ทุนนิยมล่มสลาย ถึงเวลาเศรษฐกิจพอเพียง [19 ก.ย. 51 - 16:13]
การ ล้มละลาย อย่างต่อเนื่องของ สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ นับตั้งแต่ วิกฤติซับไพร์ม เป็นต้นมา ยังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดวันจันทร์ที่ผ่านมา วาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่อันดับ 4 ของสหรัฐฯ เลห์แมน บราเธอร์ส ก็ประกาศล้มละลายไปอีกแห่งด้วยหนี้สินท่วมท้นกว่า 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
วันเดียวกัน เมอร์ริล ลินช์ โบรกเกอร์ยักษ์อันดับ 3 ในสหรัฐฯ ก็ตัดสินใจขายกิจการให้ ธนาคารแห่งอเมริกา ด้วยการแลกหุ้นมูลค่า 50,000 ล้านดอลลาร์ หลังขาดสภาพคล่องอย่างหนักจากการขาดทุนในวิกฤติซับไพร์มและตราสารหนี้
ถัดมาอีกวัน อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป หรือ AIG บริษัทประกันยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ของสหรัฐฯ มีทรัพย์สินสูงถึง 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ราว 37.4 ล้านล้านบาท มีลูกค้ากว่า 74 ล้านรายใน 130 ประเทศทั่วโลก ก็มีอาการโคม่าตามมาจน เฟด หรือ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ต้องตัดสินใจเข้าไป “อุ้ม” อีกแห่งต่อจาก แบร์ สเติร์น, อินดี้แมค, แฟนนีเมย์ และเฟรดดี้ แมค
ธนาคารกลางสหรัฐฯต้องใช้เงินถึง 85,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ราว 2.9 ล้านล้านบาท เพื่ออุ้มเอไอจีให้พ้นจากการล้มละลาย แลกกับหุ้นร้อยละ 79.9 ของเอไอจี ไล่ผู้บริหารบริษัทออกทั้งยวง ยึดอำนาจการตัดสินใจในการขายสินทรัพย์เพื่อนำเงินมาใช้หนี้ เพื่อให้เอไอจีสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ตามปกติ
ธนาคารกลางสหรัฐฯรู้ดีว่า ถ้าปล่อยให้บริษัทประกันยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งล้มละลายไปอีกแห่ง จะก่อให้เกิดผลกระทบเป็นโดมิโนอย่างมหาศาลจนคุมไม่อยู่ ทั้งกับประชาชนสหรัฐฯเองและประเทศอื่นอีก 130 ประเทศทั่วโลก เพราะเอไอจีทำทั้งธุรกิจการเงินและธุรกิจประกัน รับประกันตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันรถ เรือ บ้าน สุขภาพ ไปจนถึงเกษียณอายุ ล้มเมื่อไรมีหวังเดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า
การล่มสลายอย่างต่อเนื่องของบริษัทการเงินยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ สะท้อนให้เห็นถึง การล่มสลายของทุนนิยมเสรีสุดโต่ง ที่เกิดขึ้นในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ในยุคของ ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ผู้นำสหรัฐฯที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่งในต้นปีหน้า ซึ่ง บุช ได้ส่งออกทุนนิยมเสรีสุดโต่งนี้ไปทั่วโลก มีการ ประกาศเขตการค้าเสรีมากมาย ในช่วง 8 ปีที่เขาดำรงตำแหน่ง
โดยยึดเอา ตัวเลขความร่ำรวย และ จีดีพี เป็นสรณะ
สุดท้ายคือ ความหายนะ ที่กำลังแผ่กระจายไปทั่วโลกหลายคนบอกว่า นี่ยังเป็นช่วงต้นๆแห่งความหายนะเท่านั้น คลื่นยักษ์การเงิน และ โดมิโนแห่งความหายนะ กำลังทยอยตามมาอีกไม่รู้กี่ระลอก ถ้าสหรัฐฯไม่สามารถทำให้วิกฤติการเงินในประเทศสงบลงได้
การเร่งขยายตลาดทุนนิยมเสรี ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ของโลกที่มีฐานะยากจน วิ่งไล่ตามการเติบโตของทุนนิยมไม่ทัน ทำให้ช่องว่างคนรวยคนจนขยายตัวกว้างขึ้น คนยากจนลำบากขึ้น เพราะราคาสินค้าและบริการแพงขึ้น
ทุนนิยมเสรีสุดโต่ง ทำให้ “คนเก่ง” และ “คนโกง” เกิดขึ้นมากมาย เพราะรวยง่ายและรวยเร็ว ทำให้ผู้คนเกิดความโลภโมโทสันไปทั่วโลก ศีลธรรม คุณธรรม และจริยธรรมเสื่อมทราม “วิกฤติซับไพร์ม” ที่เป็น “จุดเริ่มต้นแห่งความหายนะ” ก็เกิดจากความโลภ “สร้างกำลังซื้อเทียม” ด้วยการปล่อยกู้ให้คนที่ไม่มีงานทำไม่มีฐานะ เอาเงินไปเก็งกำไรซื้อขายบ้าน แล้วเอาสินเชื่อบ้านเหล่านั้นไปทำเป็นตราสารหนี้ขายต่อไปอีกไม่รู้กี่ทอด สุดท้ายหมุนเงินไม่ทันก็เจ๊ง
ช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา ไทยก็เห่อทุนนิยมเสรีสุดโต่ง ผมเคยเขียนทักท้วงไม่อยากให้รัฐบาลใช้ “ตัวเลขจีดีพี” เป็นเป้าหมายบริหารประเทศ เพราะ คนที่จนและอ่อนแอกว่าไล่ตามไม่ทัน ขอให้ใช้ ความสุขของประชาชน เป็นเป้าหมาย โดยนำปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” ของ “ในหลวง” มาใช้ แต่ไม่สำเร็จ
วันนี้เมื่อทุนนิยมเสรีสุดโต่งกำลังล่มสลาย ผมคิดว่าน่าจะเป็นโอกาสดีที่ รัฐบาลใหม่ จะนำมาทบทวนกันใหม่ ทำให้คนไทยทุกคน “พอเพียง” ในการมีชีวิตอย่างมีความสุข ดีกว่าการแข่งขันกันรวยจนเกิด ความโลภ ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งสุดท้ายก็เป็นผลเสียระบบและสังคมส่วนรวมอย่างที่เห็น.
“ลม เปลี่ยนทิศ”
คอลัมน์จดหมายเหตุประเทศไทย
นสพ. ไทยรัฐ 19 ก.ย. 51 - 16:13
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
น่าจะคิดได้ตั้งนานล้วแฮะ
ผมว่านะ เอาแค่ 100 ล้าน ก็ไม่รู้จะใช้ยังไงหมดแล้ว
เอาไปทำบ้าไร ตั้ง หมื่นล้าน แสนล้าน
มีความสุขหรือเปล่าน้อ...