ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
19-03-2024, 15:29
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  จากพ่อใหญ่ถึงราษฎร์อวุโส....ถึงการกลับมาอย่างเปรอน...คนละเรื่องเดียวกัน???? 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
จากพ่อใหญ่ถึงราษฎร์อวุโส....ถึงการกลับมาอย่างเปรอน...คนละเรื่องเดียวกัน????  (อ่าน 1306 ครั้ง)
ninja
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 50


« เมื่อ: 24-09-2008, 19:36 »

"สู่จุดเริ่มต้น"
By weerasak

 "อำนาจไม่ได้บรรจุอยู่ในอาคารสถานที่ การยึดอำนาจรัฐไม่ได้เกิดจากการยึดตัวอาคาร หากจะต้องยึดครองที่หัวใจคน"!!!

ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล สรุปได้กระชับและสามารถทำความเข้าใจนิยาม "อำนาจ" ได้ตรงจุดที่สุด เพราะอำนาจในการปกครองประเทศ แม้จะได้ฉันทานุมัติอย่างล้นหลาม แต่หากวันหนึ่งไม่สามารถยึดจิตใจ "ประชาชน" ได้ ก็ไม่มีความชอบธรรมในการบริหารประเทศอีกต่อไป

บทเรียนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีเสียงสนับสนุน 19 ล้านเสียง และ 14 ล้านเสียง สำหรับการเลือกตั้ง 2 สมัย ในปี 2544 และ 2548 ที่เบ็ดเสร็จทั้งรัฐสภาและทุน... ก็ไม่อาจกุมอำนาจไว้กับตัวเองได้

บทเรียนอย่าง คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช.หลัง การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เสียงสนับสนุนล้นหลามในการโค่นรัฐบาล อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยในประวัติศาสตร์รัฐประหารประเทศไทย...แต่ไม่นานก็ เสื่อมสลาย มิหนำซ้ำยังเกิดแรงต้านมุมกลับ ได้บทสรุปว่า "รัฐประหาร มิอาจเป็นประชาธิปไตยทางเลือกสำหรับประชาชนได้"

บทเรียนอย่าง สมัคร สุนทรเวช เป็นอีกตัวอย่างที่คลาสสิกที่สุด...
 จริง อยู่ว่า หลายครั้ง "ความไม่ชอบธรรม" ที่ประชาชน "รับรู้และเชื่อ" นั้น อาจจะไม่ใช่ "ความจริง" ทั้งหมด...ซึ่งขึ้นอยู่กับศาสตร์และศิลป์ หรือวิธีการจัดการของแต่ละผู้นำ ว่าจะสามารถครองความเป็นใหญ่ทางอุดมการณ์ (Hegemony) หรือจะเรียกให้เข้าใจง่ายขึ้นว่า..ผู้นำมีความสามารถในการทำให้ "คน" เชื่อได้หรือไม่นั่นเอง

การเมืองจึงไม่ใช่เรื่องความจริงเสมอไป....!!!
 เข้าสู่ยุค สมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ก็มิอาจหนีกฎเกณฑ์ดังกล่าว แม้ผลการสำรวจของเอแบคโพลล์ ประชาชนจะชมชอบในด้านบุคลิกภาพ ความอ่อนโยน ทำให้ประชาชนกว่า 71.5% พร้อมให้การสนับสนุน แต่หากวันหนึ่งประชาชน "เชื่อ" ว่า สมชาย วงศ์สวัสดิ์ จากบุคลิก "นอบน้อม" นั้นแท้จริง "หน่อมแน้ม".... หรืออำนาจในการบริหารประเทศแท้จริง อยู่ที่ "คนแดนไกล" และ "มาดามเรด" แรงสนับสนุนย่อมหดหายในพริบตา

ที่สำคัญคนเริ่มกำลังเชื่อเช่นนั้น!!!
 เพราะโผคณะ รัฐมนตรี ที่กำลังวุ่นอยู่วันนี้ ล้วนผ่านสายตรงจากแดนไกล แทบทั้งสิ้น...และสิ่งที่กำลังเกินขึ้น คือสูตรรัฐมนตรี "ในฝัน" ที่เขาอยากเห็นเพื่อจัดระเบียบการเมือง และยึดอำนาจไว้กับกลุ่มตัวเอง...เพื่อที่จะนำไปสู่เป้าหมาย "คดีทางการเมือง ต้องแก้ด้วยการเมือง" อย่างที่เขาให้สัมภาษณ์ไว้

หลังการก่อตั้งพรรคพลังประชาชน "พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ" คือตัวเลือกอันดับแรก ในฐานะหัวหน้าพรรค แต่เป็นเพราะ "บริวารอดีตผู้นำ" อีกนั่นแหละ ที่ "แปลงสาส์น" ทำให้ คนแดนไกล ไม่วางใจ "พ่อใหญ่" เลยตัดสินใจเลือก "ลุง" เป็นหัวหน้าพรรคแทน

ถึงกระนั้น...หลังพรรคพลังประชาชน เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล...และชัดเจนว่า "ลุง" เป็นนายกรัฐมนตรี.... "คนแดนไกล" หลังจากเคลียร์กับ "พ่อใหญ่" ลงตัวแล้วว่า "เข้าใจผิด" จึงส่งรายชื่อ พลเอกชวลิต มาร่วมทีม ครม.ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ดูแลความมั่นคง พร้อมแถมเงื่อนไข 2 คนสนิทคู่ใจ "วิชิต-ศรชัย" มาร่วมทีมรัฐบาลด้วย

"ลุงหมัก หั่น 3 รายชื่อทิ้งด้วยตัวเอง พร้อมกับประกาศจัดตั้งแก๊งของตัวเอง โดยไม่ขึ้นตรงกับคนแดนไกล"!!!

สูตร ครม.ในฝันที่เขาต้องการ "ล้มเหลว"...พร้อมกับโทษตัวเองที่ "เลือกคนผิด"

การที่ "ลุง" หลุดจากเก้าอี้นายกฯ และการพังทลายของ "แก๊งออฟโฟร์" เป็นเป้าหมายเดียวที่เขาแอบเชียร์กลุ่มพันธมิตร...และตามมาด้วยการเคลื่อน ไหวในพรรคไม่ให้กลับมานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีรอบสอง
 ดัน "น้องเขย" เสียบแทน...เปิดช่องจัดตั้งคณะรัฐมนตรีในฝัน รอบใหม่
 กลับไปสู่จุดเริ่มต้น ...สายตรงมาถึง "พ่อใหญ่" กลับมาร่วมทีมรัฐบาลอีกครั้ง !!!

พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ คือตัวแปรสำคัญในรัฐบาลนี้  ที่"คนแดนไกล"หวังจะจัดระเบียบการเมืองใหม่ ให้เป็นประโยชน์กับตัวเอง ซึ่งจะสำเร็จได้ต้องทำให้เป็น "การเมืองใหม่" ในสายตากลุ่มพันธมิตรด้วย และ "พ่อใหญ่" คือตัวเลือกให้ทำหน้าที่เชื่อมภารกิจนี้ ยิ่ง พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ มีเพื่อนสนิทเป็นถึง "ราษฎรอาวุโส" จะเป็นแรงหนุนสำคัญให้การเจรจา "ลงตัว"

เกมการต่อรองของ 2 ขั้วอำนาจ กำลังจะเริ่มขึ้น !!!
 เป้า หมายไม่ได้หยุดเพียงแค่ "รองนายกรัฐมนตรี" แต่คือตัวเลือก สำหรับหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในการสู้ศึกเลือกตั้งอีกไม่นาน ซึ่งรัฐบาลหลัง "สมชาย"...ในทางการเมืองคงหนีไม่พ้นเรื่องนิรโทษกรรมและคดีความต่างๆ
 การได้กลับมามาตุภูมิอีกครั้ง ในฐานะ "ผู้นำ" คือบันไดฝันขั้นสูงสุด

บทเรียน "เปรอง" อดีตประธานาธิบดีอาร์เจนตินา ผู้ชนะการเลือกและยึดครองหัวใจคนด้วย "ประชานิยม"...ได้สอนให้เห็นแล้วว่า แม้จะถูกทหารทำรัฐประหาร ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ แต่สุดท้ายวันที่ "เปรอง" กลับสู่ประเทศ มีประชาชนจำนวนมากรอรับที่สนามบิน และเขาก็ได้กลับมาปกครองประเทศอีกครั้ง !!!


http://newsroom.bangkokbiznews.com/comment.php?id=4299&user=weerasak

เปรอง-เอวิต้าเปรอง  ใครตายก่อนใคร แล้วตายยังไง 

 
บันทึกการเข้า
ninja
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 50


« ตอบ #1 เมื่อ: 24-09-2008, 21:55 »

ชำแหละ ครม.สมชายขี้เหร่พ่วงขี้ริ้ว! ชี้ทีมเศรษฐกิจ “ไก่รองบ่อน”

โดย ผู้จัดการออนไลน์    24 กันยายน 2551 12:22 น.


ผู้ จัดการออนไลน์ - “สุนันท์” เปรียบทีมเศรษฐกิจรัฐบาลสมชายเหมือน “ไก่รองบ่อน” สักแต่ว่าจัดคนให้นั่งเต็มจำนวนรัฐมนตรี “โอฬาร” เคยล้มเหลว ทำนายเศรษฐกิจผิดพลาดมาแล้วสมัยต้มยำกุ้ง ชี้นำทีมก็ไม่ต้องหวังที่จะเห็นแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ส่วน “สุชาติ” มาถึงปลายฝันอย่างส้มหล่น อย่างมากก็แค่นั่งระยะสั้นผลักดันโครงการตามออเดอร์นายทุนเท่านั้น
       
        คลิกที่นี่ เพื่อฟัง สุนันท์ ศรีจันทรา ชำแหละทีมเศรษฐกิจ ครม.สมชาย เย้ยฝีมือแค่ “พวกไก่รองบ่อน” 
       
       บนเวทีทำเนียบรัฐบาล ในการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ช่วงสายวันนี้(24 ก.ย.) รายการสภาท่าพระอาทิตย์ ดำเนินรายการโดย นายสำราญ รอดเพชร และนายประพันธ์ คูณมี อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยมี นายสุนันท์ ศรีจันทรา สื่อมวลชนอาวุโสและคอลัมนิสต์ชื่อดัง ซึ่งคร่ำหวอดอยู่ในวงการตลาดทุนมานานกว่า 30 ปีเป็นแขกรับเชิญได้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จากรายชื่อรัฐมนตรีที่ปรากฏผ่านสื่อในขณะนี้ว่า ภาพรวมมีอยู่สองส่วน คือ ขี้เหร่ และขี้ริ้ว ขณะที่หากมองเฉพาะทีมเศรษฐกิจซึ่ง นายโอฬาร ไชยประวัติ นักวิชาการ-นายธนาคารที่เคยมีชื่อในอดีตนั้นไม่สามารถไว้วางใจได้เลยว่าจะมี ความสามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่นำพาประเทศไปได้
       
       “ถ้าภาษานักเลงไก่ชนก็ต้องบอกว่า นี่เป็นแค่ไก่รองบ่อน” นายสุนันท์ กล่าว
       
       เขามองว่า คุณภาพของรัฐมนตรีเศรษฐกิจชุดนี้มีคุณภาพต่ำลงเรื่อยๆ หากเทียบกับชุดก่อนๆ เหมือนไม่มีตัวบุคคลที่จะจัดสรรให้เหมาะสมกับงาน ยิ่งภาวะเศรษฐกิจของประเทศกำลังถูกกลุ้มรุมจากมรสุมทุกทิศทุกทาง เจอปัจจัยหนักๆ อาทิ เรื่องวิกฤตการเงินสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั่วโลก ราคาน้ำมันซึ่งเมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา(22ก.ย.) กลับมาผันผวนอีกรอบด้วยการปรับสูงขึ้นวันเดียวกว่า 16 เหรียญต่อบาร์เรล โดยหากสถานการณ์เป็นเหมือนเมื่อต้นปีที่ผ่านมาอาการของเศรษฐกิจไทยคงย่ำแย่ หนักซึ่งไม่อาจคาดหวังกับรัฐบาลชุดนี้ได้เลย
       
       สุนันท์ กล่าวอีกว่า ตามประวัติของนายโอฬารสมัยที่เป็นผู้บริหารธนาคารไทยพาณิชย์ และ ปูนซิเมนต์ไทยก็ไม่สามารถช่วยทั้งสององค์กรให้รอดพ้นจากผลกระทบวิกฤตการณ์ การเงินเมื่อปี 2540 ได้เลย เพราะประเมินสถานการณ์ผิดพลาดและมีความเชื่อมั่นที่ผิดๆ ว่าค่าเงินบาทไทยจะไม่มีปัญหา
       
       “ในวงการการเงินการธนาคารขณะนั้น ต่างทราบกันดีถึงวีรกรรมของนายโอฬาร โดยต่อมานายโอฬารก็หายตัวไปจากวงการ ไปโผล่มาอีกทีก็กลายเป็นคนที่อยู่ข้าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รับใช้ระบอบทักษิณแล้ว” นายสุนันท์ กล่าว
       
       ด้านกระทรวงเศรษฐกิจอื่นๆ นายสุนันท์ เห็นว่า คงทำได้แค่เข้ามานั่งทำงานระยะเวลาสั้นๆ โดยจะสิ้นอายุขัยตามกระบวนการยุติธรรมไปเองเพราะคดีต่างๆ มีมากมาย ส่วนกระทรวงการคลังก็ได้นักวิชาการที่หมดความน่าเชื่อถือเพราะเลือกข้างมา นานแล้ว เพียงแต่ไม่เปิดเผยตัวเองว่าเป็นคนในระบอบทักษิณ การมานั่งเก้าอี้ขุนคลังของนายสุชาติก็เป็นแค่การจัดคนมานั่งให้เต็ม
       
       “รมว.คลังถือว่าเป็นผู้นำกระทรวงเศรษฐกิจทั้งหมด ผลงานและความสามารถอย่างนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช ซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรีช่วยทดลองงานมาระยะหนึ่งแต่ไม่มีงานอะไรออกมาเลยย่อมชี้ ให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นคนอย่างไร นอกจากเก่งแค่พูด นายสุชาติก็เหมือนนายสมชายที่มาไกลถึงปลายฝันแบบส้มหล่น ใครก็ไม่คาดคิดว่านายสุชาติจะได้เป็นรัฐมนตรีคลังซึ่งที่ทำได้ก็คงรับใช้นาย ทุน ผลักดันโครงการอะไรที่วาระของพรรคพลังประชาชนมากกว่าจะเข้ามาแก้ปัญหาประเทศ ” นายสุนันท์กล่าว

http://manager.co.th/Business/ViewNews.aspx?NewsID=9510000113203
บันทึกการเข้า
ninja
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 50


« ตอบ #2 เมื่อ: 25-09-2008, 08:23 »

วันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11156 มติชนรายวัน


พอกันที-การเมืองเก่า

โดย บุญเลิศ ช้างใหญ่



ข้อ เรียกร้อง "การเมืองใหม่" ที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจุดขึ้นภายหลังการชุมนุมที่สะพานมัฆวาน รังสรรค์เพื่อคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2550 และขับไล่รัฐบาล "สมัคร สุนทรเวช" และเริ่มส่งเสียงดังขึ้นเมื่อพามวลชนยาตราทัพเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล ณ วันนี้ วลีดังกล่าวกำลังดังกระหึ่มไปทั่วทั้งสังคม

แม้จะไม่มี รูปธรรมที่ชัดเจนจากแกนนำพันธมิตรว่า การเมืองใหม่รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร จนถูกฝ่ายตรงข้ามที่ไม่ปรารถนาดีหยิบฉวยเอาแต่เฉพาะประเด็นสัดส่วน 70/30 มาโจมตีอย่างสาดเสียเทเสีย แต่คนเหล่านี้ก็ไม่กล้าปกป้อง "การเมืองเก่า" ว่าจะเป็นหนทางนำไปสู่การพัฒนาประเทศสู่ความเจริญรุ่งเรือง แต่ละคนกอดอยู่กับความเคยชินมาแต่ดั้งเดิมว่า ประชาธิปไตยคือ การเลือกตั้ง ส.ส.โดยตรงจากประชาชนเท่านั้น ห้ามเอาจากการเลือกตั้งหรือสรรหาจากกลุ่มอาชีพต่างๆ เป็นอันขาด

ต่อ เมื่อแกนนำพันธมิตรออกมาปฏิเสธว่า 70/30 เป็นเพียงตุ๊กตา ไม่ใช่ข้อสรุปที่จะต้องยึดถือ แกนนำพันธมิตรจะระดมความคิดเห็นเพื่อฟังข้อเสนอและเมื่อตกผลึกแล้วจะเสนอต่อ สาธารณชนต่อไป นั่นแหละฝ่ายตรงข้ามถึงได้เบาเสียงแห่งการโจมตีลงไปได้บ้าง

การ พัฒนาการเมืองน่าจะเป็นสิ่งที่คนไทยต้องการเห็น ไม่ว่าจะอยู่ขั้วไหน ฝ่ายไหนก็ตาม เพราะไม่มีใครปฏิเสธว่า การที่ประเทศไทยย่ำเท้าอยู่กับที่จนประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศแซงหน้าไป แล้ว สาเหตุสำคัญประการหนึ่งมาจากปัญหาการเมืองไทย อุตส่าห์ปฏิรูปครั้งใหญ่ด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญที่เปิดรับฟังความคิดเห็นของ ประชาชนอย่างกว้างขวาง มีการเข้าร่วมของประชาชนจำนวนมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน กระทั่งได้ "รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน" ประกาศใช้วันที่ 11 ตุลาคม 2540 แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด เนื่องจากเกิดรัฐประหาร กุญแจที่ตั้งจะใช้ไขไปสู่การเมืองใหม่ถูกทุบทิ้งอย่างน่าเสียดาย

เหตุ ที่การปฏิรูปการเมืองสะดุดหยุดลงไม่ใช่เพราะพันธมิตรขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่พรรคฝ่ายค้านบอยคอตการเลือกตั้ง แต่เป็นเพราะตัวนักการเมืองโดยเฉพาะผู้ปกครองที่มีอำนาจไม่รักษาคำพูดที่ว่า "รวยแล้วไม่โกง" เมื่อมีอำนาจก็พยายามจะรักษาอำนาจไว้กับตนเองและพวกพ้องให้นานที่สุด ใครแสดงความคิดเห็นที่กระทบมาถึงก็จะตอบโต้และตามมาด้วยการแจ้งความ ฟ้องร้องข้อหาหมิ่นประมาท พร้อมกับเรียกค่าเสียหายเป็นร้อยเป็นพันล้านบาท

ตัว นักการเมืองที่เหลิงอำนาจและใช้อำนาจไปในทางมิชอบต่างหากคือรากเหง้าของ ปัญหาการเมืองที่รัฐธรรมนูญแม้จะเขียนดีเพียงไรก็ไม่สามารถขุดทิ้งได้

โครง สร้างทางการเมืองแบบรัฐสภาซึ่งค่อยๆ พัฒนาจากจุดเริ่มต้นที่คณะราษฎรตั้งใจจะให้เป็นมาจนถึงปี 2549 ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2540 กำหนดให้มี ส.ส. 500 คน แบ่งเป็น ส.ส.เขต เขตละ 1 คน รวม 400 เขต 400 คน อีก 100 คนเป็นระบบบัญชีรายชื่อ นี่คือสภาผู้แทนราษฎร ส่วน ส.ว.ให้มี 200 คน ให้มาจากการเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด

การได้ตัวแทนประชาชนโดยผ่านการ เลือกตั้งไปเป็น ส.ส. และ ส.ว.มันควรจะดีและการเมืองถึงเวลาจะพัฒนาไปเสียที ถ้าหากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ระบบการศึกษา สื่อสารมวลชน องค์กรภาคเอกชน ฯลฯ ได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์และที่สำคัญเหนืออื่นใด นักการเมืองและพรรคการเมืองเกิดความสำนึกในความเสียสละ เคารพในกฎกติกา มีความละอายต่อการทำชั่ว ฯลฯ ในความจริงหาได้เป็นเช่นนั้น

ไม่ว่าจะ เลือกตั้งกี่ยุคกี่สมัย ไม่ว่าจะใช้รัฐธรรมนูญฉบับใด นักการเมืองที่เสนอตัวมาให้ประชาชนเลือกโดยใส่เสื้อคลุมหลากสี มีชื่อพรรคปักอยู่ที่เสื้อ มิได้ทำตัวให้เป็นที่น่าศรัทธา มีการแบ่งเป็นกลุ่มก๊วนในพรรค หัวหน้ากลุ่มก๊วนก็จะใช้จำนวน ส.ส.ไปต่อรองเพื่อให้ได้ตำแหน่งรัฐมนตรี ครั้นได้เป็นรัฐมนตรีก็ใช่ว่าจะมีสมองในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ในส่วน ส.ส.นั้นเล่า เวลาประชุมสภาก็ไม่รู้มัวไปสันหลังยาวอยู่ที่ไหน เวลามีคนอภิปรายก็ไม่สนใจฟัง เวลาพรรคฝ่ายค้านซักฟอกรัฐมนตรี ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลก็จะลุกขึ้นประท้วงซ้ำซาก สร้างความเบื่อหน่าย น่ารำคาญให้กับผู้ที่ติดตามดูและฟังการถ่ายทอดทางโทรทัศน์และวิทยุ

การ ประชุมสภาเป็นแค่พิธีกรรมที่สักแต่กล่าวถ้อยคำ "ท่านประธานที่เคารพ ท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติ กระผมนาย.....สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรค....." แบบนกแก้วนกขุนทอง แต่พฤติกรรมของการทำหน้าที่ที่ถูกกำหนดในรัฐธรรมนูญให้ควบคุมการบริหาร ราชการแผ่นดินหาได้แสดงให้ปรากฏไม่ ตรงกันข้าม ส.ส.ที่อยู่ในพรรครัฐบาลกลับทำตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์ "นาย" หรือ "ลูกพี่" หรือ "เจ้าพ่อ" ผู้ซึ่งมีบุญคุณกับพวกตน เพราะให้เงินให้ทองใช้จ่าย เอื้อประโยชน์ในด้านอื่นๆ ไม่ได้สนใจความถูกผิด ไม่ยี่หระต่อสายตาของคนไทยที่เฝ้ามองดูด้วยความเวทนา และชวนให้สะอิดสะเอียนเวลาที่ ส.ส.พวกนี้ลุกขึ้นอภิปราย

เผด็จการทาง รัฐสภาที่เสียงข้างมากของ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลที่ใช้จำนวนมือที่มากกว่าเอาชนะ ส.ส.ฝ่ายค้านไปทุกเรื่อง ทุกกรณี ได้อุดกระชากลากถูความดีงาม ความมีเหตุมีผลลงข้างลงคูมาโดยตลอด เรื่องที่ผิด เสียงข้างมากของคนพวกนี้ก็ทำให้เป็นถูกได้ และเรื่องที่ถูกก็ใช้เสียงข้างมากทำให้เป็นผิดได้ในพริบตา จึงสมแล้วที่มีคนเรียกขานสภาพการณ์เช่นนี้ว่า "ทรราชเสียงข้างมาก"

ความ วนเวียนซ้ำซากของเสียงข้างมากในสภาที่ดีแต่พูด ดีแต่ประท้วงเพื่อปิดปากฝ่ายค้าน ดีแต่เบี้ยวการประชุม ดีแต่ใช้งบประมาณไปเที่ยวในต่างประเทศโดยอ้างว่าไปดูงาน ฯลฯ ในส่วนของคณะรัฐมนตรีที่มีแต่เจ้าพ่อ มีแต่นายทุนที่ไม่รู้จักคำว่าพอ คำว่าสุจริตไม่มีในจิตใจ มีแต่สามัญสำนึก ความรอบรู้ ความเชี่ยวชาญกลับหาไม่เจอ เมื่อถูกจับได้ไล่ทันว่าโกงกินก็แกล้งฟ้องร้องดำเนินคดีกับหนังสือพิมพ์และ ผู้ที่รู้ทัน

ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้งก็เช่นกัน ไม่ว่าจะ ส.ว.ชุดแรกที่เลือกตั้งปี 2543 ซึ่งถูกแทรกแซงจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ และ ส.ส.ที่เลือกตั้งเมื่อต้นปี 2551 มีจำนวนไม่น้อยที่ไม่กล้าเปิดเผยตัวเองว่าจะยืนอยู่ข้างไหน กำลังทำอะไรเพื่อให้เจ้าของเงินภาษีรู้สึกว่าคุ้มกับการจ่ายเป็นค่าตอบแทน

ไม่ ต้องแปลกใจว่า ทำไมทุกครั้งที่จะขึ้นเงินเดือนค่าตอบแทนให้กับ ส.ส. และ ส.ว.จึงถูกด่าถูกประณามอย่างไม่มีชิ้นดีจากสื่อมวลชนและประชาชนโดยทั่วไป

การ ให้ตัวแทนมาจากการเลือกตั้งเพื่อเป็น ส.ส. และ ส.ว.ที่ทดลองกันมาหลายปีดีดักถึงเวลาที่จะ "พอกันที" ได้แล้ว การออกแบบโครงสร้างทางการเมืองของประชาธิปไตยแบบรัฐสภาอาจจะยากและขัดต่อ ความเคยชินแบบเดิมๆ แต่ถ้าไม่กล้าคิดนอกกรอบ ไร้จินตนาการ ไม่ช่วยกันคิดค้นรูปแบบและผลักดัน "การเมืองใหม่" ให้เกิดขึ้นเพื่อแทนที่ "การเมืองน้ำเน่า" สุดท้ายประเทศชาติก็คงไปไม่รอด

หน้า 6
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act04250951&sectionid=0130&day=2008-09-25

หากสังคมไทยตกผลึกทุกปัญหา และช่วยกันผลักดันไปสู่ การเมืองใหม่
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: