เห็นด้วยครับ ที่สมรภูมิทำเนียบ สิ่งที่ทำได้คือยึดให้นานที่สุด ระดมพลเพิ่มเข้าไปให้มากที่สุด
แต่เราต้องรบรูปแบบอื่นๆ เช่น
"...ยังมีแนวทาง civil disobedience (ผมอยากแปลตาม อ.แก้วสรร คือ การขัดขืนของพลเมือง มากกว่าอารยะขัดขืน) แบบผิดกฎหมาย เนื่องจาก ความผิดกฎหมายดังกล่าว ถือว่าเล็กมาก เมื่อเทียบกับความผิดของรัฐบาล (เช่น การผิดรัฐธรรมนูญ การขายอธิปไตยของชาติ การผิดกฎหมายอาญาร้ายแรง ฯลฯ ) เช่น งดจ่ายภาษี การที่พันธมิตรตั้งมั่นอยู่ในทำเนียบไม่ยอมออกมา การตัดน้ำ ตัดไฟ ซึ่งผู้ต่อสู้ต้องยอมรับผิดตามกฎหมาย แม้หลังจากได้รับชัยชนะก็ตาม ซึ่งผมกำลังค้นคว้าอยู่และจะนำเสนอ หรือหากผู้ใดก็ตามช่วยกันศึกษา เพื่อสร้างสรรแนวทางต่อสู้ ที่มีประสิทธิผลและประสิทธิภาพต่อไป ใครคิดอะไรได้ดีๆ กรุณานำเสนอพันธมิตรโดยตรงไปเลยครับ
pad2551@gmail.com"
http://forum.serithai.net/index.php?topic=32812.msg341576;topicseen#msg341576หรือ ลองอ่านบทความ อ.ปราโมทย์ ยังมีมาตรการ กลยุทธ์ อีกมากครับที่เราจะพลิกแพลง ประยุกต์ใช้
"
วิเคราะห์คำถามสี่ข้อ
(1) People Power แบบฟิลิปปินส์ กับปฏิวัติประชาชนแบบไทย พลเอกสายหยุดเสนอว่า เมื่อประชาชนตระหนักในความเลวร้ายของรัฐบาลจนทนไม่ไหว ประชาชนออกมาชุมนุมประท้วงอย่างกว้างขวางจนได้ที่แล้ว ทหารไม่ควรฉวยโอกาสปฏิวัติ แต่ควรสนับสนุนประชาชน โดยตั้งมั่นอย่างมีวินัยอยู่ในกรมกอง ประกาศสนับสนุนประชาชนอย่างเปิดเผย และข่มขู่ให้รัฐบาลยอมแพ้โดย Implied Force หรือพลังแฝง ซึ่งจะไม่ยอมฟังคำบังคับบัญชาของรัฐบาลอีกต่อไป
เปรียบเทียบจุดอ่อนจุดแข็งระหว่างฟิลิปปินส์กับไทย จะเห็นได้ว่าสื่อกับนักวิชาการของไทยด้อยคุณภาพกว่า อยู่ใต้อำนาจของรัฐบาลมากกว่า สื่อโทรทัศน์นอกจาก ASTV ล้วนแต่เผยแพร่น้ำเน่าและทัศนะทาส ปิดบังความรู้ ข้อเท็จจริงและทัศนะเปรียบเทียบมิให้ถึงประชาชน ผู้นำศาสนาของฟิลิปปินส์มีประชาชนที่เคารพนับถือเป็นปึกแผ่นและเอกภาพ เพราะฟิลิปปินส์เป็นคาทอลิกเกือบทั้งประเทศ พระสงฆ์ไทยส่วนใหญ่หวังพึ่งรัฐบาล ขาดความรู้ทางการเมือง มีทัศนะคติล้าหลัง วัดอย่างธรรมกายมีฉันทะทางทุนนิยมสามานย์และอำนาจนิยม พลังที่หนุนพันธมิตรฯ อยู่เช่น สันติอโศก และพระป่าสายหลวงตาบัวมีศักยภาพสูง แต่จะต้องระดมมาอย่างเป็นระบบสุดขีดความสามารถจึงจะเป็นกำลังคุ้มภัยพันธมิตรฯ ได้
สำหรับผู้แทนราษฎรฝ่ายค้านคือพรรคประชาธิปัตย์ของไทยเป็นกึ่งแก๊งเลือกตั้งและติดยึดความคิดสมบัติผลัดกันชม คอยฉวยโอกาสแต่จะเป็นรัฐบาล จึงพึ่งให้ช่วยสร้างสุญญากาศโดยการบีบคั้นรัฐบาลหรือขู่ว่าจะลาออกอย่างผู้แทนฟิลิปปินส์ไม่ได้
ปัจจัยชี้ขาดทั้งสองประเทศก็คือกองทัพ กองทัพไทยมีความล้าหลังในทางการเมืองมากกว่า และอยู่ใต้การชี้นำของผู้บังคับบัญชาที่ได้ดีเพราะการเมืองหรือเป็นทหารการเมืองที่มี popular orientation หรือความเห็นใจใกล้ชิดกับประชาชนไม่พอ กล่าวกันว่า 90 %ของนายทหารชั้นผู้บังคับบัญชาในกองทัพเรือ 60% ในกองทัพบก และ 30%ในกองทัพอากกศ ได้ดีมีตำแหน่งและลาภยศด้วยความอุปถัมภ์ของทักษิณและรัฐบาลพรรคไทยรักไทย จึงได้ถ่ายทอดความจงรักภักดีมาถึงรัฐบาลปัจจุบัน ผมไม่สามารถยืนยันได้ว่าที่กล่าวเช่นนี้ เท็จจริงเป็นประการใด
ดังนั้น ตอบคำถามข้อที่ 1 ได้ว่า การโค่นล้มสมัครเหมือนมาร์กอสกับแอสตราดานั้น คงจะไม่ง่าย แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ ถ้าประชาชนมาชุมนุมกันอย่างมืดฟ้ามัวดิน และขยายแนวร่วมการสนับสนุนขึ้นเรื่อยๆ จนกองทัพรู้สำนึก
(2) แม้พันธมิตรฯ จะเป่านกหวีดพาคนทั่วประเทศออกมาเป็นล้าน รัฐบาลหนังหนาหน้าด้านอย่างนายสมัครจะยอมลาออกหรือ คำตอบก็คือ ยาก นายสมัครถือว่าตนกุมอำนาจในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และเป็นผู้บังคับบัญชาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยส่วนตัว นายสมัครมั่นใจในความจงรักภักดีของผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยมีความมั่นคงของตำแหน่งและผลประโยชน์ที่ติดตามมาต่างตอบแทนกันทั้ง 3 ฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีสียงนินทาว่า ผบ.ทบ. ไม่มีความรู้ร้อนหนาวในทางการเมือง ผมไม่ทราบว่าจริงหรือไม่ ที่ผบ.ทบ. ยืนหยัดเหมือนผู้ไร้เดียงสาว่าตราบใดที่ (1) รัฐบาลไม่แก้รัฐธรรมนูญเพื่อช่วยทักษิณโดยเฉพาะ และ (2) ไม่มีการจลาจลต่อสู้กันจนนองเลือด กองทัพบกจะตั้งมั่นอยู่ในกรมกอง รักษาวินัยคอยฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชาตามกฎหมายเท่านั้น
จนป่านนี้ กองทัพยังไม่รู้อีกหรือว่ารัฐบาลขาดความชอบธรรม ไม่รู้อีกหรือว่ารัฐบาลนี้ปกป้องอดีตนายกฯ ทักษิณยิ่งกว่าปกป้องพระเจ้าอยู่หัว ไม่รู้อีกหรือว่ารัฐบาลนี้รักษาประโยชน์ของพวกพ้องยิ่งกว่าประโยชน์ของชาติบ้านเมือง เห็นแก่ความมั่งคั่งของพลพรรคยิ่งกว่าความผาสุกของประชาชน จนป่านนี้ยังไม่ได้ยินพระราชกระแสดำรัสหรือว่า “บ้านเมืองกำลังจะล่มจม เพราะใช้เงินไม่ระวัง” ฯลฯ
กองทัพเชื่อหรือว่า ปัญหาการเมืองต้องไปแก้กันในสภา กองทัพเชื่อหรือว่าคอยให้ศาลต่างๆ ตัดสินไปเรื่อยๆ ปัญหาต่างๆ ก็จะหมดไปเอง กองทัพไม่เห็นหรือว่าอดีตนายกฯ รวมทั้งผู้นำปัจจุบันได้พากันปฏิเสธความยุติธรรมของศาล และร่วมกันบ่อนทำลายสถาบันของศาลด้วยเล่ห์เพทุบายและความเท็จต่างๆ นานา
นายสมัครก็จะเล่นเด้งเชือกไปเรื่อยๆ อ้างโน่นอ้างนี่ แม้กระทั่งพระเจ้าอยู่หัว โดยไม่อายปาก ซื้อเวลาปล่อยให้พันธมิตรและประชาชนหมดแรงไปเอง
(3) และ (4) อาจรวมตอบเป็นข้อเดียวกันได้ และเป็นข้อที่สำคัญที่สุด และผมขอตอกย้ำว่า เราสมควรใช้แต่วิธีอหิงสาและอารยะขัดขืน (Non Violence & Civil Disobedience) เท่านั้น โปรดอย่าใช้วิธีลอบสังหาร จับตัวไปทรมาน หรือทำร้ายลูกเมียญาติพี่น้อง เพราะวิธีดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ในวันที่ 26 สิงหาคม 2551 เป็นสงครามแตกหักครั้งสุดท้าย มุ่งทำลายการเมืองเก่าและรัฐบาลสมัครให้สิ้นซาก ผมขอเอาใจช่วยและเชิญชวนพี่น้องชาวไทยให้ออกมาสมทบกับพันธมิตรฯ อย่างมืดฟ้ามัวดิน ผมได้รับอินเทอร์เน็ตว่าพี่น้องชาวไทยในต่างประเทศก็จะพากันไปชุมนุมคู่ขนานหลายเมืองด้วยกัน พี่น้องที่เข้ากรุงเทพฯ ไม่ได้ ก็ขอให้รวบรวมกระทำเช่นกันในภูมิลำเนาของท่าน
ที่สำคัญที่สุดทหารหาญของชาติถึงเวลาที่ท่านจะออกมาได้แล้ว มาร่วมกับประชาชนต่อสู้เพื่อพิทักษ์ชาติและราชบัลลังก์ เร็วๆ นี้พลเอกกิตติ รัตนฉายา อดีพแม่ทัพภาคที่ 4 ได้ออกหนังสือ “คุณทหาร ขณะนี้คุณอยู่ที่ไหน และคุณเป็นใครกันแน่” เรียกร้องให้ทหารออกมาปฏิบัติตามคำปฏิญาณว่าจะยอมพลีชีวิตเพื่อชาติราชบัลลังก์เพราะปราศจากกองทัพ การต่อสู้จะยืดเยื้อบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศชาติและสถาบันไปเรื่อยๆ พลเอกกิตติสรุปสมการการต่อสู้ทางคณิตศาสตร์ไม่เปลี่ยนแปลง คือ พันธมิตรประชาชน+ผู้ถืออาวุธชนะ อำนาจรัฐ + อำนาจเงิน
อดีตเอกอัครราชทูตสุรพงษ์ ชัยนาม ได้เสนอบทความ 3 บทรวมกันเป็นหนังสือเล็กชื่อว่า “กองทัพกับประชาธิปไตย” ชี้ให้เห็นถึงความสามารถของกองทัพที่จะต่อสู้กับเผด็จการและสร้างสรรค์ประชาธิปไตย ด้วยวิธีการต่างๆ ตามแบบอย่างของกองทัพโปรตุเกสและตุรกี โดยไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธเข้ายึดอำนาจเสมอไป เช่น ใช้วิธีรัฐประหารโดยออกประกาศ โดยแสดงความไม่เห็นด้วยและถอนการสนับสนุนรัฐบาล เป็นต้น และเตือนว่า ผู้นำทหารไทยอย่าปล่อยให้กองทัพตกเป็นตัวประกันโดยความไม่รู้ และติดยึดกับความคิดผิดๆว่าทหารต้องป้องกันรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเสมอไป
หากกองทัพคิดได้และเข้าใจว่ารัฐบาลสมัครขาดความชอบธรรมนำสถาบันกษัตริย์ไปเสี่ยง หลีกเลี่ยงกฎหมายและทำลายบ้านเมือง ยังไม่สายเกินไปที่กองทัพจะเข้าร่วมกับประชาชนด้วยวิธีต่างๆ ที่กล่าวไว้ในหนังสือ เพื่อยุติรัฐบาลนายสมัครให้เด็ดขาดเสียที
การต่อสู้กับรัฐบาลด้วยวิธีอหิงสานั้นมีอยู่ถึง 198 วิธีด้วยกัน แบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆได้ 3 ประเภท คือ (1) Civil Disobedience หรืออารยะขัดขืน ไม่ฟังคำสั่งของรัฐบาลหรือผู้บังคับบัญชา เช่น การชุมนุมของพันธมิตรฯ พลเอกกฤษณ์ สีวะรา ผบ.ทบ. ไม่ยอมทำตามคำสั่งรัฐบาลให้ยิงนักศึกษา หรือผบ.ทบ.และผบ.ตร.แห่งชาติปัจจุบันไม่ยอมทำตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีให้ปราบปรามพันธมิตรฯ ที่ชุมนุมเป็นต้น (2) Reverse Strike หรือการสไตร์กสวนทางโดยแปรคำสั่ง หรือสร้างบริการสำรอง ทำให้คำสั่งหรือบริการของรัฐบาลใช้ไม่ได้กลายเป็นหมัน เช่น รถไฟปล่ออยให้ผู้โดยสารขึ้นฟรีทุกชั้น รถบขส. ให้ขึ้นฟรีทุกคน หรือ ASTV ต่อสู้กับทีวีของรัฐบาลเป็นต้น (3) Direct Action คือมาตรการโดยตรงเพื่อเป็นการแก้เผ็ดรัฐบาล หรือสร้างความเห็นใจและมั่นใจในหมู่ประชาชน หรือการโต้ตอบการกระทำที่ไม่เป็นธรรมของรัฐบาลในเรื่องต่างๆ เป็นต้น
ผมเห็นว่า 198 วิธีนี้ เมืองไทยเรายังนำมาใช้ไม่ถึงครึ่ง และบางอย่างอาจจะไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรมการเมืองไทย จึงอยากขอให้ท่านผู้อ่านช่วยกันคิดว่ายังมีวิธีใดที่จะนำมาเสริมให้พันธมิตรฯ ไปสู่ชัยชนะได้โดยง่าย ผมเห็นว่า Reverse Strike และ Direct Action โดยกลุ่มต่างๆ ที่สนับสนุนพันธมิตรฯ อยู่ เช่น พันธมิตรฯ ในแต่ละจังหวัด สหภาพรัฐวิสาหกิจทั้งหมด แพทย์อาวุโส ครูแพทย์ แพทย์ชนบท อาจารย์มหาวิทยาลัย ฯลฯ น่าจะเปิดเผยตนเองเป็นกลุ่มๆ และงัดเอาวิธีต่างๆ ที่เป็นอาวุธเฉพาะของกลุ่มออกมาใช้ และพากันออกมามากๆ ประกาศตัวให้ชัดเจน พร้อมกับอาวุธอหิงสาพิเศษของแต่ละกลุ่ม
2-3 วัน มานี้ ผมแนะนำวิธี Electronic Civil Disobeience ซึ่งใช้แพร่หลายในต่างประเทศ คือการทำสงครามข่าวทางอินเทอร์เน็ต โทรสาร และโทรศัพท์ นี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะสกัดโฆษณาชวนเชื่อของระบอบทักษิณได้ผล"
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000099895ผมรวบรวม link ไว้ในกระทู้
http://forum.serithai.net/index.php?topic=32672.0 อยากให้อ่านครับ ถ้าต้องการศึกษาและสร้างสรรรแนวทาง อื่นๆ เพื่อชัยชนะอย่างแท้จริง
ประชาชนที่มีใจเป็นธรรม ต้องชนะรัฐบาลทรราชแน่นอน !!