|
AsianNeocon
|
|
« ตอบ #51 เมื่อ: 29-09-2008, 18:20 » |
|
โสภิณ ทองปาน ลงผิดแล้ว 7 แสนล้านครับ ไม่ใช่แค่ 7 พันล้าน 7 แสนล้านนี่คงได้แค่เข้าอุ้มธนาคารไทยแค่แห่งเดียวสมัยปี 40 มั้งครับ นี่คือโฉมหน้าของ Joseph Cassano อดีตผู้บริหาร AIGFP London เมื่อ "รายงานศปร." เวอร์ชั่นอเมริกาทำเสร็จ คุก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-09-2008, 18:27 โดย AsianNeocon »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
นักปฏิวัติ
|
|
« ตอบ #53 เมื่อ: 29-09-2008, 18:57 » |
|
วันนี้ (29 ก.ย.) นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หลักทรัพย์เอเชียพลัส จำกัด (มหาชน) และนายกสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ผลกระทบความเสียหายระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จากวิกฤตซับไพร์มในอนาคตจะยังมีอีก 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเนื่องจากครั้งนี้ที่เสียหายไปแล้วกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ ถึงแม้สภาคองเกรสจะอนุมัติเงิน 7 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อเสริมสภาพคล่องให้ตลาดการเงิน แต่คงไม่เพียงพอ เพราะปัญหาซับไพรม์ ยังคงจะมีต่อเนื่องอีกเป็นปี http://www.manager.co.th/Business/ViewNews.aspx?NewsID=9510000115406ตามที่ผมเข้าใจ เหมือน ดร.ก้องเกียรติ จะบอกว่า ความเสียหายจะประมาณ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ ดังนั้นต้องใช้เงินเพื่อแก้ปัญหา ในอนาคตมากกว่าที่ สภาอนุมัติอีกอย่างน้อย 8 แสนล้านดอลลาร์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"สุดยอดกลยุทธ์ คือชนะโดยไม่ต้องรบ" ซุนวู
"ผู้นำชั้นเลิศนั้น เพียงแต่เป็นที่รับรู้ว่ามีตัวตนอยู่ ชั้นรองลงมา เป็นที่รักและสรรเสริญ ชั้นรองกว่านั้น เป็นที่เกรงกลัวและเกลียดชัง" เหล่าจื๊อ เต้าเต๋อจิง
|
|
|
|
sleepless
|
|
« ตอบ #55 เมื่อ: 29-09-2008, 19:15 » |
|
คนอเมริกันเริ่มรู้ตัวแล้วว่าคนที่ตนเองเลือกเข้าไปไม่ได้เป็นตัวแทนของตนเองอย่างแท้จริง ตนเองไม่ได้มีปากมีเสียงอะไรเลย ในสภาจะทำอะไรก็ทำ โดยไม่ต้องสนใจประชาชน แม้แต่โยนหนี้ก้อนโตให้ประชาชนต้องรับกรรมแทนนายทุนที่ล้มบนฟูก งี่เง่ามานาน คนไทยรู้มานานแล้ว คนอเมริกันเพิ่งตื่น 555
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
1ktip
|
|
« ตอบ #56 เมื่อ: 29-09-2008, 20:05 » |
|
ใครจะเชื่อ แฮมเบอร์เกอร์ กับต้มยำกุ้ง ผลิตด้วยกรรมวิธีเดียวกัน ถ้ามีนักการเมืองทุบค่าเงินด้วย จะได้รสชาติใกล้เคียงกันมาก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
AsianNeocon
|
|
« ตอบ #57 เมื่อ: 29-09-2008, 20:49 » |
|
ถ้ามะกันทุ่ม $7แสนล้านแล้วยังเอาวิกฤตไม่อยู่ .. "จีน" คือคำตอบ?!? (FRANCE 24)
อ้างถึงบทวิเคราะห์ใน Wall Street Journalขณะนี้อเมริกาเป็นหนี้ทั่วโลกอยู่ 14,000,000,000,000 ดอลล่าร์ (14 ล้านล้าน) ซึ่งใหญ่โตกว่า GDP ของอเมริกาเอง ซึ่งมีประมาณเกือบๆ 14 ล้านล้าน เหมือนกัน แต่ขณะนี้ GDP อเมริกากำลังหดตัวจากวิกฤติเศรษฐกิจ ดังนั้น GDP อเมริกาก็ไม่พอจะชดใช้หนี้ต่างประเทศของอเมริกา
อเมริกาอาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องขอรับความช่วยเหลือจาก จีน รัสเซีย อาหรับ บราซิล ญี่ปุ่น แต่จีนคือเป้าหมายอันดับหนึ่งของอเมริกาเวลานี้ ที่จะสามารถเข้าซื้อทรัพย์สินของอเมริกา เพื่อให้เงินดอลล่าร์ไหลกลับอเมริกาไปแก้วิกฤติเศรษฐกิจ แน่นอนจีนต้องการ "สิ่งตอบแทน" ไม่ใช่ช่วยฟรีๆ
รัฐมนตรีคลังของเยอรมันยังยอมรับว่า "ขณะนี้ความเป็นมหาอำนาจของอเมริกากำลังจะเสื่อมลง"
Chinese take-away Douglas Herbert
Monday 29 September 2008
Think of it as a giant Chinese take-away with more courses than you can possibly eat – and more dollars than you can possibly make sense of.
According to the Brookings institution, foreigners hold more than $14 trillion in US assets, bigger than the entire US national output. US Treasury securities – that is, government “IOU”s – account for $2.5 trillion of that total.
And if you bear with me just a little longer, and follow me down this statistical trail, we see that China holds the lion’s share of this foreign-held US debt portfolio. As of July 2008, mainland China held $518.7 billion in US Treasury bonds, more than half of its estimated $1.2 trillion in reserve assets.
So why am I wasting my time telling you all this?
The point is that foreigners – and China in particular, though also emerging markets in Mexico, Brazil and Russia as well as oil-rich states in the Middle East – are going to play a yeoman’s role in financing this bailout.
The Wall Street Journal goes so far as to say that the “success of the pending rescue of the US financial system probably depends as much on the central banks of China and the Middle East as on Congress and the Federal Reserve.”
In other words, it’s not just Main Street, USA that’s going to shoulder the costs of this bailout – but also Main Street, Beijing. Or Main Street, Moscow.
That is why the US needs to seriously woo the Chinese, Russians, Mexicans, Brazil and others if it hopes to pull off this rescue without a hitch.
As the Journal notes, the Fed and Treasury’s sales pitch on the bailout plan is aimed almost as much at China as at Congress and the American public, and at persuading them that the US economy is not about to implode.
So far, no one really seems to fear such a prospect – though there are signs of growing skittishness to invest in American financial institutions.
Kenneth Rogoff, a Harvard economist, recently wrote about the “extraordinary” resiliency of the dollar in the face of a “once-in-a-lifetime financial crisis. If the US were an emerging market country, its exchange rate would be plummeting and interest rates on government debt would be soaring. Instead, the dollar has actually strengthened modestly, while interest rates on three-month US Treasury Bills have now reached 64-year lows. It’s almost as if the more the US messes up, the more the world loves it.”
But this tough love could prove very short-lived if the bailout goes awry, especially because the credit contagion spreads quickly to other sectors of the economy as many analysts say it’s already doing.
Whatever happens, the financial balance of power in the world is undergoing a realignment as the US model of high-risk capitalism tries to cover its exposed flank. At this week’s Economic Forum in Tianjin, touted as the Chinese “Davos”, Chinese participants are making many of the Western business and financial leaders in attendance eat humble pie. In other words, they are turning tables and suggesting that the US is no longer in a position to give anyone economic lessons.
And suddenly, Washington’s power elite find themselves cast in the role of global supplicant. According to the WSJ, the Treasury is even planning a sort of "road show" for its bailout to bring the skeptics - the Chinese among them - around.
The German Finance Minister, Peer Steinbrueck, was blunt last week when he said that the US is poised to lose its superpower status in the world financial system.
The Chinese take-away from the Wall Street kitchen is about to move to the next course – and there are bound to be more guests around the table.
เวลานี้เป็น "วิกฤติ" สำหรับจีน เพราะวิกฤติอาจลามมาหาจีนได้ แต่ก็เป็น "โอกาส" ในการสร้างอิทธิพลของจีนอีกเช่นกัน
ในภาษาจีน คำว่า "วิกฤติ" มีคำว่า "โอกาส" อยู่ 危機 = วิกฤติ แต่พอแยกเป็นตัวหนังสือ 2 ตัว 危 wei =อันตราย 機 ji = โอกาส
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-09-2008, 20:53 โดย AsianNeocon »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
aiwen^mei
|
|
« ตอบ #58 เมื่อ: 29-09-2008, 21:10 » |
|
เวลานี้เป็น "วิกฤติ" สำหรับจีน เพราะวิกฤติอาจลามมาหาจีนได้ แต่ก็เป็น "โอกาส" ในการสร้างอิทธิพลของจีนอีกเช่นกัน
ในภาษาจีน คำว่า "วิกฤติ" มีคำว่า "โอกาส" อยู่ 危機 = วิกฤติ แต่พอแยกเป็นตัวหนังสือ 2 ตัว 危 wei =อันตราย 機 ji = โอกาส
ลึกซึ้งค่ะ จากคำเต็ม ๆ สองคำ 危险,机会 อาจารย์ท่านหนึ่งที่เคยเรียนด้วยบอกไว้ว่า ไมเคิลเดลล์ ก็ยกภาษาจีนคำนี้มาใช้กับธุรกิจของตน ในการเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส แต่อ่านข่าวที่ทุกท่านยกมาแล้วงงว่า นี่คือเรื่องจริงหรือ ?
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-09-2008, 21:13 โดย aiwen^mei »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jerasak
|
|
« ตอบ #59 เมื่อ: 29-09-2008, 21:22 » |
|
โสภิณ ทองปาน ลงผิดแล้ว 7 แสนล้านครับ ไม่ใช่แค่ 7 พันล้าน 7 แสนล้านนี่คงได้แค่เข้าอุ้มธนาคารไทยแค่แห่งเดียวสมัยปี 40 มั้งครับ ดูจากต้นฉบับก็ลงไว้ว่า $700 billion นะครับ สงสัยคนเขียนคงตาลายดูผิดและำจำผิด เพราะพิมพ์ว่า "7 พันล้าน" หลายแห่งทั่วบทความเลย --------------------------------------------------------------------------------------------------------------- Krugman: Cash for trashhttp://www.iht.com/articles/2008/09/22/opinion/edkrugman.phpPRINCETON, New Jersey: Some skeptics are calling Henry Paulson's $700 billion rescue plan for the U.S. financial system "cash for trash." Others are calling the proposed legislation the Authorization for Use of Financial Force, after the Authorization for Use of Military Force, the infamous bill that gave the Bush administration the green light to invade Iraq.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
= A dreamer lives for eternity.= == นักฝันมีชีวิตเพื่อนิรันดร์กาล ==
|
|
|
แอ่นแอ๊น
|
|
« ตอบ #60 เมื่อ: 30-09-2008, 00:32 » |
|
ยังไม่ทันข้ามวัน แทงหวยไม่ยักกะแม่นแบบนี้ (ทั้งๆ ที่ แทงไม่เป็น) น้ำมันกลิ้งโค่โร่ลงมาต่ำร้อยแล้วค่ะ (WTI นะคะ ดูไบต่ำร้อยมานานแล้ว) วันเดียวลงไป 7 เหรียญกว่า พอเวลาใกล้โหวต จากลบเกือบ 300 ดีขึ้นมาหน่อย เหลือ 200 หน่อยๆ (แล้วกลิ้งลงมา เกือบ 300 ใหม่ เอาใจยากจังวุ้ย ไอหยานับไปนับมา -398 แล้ว bill ไม่ผ่านได้ลงกันเละ สงสัยไม่ผ่านแหงเลย 554 แล้วยังไม่ทันแปะบอก ก็ลงไปเรื่อยๆ 579 แระ) ล่าสุดกำลังนับคะแนน ได้ 170 กว่าๆ ต่อข้างแล้ว แต่คะแนนสูสีมาก ห่างไม่ถึง 10 คะแนน ลุ้นสุดๆ 198 ต่อ 221 มิน่า ลงเละ 633 แระ (-6% แล้ว เละ) 205 ต่อ 228 เหลือแค่ 1 คะแนนยังไม่โหวต เด้งมา -502 ไม่ผ่านชัวร์แระ เด้งมาเหลือ -416 แระ น้ำมันก็ลง ตะกี้มี 97 แล้ว (-370 แระ) ตะกี้เห็นยืนอึ้งกันทั้งฟลอร์ ว่าแต่จะทำไงต่อหว่า สรุปล่าสุด ตะกี้นับผิดหรือไงไม่รู้ โหวต yea 207 nay 226 เอ๋ โหวตเสร็จแล้วมีคนขอเปลี่ยนโหวตด้วยอ่ะ ไรหว่า งง
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-09-2008, 01:09 โดย แอ่นแอ๊น »
|
บันทึกการเข้า
|
"เมื่อเจตนาเบี่ยงเบนไปจากความจริง การนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง บางทีก็เป็นเพียงภาษาสุภาพสำหรับการพูดเท็จนั่นเอง" : วิถีแห่งปราชญ์ พิมพ์ครั้งที่ ๗ หน้า ๒๐๖
|
|
|
แอ่นแอ๊น
|
|
« ตอบ #61 เมื่อ: 30-09-2008, 01:41 » |
|
เอ่อ สภาตอนนี้พี่แกล๊อคตัวไม่ให้กลับบ้านแล้ว เห็นว่าจะจับเข่าคุยแล้วอาจจะมีจุดตกลงกันให้โหวตผ่านให้ได้ ปัญหาน่าจะเพราะมีส่วนหนึ่งไม่เข้าใจผลกระทบว่า ถ้าไม่ผ่าน จะเสียหายกับคนส่วนล่าง (ที่ส่งจม มาด่า สส ว่าทำไมไปอุ้มนายแบงค์ไม่ช่วยหนี้เค้า) มากมายมหาศาลขนาดไหน แน่นอน มีการด่ากัน โทษกัน เพราะเสียงฝ่ายรัฐบาล (รีพับบลิกัน) นั่นแหละที่ไม่โหวตให้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"เมื่อเจตนาเบี่ยงเบนไปจากความจริง การนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง บางทีก็เป็นเพียงภาษาสุภาพสำหรับการพูดเท็จนั่นเอง" : วิถีแห่งปราชญ์ พิมพ์ครั้งที่ ๗ หน้า ๒๐๖
|
|
|
bangkaa
|
|
« ตอบ #62 เมื่อ: 30-09-2008, 02:37 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-09-2008, 03:02 โดย bangkaa »
|
บันทึกการเข้า
|
มาทำหน้าที่... ใช้หนี้แผ่นดิน...และมาทำบุญ...
|
|
|
แอ่นแอ๊น
|
|
« ตอบ #63 เมื่อ: 30-09-2008, 06:55 » |
|
ปิดลบไป 777 จุด -6.98% วันนรกแตก 29-30 กันยายน 2008 เป็นวันแห่งความล่มสลายของทุนนิยมโลก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"เมื่อเจตนาเบี่ยงเบนไปจากความจริง การนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง บางทีก็เป็นเพียงภาษาสุภาพสำหรับการพูดเท็จนั่นเอง" : วิถีแห่งปราชญ์ พิมพ์ครั้งที่ ๗ หน้า ๒๐๖
|
|
|
AsianNeocon
|
|
« ตอบ #64 เมื่อ: 30-09-2008, 09:00 » |
|
ขอประณามไอ้พวกคว่ำพรก. 7 แสนล้าน สงสัยไอ้พวกบ้านี่อยากตายหมู่ มัวแต่บ้ากับคำว่าไม่เป็นธรรมกับผู้เสียภาษี แต่มันก็ไม่เคยเสนอกลับเลยนะว่าจะให้แก้ปัญหายังไง จะให้ต่างชาติเข้ามาเทคโอเวอร์มันก็หาว่าชาตินิยม จะอุ้มต่อมันก็บอกไม่เป็นธรรม ถ้าเลือดไม่ไหลเวียน อวัยวะอื่นๆจะตายหมด สุดท้ายลามมาถึงตัวมันเอง ทั้งเลวทั้งโง่ ไอ้พวกนี้แหละที่เลวพอๆกับผู้ก่อการร้าย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
AsianNeocon
|
|
« ตอบ #65 เมื่อ: 30-09-2008, 09:04 » |
|
พรก.ถูกคว่ำ FED ตัดสินใจพิมพ์ $630,000,000,000 ล้านฉีดเข้าธนาคารไปแล้ว ไม่งั้นธนาคารทั่วโลกพังแน่ ที่แน่ๆ เงินดอลล่าร์อนาคตเละแน่นอน เป็นความโง่ของคองเกรส
เฮ้ย มีโหวตครั้งที่ 2 ด้วยอะ ไอ้เลวพวกนั้นมันอินไซเดอร์เปล่าวะ เมื่อวานคงไปช้อนไว้เยอะ เลวมาก
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-09-2008, 09:07 โดย AsianNeocon »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
55555
|
|
« ตอบ #66 เมื่อ: 30-09-2008, 09:16 » |
|
เฟดตัดสินใจ ปั๊ม ออกมามากขนาดนั้น....ถือเป็นการวัดดวงอย่างแรง....
ความเสี่ยงเรื่องการอ่อนค่าของดอลล่า อาจทำให้ มูลค่าสินทรัพย์ตกลงตามไปด้วย...
ความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อ อาจทำให้ ดอกเบี้ยพุ่งกระฉูด
คนที่จะเข้ามาซื้อสินทรัพย์ต่อ คงต้องประเมินกันใหม่อีกพักใหญ่ เพื่อให้นิ่ง และแน่ใจว่า มีความเสี่ยงน้อยที่สุด...
ยิ่งเนิ่นนานออกไป บรรดาหนี้เน่าทั้งหลาย จะเริ่มบวมอืดไปเรื่อย ด้วยดอกเบี้ยมหาโหด จากการเป็น NPL ....
ดูแล้วน่าปวดหัวจริง ๆ ครับ.......ผมดูแล้วหนักกว่า วิกฤติ ปี 30 ที่เกิดในอเมริกาซะอีก..
นี่ ก็ได้ข่าว ว่า หลายประเทศในยุโรป ก็เริ่ม ออกอาการแล้ว 2-3 แห่ง...ที่จำได้ ก็มีลักแซมเบิร์ก
ที่อังกฤษ ก็เป็นข่าวใหญ่ออกมาแล้ว...หืดขึ้นคอจริง ๆ ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
AsianNeocon
|
|
« ตอบ #67 เมื่อ: 30-09-2008, 09:29 » |
|
มันก็สะท้อนออกมาผ่านดัชนีหลักทรัพย์ทั่วโลกอยู่แล้วว่า ราคาสินทรัพย์ทั่วโลกจะตกต่ำลงอย่างรุนแรง แล้วจะกลายเป็น "วงจรอุบาทว์" แบ๊งก์ใหญ่ๆเจ๊ง --- เศรษฐกิจขาดสภาพคล่อง --- แห่ขายสินทรัพย์ --- ราคาตกต่ำ --- แบ๊งก์เจีง --- ขาดสภาพคล่อง ------- ไปเรื่อยๆๆๆๆๆๆๆๆ มองไม่เห็นก้นเหว
สมัยปี 40 เราที่ไปปิดสถาบันการเงิน 56 แห่ง อันนั้นคือแบบจำลองอย่างดีเลย อยู่มาวันหนึ่งมีสถาบันการเงินหายไป 56 แห่งเศรษฐกิจพังทันทีเลย แต่นี่ระดับโลกนะเนี่ย
ขนาดประธานสภา Nancy Pelosi กับ Obama ที่เป็นเดโมแครต ยังต้องเห็นด้วยกับ 7 แสนล้านเลย เพราะมันไม่มีทางเลือก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
55555
|
|
« ตอบ #68 เมื่อ: 30-09-2008, 09:55 » |
|
นั่นแหละครับ ที่ผมถึงบอกว่า หืดขึ้นคอ.....จะไปซ้าย ก็มีปัญหา ไปทางขวาก็มีอีกปัญหา...
ฟากปล่อย ให้ เจ๊ง จะทำให้ หนี้เสียพุ่งกระฉุด ด้วย อีกเหตุผลหนึ่ง....
ในบรรดา สถาบันการเงิน ที่ล้ม ถึงแม้จะมีหนี้เน่าอยู่มากก็จริง...
แต่ในนั้น ก็ยังคงมีลูกค้าที่ ดี ๆ อยู่จำนวนไม่น้อยเช่นกัน....
หากปิดลงไปแล้ว...บรรดา ลูกค้า หรือ ลูกนี้ ที่ดี ก็จะถูกตัดกระแสเงินหมุนเวียน...
การปล่อยสินเชื่อ ในสภาบันการเงินอื่น ที่ พัวพันกันอยู่ ก็จะถูกเข้มงวด
หนี้ดีจะกลาย เป็น หนี้เน่าในที่สุด....(ใครที่ทำธุรกิจ คงเข้าใจเหตุผลข้อนี้ดี)
แบบที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ ว่า เป็นการล้มแบบโดมิโน.......นั่นแหละครับ...
มันจะเริ่มลุกลามไปเรื่อย ๆ แบบ เชื้อไวรัส....เริ่มจาก อเมริกาก่อน...แล้วลาม
ไปทั่วโลก...โดยเริ่มจากสถาบันการเงิน ที่ เกี่ยวพัน กับ อเมริกา ....
โอย...ไม่อยากจะนึกถึง......
ของเรา ยังโชคดี อยู่อย่าง.........หลังจาก วิกฤติปี 40 เราได้ตั้งมาตรฐาน การจัดชั้นหนี้ไว้สูงเกินจริง...
จึงมีการกันเงินสำรองไว้มาก...ทำให้ สถาบันการเงินที่เหลืออยู่ แข็งแกร่ง....
หาก วิกฤติ ไม่รุนแรงนานเกินไป เราคงพอรับมือไหวครับ...
แต่ หากมีวิกฤติ รุนแรง เป็นระยะเวลานาน...คงไม่ไหวเหมือนกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sleepless
|
|
« ตอบ #69 เมื่อ: 30-09-2008, 10:16 » |
|
ตอนนี้เดโมแครต กับรีพับลิกันโทษกันใหญ่แล้วครับ ต่างคนต่างโทษกันว่าเป็นต้นเหตุของปัญหา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
แอ่นแอ๊น
|
|
« ตอบ #70 เมื่อ: 30-09-2008, 10:53 » |
|
ขอประณามไอ้พวกคว่ำพรก. 7 แสนล้าน สงสัยไอ้พวกบ้านี่อยากตายหมู่ มัวแต่บ้ากับคำว่าไม่เป็นธรรมกับผู้เสียภาษี แต่มันก็ไม่เคยเสนอกลับเลยนะว่าจะให้แก้ปัญหายังไง จะให้ต่างชาติเข้ามาเทคโอเวอร์มันก็หาว่าชาตินิยม จะอุ้มต่อมันก็บอกไม่เป็นธรรม ถ้าเลือดไม่ไหลเวียน อวัยวะอื่นๆจะตายหมด สุดท้ายลามมาถึงตัวมันเอง ทั้งเลวทั้งโง่ ไอ้พวกนี้แหละที่เลวพอๆกับผู้ก่อการร้าย
อย่าคิดอะไรมาก มันบอกว่า ปล่อยให้แบงค์ล้มไปดิ เรียลเซคเตอร์ไม่เกี่ยว คิดได้แค่นี้ก็รู้แล้วว่า สมองมีปัญหาแหง เห็นว่าจะแก้ไข ล๊อบบี้ (ไม่เหมือนบ้านเราเอาตังไปฟาดหัวซัก 30 ล้านขี้คร้านจะยกเป็นฝักถั่ว) โหวตอีกทีพฤหัสฯ นี้ แต่อย่างว่า ข่าวมันเน่ามาแต่เมื่อวานแล้วว่า ต่อให้ออกมาจริงๆ เมกาก็ยังมีปัญหาระยะยาว ปีหน้าเรียลเซคเตอร์กระทบ เงินครึ่งหลังยิ่งยากจะผ่านสภา คราวนี้แหละจะมีบริษัทล้ม คนตกงานอีกระเนระนาด แล้วจะรู้สึก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"เมื่อเจตนาเบี่ยงเบนไปจากความจริง การนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง บางทีก็เป็นเพียงภาษาสุภาพสำหรับการพูดเท็จนั่นเอง" : วิถีแห่งปราชญ์ พิมพ์ครั้งที่ ๗ หน้า ๒๐๖
|
|
|
BrettAnderson
|
|
« ตอบ #71 เมื่อ: 30-09-2008, 11:20 » |
|
เมื่อกี้นั่งฟังข่าวคลื่น 97 (เชียร์รัฐบาลทั้งวัน อั้ยปลื้มมาแถตอนบ่ายๆด้วย ใครสนใจก็มาฟังได้นะครับ ผมต้องทนฟังเพราะที่ทำงานรับ 92.25 กับ 90.5 ไม่ได้ T-T) มันบอกว่านายกสมชายสายลมบอกว่า วิกฤติครั้งนี้ไทยไม่เดือดร้อนมาก ไม่รับผลกระทบมาก อั้ยพิธีกรก็รับลูกบอกว่าไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่จะไม่รับผลกระทบ
...ส้นตินน่ะสิครับ... ไม่ต้องพูดเรื่องตลาดหุ้นที่ตกตามดาวโจรแน่ๆ มาดูเรื่องส่งออกกับท่องเที่ยว ที่จะส่งผลกระทบโดยตรงดีกว่า
ส่งออกไทยพึ่งตลาดหลักที่อเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น เป็นหลักแล้วถ้าทั้งสามโดนผลกระทบเต็มๆ แล้วใครจะมาออเดอร์สินค้าจากเราล่ะครับ ถ้าบริษัทที่นำเข้าสินค้าจากเราเขารับผลกระทบจนเจ๊งไปแล้ว
เรื่องท่องเที่ยวนี่ก็ลืมไปได้เลย ถ้าเขาไม่มีเงินแล้ว ใครเขาจะมาเที่ยวบ้านเราล่ะ
ผมเป็นห่วงว่า พวกฝรั่งมันจะมาเมืองไทย แต่ว่ามาแต่ตัวน่ะสิ มาแล้วมันจะมาหากินในบ้านเรา อย่างที่พวกรัสเซียมันแทบจะยึดพัทยาไปหมดแล้ว
จับตาดูรัสเซีย กับ จีน ดีๆครับงานนี้ ถ้าสองชาตินี้ไม่โดนผลกระทบ รับรองมีเฮแน่ๆ
แต่อยากบอกว่าอาหรับน่ะอย่าไปหวัง เพราะถ้าอเมริกาหมดเขี้ยวเล็บเมื่อไหร่ (ไม่มีเงินมาทำสงครามแล้ว) พวกหัวรุนแรงจะกลับมาผงาดอำนาจในดินแดนอาหรับแน่ๆ เพราะลำพังรัฐบาลง่อยของพวกชาติอย่าง ซาอุ คูเวต ยูเออี บาห์เรน อิรัก ไม่มีทางจะไปต่อกรกับพวกหัวรุนแรงอย่างอัลไกด้าแน่นอน แล้วเมื่อนั้น กลียุคจะกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้ง
อ่อ เกือบลืมอินเดียไป อย่าลืมจับตาดูสามชาตินี้ไว้ให้ดี ว่าจะเกิดผลกระทบกับวิกฤติครั้งนี้มากน้อยแค่ไหน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
AsianNeocon
|
|
« ตอบ #72 เมื่อ: 30-09-2008, 12:13 » |
|
จีน: นายกฯ Wen Jiabao ออกมายอมรับแล้วว่า ผลกระทบจะมาถึงจีนแน่ๆ แสดงถึงการออกมาตรการเตรียมพร้อม เพื่อลดแรงกระแทกเต็มที่ ตอนนี้จีนยังมี "ก๊อก 2" เพราะคนจีนมีเงินออมอยู่ แคนาดา: นายกฯ Stephen Harper แม้แคนาดาจะบอบช้ำน้อยที่สุดในบรรดาประเทศตะวันตก แต่ก็กล่าวเมื่อคืนว่า เตรียมรับวิกฤตการณ์แล้ว และขอให้ชาวแคเนเดี้ยนทุกคนเตรียมตัวเตรียมใจให้ดี
ทุกประเทศตั้งการ์ดกันหมดแล้ว น่าเป็นห่วงประเทศไทยมาก เพราะขณะนี้มีรัฐบาลก็เหมือนไม่มีรัฐบาล พายุกำลังจะมามันยังจะชกต่อยแย่งตำแหน่งกันอีก พวกนี้ไม่มีควรเป็นคนเลย แปลว่ามันมานี่ไม่ได้มีประชาชนอยู่ในสมองแม้แต่นิดเดียว
ทำนายวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจปี 51 โดย "ยูเรสโตร" ตั้งแต่ปี 2549 http://forum.serithai.net/index.php?topic=3105.0
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
see - u
|
|
« ตอบ #73 เมื่อ: 30-09-2008, 12:27 » |
|
ทุกประเทศตั้งการ์ดกันหมดแล้ว น่าเป็นห่วงประเทศไทยมาก เพราะขณะนี้มีรัฐบาลก็เหมือนไม่มีรัฐบาล พายุกำลังจะมามันยังจะชกต่อยแย่งตำแหน่งกันอีก พวกนี้ไม่มีควรเป็นคนเลย แปลว่ามันมานี่ไม่ได้มีประชาชนอยู่ในสมองแม้แต่นิดเดียว
* นี่ไงโฉมหน้าทีมเศรษฐกิของประเทศไทย ..................... !!! ฝ่าเปลวไฟ สุนันท์ ศรีจันทรา
30 กันยายน 2551 กองบรรณาธิการ
ครม.ชุดคนส่ายหน้า
รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ 1 คลอดออกมาท่ามกลางการถูกวิจารณ์อย่างรุนแรง เพราะเป็นรัฐบาลที่มีภาพของความอัปลักษณ์ และไม่ได้สร้างความคาดหวังใดๆ จากประชาชน โดยเฉพาะ ครม.ด้านเศรษฐกิจ
ทีมงานเศรษฐกิจควรเป็นจุดแข็งหรือจุดขายของรัฐบาลชุดใหม่ เพราะประเทศกำลังเผชิญเฮอริเคนลูกใหญ่จากสหรัฐ จำเป็นต้องระดมผู้ที่มีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ เพื่อรับมือผลกระทบจากภายนอกประเทศ และนำประเทศให้รอดพ้นจากวิกฤติเศรษฐกิจ
แต่ ครม.เศรษฐกิจกลับเป็นจุดที่อ่อนด้อย
ตั้งแต่หัวหน้าทีม หรือตั้งแต่ ดร.โอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี ที่ถูกตั้งให้เป็นหัวหน้าทีม และ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ดร.โอฬาร จบชีวิตความเป็นโหรเศรษฐกิจไปแล้ว ตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 เพราะทำนายและคาดหมายแนวโน้มเงินบาทผิดอย่างมหันต์ โดยยืนยันว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย จะไม่มีวันลดค่าเงินบาท เมื่อมีการประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ธนาคารไทยพาณิชย์และบริษัทในเครือ รวมทั้งบริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด จึงได้รับผลกระทบอย่างหนัก
เพราะไม่มีการประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนไว้ ต้องเกิดผลเสียหายจากการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนจำนวนมาก ทำให้ ดร.โอฬารได้รับแรงกดดัน จนต้องลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ และเข้าไปรับใช้ดูแลธุรกิจของตระกูลชินวัตร
ส่วน ดร.สุชาติ ถือเป็นรัฐมนตรีคลังมือใหม่หัดขับ ซึ่งเจ้าตัวก็รู้ขีดความสามารถของตัวเองอยู่ จึงระดมทีมที่ปรึกษาเข้ามาช่วยเสริมบารมีชุดใหญ่ รวมทั้ง ดร.วีรพงษ์ รามางกูร หรือ ดร.โกร่งด้วย แต่แม้จะมี ดร.โกร่งมาเป็นพี่เลี้ยง แต่ไม่ได้ช่วยให้ภาคธุรกิจมีความคาดหวังกับกระทรวงการคลังเท่าใด
เพราะเฮอริเคนจากสหรัฐ หรือวิกฤตการณ์สถาบันการเงินสหรัฐหนักหน่วงรุนแรง จนอาจทำให้เศรษฐกิจปั่นป่วน ระเนระนาดไปทั่วโลก และระดับความสามารถของ ครม.เศรษฐกิจชุดนี้ ต้องบอกว่าฝีมือยังห่างไกลเกินกว่าจะรับมือกับปัญหาที่กำลังพุ่งเข้าใส่ประเทศไทย
ครม.เศรษฐกิจมีฐานะเพียงไม้ประดับ และคงแก้ปัญหาอะไรไม่ได้มาก เพราะนอกจากระดับความสามารถมีขีดจำกัดแล้ว ระยะเวลาการทำงานยังสั้น จนอาจทำให้รัฐมนตรีเศรษฐกิจหลายคนทำงานในลักษณะประคับประคองตัว เพื่อไม่ต้องเปลืองตัวมากนัก ไม่ว่า ดร.โอฬาร หรือแม้ ดร.โกร่ง
จะมีรัฐมนตรีเศรษฐกิจที่แสดงบทบาทเต็มตัวอยู่เพียงคนเดียวคือ ดร.สุชาติ เพราะส้มหล่นใส่เท้าทั้งที ต้องทุ่มเทกันอย่างสุดฤทธิ์ แต่คงแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้มากนัก
เสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการภาคธุรกิจ หรือนักลงทุน ดูเหมือนจะไม่ให้เครดิตทีมเศรษฐกิจรัฐบาลสมชายแต่อย่างใด และอาจเป็นครั้งแรกเสียด้วยซ้ำที่ภาคธุรกิจเอกชน แสดงทัศนะคติออกมาในเชิงลบกับรัฐบาลสมชาย ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย เนื่องจากภาคธุรกิจจะเกรงอกเกรงใจ ไว้หน้ารัฐบาล
แต่ ครม.รัฐบาลสมชาย อัปลักษณ์จนภาคธุรกิจรักษามารยาทต่อไปไม่ไหว ออกมาวิจารณ์ตรงๆ ไม่ได้พูดเชียร์หรือสรรเสริญเยินยอทีมงานเศรษฐกิจชุดใหม่ เหมือนประเพณีที่เคยปฏิบัติกันมาก
นักธุรกิจส่วนใหญ่แทบไม่มีความคาดหวังมาตรการช่วยเหลือ หรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลนายสมชายแต่อย่างใด โดยมองว่าเป็นเพียงรัฐบาลขัดตาทัพ เข้ามาบริหารประเทศชั่วคราว และในวาระสั้นๆ ไม่ได้มุ่งมั่นการแก้วิกฤติเศรษฐกิจเป็นนโยบายสำคัญอันดับแรก
ส่วน ครม.เศรษฐกิจก็เป็น ครม.เศรษฐกิจชุดที่ใครๆ ก็ส่ายหน้า เพราะทั้งชื่อทั้งชั้น ทั้งประสบการณ์ความสามารถ ไม่สามารถเรียกความมั่นใจจากนักลงทุนได้ แม้แต่นักลงทุนในประเทศก็ตาม จึงอย่าหวังว่าจะสร้างความเชื่อมั่นจากต่างชาติ
ดร.โอฬาร ดร.โกร่ง เก่าคร่ำครึเกินไปที่จะหยิบขึ้นมาปัดฝุ่นใช้งานแล้ว และ ดร.สุชาติก็เป็นขุนคลังป้ายแดงที่ยังไม่เคยเห็นผลงานใดๆ ครม.เศรษฐกิจชุดนี้จึงไม่มีจุดขายใดๆ
นักธุรกิจและนักลงทุนจึงไม่ตั้งความคาดหวังใดจากทีมเศรษฐกิจ และถ้าเป็นไปได้ก็หวังว่าทีมเศรษฐกิจรัฐบาลสมชายจะไม่มีนโยบายหรือมาตรการใหม่ๆ ออกมามากมาย แต่เพียงแค่ทำงานประคับประคองสถานการณ์ไปเท่านั้น
เพราะกลัวกันจริง กลัวนโยบายใหม่ๆ ของ ครม.เศรษฐกิจ จะซ้ำเติมให้เศรษฐกิจเลวร้าย ซ้ำเติมภาคธุรกิจเอกชนให้ย่ำแย่หนักไปกว่าเดิม.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
" I will unforgive you to do the bad thing like this. " * The fox changes his skin but not his habits. * Superman ( It's Not Easy ) >> http://www.ijigg.com/songs/V2B7G4GPD " กฏหมายต้องเดินหน้าเอาผิดต่อคนไม่ดี ........ ไม่ใช่ปล่อยให้คนไม่ดีมากล่าวเอาโทษกฏหมาย "
|
|
|
จูล่ง_j
|
|
« ตอบ #74 เมื่อ: 30-09-2008, 13:16 » |
|
พรก.ถูกคว่ำ FED ตัดสินใจพิมพ์ $630,000,000,000 ล้านฉีดเข้าธนาคารไปแล้ว ไม่งั้นธนาคารทั่วโลกพังแน่ ที่แน่ๆ เงินดอลล่าร์อนาคตเละแน่นอน เป็นความโง่ของคองเกรส
เฮ้ย มีโหวตครั้งที่ 2 ด้วยอะ ไอ้เลวพวกนั้นมันอินไซเดอร์เปล่าวะ เมื่อวานคงไปช้อนไว้เยอะ เลวมาก
น่าสงสัยครับ เพราะการมีโหวตครั้งที่ 2 ไม่รู้งานนี้จะมีคนอเมริกาขายชาติรึเปล่า แต่อเมริกา น่าจะมีระบบ ตรวจสอบการเงิน ที่เข้มข้น ถ้ามันคำนวนว่า ดอลล่าร์จะตกวูบล่วงหน้า แล้วมันประวิงเวลา เพื่อ ขายดอลล่าร์ไปก่อน มันไม่กลัวทางการจับได้หรือ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
แอ่นแอ๊น
|
|
« ตอบ #75 เมื่อ: 30-09-2008, 13:59 » |
|
จีน: นายกฯ Wen Jiabao ออกมายอมรับแล้วว่า ผลกระทบจะมาถึงจีนแน่ๆ แสดงถึงการออกมาตรการเตรียมพร้อม เพื่อลดแรงกระแทกเต็มที่ ตอนนี้จีนยังมี "ก๊อก 2" เพราะคนจีนมีเงินออมอยู่ แคนาดา: นายกฯ Stephen Harper แม้แคนาดาจะบอบช้ำน้อยที่สุดในบรรดาประเทศตะวันตก แต่ก็กล่าวเมื่อคืนว่า เตรียมรับวิกฤตการณ์แล้ว และขอให้ชาวแคเนเดี้ยนทุกคนเตรียมตัวเตรียมใจให้ดี
ทุกประเทศตั้งการ์ดกันหมดแล้ว น่าเป็นห่วงประเทศไทยมาก เพราะขณะนี้มีรัฐบาลก็เหมือนไม่มีรัฐบาล พายุกำลังจะมามันยังจะชกต่อยแย่งตำแหน่งกันอีก พวกนี้ไม่มีควรเป็นคนเลย แปลว่ามันมานี่ไม่ได้มีประชาชนอยู่ในสมองแม้แต่นิดเดียว
ทำนายวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจปี 51 โดย "ยูเรสโตร" ตั้งแต่ปี 2549 http://forum.serithai.net/index.php?topic=3105.0
รองนายกฯ กะรมต คลัง บอกว่า ไทยไม่กระทบ ไม่เป็นไร กระทบน้อยมาก ได้ยินมันให้สัมภาษณ์ก็รู้แล้วว่า ตายแหง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"เมื่อเจตนาเบี่ยงเบนไปจากความจริง การนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง บางทีก็เป็นเพียงภาษาสุภาพสำหรับการพูดเท็จนั่นเอง" : วิถีแห่งปราชญ์ พิมพ์ครั้งที่ ๗ หน้า ๒๐๖
|
|
|
AsianNeocon
|
|
« ตอบ #76 เมื่อ: 30-09-2008, 17:04 » |
|
UPDATE: ธนาคารในเบลเยี่ยม+ลักเซมเบิร์ก ล้มเจ้าที่ 2, เพื่อนบ้านฝรั่งเศสช่วยอุ้ม!สถานการณ์ผันผวนรายชั่วโมงเลย จู่ๆธนาคารในเบลเยี่ยมกับลักเซมเบิร์กก็เจ๊งแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย 2 ประเทศเป็นประเทศเล็ก เลยต้องเรียกฝรั่งเศสที่เป็นพี่เบิ้มย่านนั้นมาช่วยกันฉีดเงินอุ้มรวมกัน 6.4 พันล้านยูโร
น่าคิด ไม่รู้มันจะมาถึงเอเชียจังๆเมื่อไร ขนาด จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ยังนั่งไม่ค่อยติด เหมือนซึนามิเลยอะ
การที่เบลเยี่ยม+ลักเซมเบิร์ก สะเทือน ถึงขนาดต้องเรียกฝรั่งเศสมาช่วย แสดงให้เห็นว่าชาติที่มีเศรษฐกิจขนาดเล็กกว่าเวลาโดนจะสะเทือนมากกว่า เช่น ประเทศไทย ต้องระวังให้ดี อย่าประมาท
เลิกหวังกะไอ้รัฐบาลโจรได้แล้วว่ามันจะมาช่วยอะไรประชาชน ป่านนี้ยังกัดกันไม่จบ Dexia secures survival with €6.4bn rescue
Dexia today became the second Belgian bank to be bailed out by authorities after Belgium, France and Luxembourg pledged to inject €6.4 billion (£5.1 billion) to keep the local government lender afloat. http://business.timesonline.co.uk/tol/business/industry_sectors/banking_and_finance/article4851187.ece
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
มารุจัง
|
|
« ตอบ #77 เมื่อ: 30-09-2008, 17:07 » |
|
เวรกรรมละคร้าบบบบ มันจะล้มกันอีกกี่ที่เนี่ย อีกกี่ประเทศ แล้วประเทศเรา ดันมามีรัฐบาลแบบนี้ในช่วงนี้ด้วย แค่คิดก็เหนื่อยแล้วค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ประชาธิปไตย มิได้จบอยู่แค่การเลือกตั้งปล.รูปจากเวบ ผจก.
|
|
|
Rule of Law
|
|
« ตอบ #78 เมื่อ: 02-10-2008, 17:07 » |
|
พวก BENELUX ประเทศมันจะมีอะไรกินกัน ยอมรับว่าชื่นชมพวกนี้อยู่มากทีเดียว เพราะประเทศแค่นั้นแต่มัน trade สารพัดอย่างเก่งมากๆจนรวยได้ ได้ยินมาว่า ดอกทิวลิป เครื่องมือหากินของ holland เดิมมาจากตุรกี....อย่าคิดอะไรมาก มันบอกว่า ปล่อยให้แบงค์ล้มไปดิ เรียลเซคเตอร์ไม่เกี่ยว คิดได้แค่นี้ก็รู้แล้วว่า สมองมีปัญหาแหง เห็นว่าจะแก้ไข ล๊อบบี้ (ไม่เหมือนบ้านเราเอาตังไปฟาดหัวซัก 30 ล้านขี้คร้านจะยกเป็นฝักถั่ว) โหวตอีกทีพฤหัสฯ นี้ แต่อย่างว่า ข่าวมันเน่ามาแต่เมื่อวานแล้วว่า ต่อให้ออกมาจริงๆ เมกาก็ยังมีปัญหาระยะยาว ปีหน้าเรียลเซคเตอร์กระทบ เงินครึ่งหลังยิ่งยากจะผ่านสภา คราวนี้แหละจะมีบริษัทล้ม คนตกงานอีกระเนระนาด แล้วจะรู้สึก เฮ่ออออ พี่น้อง ที่เดี๊ยนหายไปนานก็เพราะไอ้เรื่องโหวตบ้านี่แหละ บอกตรงๆว่าเสียหุ้นไป 2 หมื่นกว่า เบลอไปเลยทีเดียว ( ถ้าสงสารก็ปลอบใจกันมั่งนะ )
คุณแอนคิดเหมือนกันว่า congress ทำไมมันโง่ขนาดนี้ ตอนที่เดี๊ยนเก็บหุ้น ก็คิดว่ามันไม่น่าจะโง่คว่ำ พรก นี้ เลยไม่ได้เปิดจอดูหุ้นเลย มาดูอีกทีลงไป 10 step ภายในบ่ายนั้นเลย สรุปคือ กูโง่ที่สุด
แบบว่า ตลาดหุ้นไทยรู้ล่วงหน้าด้วยเนอะว่ามันจะไม่ผ่าน เค้าจะโหวตตอนกลางคืน ตอนบ่ายหุ้นกระจุยไปแล้วพรก.ถูกคว่ำ FED ตัดสินใจพิมพ์ $630,000,000,000 ล้านฉีดเข้าธนาคารไปแล้ว ไม่งั้นธนาคารทั่วโลกพังแน่ ที่แน่ๆ เงินดอลล่าร์อนาคตเละแน่นอน เป็นความโง่ของคองเกรส
เฮ้ย มีโหวตครั้งที่ 2 ด้วยอะ ไอ้เลวพวกนั้นมันอินไซเดอร์เปล่าวะ เมื่อวานคงไปช้อนไว้เยอะ เลวมาก
น่าคิดนะท่าน สังเกตจากบ่ายวันที่ 29 หุ้นไทยตกแบบตายกันไปเลย (มันรู้ก่อนได้ไง ทั้งๆที่การโหวตจะเกิดขึ้นในตอนกลางคืน)
ที่สำคัญ วันรุ่งขึ้น 30 กย ทั้ง hang seng ทั้ง SET พุ่งแบบติดจรวด ทั้งๆที่แบงค์ในยุโรปเพิ่งจะล้มไปแหม่บๆ ยังมีคนมาวิ่งไล่เก็บหุ้นกันอีก
วานพี่ท่านช่วยแจงเรื่องการโหวตครั้งที่ 2 หน่อยได้มั้ย แบบว่า งงว่ะ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-10-2008, 17:11 โดย Rule of Law »
|
บันทึกการเข้า
|
Your C.V is nothing. Your future plan...is everything.
|
|
|
|
so what?
|
|
« ตอบ #80 เมื่อ: 03-10-2008, 11:50 » |
|
ตอนนี้น่าจะเป็นช่วงเงินเริ่มไหลกลับเข้าไปซื้อของถูกในอเมริกาครับ แม้แต่ขาใหญ่แบบนายบัฟเฟตก็ออกมาช่วยแจมช้อนซื้อด้วย ดอลล่าร์เลยกลับมาแข็งค่าอีกรอบ แต่จะไปได้แค่ไหนนี่ก็ขึ้นอยู่กับว่าแผนปรส.ฉบับฝรั่งจะมีประสิทธิผลแค่ไหน คงต้องรอดูอีกซักห้าหกดือน ตอนนี้ผมดูว่าหุ้นบลูชิพของไทยกลับเริ่มดูน่าสนใจมากกว่าหุ้นฝรั่งครับ ถ้าใจเย็นเงินเย็นจริงอาจได้ซื้อที่ 400++
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Rule of Law
|
|
« ตอบ #81 เมื่อ: 03-10-2008, 19:58 » |
|
^ ^ ขอบคุณนะคะพี่น้อง สมพรปาก ส๊าธุ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-10-2008, 20:01 โดย Rule of Law »
|
บันทึกการเข้า
|
Your C.V is nothing. Your future plan...is everything.
|
|
|
AsianNeocon
|
|
« ตอบ #82 เมื่อ: 03-10-2008, 20:31 » |
|
ตอนนี้ผลกระทบเริ่มลามมาถึง ญี่ปุ่น กับ จีน แล้ว โรงงานเริ่มชะลอการสั่งวัตถุดิบ ราคาอสังหาฯลง น่ากลัวมากจริงๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
AsianNeocon
|
|
« ตอบ #83 เมื่อ: 04-10-2008, 13:33 » |
|
รัฐบาลรัฐ CALIFORNIA ขาดสภาพคล่องหนัก เตรียมกู้เงินรัฐบาลกลาง 7 พันล้านแม้สภาคองเกรส (ทั้ง ส.ส. และ ส.ว.) จะผ่านวงเงิน 7 แสนล้านไปแล้ว แต่นั่นแค่เริ่มต้นและทำให้ตลาดเสียความรู้สึก เพราะวิกฤตได้ลามไปถึงโชวห่วยอเมริกา รากหญ้า เดือนก.ย.ที่ผ่านมามีคนอเมริกันตกงานเพิ่ม 160,000 คนทั่วประเทศ
วิกฤติลามไปถึงระดับรัฐบาลท้องถิ่น เช่น Jefferson County (เปรียบเหมือนอำเภอ) ในรัฐ Alabama ขาดเงิน ไม่เงินมาจ่ายเงินเดือนข้าราชการและบำรุงท้องที่ ส่วนรัฐ California ขาดเงินอย่างหนักถึงขนาด Arnold Schwarzenegger เรียกร้องให้รัฐบาลกลางที่ DC ตั้งวงเงินฉุกเฉิน 7 พันล้าน มาสำรองเร่งด่วนไม่งั้นมลรัฐนี้จะล้มละลาย
ผู้ว่าการธนาคารกลางเฟด Ben Bernanke ใช้คำพูดสยองมาก "We will continue to use all of the powers at our disposal to mitigate credit market disruptions and to foster a strong, vibrant economy." ก็คือ จะระดมสรรพกำลังเท่าที่เรามี เพื่อบรรเทาภาวะตลาดขาดสภาพคล่อง !!!!
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-10-2008, 21:34 โดย AsianNeocon »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sleepless
|
|
« ตอบ #84 เมื่อ: 04-10-2008, 15:59 » |
|
เห็นบอกว่าจะไม่มีงบประมาณให้ตำรวจ สถิติอาชญากรรมอาจจะพุ่งสูง อะไรมันจะตกต่ำได้ขนาดนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
marrykate
|
|
« ตอบ #85 เมื่อ: 04-10-2008, 18:32 » |
|
ถ้ามี 401K อยู่ในอเมริกาตอนนี้ ควรรีบเอาออกมาไหมคะ
(ถ้าเอาออกมาตอนนี้ต้องเสียภาษีเยอะมาก)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
AsianNeocon
|
|
« ตอบ #86 เมื่อ: 04-10-2008, 19:45 » |
|
ถ้ามี 401K อยู่ในอเมริกาตอนนี้ ควรรีบเอาออกมาไหมคะ
(ถ้าเอาออกมาตอนนี้ต้องเสียภาษีเยอะมาก)
ขึ้นอยู่กับว่า ตอนเปิดบัญชี 401K เลือก plan แบบไหนแล้วไปลงทุนในสัดส่วนอะไรยังไงอะครับ ยังไงถอนตอนนี้มีแต่เสียกับเสียแหละ ทั้งภาษีบาน ราคาก็เละ อเมริกาคงไม่เจ๊งหรอกครับ ที่สุดยังไง จีน ญี่ปุ่น อาหรับ สิงคโปร์ ต้องแห่มาช่วยอุ้มแหละ เหมือนสมัยปี 41 ญี่ปุ่นต้องเข้ามาอุ้มไทย เพราะมาลงทุนในไทยไว้มาก
นึกถึงไทยสมัยหลังวิกฤตปี 40 เกิดความตื่นตระหนกแผ่ไปทั่ว ค่อยๆกลายเป็นอาการช็อคทางความรู้สึก (กูเคยรวยนี่หว่า ราคาที่ดินเคยวาละ 1 แสน เหลือวาละ 2 หมื่น หุ้นเคยราคา 100 บาทเหลือ 20) พอฝุ่นหายตลบเสร็จแล้วก็เป็นความซึมเศร้ามองไม่เห็นอนาคต เสร็จแล้วก็กลายเป็นความเคยชิน เสร็จแล้วมันก็ค่อยๆฟื้นตัวครับเห็นบอกว่าจะไม่มีงบประมาณให้ตำรวจ สถิติอาชญากรรมอาจจะพุ่งสูง อะไรมันจะตกต่ำได้ขนาดนี้
ก็คงเหมือนไทยสมัยปี 41 อะครับ แฮมเบอร์เก้อร์นี่รสจัดกว่าต้มยำกุ้งอีกนะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
55555
|
|
« ตอบ #87 เมื่อ: 04-10-2008, 20:07 » |
|
ผมว่า สาหัสแล้วครับ....
อาการแบบนี้ คงลามเข้าไปที่ real sector แล้ว จริง ๆ .....
เมื่อครั้งวิกฤติ ปี 40 ในประเทศไทย .......
ผู้ที่ได้รับ ผลกระทบโดยตรง คือ ผู้ประการธุรกิจ กับ ชนชั้นกลาง บางส่วน....
ขณะที่ ในความเป็นจริง แล้ว เกษตรกร บางส่วน กลับได้รับประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อน ทำให้ส่งออกได้ดี
ประเทศในแถบเอเซีย อยู่รอดด้วยการพึ่งพิง ทรัพยากรธรรมชาติ...
แต่ในอเมริกา...เศรษฐกิจส่วนใหญ่ พึ่งพิง นวัตรกรรมทางการเงิน....ตลาดหุ้น....และ อุตสาหกรรม...
ทรัพยากรธรรมชาติ มีน้อย.....อาจจะหยุดอาการตื่นตระหนกได้ แต่ การจะฟื้นตัว แบบ วิกฤตในเอเซียคงยากหน่อยครับ...
เราคงต้องติดตามดูครับว่า เงินที่จะเข้าไปอุด จะเป็นแหล่งไหน...ได้มาจากที่ใด....
ซึ่ง ไม่ว่า จะเป็นวิธีใด ก็จะมีผลกระทบ ทางใดทางหนึ่งทั้งสิ้น....
ถึงกระนั้น ผมคิดว่า เค้าคงตัดสินใจแล้วว่า จะไม่ปล่อยให้สถาบันการเงินล้ม...
แต่ผมยังอดคิดไม่ได้อยู่ดี...." ว่ามันจะจบจริงหรือ "........
เพราะ กว่า ข่าวจะหลุดออกมา ไม่รู้มันลามไปถึงไหนแล้ว...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
vorapoap
|
|
« ตอบ #89 เมื่อ: 04-10-2008, 22:22 » |
|
อืมมม มันจะเป็นไงต่อเนี่ย.... อยากทราบว่า แถว ตะวันออกกลางได้รับผลกระทบบ้างไหมครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
marrykate
|
|
« ตอบ #90 เมื่อ: 04-10-2008, 22:31 » |
|
ขึ้นอยู่กับว่า ตอนเปิดบัญชี 401K เลือก plan แบบไหนแล้วไปลงทุนในสัดส่วนอะไรยังไงอะครับ ยังไงถอนตอนนี้มีแต่เสียกับเสียแหละ ทั้งภาษีบาน ราคาก็เละ อเมริกาคงไม่เจ๊งหรอกครับ ที่สุดยังไง จีน ญี่ปุ่น อาหรับ สิงคโปร์ ต้องแห่มาช่วยอุ้มแหละ เหมือนสมัยปี 41 ญี่ปุ่นต้องเข้ามาอุ้มไทย เพราะมาลงทุนในไทยไว้มาก
ขอบคุณค่ะ plan ที่เลือกเป็น Long Term Bond กับ Blue Chip Stock แต่คิดว่าคงไม่ถอนเพราะถ้าถอนตอนนี้จะโดน tax + penalty ไปประมาณครึ่งนึง แต่ก็ต้องรออีกหลายปีเหมือนกัน กว่าจะได้เสียภาษีเรทต่ำ ยังไงจะลองวัดดวงดูสถานการณ์ไปก่อนค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Rule of Law
|
|
« ตอบ #91 เมื่อ: 04-10-2008, 22:51 » |
|
คุณ marrykate ขอเอาใจช่วยค่ะ ยังไงซะ ถ้าท่านเป็นเงินเย็น รอได้ก็รอเถอะค่ะ
--------------------------------------------------------------------
อเมริกาเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดติดต่อกันมาหลายปีแล้ว ที่มันกินใช้กันมาตลอดนี่ สงสัยเป็นเงินแขกอาหรับรึป่าวหว่า
เมื่อก่อนพูดผิดไปที่ว่าปล่อยให้ real sector มันค่อยๆฟื้นเศรษฐกิจด้วยตัวเอง ถ้ายืมเงินคนอื่นมาหมุนไปวันๆแบบนี้ ยิ่งถ้าภาคการเงินการธนาคารตายด้วยแล้ว...... สงสัยต้องเอา weapon of mass destruction ไปเลหลังขายซะล่ะมั้ง มึงเอ๊ยย งานนี้เผาจริง
อาจจะหนีไม่พ้นต้องบากหน้าเอาสมบัติไปขายถูกๆให้จีน ญี่ปุ่น แขกอาหรับ ลดการบริโภคน้ำมันลง แบงค์ดอลล่ากลายเป็นของเด็กเล่น อยู่อย่างพอเพียงซัก 4-5 ปี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
Your C.V is nothing. Your future plan...is everything.
|
|
|
TrainnerGoki
สมาชิกสามัญขั้นที่ 1
ออฟไลน์
กระทู้: 44
|
|
« ตอบ #92 เมื่อ: 04-10-2008, 22:56 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
AsianNeocon
|
|
« ตอบ #93 เมื่อ: 04-10-2008, 23:12 » |
|
สงสัยต้องเอา weapon of mass destruction ไปเลหลังขายซะล่ะมั้ง มึงเอ๊ยย งานนี้เผาจริง
อาจจะหนีไม่พ้นต้องบากหน้าเอาสมบัติไปขายถูกๆให้จีน ญี่ปุ่น แขกอาหรับ ลดการบริโภคน้ำมันลง แบงค์ดอลล่ากลายเป็นของเด็กเล่น อยู่อย่างพอเพียงซัก 4-5 ปี
ใครบอกต้องเลหลัง WMD? มีอีกหลายญัตติที่ไม่ค่อยเป็นข่าวที่ถูกบรรจุเข้าไปในวาระการประชุมเพื่อลงมติเห็นชอบครับ หนึ่งในนั้นคือ งบทหาร 600,000,000,000 ดอลล่าร์ ใหญ่ที่สุดในโลก ใหญ่มากกว่าประเทศที่เหลือในโลกรวมกัน ไอ้ที่อเมริกาเคยไปว่าจีนว่าเพิ่มงบทหาร 3 หมื่นล้านดอลล่าร์ ขี้ๆไปเลย ขนาดจีนมีกำลังคนกองทัพใหญ่กว่าอเมริกาเพราะขนาดประชากร ยังใช้แค่ 3 หมื่นล้านดอล
ทั้งนี้เนื่องมาจากอเมริกาไปติดหล่มในอิรักและอัฟกานิสถาน และเวลานี้พวก fundamentalists ยังมีอยู่ แล้วก็สามารถหาคนใหม่ๆเข้าร่วมได้เรื่อยๆ ถ้าอเมริกาตรึงกองกำลังไว้ต่อ รัฐบาลอิรักและอัฟกาที่ตั้งขึ้นมารับรองว่าล่มสลายภายในไม่กี่วัน วันนี้นายกฯแคนาดา Stephen Harper เผลอหลุดยอมรับระหว่างโต้วาที (แคนาดากำลังมีเลือกตั้งกลางเดือน ต.ค.นี้) ยอมรับว่า โชคดีที่แคนาดาไม่ได้ตัวแกเองเป็นนายกฯ ไม่งั้นป่านนี้คงติดหล่มร่วมกับอเมริกาในอิรักแล้ว เพราะสมัยนั้นแกคลั่งไคล้อเมริกามาก
แต่มองอีกมุมหนึ่ง หากอเมริกาไม่ทุ่ม 6 แสนล้าน อำนาจทางหทารที่เป็นอีกเสาหลักหนึ่งจะล่ม อเมริกาก็ไม่เหลือครับ (ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ ท่านบอกว่า อเมริกาขายอยู่ 2 อย่างคือ ดอลล่าร์ กับอาวุธ) ดังนั้นยังไงก็ต้องผ่าน
รัฐมนตรีคลังของเยอรมนี ยังบอกเลยว่า "ความเป็นมหาอำนาจและความน่าเชื่อถือของอเมริกากำลังสึกกร่อนลง" ทำให้เจ้าหน้าที่ในรัฐบาลอเมริกันโกรธมาก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sleepless
|
|
« ตอบ #94 เมื่อ: 05-10-2008, 08:23 » |
|
อ่านข่าวซิตี้กรุ๊ปเข้าซื้อกิจการที่กำลังจะเจ๊งโดยไม่สนใจว่าตนเองจะโดนลดอันดับความน่าเชื่อถือแล้วก็เสียวๆ ยังไงไม่รู้แฮะ ======================================= ซิตี้กรุ๊ปเข้าซื้อกิจการวอโชเวียคอร์ป หวังสร้างภาพสหรัฐฯดีขึ้น Written by SW Sep 30, 2008 at 10:51 AM ซิตี้กรุ๊ปเข้าซื้อกิจการวอโชเวียคอร์ป สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ที่กำลังประสบปัญหาสภาพคล่อง หลังสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯลงมติคว่ำแผนกู้วิกฤต โดยการซื้อกิจการดังกล่าวจะช่วยป้องกันไม่ให้ภาคการเงินสหรัฐฯอ่อนแอลงไปมากกว่าที่เป็นอยู่ รายงานข่าวบนเว็บไซท์บลูมเบิร์กดอทคอมระบุว่า การซื้อกิจการดังกล่าวจะทำให้ซิตี้กรุ๊ปมีสาขาในสหรัฐฯเพิ่ม 4,300 แห่ง และมีสาขาในต่างประเทศเพิ่ม 3,300 แห่ง ขณะเดียวกันซิตี้กรุ๊ปได้ประกาศลดการจ่ายเงินปันผลลงครึ่งหนึ่งจาก 36 เซนต์ เป็น 16 เซนต์ และเพิ่มทุน 10 พันล้านดอลลาร์ นาย วิครัม แพนดิท ประธานเจ้าหน้าที่บริหารซิตี้กรุ๊ปกล่าวว่า การซื้อกิจการวอโชเวียเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสม และจะทำให้ซิตี้กรุ๊ปเป็นธนาคารที่มีสาขาในสหรัฐฯมากที่สุดเป็นอันดับ 3 รองจากแบงก์ออฟอเมริกาและเจพีมอร์แกนเชสแอนด์โค ทั้งนี้ บรรษัทประกันเงินฝากแห่งสหรัฐฯเปิดเผยว่า ซิตี้กรุ๊ปจะต้องรับรู้ผลขาดทุน 42 พันล้านดอลลาร์จากพอร์ตสินเชื่อของวอโชเวีย ซึ่งมีขนาด 312 พันล้านดอลลาร์ ==================
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sleepless
|
|
« ตอบ #95 เมื่อ: 05-10-2008, 09:37 » |
|
ถามผู้รู้เรื่องการเงินหน่อยสิ
Loans/Deposits Thai commercial bank ช่วงก่อนและหลังต้มยำกุ้ง Period Credits Deposits L / D Ratios No. of Banks 1993 Dec 2,692,289 2,414,525 111.5 43 1994 Dec 3,456,099 2,713,404 127.37 49 1995 Dec 4,249,525 3,161,515 134.41 49 1996 Dec 4,854,504 3,610,284 134.46 48 1997 Dec 6,058,427 4,228,980 143.26 54 1998 Dec 5,382,750 4,663,842 115.41 49 2000 Dec 4,605,995 4,883,209 94.32 46 2001 Dec 4,309,436 5,078,582 84.86 41 2002 Mar 4,413,210 5,229,603 84.39 39 2002 Jun 4,522,248 5,261,881 85.94 38 2002 Sep 4,574,565 5,127,426 89.22 38
ปัจจุบัน Loans/Deposits Q2/2008 Large Thai Commercial Bank 99.81 Medium Thai CommercialBank 100.87 Small Thai Commercial Bank 115.97 Average Thai Commercial bank 101.41
สงสัยครับว่าปกติเขามีกฎหมายควบคุมระดับ loan/deposit ratio ของสถาบันการเงินกันหรือเปล่า ทำไมมันถึงปล่อยกู้ได้เกิน 100% ได้???
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
aiwen^mei
|
|
« ตอบ #96 เมื่อ: 05-10-2008, 10:38 » |
|
ย้อนรอยวิกฤติการเงินสหรัฐฯ [3 ต.ค. 51 - 19:48] ไหนๆก็เขียนเรื่องวิกฤติการเงินสหรัฐฯมาหลายวันแล้ว วันนี้ผมขอ ย้อนรอยวิกฤติการเงินในสหรัฐฯ ให้เห็นกันตั้งแต่จุดเริ่มต้นว่า วิกฤตินี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ข้อมูลนี้ผมไปค้นมาจากวารสาร การเงินธนาคาร ฉบับเก่าของปีที่แล้ว ซึ่ง ดร.สุธี โมกขะเวส ผู้เชี่ยวชาญการบริหารความเสี่ยง ได้บรรยายไว้เป็นฉากๆอย่างละเอียดเลยทีเดียวเมื่อหยิบขึ้นมาอ่านใหม่ แล้วเทียบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ก็ยิ่งขนลุก นึกไม่ถึงว่าตลาดเงินในโลกทุนนิยมตะวันตกจะชั่วร้ายขนาดนี้จุดเริ่มต้นของปัญหา ซับไพร์ม ที่เป็นต้นตอวิกฤติการเงินยุคใหม่ เกิดจากคนอเมริกัน 6 ล้านคน ซึ่งเป็นคนที่ไม่มีเงินได้ แต่ไปขอกู้เงินซื้อบ้านจากสถาบันการเงิน ด้วยวิธีการกู้ที่เรียกว่า Loan to Value สินเชื่อตามมูลค่าบ้าน โดยกู้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ของราคาบ้าน แถมยังไม่ต้องมีเงินดาวน์อีกต่างหากเงินกู้แบบนี้เรียกว่า No Doc Loan หรือ No Document Loan เป็นการกู้เงินที่ไม่ต้องมีเอกสาร ไม่ต้องบอกว่ามีเงินเดือนเท่าไร สามารถผ่อนส่งบ้านได้หรือไม่ ที่สำคัญคือสามารถกู้ได้เท่ากับมูลค่าบ้าน ไม่น่าเชื่อว่าระบบสินเชื่อบ้านในสหรัฐฯจะเหลวแหลกขนาดนี้ฝ่ายสถาบันการเงินผู้ให้กู้ ก็มีรายได้จากค่าธรรมเนียมการปล่อยกู้ และไม่ต้องกังวลกับความเสี่ยงของลูกหนี้เหล่านี้จะเบี้ยวหนี้ เพราะเมื่อปล่อยกู้ออกไปแล้ว ก็นำสินเชื่อบ้านพวกนี้ไปทำ Securitization เป็นตราสารหนี้ที่เรียกว่า Mortgage Back Securities หรือ MBS ตราสารนี้ที่มีบ้านเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันจากนั้นก็ขายสินเชื่อพวกนี้ออกไปจากบัญชี ความเสี่ยงจากการถูกเบี้ยวหนี้ก็ถูกขายออกไปให้กับสถาบันการเงินที่รับซื้อตราสารหนี้เหล่านี้ไป ด้วยวิธีนี้ทำให้การปล่อยสินเชื่อบ้านในสหรัฐฯ เป็นไปอย่างไร้ความรับผิดชอบ เพราะสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ก็ไม่มีความเสี่ยง เนื่องจากขายออกไปแล้วสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ให้ ซับไพร์ม จะเร่งขาย MBS ออกไป เพื่อให้ได้เงินสดก้อนใหม่มาปล่อยกู้ต่ออีกรอบ หมุนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ทีนี้ก็มาถึง Investment Bank หรือ วานิจธนกิจ หรือ ธนาคารเพื่อการลงทุน แล้วแต่จะเรียก เป็นสถาบันการเงินที่ทำธุรกิจแบบซื้อมาขายไป มีความเชี่ยวชาญในการขายผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างมากกว่าการปล่อยกู้ เมื่อเห็นว่าตราสารหนี้ MBS มีกำไรดี ก็ไปซื้อมา แล้วแบ่งออกเป็นกองๆ ตั้งชื่อเสียใหม่อย่างโก้หรูว่า Collateral Debt Obligations หรือ CDOs ที่คนไทยเรารู้จักกันดี เพราะมีแบงก์ไทยเจอไปหลายแบงก์ซีดีโอเหล่านี้มีทั้งความเสี่ยงสูง ความเสี่ยงปานกลาง และความเสี่ยงต่ำ ดังนี้ 1. Equity กลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนสูง แต่ถ้าตลาดบ้านตก กลุ่มนี้จะถูกเทขายก่อน แต่สภาพคล่องไม่มีเงินลงทุนในก้อนนี้ก็จะหายไปทันที 2. Mezzanine เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงปานกลาง จะถูกเทขายตามมา 3. Investment Grade Bond เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำ มีสัดส่วนถึงร้อยละ 80 ของตราสาร MBS ถ้าเกิดวิกฤติตลาดบ้านตก ก็ยังขายได้เงินคืนบ้าง ซีดีโอกลุ่มนี้แหละที่วานิจธนกิจนำไปให้สถาบันจัดอันดับอย่าง มูดี้ส์ หรือ เอส แอนด์ พี จัดเรตติ้งให้สูงในระดับ AAA ทำให้ธนาคารแห่ไปซื้อลงทุนกันมาก ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ราคาบ้านในสหรัฐฯขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลูกหนี้จึงไม่มีการผิดนัดชำระหนี้ ซีดีโอเหล่านี้ก็ขายดิบขายดี จนมีมากถึง 62 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ยิ่งได้ Hedge Fund กองทุนความเสี่ยงเข้ามาปั่นด้วย ราคาและวงเงินก็ยิ่งบานไปใหญ่ ธนาคารที่ปล่อยกู้ให้เฮดจ์ฟันด์ เมื่อเห็นราคาหลักทรัพย์ค้ำประกันเพิ่มขึ้นรวดเร็ว ก็ยิ่งปล่อยกู้ให้มากขึ้น เฮดจ์ฟันด์ก็ได้เงินไปซื้อ CDOs จากวานิจธนกิจมากขึ้น สถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ ซับไพร์ม ก็เร่งปล่อยกู้มากขึ้น เพื่อนำสินเชื่อบ้านมาขายเป็นซีดีโอได้มากขึ้น เพื่อนำเงินมาปล่อยกู้ให้มากขึ้น กลายเป็นวงจรวิบัติอย่างนี้ สุดท้ายก็พังพินาศอย่างที่เห็น.ลม เปลี่ยนทิศ http://thairath.co.th/news.php?section=society03&content=106276สองวันก่อน ได้อ่านคอลัมน์ข้างต้น ขออนุญาตแปะหน่อยนะคะ เมื่อหลายปีก่อน น่าจะเป็นช่องฮอลล์มาร์ค เสนอซีรีส์เรื่องหนึ่งที่เอาเบื้องหลังของบริษัทชื่อดังแห่งหนึ่งของสหรัฐฯ ที่ล้มไป มาตีแผ่ความเน่าเฟะของผู้บริหารฯ ก่อนนู้น ก็มีข่าวการตกแต่งบัญชีของพวกบริษัทใหญ่ ๆ แต่ที่แย่ก็คือ ระดับบิ๊กโฟร์บิ๊กไฟว์ของบริษัทตรวจสอบบัญชีก็มีเอี่ยวกับเค้าด้วย ปล. ใน มติชน ก็มี อ.เกษียร เตชะพีระ ว่าไว้ยาวเหยียดเหมือนกันค่ะ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-10-2008, 10:55 โดย aiwen^mei »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
AsianNeocon
|
|
« ตอบ #97 เมื่อ: 05-10-2008, 11:17 » |
|
อ่านข่าวซิตี้กรุ๊ปเข้าซื้อกิจการที่กำลังจะเจ๊งโดยไม่สนใจว่าตนเองจะโดนลดอันดับความน่าเชื่อถือแล้วก็เสียวๆ ยังไงไม่รู้แฮะ ทั้งนี้ บรรษัทประกันเงินฝากแห่งสหรัฐฯเปิดเผยว่า ซิตี้กรุ๊ปจะต้องรับรู้ผลขาดทุน 42 พันล้านดอลลาร์จากพอร์ตสินเชื่อของวอโชเวีย ซึ่งมีขนาด 312 พันล้านดอลลาร์ ================== Wachovia อ่านว่า "แหว็ก โค เฟีย" ครับ ที่เคยเห็นในโฆษณาทีวี ส่วนประธาน Citigroup แกเป็นคนอินเดีย ชื่อ วิกรม บัณฑิต (ไม่รู้ว่าทำไมคนไทยไปเขียนเป็น วิครัม แพนดิท)
มันก็มองได้หลายมุม ก็ืคือ มองมุมดีคือ ลงทุนซื้อของถูก ทนเจ็บระยะสั้น แล้วไปกำไรในอนาคต มองมุมร้าย ถ้ามันลากยากกว่าที่คิด แบ๊งก์ก็เซได้ BoA Bank of America ที่เวลานี้เที่ยวไปกว้านซื้อสินทรัพย์ประมาณ 4-5 ปีก่อนก็เคยเซเหมือนกัน มองในแง่ธุรกิจของการยึดครองส่วนแบ่งตลาด ทั้ง JP Morgan Chase รุก BoA รุก Citigroup ก็ต้องรุกบ้าง แล้วเวลานี้มีคู่แข่งจากญี่ปุ่น Mitsubishi ก็สนใจ กำลังมีแคนาดาตามมาอีก สงสัยครับว่าปกติเขามีกฎหมายควบคุมระดับ loan/deposit ratio ของสถาบันการเงินกันหรือเปล่า ทำไมมันถึงปล่อยกู้ได้เกิน 100% ได้???
ผมไม่ได้ผู้เชี่ยวชาญ แต่เคยทำงานแผนกสินเชื่อแบงก์มาบ้างบวกกับเคยลงทุนพวกนี้บ้าง กฎหมายคงน่าจะมีแหละ ถ้าปล่อยกู้ได้ 100% ของเงินฝากก็ไม่แปลก เพราะแหล่งเงินที่ธนาคารเอามาปล่อยกู้ต่อไม่ได้มาจากเงินฝากอย่างเดียวนี่ครับ อย่างในไทยยังมีแบงก์นอกบางแห่ง มาชวนลูกค้าซื้อตั๋ว B/E Bill of Exchange ระยะสั้น 3 6 8 เดือนอะไรก็มี แล้วก็บอกว่าเอาเงินก้อนนี้ไปทำอะไร เช่น เอาไปปล่อยกู้ให้กับบริษัทขายรถยนต์ ในตปท.ก็มี Deposit Notes, Bankers Acceptance, Bond (ธกส., เอ็กซิมแบงก์ในแคนาดานิยมมากเลย) ออกขาย ซึ่งไม่เหมือนกับเงินฝากประจำ เพราะไม่รับประกันเงินฝากโดยบรรษัทประกันเงินฝากของประเทศ แต่ว่าจ่ายดอกสูงกว่า หรือมีเทอมที่หลากหลายกว่า ตอนขายแบงก์ก็จะมีหนังสือชี้ชวนว่า เอาไปปล่อยกู้ต่อในเรื่องอะไร บางทีเอาไปปล่อยกู้ต่อในประเทศอื่นก็มี แล้วก็จะมีสถาบันจัดอันดับออกมาให้ rating ครับ หรือว่าธนาคารอาจจะไปหาแหล่งเงินอื่นมาปล่อยต่อก็ได้ ขึ้นอยู่กับความสามารถของเขาอะ มันก็เลยทำให้ปล่อยกู้เกินเงินฝาก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sleepless
|
|
« ตอบ #98 เมื่อ: 05-10-2008, 17:14 » |
|
ย้อนรอยวิกฤติการเงินสหรัฐฯ [3 ต.ค. 51 - 19:48] จุดเริ่มต้นของปัญหา ซับไพร์ม ที่เป็นต้นตอวิกฤติการเงินยุคใหม่ เกิดจากคนอเมริกัน 6 ล้านคน ซึ่งเป็นคนที่ไม่มีเงินได้ แต่ไปขอกู้เงินซื้อบ้านจากสถาบันการเงิน ด้วยวิธีการกู้ที่เรียกว่า Loan to Value สินเชื่อตามมูลค่าบ้าน โดยกู้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ของราคาบ้าน แถมยังไม่ต้องมีเงินดาวน์อีกต่างหาก
เงินกู้แบบนี้เรียกว่า No Doc Loan หรือ No Document Loan เป็นการกู้เงินที่ไม่ต้องมีเอกสาร ไม่ต้องบอกว่ามีเงินเดือนเท่าไร สามารถผ่อนส่งบ้านได้หรือไม่ ที่สำคัญคือสามารถกู้ได้เท่ากับมูลค่าบ้าน
ไม่น่าเชื่อว่าระบบสินเชื่อบ้านในสหรัฐฯจะเหลวแหลกขนาดนี้
เห็นในอเมริกามันมีธุรกิจ credit repair คนที่เครดิตเสียมาแล้วก็กลับมามีเครดิตใหม่ได้อีก ออกจากคุกมา 3 วันก็มีเครดิตพอซื้อบ้านได้แล้ว ไม่รู้มันทำกันยังไง ผมว่าอันนี้น่าจะเป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้มันเกิดการสร้างหนี้ที่ตนเองไม่มีปัญญาใช้คืนได้ บ้านเรายังไม่เห็น (หรือมีแต่ไม่เคยเห็นหว่า) และหวังว่าคงจะไม่มีธุรกิจแบบนี้ในเมืองไทย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
nutiu
|
|
« ตอบ #99 เมื่อ: 05-10-2008, 18:15 » |
|
ถ้ามี 401K อยู่ในอเมริกาตอนนี้ ควรรีบเอาออกมาไหมคะ
(ถ้าเอาออกมาตอนนี้ต้องเสียภาษีเยอะมาก)
มีเหมือนกัน ใสไปประมาณ 100k กะรออายุ 59.5 เสี่ยงไปเลยตอนนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|