16 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 01:00:00
ราชดำเนิน...แนวรบดงดอกไม้:ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าความเติบโตของภาคประชาชน ทำให้ม็อบพันธมิตรยืดเยื้อมานานเกิน 50 วัน อย่างไม่มีใครคาดคิด
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : แต่หากมองด้วยวิธีการบริหารจัดการฝูงชนจำนวนมากมายที่ไปร่วมชุมนุมหน้าเวที ก็ต้องยอมรับว่า การเลี้ยงม็อบให้โตวันโตคืนเหมือนเด็กน้อยมีชีวิตแข็งแกร่งนั้น มีหลักการและเทคนิคแน่นอน แต่อะไรเล่า คือ เครื่องมือที่ทำให้บรรยากาศม็อบของคนเรือนแสนสามารถดำเนินไปอย่างราบรื่น ปราศจากความรุนแรงและมีสัมฤทธิผลต่อประเทศ
กระทั่ง มีตัวแทนที่เรียกตัวเองนำหน้าว่า 'พันธมิตร' จากต่างแดน เช่น ลอนดอน ซิดนีย์ แอลเอ ชิคาโก วอชิงตัน ดี.ซี. นิวยอร์ก ขึ้นเวทีไปชูสองแขนขึ้นขณะเปล่งเสียง "เยส วีแคน" คืออดีตแอร์โฮสเตส 'มาลี' เพื่อประกาศขยายแนวรบไปถึงคนไทยทั่วโลก
หลังจากผ่านการชุมนุมยืดเยื้อเกิน 1 เดือน กลางที่ชุมนุมคืนหนึ่ง ผู้ประสานงานพันธมิตร เจ้าของคารมโวหารที่ประกาศตัวเองว่าไม่นิยมความรุนแรงและหยาบคาย สุริยะใส กตะศิลา เผยความประหลาดใจว่า "ผมเห็นพลังสำคัญในพันธมิตรนี้ กว่า 70 เปอร์เซ็นต์เป็นผู้หญิง"
ผู้หญิงต่างวัย ต่างผิวพรรณ สีผม จากคุณย่าวัยเกิน 90 จนถึงเด็กหญิงอายุ 2 ขวบ ล้วนรับบท 'นักรบร่วมทัพพันธมิตร' ส่งเสียงผ่านจอเอเอสทีวี และอินเทอร์เน็ต ซึ่งสร้างสถิติครั้งแรกไปยังผู้รับชมทั่วโลกได้ประจักษ์แก่ตาแก่หู
ทุกครั้งที่มีเสียงโฆษกหญิงหรือชาย ส่งสัญญาณนำโห่ หรือขับไล่ "ทักษิณ ติดคุก" "สมัคร ติดคุก" "นพดวยติดคุก" หรือ "เฉลิมออกไป" พลังเสียงก้องกระหึ่ม กว้างไกลจากคนที่นั่งอยู่บนถนนคนที่ไกลเวทีที่สุด ส่งกระแสคลื่นมากระทบหูคนบนเวที เป็นระดับเสียงแหลมเล็ก ที่เปล่งพร้อมกันยาวนานทุกครั้งที่ได้รับสัญญาณการนำจากผู้นำบนเวที ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่ผู้ชุมนุมมีแค่เรือนพันในตอนกลางวัน เรือนหมื่นในคืนระหว่างวันธรรมดา หรือเรือนแสนในคืนสุดสัปดาห์ ล้วนสรุปได้ชัดว่าเป็นพลังที่เปล่งออกมาอย่างเต็มเสียงกระตือรือร้นจากเสียงผู้หญิง จนกลบเสียงผู้ชายหมด
และที่สังเกตเห็นทันที คือ ม็อบหมู่มากล้วนสาวใหญ่ ผู้ซึ่งวัยผ่านขบวนการเติบโตทางจิตสำนึกเมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตย ถึง '14 ตุลาคม 2516' ต่อมาการชุมนุมที่นำไปสู่ความวิปโยค '6 ตุลาคม 2519' จากนั้นบรรยากาศประชาธิปไตยบ่มเพาะตัวเอง จนถึง 'พฤษภาทมิฬ 2535' ก่อนพัฒนามาเป็นม็อบชนชั้นกลางที่เข้มแข็งแข่งกับอารยชนชาติอื่นได้ในช่วงปี 25348-2549 ที่ผลักดันพลังขับเคลื่อน เพื่อ 'ไล่ทักษิณ' จนทหารต้องออกมาทำรัฐประหาร 9 กันยายน 2549
หลากสี..หลากสวน
ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนพร้อมเพรียง ขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิด มีเสียงของผู้หญิง 3 คนนี้อยู่ด้วย เธอมาจากต่างอาชีพและครอบครัว แต่มาชุมนุมกัน ณ สะพานมัฆวาน อะไร? ทำให้เธอทั้งสามมาร่วมกันผสานเสียง ขณะหัวใจแย้มบานราวดอกไม้ที่เริงร่าในฤดูฝน
ศกุนตลา ชยางกูร หรือ 'กิ๊บ' หลานสาวของหม่อมเจ้าวงศ์มหิป ชยางกูร ผู้ล่วงลับ ซึ่งเคยเป็นเอกอัครราชทูตหลายประเทศ รวมทั้งเขมร และประเทศสุดท้ายคือ อิตาลี ทั้งยังเป็นหนึ่งในทีมทนายฝ่ายไทยที่ว่าความกรณีเขาพระวิหาร ร่วมกับ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เผยที่มาของการมาอยู่ในแนวรบราชดำเนินว่า ท่านอา คือ หม่อมเจ้าวงศ์มหิป และหม่อมละมัย ชยางกูร เลี้ยงดูกิ๊บมาตลอด ได้ติดตามท่านไปหลายประเทศ ตอนนั้นเรายังเล็กมาก เมื่อไม่นานนี้ฝ่ายค้านในรัฐสภานำมาอภิปรายเรื่องเขาพระวิหารออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ยังเห็นภาพท่านอานั่งอยู่ในศาลโลกเลยค่ะ..กิ๊บดีใจที่ได้มาร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่อย่างนั้นจะอกแตกตาย ที่นี่เป็นทางออกของประชาชนที่จะต่อสู้กับสิ่งไม่ถูกต้องที่เกิดขึ้นกับบ้านเมืองของเรา เมื่อกลไกของรัฐมันบิดเบือน"
ก้าวแรกของเธอคือ 'พันธมิตร 2549' ปลายยุคทักษิณ ท่ามกลางเมฆหมอกความกังขาในประโยชน์ทับซ้อนที่แผ่คลุมประเทศไทย โชคดีที่ในบ้านเธอมีความคิดแนวเดียวกันทั้งตัวเอง สามีและลูกชายวัยทำงาน ไม่ต้องขัดแย้งกัน เธอมาชุมนุมในปีนี้ ก็เพื่อคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และกรณีเขาพระวิหาร "ชวนเพื่อนที่รู้ใจไปกัน ดื่มน้ำน้อยหน่อย กินอาหารสะอาดเพื่อไม่เสี่ยงกับอุบัติเหตุท้องเสีย อุปกรณ์พัด ร่ม ขวดน้ำดื่มจิบเพื่อดับร้อน กระดาษปูนั่ง ถ้าจะไป ยังไงต้องไปให้ได้ อย่างเย็นวันหนึ่งต้องไปงานแต่งงานที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว เอาชุดไปเปลี่ยนเลย ออกจากงาน ก็ต่อไปสะพานมัฆวานทันที"
ในยุคการเมืองมืดมิด สื่อมวลชนต่างมีม่านมุ้ง ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น จึงต้องฉลาดที่จะเลือกเสพสื่อ ศกุนตลาบอกว่า
เราต้องรู้เท่าทันสื่อมวลชน เพื่อจะได้เลือกสื่อที่โปร่งใส ยามนี้สื่อโทรทัศน์ช่อง 3, 5, 7, 9, NBT ใช้ไม่ได้แล้ว มีเหลือแต่เอเอสทีวีและเนชั่นแชนแนล ที่ผ่านมารัฐต้องการให้ประชาชนรู้น้อย มุ่งไปบันเทิงมาตลอด 5-6 ปี เหมือนเบี่ยงเบนความสนใจ สะท้อนถึงบ้านเมืองที่ยังไม่เจริญ ดังนั้นสื่อหนังสือพิมพ์กลายเป็นสื่อหลักในแง่ของความน่าเชื่อถือ มีจรรยาบรรณ
กิ๊บสังเคราะห์พลังมวลชนว่า "การชุมนุมมีประโยชน์มากกว่าโทษ เป็นการระดมข้อมูลข่าวสาร ทำให้คนมีอุดมการณ์ หรือความคิดต่างไม่รู้สึกว้าเหว่ ซึมเศร้าหรือบ้าอยู่คนเดียวกับปัญหาหนักๆ ของบ้านเมือง ที่ลำพังเราจะแก้ไม่ได้ มาที่ชุมนุมมันได้เรียนรู้และได้กำลังใจที่จะสู้ต่อไป ได้รับรู้ข่าวสารตรง แต่ไม่ได้เชื่อทันที นำมาวิเคราะห์ตรึกตรอง กาลเวลาที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่า ข้อมูลที่พันธมิตรไปเสาะหาขุดคุ้ยนำมาเผยแพร่นั้น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องจริง เชื่อถือได้ เช่น กรณีหุ้นเทมาเส็ก ข้อมูลกระบวนการล่วงละเมิดล้มล้างสถาบันมีร่องรอยมาก่อนแล้ว จนเราได้เห็นกับตาในเวบไซต์ ซึ่งเราตกใจว่ามันเป็นจริงแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยว่าในยุคสมัยของเรา จะมีคนไทยจำนวนหนึ่งกล้าทำเรื่องแบบนี้กับสถาบันที่เราเทิดทูนยิ่งชีวิต เรายอมไม่ได้"
ในขณะที่ ประภาพรรณ ภูวเจนสถิตย์ ศิษย์เก่าจามจุรี ปี 2516 เจ้าของเอเยนซีการสื่อสารประชาสัมพันธ์ ผู้คุ้นเคยกับม็อบ เพราะเป็นอดีตนักเรียนโรงเรียนสตรีวิทยา หัวมุมอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ชัยภูมิเป็นเลิศของการชุมนุมมาทุกยุคสมัย ช่วง 14 ตุลา เลิกเรียนก็ไปนั่งฟังในชุดนักเรียนกับเพื่อน ด้วยความอยากรู้
"จำได้ว่า ปี 2505 เรียนอยู่ชั้นประถม 2 ที่จังหวัดเพชรบุรี ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ เช้าวันที่ศาลโลกตัดสินกรณีเขาพระวิหารเป็นเช้าที่โกลาหล ในโรงเรียนไม่มีการเรียนการสอน คุณครูชื่อสุนทร เขียนตัวหนังสือตัวโตเต็มกระดานดำว่า เขาพระวิหารเป็นของไทย ทั้งครูและนักเรียนลงมารวมตัวกันที่สนามหญ้า เดินโบกธงไทยและตะโกนประโยคนั้นไปพร้อมๆ กัน พวกผู้ใหญ่พากันเดินขบวนประท้วง.. มาวันนี้คนไทยต้องสะอื้นในอกอีกครั้ง"
เธอมีเบ้าหลอมสำคัญ "ที่บ้านสนใจการเมือง ตอนคุณพ่อมีชีวิตอยู่ เวลาทานข้าวมื้อเย็น เป็นช่วงที่คุณพ่อพูดคุยเรื่องการเมืองและเหตุการณ์ประจำวันกับลูกๆ ทุกวันนี้กลับจากทำงาน เดินเข้าบ้าน คุณแม่จะรายงานเลยว่า วันนี้นพดลลาออกแล้วนะ ห้องคอมพิวเตอร์ในบ้านกลายเป็นมุมสภากาแฟยามที่มีเรื่องด่วน"
ประภาพรรณเชื่อว่า การชุมนุมพันธมิตรเป็นกระบวนการประชาชน ซึ่งพัฒนาก้าวหน้าไปไกลเกินกว่าที่ภาครัฐหรือกระบวนการไหนๆ จะคาดคิด มีการบริหารจัดการมวลชนที่ดีเยี่ยม ภายใต้โครงสร้างง่ายๆ ของ 5 แกนนำ แต่มีพลังเข้มแข็ง แกนนำมีบุคลิกภาพความสามารถที่หลากหลายกลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัว
ข้อสังเกตที่ว่าผู้หญิงมาม็อบมากกว่าผู้ชาย และกำลังกระจายไปทุกจังหวัด เธอว่า
"อาจเพราะประชากรไทยตอนนี้หญิงมากกว่าชาย เกือบหนึ่งล้านคน แต่ไม่ว่าหญิงหรือชายก็รู้สึกไม่ต่างกัน เรารักพระมหากษัตริย์ รักประเทศไทยได้เหมือนกัน ที่ชอบมากอีกอย่างคือ การใส่ศิลปะดนตรีเข้าไป ช่วยลดแรงกดดันทางอารมณ์ของมวลชนให้เป็นไปในทางสร้างสรรค์มากกว่าทำลาย โดยที่เนื้อหาสาระการต่อสู้ไม่ได้เปลี่ยน มีเพลงดีๆ ที่เกิดจากการชุมนุมพันธมิตร เช่น เพลงเรารักพระเจ้าอยู่หัว เสียงเอื้อนไพเราะได้อารมณ์ดนตรีทางใต้ตามสไตล์ของแฮมเมอร์, เพลงเดินเดินเดิน วงซูซู สนุกมากทั้งจังหวะ ดนตรีและความหมายของเนื้อเพลงที่ฮึกเหิมให้กำลังใจดีจัง
ข้อสรุปของประภาพรรณกับศกุนตลาชัดเจนเหมือนกันว่า คนโกงต้องเข้าสู่กระบวนการศาลยุติธรรมอย่างโปร่งใส กระบวนการประชาชนเมื่อใช้ให้ถูกทาง จะกลายเป็นพลังสร้างสรรค์อันมหาศาลที่ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ
"เราอยากเห็นประเทศไทยเป็น Dynamic Democracy จึงควรสนับสนุนให้ประชาธิปไตยทางตรง หรือการเมืองภาคประชาชนได้เติบโตและมีส่วนร่วมพัฒนาการเมืองไทยให้ใสสะอาด เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันปกป้อง ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ในยุคทุนดิจิทัล
มือใหม่หัดม็อบ
หันมาหาผู้ชุมนุมมือใหม่บ้าง 'ครั้งแรก' ของผู้หญิงอีกคนคือบ่ายวันศุกร์หนึ่งของเดือนมิถุนายน 2551
"ไปม็อบครั้งแรกวันที่พันธมิตรเคลื่อนพลจากมัฆวานไปทำเนียบ ก่อนไปก็ตื่นเต้น กลัวอยู่ในใจเหมือนกัน เพื่อนที่เคยไป บอกไม่ต้องเอารถมาจะเป็นภาระ เรียกแท็กซี่จากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ไม่มีคันไหนยอมไปเลย จนคันที่เจ็ด เพื่อนส่งเสียงเข้มเลย ไปทำเนียบ ลุงแท็กซี่บอกตกลง แต่ไปส่งได้แค่สวนสัตว์ดุสิตนะ แล้วเดินไปทำเนียบเอง โอ้โห...เดินผ่านตำรวจพร้อมโล่และอาวุธครบมือประมาณ 5 -600 คน เราใจเย็นส่งยิ้มให้เขา เดินไปจนถึงที่หมาย"
สุวีรา พันธุ์กระวี หรือ จ๋า สาวทันสมัยนักเรียนเก่าอังกฤษ จากครอบครัวที่คุณปู่เคยเป็นผู้บัญชาการกองทัพเรือและเกี่ยวพันกับการเมืองระดับประเทศ คุณตา วนิช ปานะนนท์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ สุวีรากำลังใช้ชีวิตกับสามีชาวอิตาเลียน มีกิจการรีสอร์ทงามบนเกาะสมุย
สนใจติดตามข่าวสารบ้านเมืองตลอดเวลา บอกได้ว่าตั้งแต่เปลี่ยนการปกครองปี 2475 อำนาจและผลประโยชน์ถูกโยน ถูกเปลี่ยนมือไปมา ในกลุ่มชนที่เราเรียกว่ารัฐบาล พร้อมไปกับการฝังรากลึกของการหาประโยชน์ คอร์รัปชั่นทั้งทางตรงทางอ้อม พรรคการเมืองล้มลุกคลุกคลาน สรุปได้ว่าอำนาจเหล่านั้นไม่เคยถึงมือประชาชนเลย ระบอบทักษิณเป็นปรากฏการณ์ยุคดิจิทัลที่วิ่งไปรวบอำนาจนั้นไว้อย่างบูรณาการเบ็ดเสร็จ...
...เราจะต้องเลือกตั้งกันอีกกี่หน มันจะมีอีกกี่สมชายที่ต้องถูกอุ้มหายไปอย่างไร้ร่องรอย มันจะมี ส.ส.ยกมือรับรองรัฐบาลที่ฉ้อฉลขายชาติกันอีกกี่รอบ เราจะอยู่รอให้คนโกงเอาสมบัติดินแดนไทยไปขายแลกประโยชน์เข้ากระเป๋ากันอีกหรือ จ๋าบอกตัวเองว่า วันนี้ฉันต้องไปชุมนุมแล้ว... ขับรถมาเลยจากสมุย สามีก็ห้ามไม่อยากให้มา"
จากประสบการณ์เคยเรียนในอังกฤษ 10 กว่าปี สุวีราคิดว่าปัญหาของการเมืองที่เหมือนย่ำอยู่กับที่ เป็นเพราะนักการเมืองที่คิดไม่ซื่อ และสนุกกับการคอร์รัปชันที่หนักข้อขึ้นทุกวัน ทั้งนี้ทั้งนั้น มาจากการศึกษายังไม่กระจายทั่วถึง
"เราต้องพัฒนาประชาชนทุกภาคส่วนให้มีอาวุธทางปัญญา อย่างในอังกฤษประชาชนมีความรู้ มันกระจายทั่วถึง นักการเมืองจะโกงกินยากขึ้น เพราะคนมีสำนึกทางการเมืองสูงที่จะไม่ซื้อสิทธิขายเสียง และปกป้องสิทธิเสรีภาพ"
เป้าหมายที่เธออยากเห็นจากม็อบครั้งนี้ คือ เรารักพระมหากษัตริย์ไทย และอยากเห็นประเทศไทยก้าวต่อไปอย่างมั่นคงและมีศักดิ์ศรี เราไม่จำเป็นต้องเหมือนอเมริกาหรืออังกฤษ กลไกการเมืองของเราอาจต้องปรับให้เข้ากับปัญหาและวัฒนธรรมของเราค่ะ
นี่คือภาพม็อบคนเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ที่ระหว่างชุมนุม 'ภรรยา' หลายคนคอยโทรรายงานให้สามีทราบตลอด ด้วยประโยคที่ว่า
"ไม่ต้องเป็นห่วง" http://www.bangkokbiznews.com/2008/07/16/news_276326.phpหน้า 3