ข้ามาจากการเลือกตั้ง เมื่อขี้อ้างว่าเป็นทองเพราะเหลืองเหมือนกัน

ในชีวิตผมสิ่งที่ผมเคารพบูชามากที่สุดก็คือ พ่อและ แม่ แต่สิ่งที่พ่อและแม่ของผมเคารพบูชามากที่สุด ก็คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสิ่งที่พ่อแม่ผมสั่งสอนผมอยู่ตลอดมาทุกครั้งที่มีโอกาสก็คือ สิ่งสำคัญในชีวิตของคนไทยเราก็คือ ชาติ ศาสนา แลพระมหากษัตริย์ ถ้าเราไม่มีสามสิ่งนี้ สิ่งอื่นๆเราจะมีทุกสิ่งหรือไม่มีอะไรสักสิ่ง ก็ไม่มีความหมายอันใด ในเมื่อเราไม่มีชาติที่จะอาศัยได้อย่างภาคภูมิใจ เราไม่มีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ไม่มีพระมหากษัตริย์ที่จะเป็นศูนย์รวมความรักความศรัทรา อย่าเพิ่งมองผมว่าผมเลือกข้างไปแล้ว ถ้ามองแบบนั้นก็ต้องบอกว่าผมยืนอยู่กลางฝน ๓ ชั่วโมงเต็มกับเพื่อนๆที่ไม่รู้จักกันสักสิบกว่าคนได้ กลางสนามหลวงยืนให้กำลังใจอดีตนายกทักษิณ ปราศรัยครั้งแรกที่เปิดตัวเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม ในขณะที่บ้านผมอยู่ใกล้พรรคประชาธิปัตย์ หมาที่อาศัยนอนที่พรรคประชาธิปัตย์เมื่อมันหิวมันยังวิ่งมากินข้าวบ้านผม ผมกับนายชวน นายอภิสิทธิ์ เดินสวนกันเดือนละหลายๆครั้งหน้ายังไม่ยอมมองกัน ถ้าบอกว่าผมอยู่ฝ่ายไหนในมาตรฐานการวัดขณะนี้ก็ต้องบอกว่าผมอยู่ฝ่ายทักษิณสู้ๆ ถ้าเห็นการทำงานของท่านหรือ ไอ้ ก็แล้วแต่ ที่ต้องยอมรับว่าไม่เคยมีนายกคนไหนในอดีตทำหน้าที่ในตำแหน่งนายกได้ดีเท่าอีกแล้ว สิ่งที่เห็นและนำมาประกอบการตัดสินใจมันตัดสินใจเลือกข้างได้ไม่ยากเลย แต่ทำไมๆพอนานๆไปเข้า ผมเริ่มรู้สึกว่าคนที่ผมเชื่อถือและเชื่อมั่นว่าเขาเป็นคนดีทั้งที่รู้จักเป็นการส่วนตัว และ ได้ยินเฉพาะชื่อเสียง ไม่ว่าจะเป็นท่านปุระชัย ไม้บรรทัด นายอุทัย ผู้กล้าฟ้องจอมพลถนอมในขณะที่อำนาจท่วมฟ้าท่วมดิน เริ่มเดินออกห่างจากทักษิณ ในขณะที่ไอ้คนที่เรามั่นใจว่ามันเลวก็เริ่มเข้ามาแทนที่ ไม่ว่าจะเป็นไอ้ห้อย พวกคุณปลื้มแต่ผมไม่ปลื้ม ในหลายๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจจะทำให้ขี้กับทองมันมีโอกาสที่จะไปปนกันได้ แม้มันจะมีสีเหลืองๆเหมือนๆกัน พวกตาบอด หรือ พวกจมูกไร้ความรู้สึกรู้สาอาจจะแยกแยะมันไม่ออกว่าอันไหนขี้อันไหนทอง แต่ทองกับขี้มันไม่มีวันที่จะอยู่ร่วมกันได้หรอกครับ เราต้องหาวิธีที่จะแยกแยะมันให้ออกมาให้ได้ว่าอะไรขี้ และ อะไรทอง

ขณะนี้มีขี้อยู่กองหนึ่ง ที่แอบอ้างเอาความเป็นสีเหลืองของมันมามอมเมาชวนเชื่อเราให้ เอามันมาห้อยคอ ในประเทศที่เต็มไปด้วยความคับแคบตีบตันทางโอกาส ก็คงมีบ้างที่คนในประเทศนี้จะ หูหนวกบ้าง ตาบอดบ้าง เป็นใบ้บ้าง พิกลพิการต่างๆนาๆกันออกไป แต่ในประเทศสยามประเทศแห่งความมีน้ำใจอย่างนี้ จะมีคนที่ทนเห็นเพื่อนร่วมชาติเอาขี้ห้อยคอ แล้วไม่ยอมสะกิดเตือนกันเลยหรือไร แตกต่างอะไรกันกับรัฐบาลชุดนี้ที่เอะอะอะไรก็แอบอ้างเอาว่า ข้ามาจากการเลือกตั้ง นั่นคือการเอาคุณสมบัติของการมีสีเหลืองมาหลอกลวงหาทางให้ประชาชน เอาขี้มาห้อยคอบูชา การตัดสินว่าการเป็นประชาธิปไตยนั้นวิธีการของที่มาแห่งอำนาจนั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่แล้วอยู่ที่วิธีการใช้อำนาจ และ ทัศนคติในการใช้อำนาจของผู้ใช้มากกว่า

ฮิตเลอร์จอมเผด็จการอันดับหนึ่งของโลก ก็มาจากการเลือกตั้ง ฮิตเลอร์เข้าร่วมกับกลุ่มกรรมกรแห่งเยอรมัน (German Labour Party) และค่อยๆใช้เลห์ยึดครองครอบงำคนในพรรคจนกลายเป็นผู้มีอำนาจในพรรคและได้เปลี่ยนชื่อพรรคเสียใหม่ว่า "National Socialist German Worker" ซึ่งพรรคนี้ก็กลายเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ "พรรคนาซี" ฮิตเลอร์ได้เป็นหัวหน้าพรรคในปี ค.ศ.1921 พรรคนาซีอันมีฮิตเลอร์เป็นหัวหน้าพรรค ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างกว้างขวาง และในปี ค.ศ.1930 ในการเลือกตั้งคณะรัฐบาลในปีนั้น พรรคนาซีก็ประสบชัยชนะในการเลือกตั้ง และฮิตเลอร์ในฐานะหัวหน้าพรรคได้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี

ในปี ค.ศ.1934 ประธานาธิบดีไฮเดนเบิร์กถึงแก่กรรม ฮิตเลอร์รวบเอาตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นของเขาอีกตำแหน่งหนึ่ง และไม่ให้มีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป และตำแหน่งที่เขาครองอยู่ก็เรียกเสียใหม่ว่า เดอร์ ฟูเรอร์ หรือ ท่านผู้นำ และสั่งยุบพรรคการเมืองทุกพรรคในประเทศ

ฮิตเลอร์ได้แสดงอำนาจอย่างเต็มที่ โดยการกวาดล้างผู้เป็นปฏิปักษ์ หาทางบีบให้สหพันธ์กรรมกรสลายตัว สั่งปิดหนังสือพิมพ์ที่เป็นฝ่ายค้าน และรวมเอาสถานีวิทยุทุกแห่งเป็นของรัฐ จนกระทั่งนำพาประเทศเข้าสู่มหาวิบัติ ผมอ่านประวัติศาสตร์เยอรมันในยุคฮิตเลอร์เรืองอำนาจนี้อย่างละเอียด ไม่เห็นมีเหตุการณ์ครั้งไหน หรือ พฤติกรรมครั้งไหนเลยสักครั้งที่ ฮิตเลอร์จะตัดสินใจโดยใช้หลักประชาธิปไตยเข้ามาเป็นส่วนประกอบ เช่นเดียวกันกับ มาร์กอสของฟิลิบปินส์ เปรอง ของอาร์เจนติน่า มูชาร์ราร์ฟ ของปากีสถาน จอมเผด็จการลำดับถัดๆไปเหล่านี้ก็ล้วนแต่มาจากการเลือกตั้ง

ผมวางหนังสือประวัติฮิตเลอร์ ก็มาจับหนังสือประวัตินายสมัครขึ้นมาอ่านต่อ ก็พบว่า พฤติกรรมและทัศนคติของนายคนนี้ก็ค่อนข้างจะยืนคนละฝั่งกับ คำว่าประชาธิปไตยมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นสมัยรัฐบาลเผด็จการหอยเน่า หรือ สมัยนายกสุจินดา มาถึงวันนี้ได้เป็นนายกประเดี๋ยวเดียวก็ป่าวประกาศถึงความเหลืองอร่ามของตัวเอง โดยลืมไปแล้วว่าไม่ว่าจะออกมาจากตูดธานิน ตูดสุจินดา หรือ ว่าตูดทักษิณ พฤติกรรมที่เปิดเผยออกมาและ ความคิดที่ฝังอยู่ในหัวสมอง ยังคงส่งกลิ่น บ่งบอกตัวตนถึงความเป็นขี้อยู่ตลอดไป.