สถานการณ์ นายกฯ ไม่ยอมลาออกแบบนี้ ในที่สุดก็ต้องพุ่งเป้าไปที่ส่วนอื่นๆ
อย่างเช่นพรรคร่วมรัฐบาล ที่สามารถปลดล็อกสร้างความเปลี่ยนแปลงได้
รู้สึกว่าจะเป็นบทความแรกที่เรียกร้องให้พรรคร่วมฯ ถอนตัวจากรัฐบาลนะครับ ------------------------------------------------------------------------------------------------
พรรคร่วมถอนตัว ปลดล็อกกลียุค [7 ก.ย. 51 - 00:36]http://203.151.217.76/news.php?section=politics&content=103278เหตุสถานการณ์วิกฤติม็อบชนม็อบ
กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เคลื่อนพลบุกเข้าปะทะกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บริเวณหน้ากองบัญชาการกองทัพบก ถนนราชดำเนินนอก
จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตสังเวยความรุนแรง 1 ศพ บาด เจ็บสาหัส หัวร้างข้างแตกกันทั้งสองฝ่ายอีกหลายสิบราย
จลาจลย่อยๆ ส่อเค้าสงครามกลางเมือง
เป็นเหตุให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ใช้ อำนาจตามพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ ฉุกเฉิน ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
เปิดทางให้ทหารเคลื่อนกำลังออกมาสลายการชุมนุม ของกลุ่มพันธมิตรฯที่ยึดทำเนียบฯชุมนุมขับไล่รัฐบาล
ทำให้สังคมเกิดอาการผวา หวั่นเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์ รุนแรงนองเลือดซ้ำรอยประวัติศาสตร์ ทหารล้อมปราบประชาชน
บรรยากาศยามนั้น เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
แต่ในที่สุดความวิตกกังวลของสังคม ก็คลายตัวลงไป
เมื่อ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ในฐานะหัวหน้าคณะในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฉุกเฉิน ได้ประกาศแนวทางของฝ่ายทหารในการปฏิบัติการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฉุกเฉิน อย่างชัดเจนว่า
แนวทางในการแก้ไขปัญหาจะยึดถือระบอบประชาธิปไตยเป็น หลัก และดำเนินการตามกรอบของกฎหมาย การปฏิบัติจะใช้กำลังทหารเป็นแนวกันชน สกัดกั้นการปะทะของกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งสองฝ่าย
โดยกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่จะใช้เฉพาะโล่กับกระบอง ไม่มีการใช้อาวุธหนักหรืออาวุธสงคราม รวมทั้งจะใช้การเจรจาทำความ เข้าใจกับแกนนำและผู้ชุมนุม ทั้งที่อยู่ในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดทุกภูมิภาค
เน้นการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเห็นถึงผลเสียของความขัดแย้ง และความเสียหายต่อประเทศจากการใช้กำลังเข้าปะทะกัน
ยืนยันหนักแน่น ให้หลักประกันกับสังคม ทหารจะไม่ใช้ ความรุนแรงเข้าสลายการชุมนุม เพราะไม่ใช่หนทางที่จะยุติปัญหา
ประกาศชัดทหารจะอยู่ข้างประชาชน ไม่ใช้ความรุนแรง กับประชาชน
พร้อมทั้งเน้นย้ำ จะไม่มีการปฏิวัติยึดอำนาจ
สวมวิญญาณทหารประชาธิปไตยเต็มที่
อย่างไรก็ตาม จากการที่ พล.อ.อนุพงษ์ ออกมาประกาศแนวทางปฏิบัติในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้วยสันติวิธี สร้างความสบายใจให้กับประชาชนและสังคม
แต่ก็ถูกกดดันอย่างหนักจากนักการเมืองซีกรัฐบาล ที่ต้องการให้ทหารจัดการกับกลุ่มพันธมิตรฯที่ยึดทำเนียบฯ
โดยระบุถึงการทำหน้าที่ของ พล.อ.อนุพงษ์ ในฐานะผู้รับผิดชอบ แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินว่า ต้องใช้กฎหมายให้เข้มงวดกว่านี้ ไม่ เช่นนั้นจะกลายเป็นว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
เหมือนต้องการให้ลุยสลายการชุมนุม อะไรทำนองนั้น
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น มองคล้ายๆกับว่าฝ่ายประชาธิปไตยเสียงข้างมาก กดดันประชาธิปไตยทหาร ให้ปราบประชาชน
ทั้งๆที่เมื่อก่อนคนในกองทัพมักถูกนักการเมืองโจมตีว่า เป็นเผด็จการทหาร
กลับตาลปัตรกันไปหมด
แต่ทหารก็ยังนิ่ง ยืนยันต้องใช้วิธีการเจรจา แก้ปัญหาด้วยสันติวิธี
พร้อมคุยกับทุกฝ่าย โดยเฉพาะแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ
ในขณะเดียวกัน ทางกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ปักหลักชุมนุมอยู่ในทำเนียบรัฐบาล
มาถึงวันนี้ ยังรวมตัวชุมนุมกันอย่างเหนียวแน่น เป้าหมายชัดเจน ขับไล่รัฐบาล
ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า ในช่วงแรกที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศ กลุ่มพันธมิตรฯก็ให้โอกาสรัฐบาลทำงาน
แต่เมื่อรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคพลังประชาชน เดินหน้า พุ่งเป้าไปที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อปลดล็อกคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคดียุบพรรค
รวมทั้งมีพฤติกรรมแอบแฝงในการแสวงผลประโยชน์จากการใช้อำนาจรัฐ
โดยเฉพาะปัญหาการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก และการอนุมัติโครงการเมกะโปรเจกต์หลายต่อหลายโครงการ
กลายเป็นเชื้อให้ม็อบพันธมิตรฯโหมกระแส จุดประเด็นไล่รัฐบาล
ทำให้ผู้คนบางส่วนในสังคมทนไม่ได้ กับพฤติกรรม การใช้อำนาจในทางไม่ชอบของรัฐบาล ออกมาร่วมชุมนุมกับกลุ่ม พันธมิตรฯมากขึ้น
พร้อมทั้งมีการเพิ่มมาตรการกดดัน จนถึงขั้นบุกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล ศูนย์กลางการบริหารราชการของประเทศ
ส่งผลให้แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ 9 คน โดนตำรวจตั้งข้อหาหนัก ขอศาลอนุมัติหมายจับข้อหากบฏ
ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาล
ในขณะที่ 9 แกนนำ ประกาศอารยะขัดขืน ไม่หนี ไม่มอบตัว ขอปักหลักชุมนุมไล่รัฐบาลอยู่ในทำเนียบฯ
ใช้ผู้ชุมนุมเป็นบังเกอร์มนุษย์ ท้าให้ตำรวจบุกเข้าไปจับ
ปรากฏการณ์ตรงนี้ ทำให้ฝ่ายรัฐบาลยกมาเป็นจุดโจมตีแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่เคารพกฎหมายบ้านเมือง
ทำให้เสียแนวร่วมไปเยอะพอสมควร
เพราะสังคมต้องการเห็นบ้านเมืองมีขื่อแป ต้องการให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์
ถ้าจะว่ากันไปแล้ว เมื่อศาลอนุมัติออกหมายจับ แกนนำกลุ่ม พันธมิตรฯทั้ง 9 คน ก็ควรจะเข้ามอบตัวและขอประกันตัวตามกระบวนการยุติธรรม
เพื่อแสดง ความบริสุทธิ์ใจ และแสดงออกถึงการเคารพต่อกฎหมายบ้านเมือง
โดยสามารถปล่อยให้แกนนำรุ่นที่ 2 ดำเนินการนำการชุมนุม ไปพลางๆก่อน เมื่อได้รับการประกันตัวแล้วค่อยมาว่ากันใหม่
ตรงนี้เป็นเรื่องที่แกนนำทั้ง 9 คน ควรพิจารณาและดำเนินการ ไม่เช่นนั้นก็จะต้องถูกตราหน้าว่า
เป็นพวกไม่เคารพกฎหมายบ้านเมือง
นอกจากนี้ ภายใต้เงื่อนไขการต่อสู่ขับไล่รัฐบาลที่กำลังเขม็ง เกลียว แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯได้ประกาศ ทฤษฎีการเมืองใหม่ 30 ต่อ 70
ชูธงจะให้มี ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งร้อยละ 30 และ ส.ส.ที่มาจากการแต่งตั้งร้อยละ 70
ประเด็นนี้ สังคมส่วนใหญ่ก็ยังสงสัยเคลือบแคลง 30 ต่อ 70 มาจากไหน มายังไง เอาอะไรมารองรับ
เป็นเรื่องที่แกนนำต้องขยายความให้ชัดเจน
ที่สำคัญ ต้องคำนึงด้วยว่า คนส่วนใหญ่ของประเทศยอมรับได้หรือไม่
หันมาทางด้านรัฐบาล
แม้จะโดนกดดันอย่างหนักจากสถานการณ์ชุมนุมเคลื่อนไหวขับไล่ของกลุ่มพันธมิตรฯ แต่นายสมัครก็ยังอึด ประกาศย้ำแล้ว ย้ำอีก
ไม่ลาออก ไม่ยุบสภา
อ้างเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งถูกต้องชอบธรรม ไม่ได้ทำผิดอะไร ไม่ยอมให้ใครมาชี้นิ้วสั่ง
ล่าสุด รัฐบาลพยายามแก้เกมด้วยการให้ทำประชามติถาม ความเห็นประชาชนทั้งประเทศ เกี่ยวกับสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยจะให้ลงคะแนนว่า
สนับสนุนรัฐบาล หรือ สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯ
เปิดเกมยื้อเวลา
ยื้ออำนาจ
เมื่อสถานการณ์มาถึงจุดนี้ ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ ขอชี้ว่า การทำประชามติ ไม่ใช่การแก้ปัญหา แต่จะเป็น การเพิ่มปัญหา
เพราะการทำประชามติจะต้องมีการรณรงค์ แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ซึ่งจะยิ่งเพิ่มความขัดแย้งไปทั่วประเทศ
นอกจากนี้ การรณรงค์ประชามติก็ต้องผ่านระบบหัว คะแนน ผลที่ออกมาอาจไม่เป็นที่ยอมรับของอีกฝ่ายหนึ่ง
ที่สำคัญ เวลานี้ร่าง พ.ร.บ.ประชามติ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของวุฒิสภา ยังต้องใช้ เวลาอีกนาน
ไม่ทันต่อสถานการณ์ วิกฤติล่อแหลมของบ้านเมือง
ที่สำคัญ เมื่อถอดรหัสคำพูดของ พล.อ. อนุพงษ์ที่ระบุว่า
สถานการณ์วิกฤติที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องทางการเมือง ฝ่ายนิติบัญญัติต้องมีหน้าที่แก้ ปัญหา รัฐสภาต้องรับผิดชอบต่อประเทศมากกว่านี้
คำพูดนี้ คงไม่ใช่ต้องการแค่ให้มีการประชุมร่วมรัฐสภา หาทางออก หรือให้คนในรัฐสภาไปตั้งโต๊ะเจรจากับแกนนำ กลุ่มพันธมิตรฯเท่านั้น
แต่น่าจะหมายถึงการใช้โครงสร้างอำนาจในระบบรัฐสภาแก้ปัญหาวิกฤติชาติ
เพราะต้องไม่ลืมว่า สภาฯคือผู้ให้กำเนิดรัฐบาล พรรคไหนได้เสียงข้างมากในสภาฯ พรรคนั้นก็ได้เป็นรัฐบาล
เมื่อพรรคพลังประชาชนได้เสียง ส.ส.ไม่ถึงครึ่งของ สภาฯ พรรคเดียวจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ต้องไปดึงเสียงของพรรคอื่นอีก 5 พรรคเข้ามาผนึกเป็นรัฐบาล
ได้แก่ พรรคชาติไทยของนายบรรหาร ศิลปอาชา พรรค เพื่อแผ่นดินของนายสุวิทย์ คุณกิตติ พรรคมัชฌิมาธิปไตย ของนางอนงค์วรรณ เทพสุทิน พรรครวมใจไทยชาติพัฒนาของ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร และพรรคประชาราชของนาย เสนาะ เทียนทอง
ฉะนั้น ในสถานการณ์วิกฤติประเทศ สุ่มเสี่ยงเกิดกลียุค
นายกฯสมัครยืนยันเสียงแข็ง ไม่ลาออก ไม่ยุบสภา
ถ้าสถานการณ์เข้าสู่จุดวิกฤติเลวร้าย ส่อเค้าเกิดเหตุนองเลือดครั้งใหญ่ ก็ถือเป็นความรับผิดชอบของพรรคร่วม รัฐบาลที่ต้องพิจารณาถอนตัว
เพื่อหยุดยั้งความสูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อของประชาชน
เพราะเมื่อพรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว รัฐบาลก็อยู่ไม่ได้ นายกฯจะลาออก หรือยุบสภา ก็ว่ากันไป
หรือพรรคร่วมรัฐบาลจะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวส่วนพรรค กอดคอเป็นรัฐบาลต่อไป
ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์นองเลือดครั้งใหญ่ ก็ต้องวัดใจกัน.
"ทีมการเมือง"