คุณคำนูญ สิทธิสมาน สว.ตัวจริง เขียนบทวิเคราะห์เงื่อนเวลาที่จะทำประชามติ
ว่าต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน ไม่ได้ทำได้เร็วอย่างที่ นายกฯ สมัครออกมาพูด
ทำนองว่าวุฒิสภาช่วยผ่านกฎหมายอย่างรวดเร็ว
..คุณคำนูญสรุปตอนสุดท้ายว่าอาจต้องรอไปอีกถึง 7 เดือน..ผมว่ากว่าจะถึงตอนนั้น คงไม่ต้องทำประชามติกันแล้ว -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ประชามติ ต้องรออีก 7 เดือน !??โดย คำนูณ สิทธิสมาน 7 กันยายน 2551 12:20 น.
สั่งตำรวจไม่ได้จนต้องโยกย้ายตำรวจก็แล้ว อ้างคำสั่งศาลแพ่งก็ไม่ได้ผล จนศาลอุทธรณ์ยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว
ต้องกลับมาสู่เกมมวลชนเพื่อเป็นข้ออ้างประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อให้ดาบให้ปืนทหาร แต่ทหารก็เก็บไว้ในฝักในซอง
ไม่ชักออกมาใช้ ล่าสุดรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็หันมาใช้สนามรบที่ตนเจนจัดที่สุดคือสนามเลือกตั้ง
เสนอกลเกมลงประชามติเพื่อใช้สยบพันธมิตร ! รัฐบาลคิดง่าย ๆ ว่าพวกตนมาจากเสียงข้างมากของประชาชนทั้งประเทศ หากระดมหาเสียงเต็มที่ ผลการลงประชามติ
ก็จะออกมาใกล้เคียงกับผลการเลือกตั้ง
ไม่ได้คิดเลยว่าหนึ่งในสาเหตุสำคัญของวิกฤตการเมืองขณะนี้คือการเลือกตั้งที่ไม่บริสุทธิ์ไม่ยุติธรรม มีการใช้เงิน
จำนวนมหาศาลในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง มิหนำซ้ำนวัตกรรมล่าสุดยังใช้นโยบายประชานิยมซื้อเสียงซื้อคะแนนนิยมอีกต่างหาก
ไม่ได้คิดเลยว่าข้อเสนอการเมืองใหม่มาจากรากฐานการเลือกตั้งที่ไม่บริสุทธิ์ไม่ยุติธรรม
เคราะห์ดีที่การลงประชามติไม่อาจจะทำได้ง่าย ๆ ในวันในพรุ่ง !! การลงประชามติหรือภาษารัฐธรรมนูญใช้ว่า การออกเสียงประชามติ บัญญัติอยู่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2550 มาตรา 165 จะออกเสียงประชามติในการใดได้หรือไม่ได้แม้จะยังถกเถียงกันอยู่ แต่ประเด็นไม่สำคัญเท่ากับว่า
จะออกเสียงประชามติได้ก็ต่อเมื่อมี พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ เสียก่อนตามที่บัญญัติไว้
ในมาตรานี้วรรค 6
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติเพิ่งผ่านความเห็นชอบขึ้นมาจากสภาผู้แทนราษฎร
ผ่านการพิจารณาวาระที่ 1 ในวุฒิสภาเมื่อวันศุกร์ที่ 5 กันยายน 2550 ที่ผ่านมา
เครือข่ายรัฐบาลบางคนบอกว่าวุฒิสภาน่าจะพิจารณา 3 วาระรวด โดยใช้กรรมาธิการเต็มสภา ใช้เวลาสัก 3 วัน
ก็น่าจะเรียบร้อย เพื่อให้บ้านเมืองมีทางออก
น่าเสียดายแทนที่เป็นไปไม่ได้ เพราะร่างกฎหมายฉบับนี้มีความยาวถึง 45 มาตรา มีรายละเอียดต้องพิจารณา
โดยละเอียดรอบคอบ ไม่มีใครบ้องตื้นพิจารณา 3 วาระรวดหรอก
วุฒิสภาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญจำนวน 29 คนเพื่อพิจารณาในวาระที่ 2 กำหนดแล้วเสร็จภายใน 90 วัน กำหนดเวลา 90 วันนี้ รัฐธรรมนูญมาตรา 302 วรรค 4 และวรรค 6 บัญญัติไว้ ! ดูเหมือนนายกรัฐมนตรีทำให้ผู้คนสับสน โดยพูดว่าวุฒิสภาให้ความร่วมมือ กำหนดวันแปรญัตติไว้ 7 วัน
คาดว่าจะเสร็จในเวลาไม่นานเกินไป
ควรเข้าใจว่ากำหนดวันแปรญัตติ 7 วันนั้นเป็นไปตามข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา เป็นช่วงเวลาที่เปิดโอกาสให้
สมาชิกวุฒิสภาที่ไม่ใช่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เสนอขอแก้ไขรายละเอียดที่ไม่ใช่หลักการ
ในมาตราต่าง ๆ เข้ามา
เมื่อพ้นกำหนด 7 วัน สมาชิกวุฒิสภาทั่วไปจะเสนอแก้ไขไม่ได้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมาธิการวิสามัญ
ที่จะพิจารณาเรียงรายมาตรา ทั้งเนื้อหาเดิม เนื้อหาที่สมาชิกวุฒิสภาเสนอแก้ไข และเนื้อหาที่กรรมาธิ การจะพิจารณาแก้ไขเอง
จากนั้นเมื่อเสร็จเรียบร้อย จึงเชิญสมาชิกวุฒิสภาที่เสนอแก้ไขเข้ามารับฟังเป็นรายบุค คล ถ้าผู้เสนอแก้ไขไม่ติดใจ ก็จะยอมรับ
ร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านมือคณะกรรมาธิการวิสามัญ ถ้าไม่พอใจก็จะสงวนความเห็นของตนไว้อภิปรายโต้แย้งในที่ประชุมวุฒิสภา
ในวาระที่ 2 ที่จะพิจารณาเรียงลำดับรายมาตราต่อไป
ผมเชื่อว่ากำหนดเวลา 90 วันก่อนวุฒิสภาผ่านมติในวาระที่ 3 จะใช้กันเต็มแน่
ต้องบอกว่า 90 วันสำหรับการพิจารณาร่างกฎหมายวาระที่ 2 นี่ถือว่าเป็นเวลาเร่งรัดเต็มที่แล้ว
ปกติ ร่างกฎหมายความยาวประมาณนี้ใช้เวลาประมาณ 180 วันหรือ 6 เดือน
จากนั้นยังไม่จบ !
แม้จะผ่านวุฒิสภาแล้ว ก็ยังต้องผ่านขั้นตอนส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยมีกำหนดเวลาไว้ 30 วัน เป็นข้อกำหนดปกติของ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ โดยทั่วไปตามมาตรา 141 สรุปว่าใช้เวลาไปแล้ว 90 + 30 = 120 วัน
จากนั้นจึงถึงขั้นตอนส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อให้นายกรัฐมนตรีนำร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฉบับนี้
ขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ภายใน 20 วัน แต่จะพระราชทานลงมาเมื่อใดไม่อาจกำหนดเวลาได้
โดยปกติขั้นตอนนี้จะเผื่อเวลาไว้ประมาณ 30 วัน
สรุปว่าใช้เวลาทั้งหมดกว่ากฎหมายจะมีผลใช้บังคับ 90 + 30 + 30 = 150 วัน ! นี่หมายถึงขั้นตอนปกตินะ
อาจมีขั้นตอนไม่ปกติเพิ่มเข้ามาอีก หากในชั้นพิจารณาของวุฒิสภามีการแก้ไขผิดแผกแตกต่างออกไปสภาผู้แทนราษฎร
และเมื่อส่งร่างกลับไปให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาตามปกติทั่วไปแล้ว สภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นด้วย ก็จะต้องตั้ง
คณะกรรมาธิการร่วม 2 สภาขึ้นพิจารณาอีกระยะหนึ่ง
ซึ่งไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะมีแนวโน้มว่าวุฒิสภาจะเสนอแก้ไขกันมากใน 2 ประเด็น
ประเด็นหนึ่ง ขอให้ประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งมีสิทธิเป็นผู้ริเริ่มเสนอให้มีการออกเสียงประชามติด้วย
แทนที่เป็นรัฐบาลฝ่ายเดียว ประเด็นนี้ คุณรสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. อภิปรายแสดงเจตนารมณ์ไว้แล้ว
อีกประเด็นหนึ่ง เสนอเพิ่มรายละเอียดประเด็น ให้ข้อมูลอย่างเพียงพอ และ ให้บุคคลฝ่ายที่เห็นชอบและไม่เห็นชอบ
มีโอกาสแสดงความคิดเห็นของตนได้อย่างเท่าเทียมกัน ให้ชัดเจนเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น เพราะตามร่างฯเดิมมีบัญญัติไว้กว้าง ๆ
เพียงมาตราเดียว ประเด็นนี้ ทั้งคุณวรินทร์ เทียมจรัส และคุณสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ส.ว.สรรหา ก็ได้อภิปรายแสดงเจต นารมณ์ไว้ชัดเจนเช่นกัน
เฉพาะ 2 ประเด็นนี้ สมมติวุฒิสภาผ่านในวาระที่ 2 3 สภาผู้แทนราษฎรจะเห็นด้วยหรือไม่ ?
จะต้องมีกรรมาธิการร่วม 2 สภาหรือไม่ ?
จาก 150 วันเดิมอาจจะต้องบวกเพิ่มเข้าไปอีก 30 60 วันเป็น 180 - 210 วัน ! ถ้าเป็น 210 วัน...ก็เท่ากับ 7 เดือนอย่างที่ผมจั่วหัวไว้ !! นี่หมายถึงในกรณีตั้งกรรมาธิการร่วม 2 สภาแล้วผลออกมาเห็นพ้องต้องกันทั้ง 2 สภานะ ถ้าเกิดสภาใดสภาหนึ่ง
ไม่เห็นพ้องด้วย ก็จะต้องยับยั้งไว้ก่อน แล้วรอเวลาอีก 180 วัน สภาผู้แทนราษฎรจึงจะหยิบยกขึ้นมาพิจารณายืนยันได้
หนทางออกเสียงประชามติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 165 ไม่สามารถจะทำในวันในพรุ่ง