ตรวจฎีกาจำคุก “วีระ” หมิ่นเบื้องสูง! ย้อนรอย "ไข่แม้วหมิ่นเบื้องสูง" ทัศนะคติ..ที่ไม่เคย "หราบจำ ปี 2531 นายวีระเคยถูก
ศาลฎีกาพิพากษา จำคุก นฐานกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งเว็บไซต์ของศาลฎีกาได้ลงรายละเอียดไว้ดังต่อไปนี้
คำพิพากษาศาลฎีกา (ที่ 2354/2531) ระหว่างพนักงานอัยการ จังหวัดบุรีรัมย์ โจทก์ กับนายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย จำเลยซึ่งให้จำคุกนายวีระเมื่อ 20 ปีก่อนฐานกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหรือหมิ่นประบรมเดชานุภาพ
โจทก์ฟ้องว่า ขณะเกิดเหตุคดีนี้และในปัจจุบันประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีเป็นประมุข และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ พระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบันเป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 9 ซึ่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2521 มาตรา 6 บัญญัติไว้ว่า
องค์พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เป็นพระบรมราชินีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นรัชทายาท อันประกอบขึ้นเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ ขณะเกิดเหตุ จำเลยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย จำเลยได้กระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน คือ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2529 เวลากลางวัน จำเลยได้กระทำการโฆษณาหาเสียงโดยการกล่าวป่าวประกาศด้วยการกระจายเสียงทางเครื่องขยายเสียงสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.จังหวัดบุรีรัมย์ พรรคประชาธิปัตย์ ในท่ามกลางประชาชนที่มาฟังจำนวนหลายคน ตอนหนึ่งในการโฆษณานี้ จำเลยได้กล่าวว่า
“ผมถ้าเลือกเกิดเองได้ ผมจะไปเลือกเกิด ทำไมเป็นลูกชาวนาจังหวัดสงขลา จะไปเลือกเกิดอย่างนั้นทำไม ถ้าเลือกเกิดได้ก็เลือกเกิดมันใจกลางพระบรมมหาราชวังนั่น ออกมาเป็นพระองค์เจ้าวีระซะก็หมดเรื่อง ไม่จำเป็นจะต้องออกมายืนตากแดดพูดให้พี่น้องฟัง เวลาอย่างนี้ เที่ยงๆ ก็เข้าห้องเย็น เสวยเสร็จก็บรรทมไปแล้ว ตื่นอีกทีก็บ่ายสามโมง ที่มายืนกลางแดดอยู่ทุกวันนี้ ก็มันเลือกเกิดไม่ได้” อันเป็นการพูดโฆษณาเปรียบเทียบละเมิดหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ดูหมิ่น ใส่ความ หมิ่นประมาทพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ พระมหากษัตริย์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งเป็นองค์รัชทายาท
ทั้งนี้ เพราะ
พระบรมมหาราชวังเป็นของและเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรี สำหรับคนที่จะเกิดในใจกลางพระบรมมหาราชวัง และเป็นพระองค์เจ้านั้นจะต้องเป็นพระมหากษัตริย์ และเป็นพระราชโอรสหรือพระราชธิดาของพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นรัชทายาทเท่านั้น ที่จำเลยกล่าวถึงเกิดใจกลางพระบรมมหาราชวังออกมาเป็นพระองค์เจ้า มีความหมายถึงพระมหากษัตริย์ พระราชินีและรัชทายาท ดังกล่าวแล้วข้างต้น และเป็นการกล่าวต่อนายศิว์ณัฏฐพงศ์ วัฒนาชีพ และประชาชนอีกหลายคนซึ่งเป็นบุคคลที่สามว่า
ทุกพระองค์มีแต่ความสุขสบาย ไม่ทรงทำอะไร ตอนเที่ยงก็เข้าห้องเย็น (หมายถึงห้องที่มีเครื่องทำความเย็น) เสวยเสร็จก็บรรทม ตื่นอีกทีก็บ่ายสามโมง ไม่ต้องออกไปยืนกลางแดด ทั้งนี้โดยประการที่น่าจะทำให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯพระมหากษัตริย์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถและสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร รัชทายาทเสื่อมเสียพระเกียรติยศชื่อเสียงถูกดูหมิ่นและถูกเกลียดชัง โดยเจตนาจะทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาไม่เคารพสักการะ
เหตุเกิดที่บริเวณหน้าสถานีรถไฟลำปลายมาศ ตำบลลำปลายมาศ อำเภอลำปลายมาศจังหวัดบุรีรัมย์
ต่อมาจำเลยได้กล่าาวในทำนองเดียวกัน เหตุเกิดที่บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอสตึก ตำบลสตึก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 91 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2521 มาตรา 6 นับโทษจำเลยต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำที่ 26228/2528 ของศาลแขวงพระนครเหนือและคดีอาญาหมายเลขดำที่ 22128/2528 ของศาลแขวงพระนครใต้
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีเจตนาหมิ่นประมาทดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ข้อความที่จำเลยกล่าวไม่เป็นการใส่ความและไม่อาจทำให้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังได้ จึงไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยมีเจตนาหมิ่นประมาทดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือรัชทายาท พิพากษากลับว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 3 ปี รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 6 ปี คำขอให้นับโทษต่อให้ยก จำเลยฎีกา ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันทรงพระนามว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ เป็นรัชกาลที่ 9ในราชวงศ์จักรี มีพระบรมราชินีทรงพระนามว่าสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ส่วนองค์รัชทายาทคือสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
ขณะเกิดเหตุ จำเลยดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2529 เวลาประมาณ 14 นาฬิกา จำเลยได้กล่าวปราศรัยในการหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ที่หน้าสถานีรถไฟลำปลายมาศ ตำบลลำปลายมาศ อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยพูดทางเครื่องขยายเสียงมีประชาชนมาฟังประมาณ 4-5 พันคน ในคำปราศรัยของจำเลยตอนหนึ่ง จำเลยได้กล่าวว่า ผมถ้าเลือกเกิดเองได้ ผมจะไปเลือกเกิดทำไมเป็นลูกชาวนาจังหวัดสงขลา จะไปเลือกเกิดอย่างนั้นทำไมถ้าเลือกเกิดได้ก็เลือกเกิดมันใจกลางพระบรมมหาราชวังนั่น ออกมาเป็นพระองค์เจ้าวีระซะก็หมดเรื่อง ไม่จำเป็นจะต้องออกมายืนตากแดดพูดให้พี่น้องฟัง เวลาอย่างนี้เที่ยงๆ ก็เข้าห้องเย็น เสวยเสร็จก็บรรทมไปแล้ว ตื่นอีกทีก็บ่ายสามโมงที่มายืนกลางแดดอยู่ทุกวันนี้ก็มันเลือกเกิดไม่ได้ เลือกเกิดในท้องคนจนก็ไม่ได้ จะเลือกเกิดในท้องคนรวยก็ไม่ได้ จะเลือกเกิดที่กรุงเทพฯ ก็ไม่ได้เลือกเกิดที่จังหวัดบุรีรัมย์ก็ไม่ได้
ในวันเดียวกัน หลังจากที่จำเลยได้ปราศรัยที่อำเภอลำปลายมาศแล้ว จำเลยได้ไปกล่าวปราศรัยที่หน้าที่ว่าการอำเภอสตึก ต่อหน้าประชาชนที่มาฟังประมาณ 1 หมื่นคน มีข้อความตอนหนึ่งว่า ถ้าคนเราเลือกที่เกิดได้ ผมทำไมจะไปเกิดเป็นลูกชาวนาที่สงขลาให้มันโง่อยู่จนทุกวันนี้ ผมเลือกเกิดมันใจกลางพระบรมมหาราชวังไม่ดีเหรอ เป็นพระองค์เจ้าวีระไปแล้ว ถ้าเป็นพระองค์เจ้าป่านนี้ก็ไม่มายืนพูดให้คอแหบคอแห้ง นี่เวลาก็ตั้งหกโมงครึ่ง ผมเสวยน้ำจัณฑ์เพื่อให้มันสบายอกสบายใจไม่ดีกว่าเหรอ ที่มายืนพูดนี่ก็เมื่อยพระชงฆ์เต็มทีแล้วนะ
คำกล่าวปราศรัยของจำเลยทั้งสองแห่งเป็นการกล่าวตำหนิล่วงเกินองค์พระมหากษัตริย์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทั้งนี้ คำที่จำเลยกล่าวถึงพระบรมมหาราชวัง มีความหมายถึงพระบรมมหาราชวังใหญ่อันเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ เป็นสัญลักษณ์แทนความเป็นพระมหากษัตริย์ รวมทั้งเป็นที่ประสูติและที่สวรรคต
ด้วยพระบรมมหาราชวังนี้ นอกจากจะหมายถึงองค์พระมหากษัตริย์แล้วย่อมหมายถึงพระราชินีและองค์รัชทายาทด้วย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และองค์รัชทายาท แม้จะประสูติที่ใดก็ให้ถือว่า ประสูติในพระบรมมหาราชวังส่วนที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ แม้จะไม่ได้ประทับอยู่ในพระบรมมหาราชวังที่ประทับนั้นก็ให้ถือว่า เป็นพระบรมมหาราชวังด้วย ฉะนั้น เมื่อประชาชนได้ยินคำพูดถึงพระบรมมหาราชวังก็จะนึกถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ขณะประสูติทรงมีฐานันดรเป็นพระองค์เจ้า
ดังนั้น พระองค์เจ้าที่เกิดในพระบรมมหาราชวังจึงหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การที่จำเลยกล่าวที่อำเภอลำปลายมาศว่า ไม่จำเป็นจะต้องออกมายืนตากแดด
พูดให้พี่น้องฟัง เวลาอย่างนี้เที่ยงๆ ก็เข้าห้องเย็นเสวยเสร็จก็บรรทมไปแล้วตื่นอีกทีก็บ่ายสามโมง มีความหมายว่า
ทั้งสามพระองค์มีความเป็นอยู่สุขสบาย การงานไม่ต้องทำ พักผ่อนกันตลอดไป ส่วนข้อความที่จำเลยกล่าวที่อำเภอสตึกว่า
ถ้าเป็นพระองค์เจ้าป่านนี้ก็ไม่มายืนพูด
ให้คอแหบคอแห้ง นี่เวลาก็ตั้งหกโมงครึ่ง ผมเสวยน้ำจัณฑ์เพื่อให้มันสบายอกสบายใจไม่ดีกว่าเหรอ
ที่มายืนพูดนี่ก็เมื่อยพระชงฆ์เต็มทีแล้วนะ ข้อความนี้หมายความว่า ทั้งสามพระองค์อยู่อย่างสะดวกสบาย ดื่มสุราเพื่อความสำราญผิดกับประชาชนธรรมดาที่ต้องทนกรำแดดกรำฝน ไม่มีเวลาพักผ่อน คำว่า บรรทม น้ำจัณฑ์ และพระชงฆ์เป็นคำราชาศัพท์ใช้สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระมเหสี หรือองค์รัชทายาทซึ่งความจริงแล้วทั้งสามพระองค์มิได้เป็นอย่างที่จำเลยว่า
พระองค์มีพระราชภารกิจอยู่มากมายและทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อประเทศชาติและความมั่นคง
ความอยู่สุขของประชาราษฎร์พระราชภารกิจประจำวันของพระองค์ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่จำเลยว่า
การกล่าวเช่นนี้ทำให้พระองค์ได้รับความเสียหาย เป็นการใส่ความ ทำให้ประชาชนขาดความเคารพสักการะถูกดูหมิ่น
ถูกเกลียดชัง ซึ่งตามปกติพระองค์เป็นที่เคารพสักการะของประชาชนผู้ใดจะล่วงเกินมิได้การที่จำเลยกล่าวเช่นนี้..
เป็นการกล่าวอย่างมีเจตนาโดยเมื่อจำเลยพูดในตอนบ่าย ก็ยกตัวอย่างในช่วงตอนบ่าย ซึ่งเป็นพฤติการณ์ในตอนบ่าย
ครั้นถึงตอนเย็นจำเลยก็ยกตัวอย่างเกี่ยวกับพฤติการณ์ตอนเย็นซึ่งเรื่องนี้หากจำเลยไม่ตั้งใจ
จำเลยก็จะพูดเพียงครั้งเดียวแล้วไม่พูดอีก
ี้ จำเลยก็จะพูดเพียงครั้งเดียวแล้วไม่พูดอีก แต่จำเลยพยายามที่จะดัดแปลงข้อความ
ในการพูดทั้งสองครั้งให้เข้ากับบรรยากาศในเวลาที่กำลังพูด
ต่อมาประชาชนบางกลุ่มมีความเคลื่อนไหวที่จะเดินขบวนประท้วงการกระทำของจำเลยซึ่งจะเกิดความไม่สงบขึ้น
ในบ้านเมือง สมาชิกวุฒิสภา และนายทหารราชองค์รักษ์ซึ่งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ยื่นญัตติ
ไปยังประธานรัฐสภาให้รัฐบาลแถลงเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ได้ดำเนินการไปอย่างไร เพื่อประชาชนจะได้ทราบข้อเท็จจริง
จำเลยได้ติดต่อขอทำความเข้าใจกับผู้ที่ยื่นญัตติโดยจำเลยยอมรับว่า ได้มีการกล่าวข้อความดังกล่าวจริง
และในที่สุดจำเลยได้ทำพิธีขอขมา โดยกล่าวขอพระราชทานอภัยโทษต่อพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ที่ห้องรับรองของรัฐสภาต่อหน้าสื่อมวลชนและสมาชิกวุฒิสภาที่ยื่นญัตติ
การที่จำเลยได้กระทำพิธีขอพระราชทานอภัยโทษดังกล่าวแสดงว่า จำเลยทำแผนประทุษกรรมประกอบคำรับสารภาพโดยความสมัครใจต่อมาจำเลยได้ทำหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษ
ผ่านทางราชเลขาธิการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
จำเลยนำสืบว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง จำเลยจบการศึกษานิติศาสตร์บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขณะที่ศึกษาอยู่นั้นจำเลยได้รับแต่งตั้งเป็นผู้แทนนักศึกษาของคณะนิติศาสตร์ และเป็นหัวหน้าทีมโต้วาทีของมหาวิทยาลัยหลายปีติดต่อกัน
หลังจากจบการศึกษาแล้ว จำเลยประกอบอาชีพเป็นนักหนังสือพิมพ์ทำงานที่หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ไทยรัฐ มติชนและชาวไทย โดยเริ่มงานเป็นผู้สื่อข่าวการเมือง และเขียนบทความการเมืองประจำ
เมื่อปลายปี พ.ศ.2517 จำเลยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส. สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ในกรุงเทพมหานครและได้รับเลือกตั้งเป็นส.ส.ในเขตกรุงเทพมหานคร2 ครั้ง และเป็นส.ส.จังหวัดพัทลุงอีก 3 ครั้งติดต่อกัน
ระหว่างเป็น ส.ส.ในปี พ.ศ.2519 จำเลยเป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปี พ.ศ.2524
เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี พ.ศ.2525 เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
และตั้งแต่ปี พ.ศ.2526 เป็นต้นมาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
ตำแหน่งในพรรคการเมืองจำเลยเคยเป็นกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ต่อมาได้เป็นกรรมการบริหารในตำแหน่งโฆษกพรรคและครั้งหลังสุดเป็นเลขาธิการพรรค
ในการหาเสียงเลือกตั้งส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ผู้ที่มีบทบาทในการหาเสียงคือหัวหน้าพรรคนายชวน หลีกภัย
นายมารุต บุนนาค และตัวจำเลย เกี่ยวกับคดีนี้เนื่องจากมีการเลือกตั้งทั่วไปในการเลือกตั้ง ส.ส.เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2529
จำเลยในฐานะเลขาธิการพรรคต้องเดินทางไปช่วยหาเสียงให้แก่ลูกพรรคทั่วประเทศ
ในจังหวัดบุรีรัมย์ พรรคประชาธิปัตย์ส่งสมาชิกลงสมัครในเขตเลือกตั้งทุกเขตเขต 1 มีนายพรเทพ เตชะไพบูลย์ลงสมัครรับเลือกตั้ง
ระหว่างหาเสียงนั้น จำเลยได้รับรายงานจากนายพรเทพ เตชะไพบูลย์ ว่าได้รับความนิยมจากประชาชนมาก ทำให้คู่แข่งขันหวั่นวิตกว่าพรรคประชาธิปัตย์จะชนะการเลือกตั้ง คู่แข่งขันจึงระดมกันโจมตีนายพรเทพโดยการปราศรัยและออกใบปลิวแจกจ่ายแก่ประชาชนอ้างว่า ชาวบุรีรัมย์ควรเลือกคนบุรีรัมย์เป็นผู้แทนราษฎร นายพรเทพ เป็นคนเกิดที่กรุงเทพมหานคร และเป็นลูกเศรษฐีจึงไม่ควรเลือกนายพรเทพ เป็นผู้แทนราษฎรของจังหวัดบุรีรัมย์
ข้อกล่าวหานี้ทำให้นายพรเทพวิตกว่าอาจจะทำให้คะแนนเสียงลดลงหรือทำให้ไม่ได้รับเลือกตั้งจำเลยจึงรับที่จะแก้ไขให้
ต่อมาเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2529 จำเลยได้ไปช่วยหาเสียงให้แก่นายพรเทพ และนายการุณ ใสงาม เฉพาะในเขต 1 จำเลยไปปราศรัยที่อำเภอลำปลายมาศและอำเภอสตึก
ส่วนเขตของนายการุณ ใสงาม จำเลยปราศรัยที่หลังสถานีรถไฟอำเภอเมืองบุรีรัมย์ ข้อความที่ปราศรัยที่อำเภอลำปลายมาศและอำเภอสตึกจำเลยปราศรัยถึงเรื่องการเมืองและปัญหาสังคมและอธิบายถึงหน้าที่
ของผู้แทนราษฎรที่แท้จริงให้ประชาชนได้เข้าใจ
เมื่ออธิบายถึงหน้าที่ของผู้แทนราษฎรแล้ว จำเลยได้อธิบายถึงคุณสมบัติของผู้สมัครของพรรคว่านายพรเทพ
มีวุฒิทางการศึกษาสูงจบจากต่างประเทศมีฐานะส่วนตัวดี อยู่ในฐานะที่จะช่วยเหลือประชาชนได้และได้ขอร้องประชาชนว่าอยู่
ว่าถือเอาที่เกิดเป็นเรื่องสำคัญ เพราะคนเราไม่สามารถเลือกเกิดเองได้
โดยจำเลยกล่าวว่า แม้ตัวจำเลยเองเมื่อปี พ.ศ.2524 ไปลงสมัครรับเลือกตั้งที่จังหวัดพัทลุง ก็ถูกคู่แข่งขันโจมตีในลักษณะนี้มาแล้ว โดยถูกโจมตีว่าเป็นคนเกิดที่จังหวัดสงขลาแล้วมาลงสมัครผู้แทนราษฎรที่จังหวัดพัทลุง ขอให้ประชาชนชาวพัทลุงต่อต้านอย่าเลือกจำเลยเป็นผู้แทนราษฎร
ในครั้งนั้นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดพัทลุงคนหนึ่งคือนายพร้อม บุญฤทธิ์ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคประชาธิปัตย์ได้กล่าวปราศรัยแก้แทนจำเลยซึ่งเป็นผู้สมัคร
จำเลยเล่าให้ประชาชนฟังเหมือนกับที่จำเลยกล่าวที่อำเภอลำปลายมาศและอำเภอสตึก ข้อความที่จำเลยกล่าวที่อำเภอลำปลายมาศและอำเภอสตึกนั้นจำเลยพูดโดยมีเจตนาจะแก้ข้อที่ว่าคนเรานั้นเลือกเกิดไม่ได้ แต่สามารถที่จะเลือกทำความดีได้ และการเลือกผู้แทนราษฎรให้ดูว่า เขามีความสามารถทำงานในฐานะผู้แทนราษฎรได้หรือไม่ ไม่ถือเอาที่เกิดเป็นเรื่องสำคัญ
ส่วนการที่จำเลยยกเรื่องดังกล่าวขึ้นพูดเป็นเรื่องอุปมาอุปไมย เพื่อให้ประชาชนเข้าใจชัดว่า คนเราเลือกเกิดไม่ได้จริง ๆ จะเลือกเกิดเป็นคนจนก็ไม่ได้จะเลือกเกิดเป็นคนรวยก็ไม่ได้ จะเลือกเกิดที่กรุงเทพฯ ก็ไม่ได้จะเลือกเกิดที่บุรีรัมย์ก็ไม่ได้ จำเลยไม่ได้มุ่งที่จะเปรียบเทียบหรือดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือองค์รัชทายาทแต่อย่างใด
คำว่าถ้าเลือกเกิดได้นั้นเป็นเรื่องที่จำเลยสมมุติตัวเองขึ้น และคำว่าพระองค์เจ้าวีระนั้นจำเลยหมายถึงตัวจำเลยเอง เป็นเรื่องที่จำเลยสมมุติขึ้น และที่ว่าเป็นพระองค์เจ้าวีระแล้วจำเลยจะบรรทมตื่นสายนั้น จำเลยหมายถึงตัวจำเลย ไม่ได้เปรียบเทียบกับพระองค์อื่นใด ที่โจทก์อ้างว่าพระบรมมหาราชวังหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชินีและองค์รัชทายาทนั้น เป็นการตีความที่บิดเบือน เพราะเป็นการเอาวัตถุมาหมายถึงบุคคลซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้