย รัก รักพงษ์)เป็นคนศรีษะเกษโดยกำเนิด มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดและมีวาจาเป็นเลิศ อดีตเป็นผู้กำกับละครเวทีมือทองทางโทรทัศน์ผู้โด่งดังเมื่อกว่า 40 ปีที่แล้ว ในช่วงที่ยังมีอาชีพเป็นผู้กำกับ นายรัก รักพงษ์ จัดว่าเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายด้วยรายได้มหาศาลที่ตัวเองสามารถหามาได้โดยง่าย จากงานในวงการบันเทิงและงานสอนหนังสือ ถึงเดือนละ 120,000 บาท ในขณะที่เงินเดือนนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นเท่ากับ 40,000 บาท
นายรัก รักพงษ์ เสพสุขอยู่บนกองเงินกองทองได้ไม่นาน ก็เกิดอาการผิดเพี้ยนทางอารมณ์อย่างรุนแรง ซึ่งอาจเกิดจากการเสพสุขจนเอียน คิดว่าความสุขที่กำลังเสพอยู่นั้นยังไม่ถึงที่สุด จึงคิดหาวิธีที่จะสามารถสร้างความสุขให้ตัวเองได้มากกว่าเดิม โดยเริ่มศึกษาวิชาไสยศาสตร์อย่างจริงจัง จนถึงขั้นงมงาย และออกมายืนยันกับสาธารณะว่า ไสยศาสตร์มีจริง และตนเองคือ ผู้ขมังเวทวิทยาคมไสยศาสตร์มนต์ดำ ฯ จึงถูกปฏิเสธจากวงการบันเทิง แต่ก็อ้างว่าตนเองเป็นผู้ละทิ้งวงการออกมาเอง
นายรักฯ ดำรงตนเป็นผู้ขมังเวทอยู่พักใหญ่ ก่อนตัดขาดจากทางโลก มาศึกษาพระธรรมได้ถึงขั้นแตกฉาน และพบว่าพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ดีกว่าไสยศาสตร์ที่เคยงมงาย จึงตัดสินใจออกบวชเป็นพระภิกษุ ภายใต้ข้อบัญญัติแห่งมหาเถรสมาคมไทย
โพธิรักษ์บวชอยู่ได้ไม่นาน ก็มีเหตุให้ต้องลาออกจากการเป็นพระภิกษุของมหาเถรสมาคม ด้วยเหตุผลที่อ้างว่า ตนและพวก ไม่สามารถปฏิบัติตามข้อบัญญัติของมหาเถรสมาคม ที่ผิดเพี้ยนไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ แต่เหตุผลที่แท้จริงคือ โพธิรักษ์ ได้อวดอุตริมนุษย์ธรรม แอบอ้างตนเป็นพระอรหันต์ และขอเทศนาสั่งสอนพุทธบริษัท แต่ถูกปฏิเสธโดยพระผู้ใหญ่ เพราะพรรษายังน้อย ทำให้ โพธิรักษ์ หันหลังให้กับมหาเถรสมาคม และประกาศลัทธิใหม่ โดยมีตัวเองเป็นเจ้าลัทธิทันที
ด้วยกิริยาสำรวมน่าเลื่อมใส และสีจีวรสีไม้กรักที่ไม่เหมือนพระภิกษุทั่วไป ประกอบกับเป็นผู้แตกฉานในพระพุทธศาสน าและมีวาจาเป็นเลิศ จึงได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากผู้เคร่งศาสนาในชนบทอย่างรวดเร็ว โพธิรักษ์จึงจัดตั้งชุมชนสันติอโศกขึ้น และขยายสาขาออกไปได้อย่างรวดเร็วในหลายจังหวัด เช่น ชุมชนปฐมอโศก จ.นครปฐม ชุมชนศรีษะอโศกที่บ้านเกิด จ.ศรีษะเกษ ชุมชนสีมาอโศก จ.นครราชสีมา เป็นต้น
โพธิรักษ์ได้เร่งเผยแผ่ลัทธิของตัวเอง ด้วยเงินจำนวนมหาศาลที่ได้จากการบริจาค โดยสร้างโรงพิมพ์ เพื่อผลิตสื่อสิ่งพิมพ์เอง สร้างห้องอัดสำเนาเทปคลาสเสท คำสอนของตัวเองออกจำหน่าย โดยใช้แรงงานของเหล่าสาวก ที่ไม่ต้องเสียเงินจ้างเลยแม้แต่สตางค์แดงเดียว คำสอนของโพธิรักษ์จึงสามารถแพร่ออกไปได้อย่างรวดเร็ว
ชุมชนสันติอโศก เป็นชุมชนของผู้ปฏิบัติธรรมที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา นักปฏิบัติธรรมในชุมชนสันติอโศกส่วนใหญ่ เป็นพวกเคร่งศาสนา และปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่แล้ว แต่เบาปัญญา เพราะการศึกษาขั้นพื้นฐานต่ำ จึงถูกชักจูงได้ง่าย และหลงเชื่ออย่างงมงาย บางคนถึงขั้นสามารถตายแทนโพธิรักษ์ได้
วิธีการชักจูงคนเหล่านี้ให้เข้ามาปฏิบัติธรรม จะใช้วิธีให้สาวกไปชักชวนคนใกล้ชิด ด้วยวิธีและคำพูดที่ได้รับการปลูกฝังเป็นเวลานาน โดยไม่รู้ตัวจากโพธิรักษ์ เรียกได้ว่า สามารถถอดคำพูดของโพธิรักษ์ออกไปได้ชนิดคำต่อคำเลยทีเดียว โดยสร้างความน่าเชื่อถือให้ชุมชน ด้วยการอ้างถึงผู้มีฐานะและชื่อเสียงที่แวะเวียนเข้ามาทำบุญว่า เป็นส่วนหนึ่งของสันติอโศก
ด้วยวาทศิลป์เดียวกันอย่างไม่ผิดเพี้ยนนี้เอง ทำให้ชุมชนสันติอโศก เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดด มีการบริหารจัดการปัจจัย 4 แบบระบอบคอมมิวนิสต์ ทุกคนในชุมชนที่กินนอนอยู่ประจำ จะร่วมกันทำงานตามความถนัด และได้รับมอบหมายด้วยความซื่อสัตย์ ผลิตผลที่ได้ทุกชนิด จะเก็บเข้าสู่ส่วนกลาง แล้วดำเนินการจัดสรรปันส่วน ตามที่แต่ละคนต้องการ แต่ด้วยเหตุที่ทุกคน ถูกปลูกฝังอย่างฝังหัวว่า ให้อยู่อย่างสมถะ ทุกคนจึงพร้อมใจกันแข่งกันเก่า(ใส่เสื้อผ้าเก่าไม่เอาของใหม่)แข่งกันอด(อาหาร) จึงไม่เคยมีปัญหาการทะเลาะเบาะแว้งกัน เรื่องการแบ่งผลประโยชน์เกิดขึ้นเลย นับว่าเป็นวิธีการบริหารจัดการที่แยบยลมาก
สำหรับสาวกที่ไม่สามารถอยู่ประจำในชุมชนได้ จะถูกขอร้องให้นำเมล็ดพันธุ์พืชติดตัวกลับไปปลูกที่บ้านตัวเองด้วย โดยหลอกว่า สำนักจะส่งสาวกไปช่วยดูแลรดน้ำใส่ปุ๋ยให้ สาวกที่นำเมล็ดพันธุ์กลับไป ไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงขอให้ช่วยปลูกในที่ดินของตัวเองให้ก่อนเท่านั้น สำหรับผลผลิตที่ได้ จะนำกลับไปบริโภคที่สำนัก แต่ในความเป็นจริงสันติอโศกไม่เคยส่งสาวกออกไปช่วยดูแลให้ตามที่ได้บอกไว้เลย โดยอ้างว่า สาวกป่วย หรือขาดกำลังคนในช่วงนั้นๆ เจ้าของที่ดินจึงต้องกลายเป็นผู้ดูแลเองทั้งหมด และยินดีส่งผลผลิตที่ได้ทั้งหมดไปให้สำนักด้วยตัวเอง เพราะคิดว่า เป็นการบำเพ็ญเพียรอย่างหนึ่ง โดยมีน้อยคนที่จะรู้สึกสงสัยในกลอุบายหลอกใช้งานในลักษณะนี้ ทำให้สันติอโศก สามารถทำกำไรจากการเปิดร้านขายผลิตผลทางการเกษตรที่มีอยู่ทั่วประเทศได้ โดยไม่ต้องลงทุนเป็นมูลค่ามหาศาล ฉะนั้นโรงทานทั้งหลายที่มีอยู่ทั่วไปของสันติอโศก ที่ทำตัวเป็นนักบุญ ชอบแจกอาหารให้คนจนกินฟรีช่วงเทศกาลต่างๆ จึงเป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อจูงใจให้คนที่หลงเชื่อเข้าไปติดบ่วงเป็นสาวกต่อไป
ผู้ที่ประสงค์จะขอบวชเป็นนักบวชในลัทธินอกรีต สันติอโศก ต้องนุ่งขาวห่มขาวเข้าไปปฏิบัติตัวตามคำสอนของโพธิรักษ์อย่างเคร่งครัด เรียกว่า "นาค" ในช่วงนี้ นาคจะถูกกลั่นแกล้งถากถางสารพัดจากนักบวชคนอื่นๆ เรียกว่า "รับน้อง" อย่างสนุกสนาน โดยอ้างว่า เป็นวิธีการพิสูจน์จิตใจว่า จะสามารถลดละกิเลสได้จริงหรือไม่ พระอุปปัชชาเถื่อนนอกรีตของลัทธินี้ คือโพธิรักษ์เพียงคนเดียว วิธีการบวชก็แสนง่าย เพียงโพธิรักษ์พอใจและได้รับความเห็นชอบจากพระนอกรีตด้วยกัน ก็จะเรียกนาคเข้าไปพบ แล้วกล่าววาจาว่า "ท่านเป็นพระภิกษุแล้ว" เท่านี้ นาค ก็จะกลายเป็นนักบวชของลัทธิที่สามารถใช้คำแทนตัวเองว่า "อาตมา" ได้ทันที ไม่ต้องมาถามความสมัครใจให้เสียเวลา ตามพระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ นับเป็นพุทธแบบเพี๊ยนๆ ตามแต่ใจจะคิดของโพธิรักษ์โดยแท้
โพธิรักษ์ดื้อแพ่ง เลี่ยงบาลี ปฏิเสธคำขอร้องของมหาเถรสมาคม ที่ขอให้โพธิรักษ์และนักบวชผู้ติดตาม ปฏิบัติให้เป็นแบบอันเดียวกันกับภิกษุอื่นๆ ด้วยการอ้างว่า ตนและพวก ได้ลาออกจากมหาเถรสมาคมแล้ว กฎของมหาเถรสมาคมจึงไม่สามารถบังคับตนและพวกได้
มหาเถรสมาคมพิจารณาเห็นว่า โพธิรักษ์กำลังสร้างอาณาจักรแห่งลัทธิใหม่ขึ้น แต่ยังคงอ้างตนว่า เป็นภิกษุในบวรพุทธศาสนา จึงได้แจ้งความดำเนินคดีกับโพธิรักษ์ จนถึงขั้นถูกจับกุมคุมขังและพ่ายแพ้คดี
โพธิรักษ์ถูกสั่งบังคับตามคำพิพากษา ห้ามเรียกตนเองว่า พระภิกษุและห้ามแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ ตั้งแต่นั้นมาโพธิรักษ์จึงบัญญัติชื่อตัวเองใหม่เป็น สมณะโพธิรักษ์ แล้วนุ่งห่มชุดแขนยาวสีไม้กรัก ทับด้วยจีวรสีขาว จนกระทั่งคดีความเริ่มส่างซาลง จึงเปลี่ยนสีจีวรกลับไปเป็นสีไม้กรักตามเดิม แต่ยังคงใส่ชุดแขนยาวสีไม้กรักไว้ด้านใน เพื่อเลี่ยงกฎหมาย
มหาจั*** เคยขอให้ พ.ต.ท.ทักษิณฯ ซึ่งกำลังมีอำนาจอยู่ในขณะนั้น ช่วยเหลือเรื่องคดีความของสมณะโพธิรักษ์ในฐานะที่ตนเองเป็นผู้มีพระคุณ เคยเป็นผู้ชักนำ พ.ต.ท.ทักษิณฯ เข้าสู่วงการการเมือง แต่กลับได้รับการปฏิเสธ สมณะโพธิรักษ์โกรธแค้น พ.ต.ท.ทักษิณฯ เป็นอันมากถึงกับเอ่ยปากออกมาว่า
ทักษิณฯ มันโอหัง ต้องเอามันลงจากบัลลังก์ให้รู้สำนึก
สาวกทุกคนของสันติอโศก ต้องทำลายพระพุทธรูปที่เคยมีไว้ในบ้านทั้งหมด และห้ามกราบไหว้ เพราะโพธิรักษ์บัญญัติไว้ว่า การกราบไหว้พระพุทธรูป เป็นความผิดเพี๊ยนของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่การกระทำของชาวพุทธ เมื่อสาวกต้องการจะระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าโดยตรง หรือนึกถึงโพธิรักษ์ก็ได้ เพราะโพธิรักษ์กับพระพุทธเจ้า ไม่แตกต่างกัน แต่เมื่อเข้าร่วมขายชาติกับม็อบกบฏพันธมิตรฯ โพธิรักษ์กลับกลืนน้ำลายตัวเองอย่างหน้าด้านๆ โดยสั่งให้สาวก นำโต๊ะหมู่บูชา อันมีพระพุทธรูปเป็นองค์ประธานตั้งไว้ในเต๊นท์ที่โพธิรักษ์ใช้เป็นที่นอน โพธิรักษ์รวมทั้งเหล่าสาวกทุกคน ล้วนกราบไหว้พระพุทธรูปองค์นั้น เฉกเช่นเดียวกันกับพุทธบริษัททั่วไป โดยให้เหตุผลว่า การกราบไหว้พระพุทธรูปเป็นการระลึกถึงพระพุทธเจ้า
ด้วยเหตุแห่งคดีความ ได้สร้างรอยแค้นที่ฝังลึกให้กับสมณะโพธิรักษ์ จนเกิดแรงอาฆาตอำนาจรัฐอย่างรุนแรง และเป็นช่องทางให้มหานอกรีต ผู้ถูกปฏิเสธจากพี่น้องร่วมสถาบัน จปร.อันทรงเกียรติ ชักจูงเข้าสู่เวทีพันธมิตรอย่างง่ายดาย และกลายเป็นกำลังหลักของพันธมิตรในวันนี้ เพื่อผลประโยชน์ของตนเองที่ จ.กาญจนบุรี และผลทางการเมืองในอนาคต
ด้วยเหตุนี้ สาวกสันติอโศกจึงกลายเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ คอยปกป้องเหล่าแกนนำกบฏพันธมิตรฯ ตามคำบัญชาของโพธิรักษ์อย่างถวายชีวิต งานทำครัว หุงหาอาหาร ตลอดจนงานกุลีภายในพื้นที่หน้าทำเนียบทุกชนิด รวมไปถึงการเก็บอุจจาระ เหล่าสาวกเหล่านี้จะยินดีทำอย่างเต็มใจ การเดินทางเข้าไปสมทบกันหน้าทำเนียบ จะถูกจัดสรรคิวโดยจำลองอย่างเป็นระบบ โดยใช้รถบรรทุกโดยสารกองทัพธรรมมูลนิธิ ที่มีอยู่จำนวนมากของสันติอโศก เป็นยานพาหนะขนสาวก เพื่อสลับสับเปลี่ยนสาวกให้มีความสดอยู่เสมอ
โพธิรักษ์จึงเปรียบเสมือนเป็นแม่ทัพกองหนุนชั้นเลิศของกบฏพันธมิตรฯ เพื่อโค่นรัฐบาลของประชาชน และล้มล้างประชาธิปไตย
โพธิรักษ์ทำไปเพื่อล้างแค้นเท่านั้นหรือ? คำตอบคือ ไม่ใช่ เป้าหมายที่แท้จริงของโพธิรักษ์คือ ต้องการประกาศให้ลัทธิของตัวเอง เป็นลัทธิที่ถูกต้องตามกฎหมาย และยึดอำนาจการปกครองหมู่สงฆ์ทั้งประเทศจากมหาเถรสมาคม
ส่วนเป้าหมายโค่นล้มรัฐบาลนั้น เป็นของกบฏจำลอง ที่ต้องการกลับมาบริหารประเทศด้วยทางลัดเท่านั้นเอง
จึงเป็นผลประโยชน์ร่วมกันบนพื้นฐานความขายชาติเยี่ยงสัตว์นรกที่ลงตัว"