การเมืองใหม่ควรเน้นเรื่องสิทธิทางเศรษฐกิจ และสังคมของประชาชนด้วย โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ 20 กรกฎาคม 2551 21:36 น.
การจะสร้างการเมืองใหม่แบบประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนกำหนดอย่างแท้จริงแทนการเมืองแบบเก่าที่เป็นลัทธิเลือกตั้งและเผด็จการเสียงข้างมากในสภาได้นั้น ควรจะเน้นการให้การศึกษาและการต่อสู้เรื่องสิทธิที่ประชาชนพลเมืองควรจะได้รับอย่างจริงจัง ซึ่งมีความหมายกว้างกว่าสิทธิในการไปเลือกผู้แทนมากมายหลายร้อยเท่า
สิทธิมนุษยชน(Human right) นอกจากจะหมายถึง สิทธิพลเมือง (Civil right) และสิทธิทางการเมือง (political right) เช่น สิทธิในการเลือกตั้งผู้แทนอย่างอิสระโปร่งใสเป็นธรรม สิทธิในการแสดงความคิดเห็นโดยไม่ถูกปิดกั้น ทำร้าย หรือจับกุมคุมขัง แล้ว ยังหมายรวมถึงสิทธิทางเศรษฐกิจ สิทธิทางสังคมและสิทธิทางวัฒนธรรมที่มนุษย์ทุกคนควรจะได้รับจากรัฐ เช่น สิทธิในการมีส่วนร่วมในการปกครองและการใช้ทรัพยากรของประเทศอย่างเป็นประชาธิปไตย สิทธิที่จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่มีมาตรฐานพอเพียงสำหรับคนทั่วไป สิทธิที่จะได้รับบริการทั้งด้านสาธารณสุขและการศึกษา ฯลฯ โดยไม่ต้องรู้สึกเป็นหนี้บุณคุณรัฐบาลใด เพราะพลเมืองได้ทำหน้าที่เสียภาษี, เป็นทหารและทำหน้าที่อื่นๆ ให้รัฐอยู่แล้ว
คำว่า สิทธิมนุษยชน หรือสิทธิในความเป็นมนุษย์นั้นมีความหมายกว้าง รวมถึงสิทธิ 5 ด้าน คือ
สิทธิพลเมือง คือ สิทธิในชีวิต สิทธิที่จะไม่ถูกทรมาน ไม่ถูกทำร้ายร่างกาย สิทธิในการได้รับสัญชาติ สิทธิในกระบวนการยุติธรรม สิทธิในการเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน คำว่าพลเมือง มีความหมายถึงการที่ประชาชนมาอยู่ร่วมกันในสังคมโดยมีสัญญาประชาคมร่วมกันว่าผู้ได้รับเลือกไปเป็นรัฐบาลมีหน้าที่ต้องบริหารประเทศเพื่อประโยชน์ประชาชนส่วนใหญ่ ถ้าไม่ทำหรือทำตรงกันข้ามพลเมืองก็มีสิทธิคัดค้านถอดถอนรัฐบาลได้
สิทธิทางการเมือง คือ สิทธิในการลงคะแนนเสียง สิทธิเสรีภาพในความเชื่อทางการเมือง การนับถือศาสนา สิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็น ในการชุมนุม ในการรวมตัวกันเป็นสมาคม และการดำเนินการทางการเมือง ในการตีพิมพ์โฆษณาและในการมีส่วนร่วมทางการเมือง
สิทธิทางเศรษฐกิจ คือ สิทธิในการทำงานทำ ในการประกอบอาชีพ สิทธิในการได้รับค่าจ้างและราคาผลผลิตอย่างเป็นธรรม สิทธิในการได้รับการจัดสถานที่ให้ประกอบอาชีพ เช่น ลานค้า หรือ ตลาดนัด สิทธิได้รับการคุ้มครองในการแข่งขันทางการค้าอย่างเป็นธรรม สิทธิได้รับหลักประกันการมีมาตรฐานชีวิตอย่างเพียงพอ สิทธิมีที่อยู่อาศัย และสิทธิมีอาหารการกินอย่างเต็มอิ่มรัฐบาลจะต้องดูแลไม่ให้คนอดยากจนข้นแค้น
สิทธิทางสังคม คือ สิทธิได้รับประกันสุขภาพ ได้รับเงินบำเหน็จบำนาญเลี้ยงตัวเมื่อชรา สิทธิในการเลือกคู่ครอง สิทธิได้รับการรักษาพยาบาลและการมียาราคาถูก สิทธิของแม่ลูกอ่อนในการได้รับสวัสดิการ สิทธิของเด็ก ผู้หญิง และ คนพิการ สิทธิไม่ถูกเลือกปฏิบัติอันเนื่องมาจากความแตกต่างด้านความเชื่อทางการเมือง ศาสนา เชื้อชาติ อายุ เพศ และผิว
สิทธิทางวัฒนธรรม คือ สิทธิในการได้รับการศึกษา สิทธิในการแต่งกายตามความเชื่อ หรือตามใจอยาก สิทธิในการปฏิบัติตามประเพณีและความเชื่อ สิทธิในการมีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจสาธารณะ สิทธิในการมีศูนย์ศิลปวัฒนธรรม การบันเทิงและกีฬา
ทั้งนี้หมายถึงว่าการใช้สิทธินั้นๆ ต้องไม่ไปละเมิดสิทธิของคนอื่น หรือทำให้คนในสังคมมีสิทธิในทางที่ถูกที่ควรลดลง เช่น การที่กลุ่มนปก. หรือใช่ชื่ออื่นที่ไปต่อต้านการชุมชนของกลุ่มพันธมิตรฯ ในจังหวัดต่างๆ ด้วยการด่าทอ ขว้างปา ทำร้ายร่างกายนั้น เป็นการละเมิดสิทธิคนอื่น ควรได้รับการลงโทษตามกฎหมาย พวกเขามีสิทธิที่จะไม่เห็นด้วยกับกลุ่มพันธมิตรฯ และแสดงความเห็นคัดค้าน หรือจัดชุมนุมของกลุ่มตนเองได้ แต่ไม่มีสิทธิที่จะไปด่าทอและทำร้ายคนอื่น
สิทธิของกลุ่มชน และสิทธิในบางเรื่องที่สำคัญ ที่ผู้มีการศึกษาควรให้การศึกษาแก่พลเมืองและรณรงค์ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย
สิทธิสตรี (Rights of women) ที่จะได้รับการศึกษา ทำงานและได้รับการปฏิบัติต่ออย่างเสมอภาคทัดเทียมกับบุรุษ
สิทธิเด็ก (Rights of children) สิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครอง มีชีวิตที่มีสุขภาวะ ได้รับการศึกษา ไม่ถูกใช้แรงงานเกินวัยอันเหมาะสม ไม่ถูกกักขังหน่วงเหนี่ยว เฆี่ยนตี ล่วงเกินทางเพศ หรือถูกบังคับให้เป็นแรงงาน ทาส หรือโสเภณี
สิทธิของชนกลุ่มน้อย (Rights of indigenous people) ที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาค เท่าพลเมืองคนอื่น
สิทธิในที่ทำกิน (Rights To land) โดยไม่ถูกไล่ที่ ไม่ถูกคดโกง เอาเปรียบจากเจ้าหน้าที่รัฐหรือคนที่มีอำนาจมากกว่า
สิทธิมีงานทำ และสิทธิในการประกอบอาชีพโดยได้รับการคุ้มครอง (Rights to work) โดยไม่ถูกเลิกจ้าง ถูกขับไล่จากที่ทำกิน หรือ แหล่งขายสินค้า เช่น กรณีหาบเร่ และแผงลอย ถูกไล่ที่ หรือ ไล่จับ
สิทธิที่อยู่อาศัยอย่างเหมาะสม (Rights to adequate housing) เช่น การพัฒนาชุมชนแออัด การสร้างอาคารสงเคราะห์ และการให้ความช่วยเหลือให้ประชาชนที่ยากจนได้มีที่อยู่อาศัย
สิทธิมีอาหารการกินอย่างเหมาะสม (Rights to adequate food) ไม่อดอยากหรือเกิดภาวะทุกขโภชนาการในชนบท และในหมู่คนจนในเมือง
สิทธิได้รับการพยาบาล (Rights to health) โดยไม่ถูกปฏิเสธจากหมอ โรงพยาบาล หรือไม่ถูกคิดค่ารักษาพยาบาลแพงเกินเหตุ
สิทธิได้รับการศึกษา (Rights to education) ที่มีคุณภาพโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย อย่างน้อยในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
สิทธิได้รับการประกันสังคม (Rights to social security) คือ สิทธิของแรงงานและประชาชนที่จะได้รับการคุ้มครองชดเชย ค่ารักษาพยาบาล การเกิดอุบัติเหตุ การตกงาน การชราภาพหรือเกษียณอายุ จากรัฐหรือหน่วยงานด้านการประกันสังคมซึ่งควรขยายถึงประชาชนทุกคนนอกจากแรงงานที่เป็นลูกจ้างในสถานประกอบการ เช่นเกษตรกร ผู้ประกอบอาชีพอิสระรายย่อย
รัฐบาลและภาคสังคมประชาต้องให้การศึกษาเรื่องสิทธิเหล่านี้ทั้งในโรงเรียนและแก่พลเมืองทั่วไป และรัฐบาลต้องประกันสิทธิเหล่านี้ให้กับพลเมืองของตน ตัวอย่างเช่น พลเมืองควรมีสิทธิที่จะมีน้ำที่สะอาดและปลอดภัยไว้กินไว้ใช้ เพราะเป็นความจำเป็นขั้นพื้นฐานของชีวิตมนุษย์ รัฐบาลจึงมีหน้าที่จัดหาบริการน้ำสะอาดให้กับประชาชนทั่วประเทศในราคาที่ต่ำพอที่ทุกคนจะเข้าถึงได้
ในประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศ มีปัญหารัฐบาลคอรัปชั่นและขาดประสิทธิภาพ ทำให้การบริการสาธารณูปโภค รวมทั้งน้ำประปาทำได้ไม่ทั่วถึง และมีแนวคิดที่ผลักดันมาจากธนาคารโลกให้มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจสาธารณูปโภคให้เป็นของบริษัทเอกชนซึ่งช่วยได้เฉพาะคนรวยคนชั้นกลางเมืองในเมือง แถมราคาสูงอีก แนวทางออกที่ดีกว่า คือการปฎิรูปรัฐวิสาหกิจหรือ แปรรูปให้เป็นสหกรณ์ผู้ใช้น้ำที่มีประสิทธิภาพและให้บริการประชาชนได้อย่างทั่วถึง เป็นธรรม รัฐบาลไม่ควรโอนกิจการน้ำประปาให้เป็นของเอกชนและทำให้กลายเป็นสินค้าเพื่อการหากำไรของเอกชน เพราะเท่ากับเป็นการทำให้น้ำสะอาดกลายเป็นสินค้าที่เข้าถึงเฉพาะผู้บริโภคที่เป็นคนรวยคนชั้นกลาง แต่คนจนเข้าไม่ถึง ประสบการณ์ในหลายประเทศ พบว่าสหกรณ์ผู้ใช้น้ำประปา สหกรณ์ผู้ใช้ไฟฟ้าชนบท ทำงานได้มีประสิทธิภาพสำหรับส่วนรวม มากกว่ากิจการประเภทเดียวกันทั้งของรัฐวิสาหกิจและบริษัทเอกชน สิทธิในการทำมาหากินและการมีงานทำ
ประชาชนในสังคมดั้งเดิมทำมาหากินในภาคเกษตรและหัตถกรรมแบบพึ่งพาตนเองได้ โดยไม่จำเป็นต้องถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของตลาดระดับชาติหรือระดับโลก แต่ระบบโลกาภิวัฒน์โดยบรรษัทข้ามชาติ ทำให้เกษตรกรและชาวประมงเข้ามาสู่ระบบตลาด เป็นหนี้ และขาดทุนอย่างต่อเนื่อง กลายมาเป็นเกษตรกรและชาวประมงที่เป็นหนี้หรือเป็นคนงานตามพันธสัญญากับบรรษัท และบางส่วนอพยพไปเป็นแรงงานรับจ้างและผู้ประกอบอาชีพอิสระรายย่อยในเมือง
การจ้างงานในภาคอุตสาหกรรม การค้า และบริการ จ้างงานคนได้เพียงส่วนหนึ่ง เพราะระบบทุนนิยมอุตสาหกรรมโดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่เน้นการใช้เครื่องจักรและคอมพิวเตอร์เพื่อลดต้นทุนการผลิตและการหากำไรให้บริษัท การขยายตัวของห้างค้าปลีกขนาดยักษ์ของทุนต่างชาติในประเทศไทยทำให้ร้านค้าเล็กๆ ต้องขาดทุนปิดกิจการ คนตกงานเพิ่มขึ้น ปัจจุบันองค์การแรงงานโลกรายงานว่ามีคนงานในประเทศกำลังพัฒนาทั่วทั้งโลกราว 30% ที่ว่างงานหรือทำงานต่ำกว่าระดับ
การว่างงาน สร้างปัญหาทั้งความยากลำบากในทางกายภาพและทางจิตใจเพราะทำให้คนว่างงานนานๆรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องแก้ไขเป็นอันดับแรก คนที่มีงานทำจำนวนมากก็ทำงานภายใต้เงื่อนไขของการถูกเอารัดเอาเปรียบ และภายใต้สภาพแวดล้อมการทำงานที่เสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพและอุบัติเหตุ
ดังนั้นสังคมที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงจะต้องปกป้องสิทธิในการทำมาหากินและการมีงานทำของประชาชน ทั้งในภาคเกษตรแบบพึ่งตนเอง ภาคการผลิตแบบผู้ประกอบอาชีพอิสระรายย่อย และสิทธิของคนงานที่จะไม่ถูกเอาเปรียบในภาคอุตสาหกรรม การค้าและบริการ ผ่านขบวนการสหภาพแรงงาน สหกรณ์คนงาน สหกรณ์ผู้ผลิต ผู้บริโภค สหกรณ์ร้านค้า และองค์กรเพื่อช่วยเหลือกันและกันของประชาชนประเภทต่างๆ
การส่งเสริมการผลิตขนาดเล็กและขนาดกลางในท้องถิ่นจะส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม การจ้างงานและเศรษฐกิจท้องถิ่นมากกว่าการผลิตขนาดใหญ่ที่เป็นของนายทุนนอกท้องถิ่นหรือนอกประเทศ ที่มักใช้เครื่องจักร คอมพิวเตอร์ ทุนเทคโนโลยีระดับสูง และทำให้มีการสั่งเข้าสินค้าจากต่างประเทศและกำไรไหลออกไปต่างประเทศมาก การฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชนให้เข้มแข็งจะเป็นประโยชน์ในด้านการประหยัดพลังงาน เพราะไม่ต้องขนส่งไกล และประชาชนจะดูแลเรื่องความปลอดภัยของสินค้า และสภาพแวดล้อมได้ใกล้ชิดกว่าการปล่อยให้บริษัทขนาดใหญ่ซึ่งมุ่งแต่ผลกำไรส่วนตัวเป็นผู้ผูกขาดควบคุมการลงทุนและการตลาด
http://www.manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9510000085294ที่เอาบทความมาแปะ นี้คือ ทฤษฏี ทั้งนั้นน่ะครับ ใกล้แล้วที่เราจะได้เริ่มปฏิบัติ การปฎิบัติ ไม่ใช่แค่ พธม. ต้อง ปชช. นักวิชา ทั้งประเทศ แต่ พธม. เป็นแค่คนจุดประกาย