ชิมไป-บ่นไปให้ทุกข์! เจอลองของขัดรธน. เหตุช่วยเอกชนกำไร! สะเทือนเก้าอี้นายกฯ Friday, 16 May 2008
เปิดปมพิสูจน์ สถานะ ของ หมัก จะสั่นคลอนหรือไม่ หลังมีผู้ร้อง กกต.-ป.ป.ช. ว่า การเป็นพิธีกรในรายการ ชิมไปบ่นไป เข้าข่ายขัดรธน.หรือไม่ เพราะนายกฯ-รมต.จะดำรงตำแหน่งใดๆ ในหจก.-บริษัท-องค์กรที่แสวงหากำไรไม่ได้ แต่กลับไปเป็นพิธีกรกิตติมศักดิ์-นำชื่อไปโปรโมทจัดงาน
กรณีนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี กล่าวเมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา ที่ทำเนียบรัฐบาลว่า มันมีขบวนการ เห็นใครดีไม่ได้ เห็นใครได้ไม่ดี อย่างตนพูดถึงคนบางเรื่อง-บางคน ก็มีการไปกล่าวหาว่าผิด มาตรา 157 เพราะไม่ยอมจัดการ ก่อนหน้านี้ พอกกต.ชี้เรื่อง ส.ว.ไม่ผิดก็ไม่มีอะไร พอถึงวันนี้ก็มายื่นเรื่องที่ตนไปออกรายการ ชิมไป-บ่นไป ว่าตนเป็นลูกจ้างบริษัทเอกชน เคราะห์ดีที่ตนเป็นรัฐมนตรีได้ 3 เดือน ยังไม่ได้เซ็นสัญญาเป็นลูกจ้างบริษัท เป็นเพียงพรีเซ็นเตอร์กิตติมศักดิ์ กฎหมายจะเขียนไว้หรือไม่ว่าห้ามเป็น หากบัญญัติไว้จริงก็คงทำไม่ได้ ตกลงนั่งบริหารไปแล้วมีคนคอยจะล่อทุกวันอย่างนั้นไหวหรือ
จากการตรวจสอบของ "ไทยอินไซเดอร์" พบว่า เรื่องนี้มีผู้ร้องเรียนไปถึงประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไว้แล้ว โดยเห็นว่า การที่นายสมัครไปเป็นพิธีกรในรายการ ชิมไปบ่นไป นั้น น่าจะทำให้นายสมัครขาดคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรี เพราะคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องไม่มีสถานะเป็นลูกจ้างของบุคคลใด โดยเรื่องนี้ในที่ประชุมกกต. เมื่อวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา มีมติให้คณะกรรมการสืบสวนสอบสวนคณะที่ 14 ที่มีพล.อ.ยอดชาย เทพยสุวรรณ อดีตกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เป็นประธาน ไปสอบสวนข้อเท็จจริงภายใน 15 วันเพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาของกกต.จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า นายสมัคร สุนทรเวช ถือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในฐานะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ในบังคับของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 267 อันบัญญัติไว้ส่วนหนึ่งว่า นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งใดในห้างหุ้นส่วน บริษัท หรือองค์การที่ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งหาผลกำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน หรือเป็นลูกจ้างของบุคคลใดก็มิได้ด้วย และรัฐธรรมนูญมาตรา 182 (7) บัญญัติว่า ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว เมื่อกระทำการอันต้องห้ามตามมาตรา 267 มาตรา 268 หรือมาตรา 269
ซึ่งกรณีของนายสมัคร สุนทรเวช ในฐานะนายกรัฐมนตรี จากการติดตามจากข่าวที่ปรากฏทางสื่อมวลชนหลายแขนง พบว่า นายสมัคร ในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้รับเป็นพิธีกรในรายการ ชิมไปบ่นไป และรายการอื่น ๆ ของบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด ที่มีนายศักดิ์ชัย แก้ววรรณีสกุล เป็นกรรมการผู้จัดการ อันเป็นบริษัทของเอกชนที่ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งหาผลกำไร
อีกทั้งนายสมัคร ในฐานะนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวโดยเปิดเผยอย่างมีสติและรู้ตัวว่า ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ แต่ได้ไปทำรายการ-อัดเทปรายการ ชิมไปบ่นไป ในฐานะวิทยากรกิตติมศักดิ์ ให้กับบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด โดยเมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2551 นายสมัครได้เปิดบ้านของตัวเอง ที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านโอฬาร 2 ซอยนวมินทร์ 81 เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร (กทม.) ให้ทีมงานรายการ ชิมไปบ่นไป และรายการ ยกโขยง 6 โมงเช้า ได้เข้ามาจัดเตรียมสถานที่ภายในสวนหลังบ้าน เพื่อบันทึกเทปรายการ โดยเนื้อหารายการ เป็นการแนะนำเมนูอาหาร เคล็ดลับการจับจ่ายเลือกวัสดุสำหรับปรุงอาหาร รวมถึงขั้นตอนการทำอาหาร โดยใช้ฉากหลังข้อความ ไพร์มไทม์คุ๊กกิ้ง มีเจ้าหน้าที่จากกองถ่ายทำรายการ ชิมไปบ่นไป กว่า 30 ชีวิต มาถ่ายทำรายการครั้งนี้ ทั้งนี้ทีมงานถ่ายทำ เปิดเผยว่า จะมีการบันทึกเทปตลอดทั้งวันเพื่อนำไปตัดต่ออีกครั้ง และรายการ ยกโขยง 6 โมงเช้า โดยนายสมัครจะบันทึกเทปหลายตอน ซึ่งจะใช้เวลาการบันทึกเทปถึง 16.00 น. โดยการถ่ายทำครั้งนี้เป็นการถ่ายทำครั้งแรกหลังจากที่นายสมัคร ได้รับการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 25และหลังจากถ่ายทำรายการ ชิมไปบ่นไป แล้ว ก็มี
ข่าวปรากฏทางสื่อหลายแขนงว่า กรรมการผู้จัดการของบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด ให้สัมภาษณ์ ถึงการจะได้ประโยชน์จากกรณีที่ได้นายสมัคร มาเป็นวิทยากรกิตติมศักดิ์ให้ อันเป็นผลให้การดำเนินธุรกิจจะประสบผลสำเร็จสามารถแสวงหากำไรได้ดีขึ้นโดยในเวลาต่อมาบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด ได้จัดงานมหกรรมอร่อยทั่วแผ่นดิน 7 ปีชิมไปบ่นไป ขึ้นที่ศูนย์แสดงสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 20-24 ก.พ. 2551 โดยเชิญนายสมัคร สุนทรเวช ในฐานะนายกรัฐมนตรี ไปเปิดงานและทำการประกอบอาหารโชว์ ซึ่งได้มีการประชาสัมพันธ์เป็นการล่วงหน้าว่า นายสมัครจะมาทำอาหารให้ชิม
ดังข้อความส่วนหนึ่งที่นายศักดิ์ชัย กล่าวว่า พิเศษสุดท่านจะได้รับชมการผัด ข้าวผัดสัมพันธมิตร จากท่านสมัคร สุนทรเวช ในวันเปิดงานอีกด้วย ทั้งนี้เพื่อต้องการเปิดขายพื้นที่การแสดงย่อยเป็นบูธๆ ไป โดยผู้ที่สนใจจะต้องจองและชำระเงินให้บริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด หลังจากอัดเทปรายการ ชิมไปบ่นไป ที่บ้านนายสมัครเรียบร้อยแล้ว ต่อมาทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 ได้บรรจุผังรายการ ชิมไปบ่นไป เพื่อออกอากาศในวันเสาร์ที่ 5 เม.ย. 2551 เป็นครั้งแรก โดยมีบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด เป็นเจ้าของรายการ โดยพล.ท.กิตติทัศน์ บำเหน็จพันธุ์ ผู้อำนวยการสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก เปิดเผยเองว่า บริษัท เฟซมีเดีย จำกัด ได้รับอนุมัติให้มาผลิตรายการ ชิมไปบ่นไป ออกอากาศทาง ททบ.5 ทุกวันเสาร์ 16.35 น.-17.00 น. ประเดิมเทปแรก 5 เม.ย.นี้ โดยมี ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี นายสมัคร สุนทรเวช ให้เกียรติเป็นพิธีกรกิตติมศักดิ์ หลังยื่นข้อเสนอรายการรอการพิจารณาปรับผังร่วมครึ่งปี
ทั้งนี้จากการตรวจสอบ วารสารขวัญเรือน วันที่ 8 เม.ย. 2551 นายศักดิ์ชัย แก้ววรรณีสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด ผู้จัดรายการ ชิมไปบ่นไป ยังเปิดเผยด้วยว่า ทุกรายการอาหารที่มีนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี คนที่ 25 ของไทยคนปัจจุบัน เป็นพิธีกรให้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ยกโขยง 6 โมงเช้า, อร่อยไม่ปรึกษา, เคล็ดลับครัวสมัคร และ ทอล์คกระจายน้ำลายหก
ประกอบกับข่าวในหนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 28 ม.ค. 2551 ลงข่าวว่า ระหว่างรับประทานข้าวราดแกง นายสมัครยังกล่าวถึงรายการ ชิมไปบ่นไป ที่ไม่ได้ออกอากาศ เพราะ ทีพีทีวี ยุติการแพร่ภาพว่า รายการ ชิมไปบ่นไป ถ่ายสต็อกเอาไว้ 3 เดือน แต่ไม่ได้ออกอากาศ เพราะทีพีทีวีถูกยึด น่าสงสาร ตอนนี้กำลังเจรจากับช่องอื่นๆอยู่ และถ้าหมดสต็อก 3 เดือนที่ถ่ายเอาไว้ ทางรายการก็จะมาพูดคุยกันที่บ้านพัก เพื่อพูดคุยเรื่องอาหารกัน เพราะตรวจสอบแล้วรัฐธรรมนูญไม่ได้ห้ามนายกรัฐมนตรีพูดคุยเรื่องอาหารการกิน
ข้อมูลดังกล่าวเบื้องต้น จึงเข้าใจได้ว่า นายสมัคร ได้ดำเนินรายการกับบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัดมานานประมาณ 7 ปีแล้วโดยออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี ก่อนหน้าที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี และยังประสงค์ดำเนินรายการต่อไปหลังจากดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทั้งที่บริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งหาผลกำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน
กรณีดังกล่าวข้างต้น จึงมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า จะเข้าลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 267 หรือไม่ และจะทำให้ความเป็นรัฐมนตรี (หมายความรวมถึงนายกรัฐมนตรี) ของนายสมัคร สุนทรเวช ต้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามมาตรา 182(7) นับตั้งแต่วันที่ได้กระทำการต้องห้ามนั้นหรือไม่
ทั้งนี้หากคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนคณะที่ 14 ที่มีพล.อ.ยอดชาย เทพยสุวรรณ อดีตกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เป็นประธาน ได้สอบสวนข้อเท็จจริงและนำเสนอให้กกต.ชุดใหญ่พิจารณา และปรากฏว่า นายสมัคร มีพฤติการณ์ที่กระทำการขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญจริง โดยการเข้ารับเป็นพิธีกรและบันทึกเทปในรายการต่างๆ ให้กับบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด ไม่ใช่เพียงการพูดคุยเรื่องอาหารการกิน ตามที่นายสมัครให้สัมภาษณ์เท่านั้น แต่เป็นการกระทำเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งหาผลกำไร เพราะมีป้ายผู้สนับสนุนรายการอยู่ฉากหลัง อันเป็นคนละกรณีกับรายการ "สนทนาประสาสมัคร" ที่ออกอากาศทางโทรทัศน์ NBT ที่เป็นการบอกเล่าเรื่องราวการทำงานของนายกรัฐมนตรี ที่ไม่ได้แสวงหาผลกำไร จึงเป็นกระทำการอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 267 อันเข้าข่ายเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามมาตรา 182(7) แล้ว
คณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการ ก็ต้องพิจารณาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไปว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายสมัครจะสิ้นสุดลงหรือไม่ เพราะพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2550 มาตรา 10 (11) กำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจหน้าที่ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญในกรณีที่เห็นว่าความเป็นรัฐมนตรีของรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งสิ้นสุดลง
แต่หากคณะกรรมการการเลือกตั้ง เห็นว่า พฤติการณ์ดังกล่าวของนายสมัคร ไม่เข้าข่ายว่ากระทำการที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ ก็เท่ากับนายสมัครได้หลุดพ้นกับข้อกล่าวหาดังกล่าวนี้ และยังคงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปได้ (เว้นแต่จะต้องไปเพราะประเด็นอื่น)
นับเป็นเรื่องที่น่าเฝ้ารอและติดตามเป็นอย่างยิ่งว่า ที่สุดแล้ว เก้าอี้นายกรัฐมนตรีของ สมัคร สุนทรเวช จะต้องมาตกม้าตายเพียงเพราะ ปาก ของตัวเอง...หรือไม่........................................
ทีมข่าวไทยอินไซเดอร์...รายงาน
.....................