ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
20-04-2024, 20:30
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ความเหมือนกันระหว่างสอง CEO จอร์ช บุช และ ทักษิณ ชินวัตร (เรื่องเก่าเล่าใหม่) 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
ความเหมือนกันระหว่างสอง CEO จอร์ช บุช และ ทักษิณ ชินวัตร (เรื่องเก่าเล่าใหม่)  (อ่าน 1027 ครั้ง)
ผู้ทำลาย
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,496


lynnicky


เว็บไซต์
« เมื่อ: 21-06-2006, 14:29 »

 

ผมนำบทความที่ผมได้เคยเขียนไว้และตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์   ฉบับวันที่ 18 กรกฎาคม 2544  เก่าพอสมควรครับ มานำเสนอ
ท่านผู้อ่าน  เพื่อท่านผู้อ่านจะได้เข้าใจได้ดีขึ้น  ว่าพวกเราติดตามการทำงานของคุณทักษิณ  มานานแล้วครับ

(บทความนี้ 4 ปีมาแล้วครับ แต่ยังทันสมัยอยู่)

วันที่ 18 กรกฎาคม 2544 หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

 ความเหมือนกันระหว่างสอง CEO  จอร์ช  บุช  และ  ทักษิณ  ชินวัตร


           ประธานาธิบดีสหรัฐคนปัจจุบันชื่อ จอร์ช  บุช มีรายการวิทยุพูดคุยกับคนอเมริกันทุกวันสุดสัปดาห์เช่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันเสาร์ที่  13 กรกฎาคม 2545 บุชกล่าวถึงปัญหาของสหรัฐในปัจจุบันที่ถือว่าเป็นปัญหาที่ใหญ่หลวง และเกิดขึ้นจากฝีมือผู้นำทางธุรกิจที่ไม่ซื่อตรงบุชได้กล่าวว่า "ความต้องการสูงสุดสำหรับเศรษฐกิจของสหรัฐในขณะนี้ คือ ความสามารถที่จะเรียกความเชื่อมั่นในความซื่อสัตย์ของนักธุรกิจชั้นนำให้กลับคืนมา"

          ประชาชนทั่วไป รวมถึงนักลงทุนรายเล็กรายใหญ่ และนักการเมืองระดับแนวหน้า เช่น Rep.David  Phelps ต่างฝากความหวังไว้กับบุชทั้งสิ้น Phelpsได้กล่าวว่า

          "(บุช) ต้องดำเนินการอย่างฉับพลันเพื่อกวาดล้างการกระทำความผิด รวมทั้งต้องออกกฎเกณฑ์ที่เข้มข้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีกในอนาคต"

          คนอเมริกันส่วนหนึ่งไม่ไว้วางใจบุช  เพราะได้เคยรับรู้ถึงอดีตการทำงานของบุชสมัยที่เป็น CEOบริหารงานภาคเอกชนก่อนเข้ามารับตำแหน่งทางการเมือง

          ช่วงปี พ.ศ.2531 บุชได้นำหุ้นของบริษัท SPECTRUM 7 ที่ตนเองถืออยู่ไปแลกกับหุ้นของบริษัท Harken Energy มูลค่ากว่า 6 แสนเหรียญ หลังจากนั้นบุชก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการบริษัท รวมทั้งยังได้เป็นกรรมการตรวจสอบที่เรียกว่า AUDIT  COMMITTEE  อีกด้วย จากนั้นอีก 2 ปี ในปี พ.ศ.2533 บุชได้ขายหุ้นทั้งหมดจำนวน 212,140หุ้น ในราคาหุ้นละ 4 เหรียญ ทำให้บุชได้กำไรจากการขายหุ้นถึง 849,000 เหรียญ หรือประมาณ 36 ล้านบาทเศษ ในฐานะเป็นกรรมการบริษัท บุชต้องรายงานการขายหุ้นไปยังกลต. แต่ปรากฏว่าบุชจัดทำรายงานช้ากว่ากำหนดถึง 8 เดือน

          ที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ กลต.ได้ตรวจสอบบริษัท Harken Energy และพบว่าบริษัทลงบัญชีแสดงรายรับจากการขายบริษัทในเครือไม่ตรงตามข้อเท็จจริง ทำให้เกิดผลกำไรสูงกว่าความเป็นจริง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นระหว่างที่บุชเป็นกรรมการที่รับผิดชอบทางด้านการเงินของบริษัท กลต.สั่งให้บริษัทแก้ไขตัวเลขให้ถูกต้องทำให้บริษัทต้องรายงานผลการขาดทุนถึง 23.2 ล้านเหรียญสหรัฐ และทำให้หุ้นของบริษัทราคาตกลงเหลือเพียงหุ้นละ 2.30 เหรียญ

          ความตื่นเต้นของเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็คือ บุชได้ขายหุ้นทั้งหมดก่อนที่จะเกิดเรื่องเพียง  2  เดือนเท่านั้น  กลต.ได้ตรวจสอบการขายหุ้นของบุชว่า เป็นการขายโดยรู้ข้อมูลภายในหรือไม่ คนส่วนใหญ่เดาถูกว่า กลต.คงจะแพ้คดี เพราะในขณะที่มีการสอบสวนเรื่องดังกล่าว คุณพ่อของบุชเป็นประธานาธิบดีและประธานกลต. Mr. Richarl  C  Breeden ก็เคยช่วยงานคุณพ่อของบุช  ในตำแหน่งทนายประจำทำเนียบขาวมาก่อน

          บุชยืนยันว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องไร้สาระพร้อมทั้งกล่าวว่า"ในโลกของธุรกิจปัจจุบัน ไม่มีอะไรที่ชัดเจนเช่นขาวหรือดำ โดยเฉพาะในเรื่องการทำบัญชี" คนอเมริกันที่ติดตามงานสมัยอดีตของบุชไม่มั่นใจในคำชี้แจงของบุชมากนัก


         

บันทึกการเข้า

แสนยานุภาพผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดิน
ผู้ทำลาย
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,496


lynnicky


เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 21-06-2006, 14:30 »

กลับมาที่บ้านของเรา เมื่อวันที่ศุกร์ที่  12  กรกฎาคม 2545 พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร  ได้มาเปิดงาน  "SET  IN  THE  CITY"  และเพื่อให้สมกับความทันสมัยทันกับเหตุการณ์ของโลก โดยเฉพาะปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นกับบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นที่นิวยอร์ก  พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้กล่าวในงานหลายประเด็นที่สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจในกลไกของตลาดหลักทรัพย์เป็นอย่างดี  เช่น"ผู้ถือหุ้นรายใหญ่หากเปิดเผยข้อมูลของบริษัทมากเท่าใด ให้ความคุ้มครองรายย่อยมากเท่าใด เท่ากับเป็นการคุ้มครองตัวเองทางอ้อม"  หรือ "จะต้องมีการรักษาผลประโยชน์แก่ผู้ถือหุ้นรายย่อยอย่างจริงจัง ผู้บริหารจะต้องไม่บริหารงานให้เกิดปัญหาการขัดแย้งทางผลประโยชน์เกิดขึ้นโดยเฉพาะกับผู้บริหารที่เป็นผู้ถือหุ้นด้วย"

          ใครที่ได้มีโอกาสฟัง  พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวในวันนั้นคงจะทึ่งและเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ น่าจะเป็นหนึ่งในผู้นำของประเทศในโลกนี้ไม่กี่คนที่เข้าใจในกลไกของตลาดหลักทรัพย์ได้ดีที่สุด

          แต่สำหรับคนที่ติดตามการทำงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยเฉพาะในสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ รับผิดชอบเป็น CEO ของบริษัท SHIN ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ก็คงจะคิดอยู่ในใจว่า...ไม่น่าเชื่อ!

          ปัญหาในอดีตของ  พ.ต.ท.ทักษิณ น่าจะยังหลอกหลอน พ.ต.ท.ทักษิณ  อยู่ถึงปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ  เป็น CEO  ของ บริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์

          เริ่มต้นที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และภริยาได้โอนหุ้นจำนวนไม่น้อยกว่า 8 ล้านหุ้นของบริษัทชิน ไปใส่ไว้ในชื่อของบริวาร ไม่ว่าจะเป็นแม่ครัว พี่เลี้ยงบุตร หรือยามที่บ้านโอนไปเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2535 เพียง 30 วันก่อนที่กฎหมาย กลต.จะประกาศใช้  (พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ประกาศใช้เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2535)  หลังจากนั้นก็มีการสั่งซื้อขายหุ้นของบริวารมาโดยตลอด  ตั้งแต่ปลายปี 2535  จนถึงปลายปี 2540 กลต.เข้าไปตรวจสอบหลังจากเกิดคดีซุกหุ้นเมื่อวันที่  26  ธันวาคม 2543

          ผลของการตรวจสอบของ กลต.พบว่ามีการกระทำผิดจริง กลต.สั่งปรับภริยาของ  พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร เป็นเงิน 6.3 ล้านบาท เพราะกระทำผิดตามมาตรา 246 รวม  9 รายการ ถ้าสังเกตดูจะพบว่าทั้ง 9 รายการ เป็นการซื้อขายในช่วงปี 2538 ถึงปี 2540 เท่านั้น กลต.ชี้แจงแต่เพียงว่าไม่สามารถหาหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินคดี สำหรับการซื้อขายหุ้นของบริวาร พ.ต.ท.ทักษิณและภริยา ในช่วงเวลาก่อนหน้านั้น จึงเห็นสมควรยุติการดำเนินคดี

          แน่นอนที่สุด ช่วงเวลาการตรวจสอบของ กลต.เป็นช่วงที่  พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และประธาน กลต.คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีคู่ใจ พ.ต.ท.ทักษิณ (ช่างเหมือนกับเรื่องของบุชเสียเหลือเกิน)

          ที่น่าแปลกไปกว่านั้นก็เห็นจะเป็นข่าวที่ลงมติชน เมื่อวันที่  21  พฤษภาคม 2545  เกี่ยวกับการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องยุทธศาสตร์เพื่อการแข่งขันของเศรษฐกิจไทย  พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะประธานในที่ประชุม กล่าวว่า  "....โดยประชาชนควรจะมีความรักชาติ  เมื่อวานผมดู  CNN  ทราบว่าขณะนี้สหรัฐกำลังแก้ไขกฎหมายใหม่  ทั้งนี้เพราะบริษัทต่างๆ แม้มีสำนักงานใหญ่ในสหรัฐ แต่ไปจดทะเบียนในประเทศอื่นๆ เช่น ในปานามาหรือบริติชเวอร์จิ้นไอส์แลนด์ส ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทที่ไม่รักชาติ เพราะถือว่าเป็นการเลี่ยงภาษี...." (ก็อยากจะฝากให้คนไทยและบริษัทต่างๆ มีความรักชาติด้วย)

          ข้อเท็จจริงที่ปรากฏก็คือ กลต.ได้ตรวจพบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ไปจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทที่ชื่อ Ample Rich Investments Limited เมื่อวันที่  12  เมษายน 2542 (พ.ต.ท.ทักษิณถือหุ้นทั้งหมด) ที่บริติชเวอร์จิ้นไอส์แลนด์ส และบริษัทนี้ได้ซื้อหุ้น SHIN  ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อวันที่ 11  มิถุนายน 2542 จำนวน  32,914,600  หุ้น  ปัจจุบันบริษัท Ample Rich Investments Limited  ยังถือหุ้นของบริษัท SHIN อยู่ แต่ทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท  Ample Rich Investments Limited  นี้แล้ว เพราะไม่ปรากฏในรายการแสดงบัญชีทรัพย์สินหนี้สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่แจ้งต่อ ปปช.

          หลายคนคงสงสัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไปตั้งบริษัทที่บริติชเวอร์จิ้นไอส์แลนด์ส เพื่ออะไร  แปลว่า  พ.ต.ท.ทักษิณ  ไม่รักประเทศชาติ   เลี่ยงภาษีแบบที่  พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวไว้เองหรือ?  ก็ไม่น่าจะใช่  คงไม่มีใครว่าตัวเองอย่างนั้น  คำถามที่มีตามออกมา เช่น  ทำไม พ.ต.ท.ทักษิณ ซื้อหุ้นของตัวเอง   ทำได้อย่างไร? ซื้อขายจริงหรือเปล่า?กลต.ตรวจพบว่า  พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ขายหุ้นทั้งหมดที่ถืออยู่ในบริษัท  Ample  Rich Investments Limited เมื่อวันที่  30  พฤศจิกายน 2543 สามสัปดาห์หลังประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภาวันทื่ 9 พฤศจิกายน 2543  เพื่อเลือกตั้งทั่วประเทศ  เงินที่ได้รับจากการขายหุ้นจำนวนมากครั้งนั้น ทำไมไม่ปรากฏในรายงานบัญชีทรัพย์สินหนี้สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ? หรือว่าได้แปลงเป็นทรัพย์สินอื่นไปแล้ว?


          คนที่จะตอบเรื่องนี้ได้เห็นจะมีอยู่คนเดียว คือ  พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร  นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย

กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ
www.korbsak.com
บันทึกการเข้า

แสนยานุภาพผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดิน
แอ่นแอ๊น
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,591


"Angela Gheorghiu" My goddess


เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 21-06-2006, 15:06 »

บ้าอำนาจ ชอบใช้กำลังตัดสินปัญหาเหมือนกัน เอะอะก็จะเอาปืนไปถล่มชาวบ้าน  Twisted Evil
บันทึกการเข้า

       

"เมื่อเจตนาเบี่ยงเบนไปจากความจริง การนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง บางทีก็เป็นเพียงภาษาสุภาพสำหรับการพูดเท็จนั่นเอง" : วิถีแห่งปราชญ์ พิมพ์ครั้งที่ ๗ หน้า ๒๐๖
AsianNeocon
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,277


中華萬歲﹗ LONG LIVE CHINA!


เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 21-06-2006, 17:54 »

2 วายร้ายของโลก เลือดเย็น อำมหิต และ โกหกเป็นนิจ
บันทึกการเข้า

จูล่ง_j
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,901



« ตอบ #4 เมื่อ: 22-06-2006, 01:28 »

ทุกวันนี้ ผมยัง งง ไม่หาย ทักษินมันหลุดมาจากคดี ซุกหุ้นครั้งแรกได้อย่างไร

เจตนา เอาหุ้น ไปซุกโน่นซุกนี่ แล้วบอกบกพร่องโดยสุจริต มัน สุจริต ตรงไหนฟะ
บันทึกการเข้า

so what?
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,729


« ตอบ #5 เมื่อ: 22-06-2006, 01:39 »

ถ้าคลินตันไม่มีเรื่อง blow job ใน Oval Room
บุชก็ไม่มีทางชนะกอร์ ในการเลือกตั้งเมื่หาปีกว่าที่แล้วหรอกครับ

ส่วนข้ออ้างที่บุชใช้ในการไล่โจมตีอัฟกานิสถานจนต่อเนื่องมาถึงอิรัก
ก็มาจากเหตุการณ์ 9/11 เท่านั้น ซึ่งคนอเมริกันตอนนั้นไม่มีทางเลือกมากนัก
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: