ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
17-04-2024, 00:34
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ++ถ้าปล่อยแบบนี้ต่อไป ทุนสำรองจะเกลี้ยงใน 2 ปี (จะสามัคคีกับคนก่อวิกฤตเหรอ)++ 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
++ถ้าปล่อยแบบนี้ต่อไป ทุนสำรองจะเกลี้ยงใน 2 ปี (จะสามัคคีกับคนก่อวิกฤตเหรอ)++  (อ่าน 2105 ครั้ง)
AsianNeocon
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,277


中華萬歲﹗ LONG LIVE CHINA!


เว็บไซต์
« เมื่อ: 18-06-2006, 09:03 »

คุณทนง ขันทอง (คนละคนกับ "ทนงซัง") เขียนบทความลงใน The Nation ตั้ั้งแต่ปีที่แล้ว 2005 ซึ่งอ่านเข้าใจง่าย แต่เสียดายเป็นภาษาฝรั่ง ทำให้บทความไม่ค่อยแพร่หลาย

แหล่งบทวิเคราะห์
http://www.nationmultimedia.com/search/page.arcview.php?clid=11&id=116849&date=2005-06-10

At the same time, the Bank of Thailand has signalled that it is determined to maintain economic stability. Core inflation nudged up from 0.8 per cent in April to 1.2 per cent in May. The central bank is also afraid that the current account could turn into a deficit for the whole year.
โจรหน้าเหลี่ยมประกาศลั่นจะทำให้เศรษฐกิจโตอีก 5% ให้ แต่ทว่าตัวเลขล่าสุดคือขณะนี้ เงินเฟ้อโตขึ้นไปด้วย เดือนเม.ย. เงินเฟ้อ 0.8% ต่อเดือน ในเดือนพ.ค. 1.2% ต่อเดือน (ย้ำนะครับต่อเดือน) แบงก์ชาติก็เกรงว่าปล่อยแบบนี้ต่อไปดุลบัญชีเดินสะพัดทั้งปีอาจติดลบได้

The US Federal Reserve has kept its funds rate at 3 per cent and might bring it up another notch to 3.25 per cent this year. If that is the case, the gap between the US and Thai rates will widen to a full percentage point. And so the Thai central bank yesterday decided to raise its short-term policy rate from 2.25 per cent to 2.5 per cent to deter capital outflow.
Fed Funds Rate ขณะนี้อยู่ที่ 3% และมีความเป็นไปได้ที่จะขึ้นอีก 1 สลึงไปอยู่ที่ 3.25% ภายในปีนี้ หากเป็นงั้นแล้วจะทำให้อเมริกาและไทยมีช่องว่างอัตราดอกเบี้ยห่างกันถึง 1% เต็มๆ ดังนั้ขณะนี้เราจึงเห็นแบงก์ชาติของไทยเร่งสปีดขึ้นดอกเบี้ยไปอยู่ประมาณสัก 2.5% เพื่อสะกัดเงินทุนไหลออก

So where do we go from here? Knowing this gutsy business-minded administration, which seems to favour high-risk bets for high return, we should expect high growth and compromised economic stability. To achieve a growth rate of 5 per cent, the government will have to go ahead with public-sector spending to boost growth at a time when exports, consumption and private investment appear to be losing steam. Meanwhile, imports keep rising on the back of higher oil prices and prices of other capital goods.
แล้วมันหมายความว่าอะไร?

ถ้าไปยืนอยู่ในใจของรัฐบาลนี้ ที่ชอบอะไรเสี่ยงๆผลตอบแทนสูงๆ ก็ฟันธงได้เลยว่า เขาต้องการอัตราเติบโต GDP สูงๆ ส่วนเสถียรภาพช่างมัน หากว่าต้องการโตต่อ 5% มีทางเดียวที่จะทำได้คือ กระตุ้นการใช้จ่ายภาคสาธารณะ (G) เพิ่มอีก เพราะการส่งออก (X) และการลงทุนของเอกชน (I) คงไปต่อไม่ได้มากแล้ว ในขณะที่การนำเข้า (M) กลับเพิ่มขึ้นเมื่อราคาน้ำมันและสินค้าทุนพุ่งขึ้นมา


Already, the economy has recorded a growth rate of 3.3 per cent in the first quarter of this year, down a seasonably adjusted 0.6 per cent from the previous quarter. In the first four months of this year, Thailand recorded a US$4.99-billion (Bt203-billion) trade deficit and a $3.11-billion current account deficit. The Thaksin government is afraid that if growth slows, it will have to work that much harder to crank things up when the situation improves.
เพียงแค่ 4 เดือนแรกของปี 2548 ประเทศไทยขาดดุลการค้าไปแล้ว US$4,990,000,000 หรือ 203,000,000,000 บาท  และขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเท่ากับ US$3,110,000,000 หรือ 120,000,000,000 บาท โดยประมาณจะให้ แต่รัฐบาลโจรหน้าเหลี่ยมยังคง GDP โตต่อไป

Yet any further stimulus could lead to the further deterioration of the current account. If Thailand is to continue to face a current account deficit of $1.5 billion a month, its international reserves, now at $49 billion, will run out in about two years’ time. Central bank officials still have bitter memories of the 1997 financial crisis, when the country lost all of its international reserves in a matter of six or seven months.
แต่แล้ว การกระตุ้นต่ออาจไปทำลายดุลบัญชีเดินสะพัดได้ หากปล่อยให้ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลในอัตรา $1,500,000,000/เดือน ทุนสำรองทางการมูลค่า $49,000,000,000 ก็จะหมดภายใน 2 ปี คนในแบงก์ชาติยังจำติดตาได้ดีสมัยปี 1997 ที่ประเทศไทยอยู่ในสถานะที่ทุนสำรองกำลังหมดภายใน 6-7 เดือน

(เห็นอะไรหรือยัง Question ถ้าแบงก์ชาติยันกับไอ้เหลี่ยมไม่ได้ แล้วไอ้ที่เสนอจะให้ไปปรองดองกับไอ้เหลี่ยม ไอ้เหลี่ยมจะทำอะไรต่อไป Question)


They do not want to see a repeat. Yet they have to work with a government that is obsessed with high economic growth rates. If the government keeps on promoting consumption, subsidising the oil prices and ploughing billions into infrastructure projects without careful consideration, the country’s import bills will continue to rise, widening the current account deficit. Before the 1997 crisis, growing imports of raw materials and capital goods were interpreted as the base for future exports and earnings. As it turned out, the imports were also aimed at domestic consumption that did not actually produce foreign earnings and became one of the catalysts of the financial crisis.
หากว่า ปล่อยให้รัฐบาลนี้ที่บ้า GDP ถลุงต่อ ด้วยการกระตุ้นให้บริโภคต่อ ตรึงราคาน้ำมัน ละลายเงินไปกับ megaprojects ซึ่งล้วนแต่ทำให้การนำเข้าพุ่งทะยาน ทำให้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดกว้างขึ้น สมัยปีก่อนปี 1997 การนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าทุนที่โตขึ้น ถูก "แปลอย่างสวยงาม" ว่า เพื่อเป็นฐานรองรับการส่งออกและรายรับในอนาคต (เรียกว่า ศรีธนญชัย ดีไหม Question) แต่ความจริงก็ปรากฎขึ้นมาภายหลังว่า การนำเข้า เหล่านั้น เอาเข้ามาเพื่อมา "กู้ กิน ใช้" และไม่ได้สร้างผลตอบแทนอะไรกลับมาเลย และในที่สุดก็เป็นตัวเร่งให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินเร็วขึ้น

Now it looks like a repeat of this stark scenario as imports are once again going towards consumption. But the government likes to say that they are bound for factories whose production capacities are reaching the limit where more stock build-up is needed for further exports. Thaksin appears to be losing his touch. His government likes to boast that it has succeeded in helping the economy recover through domestic consumption, while in fact the economy has become even more globalised than it was during the pre-crisis period, with exports playing a key role in driving growth.
และความทรงจำอย่างนั้น กำลังย้อนกลับมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อรัฐบาลนี้ชอบพูดเหลือเกินว่า "การนำเข้าเพื่อมาสู่การผลิต เพราะกำลังการผลิตเพื่อส่งออกเต็มแล้ว" แล้วก็แปลกที่รัฐบาลโจรหน้าเหลี่ยม เคยอวดอ้างความสำเร็จในการกระตุ้นการใช้จ่ายแล้วทำให้เศรษฐกิจฟื้น ซึ่งพื้นฐานเศรษฐกิจไทยขณะนี้เปิดออกสู่โลกภายนอกมากกว่าสมัยก่อนวิกฤตมากนัก

MR Pridiyathorn Devakula, the central bank governor, is very conscious about the international reserves. During his term, he has increased them by US$10 billion by intervening in the foreign exchange market to keep the baht relatively weak and competitive. He understands that export competitiveness must come first. One of the ramifications of this policy is that some Bt40 billion has been pumped into the financial system to create the excess liquidity.
ทุนสำรองที่มันเพิ่มขึ้นตลอดมา เกิดจากความดีความชอบของโจรหน้าเหลี่ยมหรือเปล่า Question แล้วมันน่าดีใจหรือเปล่า มาดูความจริงดีกว่าหม่อมอุ๋ยคอยดูแลทุนสำรองทางการอย่างดี ในช่วงแรก ทุนสำรองเพิ่มขึ้น $10,000,000,000 ด้วยการไป "แทรกแซง" ตลาดเงินต่างต่างประเทศ เพื่อกดค่าเงินบาทให้ต่ำ จะได้ไปแข่งขันได้ เพราะความสามารถในการแข่งขันส่งออกของไทยมีความสำคัญอันดับหนึ่ง แต่การไปกดค่าเงินเช่นนั้น ทำให้ต้องปั๊มป์เงินสู่ระบบถึง 4 หมื่นล้านบาท เกิดเป็นสภาพคล่องส่วนเกิน (ที่เราเห็นดอกเบี้ยต่ำในช่วงก่อน)

Pridiyathorn is by any standard a clever man who knows how to navigate treacherous political waters. He understands the politics of the day and is ready to work with the government to promote growth. Yet at the end of the day, overall growth and stability must both be achieved. The governor delayed raising the interest rate in April to signal to the Thaksin government that the central bank was ready to accommodate economic growth. For this he was criticised for yielding to political pressure. But a few days afterward, the central bank started to suck the money out of the financial system, implying Pridiyathorn’s determination to stabilise the economy. Few people took notice of this action because they were focused on the 14-day repurchase rate remaining unchanged, at the time, at 2.25 per cent.
หม่อมอุ๋ย พยายามเลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยมานานแล้ว แต่ในที่สุดก็ทำ ในขณะที่ทุกคนไปจดจ้องว่า แบงก์ชาติจะขึ้นดอกเบี้ย RP 14 วันหรือไม่ หม่อมอุ๋ยก็ค่อยๆเริ่มดูดเงินออกจากระบบ

In fact, the policy rate would not really affect the money market because the inter-bank rate was moving lower. If the policy rate had been raised, the banks, awash with liquidity, would have been more than happy to lend to the central bank at higher rates than the cost of their funds. To really make the market work, the inter-bank rate and the repurchase rate must converge at a similar level, leaving the repurchase rate to really move the market. And Pridiyathorn is moving along this line.

ความจริงแล้ว อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ไม่ส่งผลต่อตลาดเงินมากนัก เพราะว่า อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างธนาคารลดต่ำลง ถ้าหากขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธนาคารพาณิชย์ซึ่งมีสภาพคล่องล้นอยู่แล้ว ก็จะยิ่งแฮปปี้มาขึ้น กลายเป็นกลับมาปล่อยกู้ให้ กับแบงก์ชาติในอัตราที่สูงกว่าต้นทุนของเงินทุน ถ้าต้องการให้ตลาดทำงาน อัตรากู้ยืมระหว่างธนาคาร และ RP จะต้องอยู่ในระดับเดียวกัน และให้ RP เป็นต้วขับเคลื่อน และหม่อมอุ๋ยก็กำลังพยายามทำอยู่



ตอนนี้คงได้แต่มานั่งลุ้นว่า ความพยายามของแบงก์ชาติจะสำเร็จหรือเปล่า

ไม่ใช่ไอ้เหลี่ยมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันรู้ยิ่งกว่ารู้ซะอีก จะสังเกตเห็นว่า สิ่งที่มันทำเช่น ดันตัวเลข GDP โตๆ แบบนี้ ได้ประโยชน์ต่อมันหลายต่อ แบบยิงนัดเดียวได้นกมาไม่ต่ำกว่า 4 ตัว เช่น เอาไว้หาเสียงกับคนโง่, ซ่อนตัวเลขหนี้รูปแบบต่างในรูปของ %/GDP, คนโง่กู้เงินมาใช้จ่ายต่อ ธุรกิจมันและพรรคพวกก็โกยต่อในช่วงรักษาการณ์ได้อีก,สร้างข่าวดันหุ้นในสังกัด ลากแมงเม่าโง่ขึ้นไปเชือด, ตอนจบหากทุนสำรองทางการร่อยหรอ ยังสามารถทำกำไรจากการทุบเงินบาทได้อีกรอบ ฯลฯ

เห็นหรือยังว่า ทำไมขณะนี้ ออมสิน ธกส. กองทุนเงินประกันสังคม รัฐวิสาหกิจต่างๆ จึงได้ตกเป็นเป้าหมายในการถลุงแหลกรอบสุดท้าย Question เพราะองค์กรเหล่านี้อยู่นอกการควบคุมของหม่อมอุ๋ยและแบงก์ชาติไง

เห็นหรือยังว่า ทำไมมันจะต้องเล่นเกม "ยื้อ" รักษาการณ์ไปเรื่อยๆ Question ตอนนี้ผมเชื่อว่า ในใจมันก็นั่งยิ้มด้วย "เออ มึงฟ้องกันเข้าไป มันฟ้องกู กูฟ้องมัน กูก็รักษาการณ์ต่อ 555"

แล้วคุณจะ "เจรจา" "ปรองดอง" กับคนที่กำลังจะก่อความวิบัติให้ประเทศชาติเหรอ Question
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-06-2006, 09:51 โดย ThaiTruth » บันทึกการเข้า

55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« ตอบ #1 เมื่อ: 18-06-2006, 09:32 »

นี่ล่ะครับ เหตุผลที่ว่าทำไมผู้ว่าแบงค์ชาติ จึงควรมีอิสระจากการเมือง เพราะจะได้เป็นตัวถ่วงดุลย์ในลักษณะที่รัฐบาลหาเสียงโดยไม่คิดถึงผลเสียระยะยาว ทั้ง ๆ ที่ รู้ทั้งรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต.....ประสพการณ์ในยุคผู้ว่าแบ็งชาติที่นักการเมืองสั่งได้ ก็คือผู้ว่าเริงชัย มะระกานนท์ไงครับ ที่มีการสั่งการให้สู้ค่าเงินบาท จนเป็นที่มาของฟองสบู่แตกที่เราเจ็บปวดกันมาจนทุกวันนี้........ในยุคผู้ว่าหม่อมเต่า ก็มีการปะทะกันมารอบหนึ่งแล้ว ..........ทักษิณกำลังเล่นกับเศรษฐกิจ เหมือนเล่นการพนันอยู่ถ้าชนะก็เอาตัวรอดได้ แต่ถ้าแพ้........ตายหมู่ครับ แต่ตัวเองไม่เดือดร้อนกรณี เมก้าโปรเจ็ค ก็เหมือนกันครับ คงต้องคิดกันให้ดี เพราะการนำผู้รับเหมาต่างชาติเข้ามาก็ไม่ได้หมายความว่า จะมีเม็ดเงินมหาศาลตามเข้ามาด้วย เพราะเราต้องนำเข้าเทคโนโลยี รวมทั้งวัสดุอุปกรณ์ ต่าง ๆ ที่ไม่มีผลิตในประเทศไทย เป็นอย่างนี้แล้วน่ามีเม็ดเงินออกไป มากกว่าเข้า เราเองอาจจะได้บ้างจากการเพิ่มการจ้างงาน และวัสดุบางชนิดที่เราผลิตเองได้ในประเทศ แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรเมื่อเทียบกับที่ต้องนำเข้ามา........ที่นี้หลังจากที่โครงการเสร็จแล้วถึงจุดที่ทำกำไร.ตอนนี้แหละเค้าขนเงินออกไปเต็ม ๆ.........เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับที่ไม่ควรมีการประณีประนอม.....การรักษาโรค ต้องแก้ที่ต้นเหตุแห่งโรคภัยไข้เจ็บครับ....นั่นก็คือนักการเมืองเลว ๆ นั่นเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-06-2006, 09:34 โดย 55555 » บันทึกการเข้า
engg
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 388


« ตอบ #2 เมื่อ: 18-06-2006, 11:14 »

Mr. Greenผ่านมา 1 ปีแล้ว ปัจจุบันดีขึ้นหรือแย่ลง Mr. Green
บันทึกการเข้า
engg
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 388


« ตอบ #3 เมื่อ: 18-06-2006, 11:21 »

Mr. Green เรื่องสำคัญขนาดนี้ ข้อมูลล่าสุด ตัดสินใจได้ถูกต้อง Mr. Green

Mr. Green ปัจจัยต่างๆ ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงเร็ว ต้องการผู้รู้จริง Mr. Green

Mr. Green หนังสือพิมพ์ไม่น่าจะใช้ได้ Mr. Green
บันทึกการเข้า
p
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,264


« ตอบ #4 เมื่อ: 18-06-2006, 11:31 »

เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับที่ไม่ควรมีการประณีประนอม.....การรักษาโรค ต้องแก้ที่ต้นเหตุแห่งโรคภัยไข้เจ็บครับ....นั่นก็คือนักการเมืองเลว ๆ นั่นเอง[/color]

ก็ทราบครับว่าต้นตอจริงๆก็คือนักการเมืองเลวๆ
แต่พวกนี้เขา "... หนา"จริงๆครับ
จะฆ่าให้ตายด้วยลูกกระสุนเพียงนัดเดียว
ก็มีทางเป็นไปได้
แต่เราก็ทำไม่ได้
เดี๋ยวจะถูกประนามว่าเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน
อีกทั้งยังผิดศีลและผิดกฏหมายอีกด้วย

ตกลงจะทำอย่างไรดีครับ

 Question
บันทึกการเข้า

ถ้ามัวคิดแต่จะโกงและเอาเปรียบคนอื่น จะสอนลูกหลานให้เป็นคนดีได้อย่างไร
AsianNeocon
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,277


中華萬歲﹗ LONG LIVE CHINA!


เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 18-06-2006, 11:38 »

Mr. Green เรื่องสำคัญขนาดนี้ ข้อมูลล่าสุด ตัดสินใจได้ถูกต้อง Mr. Green
Mr. Green ปัจจัยต่างๆ ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงเร็ว ต้องการผู้รู้จริง Mr. Green
Mr. Green หนังสือพิมพ์ไม่น่าจะใช้ได้ Mr. Green

แล้ว "ผู้รู้จริง" ที่คุณ engg หมายถึง ได้แก่ใครครับ Question อย่าพูดลอยๆ ระบุให้เฉพาะลงไปหน่อยดีกว่าไหมครับ

ผมคิดว่า เราประมวลจากสิ่งต่างๆ ทั้งคู่ค้า บรรยากาศข้างนอก สะสมข่าวตามหน้านสพ. คงไม่มีใครยึดนสพ.อย่างเดียว แล้วก็ไม่ชอบแบบว่า พอมันเกิดแล้ว "ผู้รู้จริง" โผล่ตามจอตู้ นสพ. ตอนชาวบ้านหนีตายอลหม่าน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-06-2006, 11:51 โดย ThaiTruth » บันทึกการเข้า

O_envi
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 495



« ตอบ #6 เมื่อ: 18-06-2006, 16:11 »

ผมว่าพอทักษิณลงไปแล้วจะแย่ครับ เพราะสิ่งที่ทักษิณหมกไว้เยอะเหลือเกิน
บันทึกการเข้า

The change musts come one by one.It has to start with you
นู๋เจ๋ง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,877



« ตอบ #7 เมื่อ: 18-06-2006, 17:50 »

ถ้า ศาล ไม่สามารถสรุปไอ้ขายชาติ ผลาญชาติ ให้ยุติบทบาท ได้ ในเร็วๆวันนี้

ไม่พ้นตุลาคมนี้ ได้มีนองเลือดค่ะ
บันทึกการเข้า

~จะแน่วแน่...แก้ไข...ในสิ่งผิด~
หน้า: [1]
    กระโดดไป: