ทัศนะวิจารณ์ แกะรอยการเมือง
3 กันยายน พ.ศ. 2551 03:00:00
เหลือเชื่อยังไม่"ลาออก" :กลุ่มพันธมิตร และ นปช.ปะทะกันจนมีผู้เสียชีวิต1รายและผู้บาดเจ็บกว่า 40 คน ฆฤณ
weerasak@nationgroup.comกรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : "ผู้นำที่อ่อนแอ มักใช้กฎหมายที่เข้มแข็ง หวังพยุงให้ตัวเองอยู่ในอำนาจต่อไปได้...แต่สุดท้ายมักไปไม่รอด เพราะเนื้อแท้ของการประคับประคองอำนาจ อยู่ที่ บารมีและคุณธรรม หาใช่กฎหมาย"!!!
พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ถือเป็น "ยาแรง" แถม "ให้เกินขนาด" สำหรับการแก้โรคความขัดแย้งทางการเมือง เพราะหากจะแก้ไขด้วยวิถีทางการเมืองจริงๆ ก็สามารถดำเนินการได้ เพราะในระบอบประชาธิปไตย มีให้เลือกวางเป็นกติกาอยู่แล้วว่า หากไม่สามารถบริหารประเทศต่อไปได้ ไม่ว่าจะเกิดจาก บกพร่อง...ผิดพลาด...หรือคอร์รัปชัน วิถีทาง "ลาออกหรือยุบสภา" เป็นกระบวนการทางประชาธิปไตยที่ได้วางเส้นทางไว้แล้ว
เลือกใช้ "ยาแรง" เพียงหวังอยู่ในอำนาจ ผลข้างเคียง คือความเสียหายของประเทศอย่างใหญ่หลวง โดยเฉพาะการท่องเที่ยว และลงทุนจากต่างชาติ
โดยหลงลืมไปว่า...ไร้ซึ่งอำนาจในการบริหารประเทศมานานแล้ว
หาก "ตำรวจ" ตระหนักสักนิด... ก็ไม่จำเป็นต้องออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะโดยวิสัยและสำนึกของคนทั่วไปน่าจะประเมินได้ว่าการปล่อยให้ฝูงชนเคลื่อนมาปะทะกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ถนนราชดำเนิน จนทำให้ระยะห่างของ 2 ม็อบแคบลงนั้น อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง เพราะบทเรียนความรุนแรงที่อุดรธานี และการปะทะกันหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก่อนหน้านี้ ถือเป็นตำราดูแลม็อบได้อย่างดี
ความรุนแรงที่เกิดขึ้น นำมาซึ่งผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บอย่างมากนั้น หากเป็น "ผู้นำ" ที่มีคุณธรรมสูงแล้ว เช้ามืดวันที่ 2 กันยายน ที่ผ่านมา เขาจะแถลงกับประชาชนของเขาว่า....ผมเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ...เพื่อแสดงความรับผิดชอบ ผมขอลาออก"!!!
ประโยคนี้ต่างหาก ที่เป็นยาบำรุง แทนการดันทุรังใช้ "ยาแรง" สร้างความเสียหายไปทั่วประเทศ
การลาออก เพื่อแสดงความรับผิดชอบ เป็นไปตามมาตรฐานเบื้องต้นของนักการเมืองทั่วโลก แต่สิ่งที่เราเห็นและได้ยินในช่วงเช้า 07.20 น. "ผู้นำ" เดินทางมายังศาลาว่าการ กทม. "อย่างอารมณ์ดี" พร้อมแถลงเปิดตัวผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. "ประภัสร์ จงสงวน"
ช่างเป็นภารกิจแรกที่สำคัญยิ่ง....!!!
เมื่อถึงเวลา 9.00 น.กับภารกิจที่สองของวัน แถลงเหตุผลของการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน...ทำให้ยิ่งน่าเศร้าขึ้นไปอีก เมื่อซักถามผู้สื่อข่าว ถึงคนตายว่า "อยู่ข้างไหน"
ผิดกับท่าทีของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก หรือ ผบ.ทบ. ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ตามกฎหมาย ออกมาแถลงข่าวช่วง 13.40 น. แม้จะเป็นเพียงออกมาชี้แจงแนวทางการทำงาน...แต่ก็น่าจะมีประชาชนจำนวนมาก เข้าใจไปแล้วว่า "ผู้นำ" สำหรับประเทศที่ต้องการ สมานฉันท์ นั้นควรปฏิบัติตัวอย่างไร
เอาเข้าจริง ผู้ที่มีอำนาจประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ดูเหมือนจะโอนการบริหารประเทศไปให้คนอื่นโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว
เมื่อมีอำนาจ แต่ใช้อำนาจบริหารประเทศไม่ได้ ประกาศ "ลาออกหรือยุบสภา" เถอะครับ..
หากปล่อยให้เนิ่นนานไปกว่านี้ โอกาสจะไม่มีให้เลือก เนื่องจากในชีวิตหนึ่งของนักการเมือง สามารถขึ้นสูงสุดถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยความ "บังเอิญ" ถือว่าเดินทางไกลมากแล้ว ...ที่สำคัญข้อเสนอแนะของคนรอบข้างให้สู้ต่อนั้น ต้องแยกแยะออกมาให้ชัดเจน เพราะไม่ได้อิงบนพื้นฐานของทัศนคติที่ หวังดีเสมอไป
หลายครั้งยืนอยู่บนพื้นฐานผลประโยชน์และตำแหน่งที่ตนเอง "ลิ้มรส" จะสูญหายไปกับ "ผู้นำ" ซึ่งหากหันไปศึกษาบทเรียนคนรอบข้าง อดีตนายกรัฐมนตรี แล้วจะรู้ว่า "ข้อแนะนำ" ที่ผ่านมานั้นได้ทำลายเขาอย่างไรบ้าง !!!
http://www.bangkokbiznews.com/2008/09/03/news_291075.php'หมัก เมถุน' ไอ้หอกหัก รอ ผบ.ทบ.'หิ้วปีก'....
ไปขอโทษ ขอขมา 'พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย'ก่อนจะยุบสภา.....ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า