ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
20-04-2024, 03:24
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  งานเข้า "แร๊ววว"..ไข่แม้วดำ..หมิ่นเบื้องสูง จ่อเข้าคุกอีกรอบ!!!!!....... 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
งานเข้า "แร๊ววว"..ไข่แม้วดำ..หมิ่นเบื้องสูง จ่อเข้าคุกอีกรอบ!!!!!.......  (อ่าน 1941 ครั้ง)
\(^_^)/
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 617



« เมื่อ: 20-08-2008, 17:12 »

หมายจับ "ไข่แม้วดำ" หมิ่นเบื้องสูง จ่อเข้าคุกอีกรอบ!   
  ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์    20 สิงหาคม 2551 16:41 น.



      ศาลอาญา สั่งออกหมายจับ “ วีระ มุสิกพงศ์” คดีหมิ่นเบื้องสูง กล่าวพาดพิงสถาบันบนเวที นปก. 

วันนี้ ( 20 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานจากศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ว่า เมื่อวันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมา  ศาลอาญาได้อนุมัติออกหมายจับที่ จ.2428 / 2551  ตามคำร้องของ พ.ต.ท.สุเมธ จิตต์พานิชย์ รอง ผกก.สส.สน.ชนะสงคราม เพื่อจับกุมตัว นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.)   และพิธีกรรายการ “ความจริงวันนี้” ทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์   ผู้ต้องหาในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี และองค์รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
 

สำหรับคดีนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 6 พ.ค.50 เวลาประมาณ 16.21 – 22.30 น. นายวีระ ผู้ต้องหาซึ่งเป็นแกนนำกลุ่มพีทีวี และ นปก. ได้กล่าวปราศรัยต่อกลุ่มผู้ชุมนุมที่ท้องสนามหลวง โดยมีข้อความบางตอนที่อาจเข้าข่ายเป็นการดูหมิ่นเบื้องสูง ซึ่งต่อมาพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม ได้รวบรวมพยานหลักฐานจนมีการขออนุมัติหมายจับ
       
       ทั้งนี้ศาลพิเคราะห์แล้วพฤติการณ์ตามคำร้องมีหลักฐานตามสมควรว่าผู้ต้องหาน่าจะได้กระทำผิดคดีอาญาซึ่งมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกิน 3 ปี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 66 (1) จึงอนุญาตให้ออกหมายจับผู้ต้องหาตามขอและเมื่อจัดการตามหมายจับได้แล้วให้ส่งบันทึกการจับกุมต่อศาลภายในเจ็ดวัน

 

ที่มา.http://www.thaiday.com/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9510000098503
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-08-2008, 17:13 โดย \(^_^)/ » บันทึกการเข้า

 
เพื่อนฝัน
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 493



« ตอบ #1 เมื่อ: 20-08-2008, 17:58 »

แล้วใครจะจัดรายการแก้ต่างให้ พณ.ท่านนายก(หอก...ชำรุด)
บันทึกการเข้า

ใครสอนใครสั่ง ดูถูกประชาชน เป็นม็อบข้างถนน บิดเบือนเหมือนคนตกรุ่น
เรามาชุมนุม ใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ ขับไล่รัฐบาลหุ่น ที่เป็นสมุนของอาชญากร
ริวเซย์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4,637


Worrior in The Blue Armor


เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 20-08-2008, 18:07 »

รอบนี้ดูเหมือนเมเนเจอร์จะระวังตัวมากๆครับ

อาจกลัวจะซ้ำรอยกับคุณสนธิ กรณีเอาคำพูดหมิ่นสถาบันที่อีดาพูดไว้มาเปิดเผย

อาจเป็นเหตุให้พวกลิ่วล้อไข่แม้วหาเรื่องกลั่นแกล้งอีก นับว่าละเอียดรอบคอบขึ้นมาก

ฝั่งนปก.มีแกนนำหลายคนถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ประชาชนที่รักในหลวงก็ควรตาสว่างได้แล้ว
บันทึกการเข้า

ถ้ามีแฟนแบบนี้เอาไหมครับ^^


\(^_^)/
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 617



« ตอบ #3 เมื่อ: 20-08-2008, 18:32 »

ใครมี คลิป  วันนั้นบ้างครับ... อยากรู้ว่ามันพูด  เรื่องอะไร?? 

 
บันทึกการเข้า

 
thecat
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 64


« ตอบ #4 เมื่อ: 20-08-2008, 19:08 »

ทั้งนายและบ่าวคงไม่รอดคุก


 


* 551000010068703.jpg (10.86 KB, 290x240 - ดู 307 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
บัวริมบึง
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 384


« ตอบ #5 เมื่อ: 20-08-2008, 20:15 »

แล้วใครจะจัดรายการแก้ต่างให้ พณ.ท่านนายก(หอก...ชำรุด)

ยังหลือ "เจ๊เพ็ญ กาหลิบ" อยู่ครับ ช่วงนี้แกกำลังตกงาน 555
บันทึกการเข้า
samepong(ยุ่งแฮะ)
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,402



« ตอบ #6 เมื่อ: 20-08-2008, 21:22 »

จับอย่างเดียวไม่ดำเนินคดี ก็ไม่มีค่า ดู กาหลิบดิ ไม่รู้ไปไหนแล้วป่านนี้
บันทึกการเข้า

เวลาจะพิสูจน์ความเชื่อ สักวัน ไม่ว่าความเชื่อนั้นจะถูกหรือผิด ผมขอรับไว้ด้วยตัวเอง คิเสียว่าทำแล้วเสียใจดีกว่าเสียใจที่ไม่ได้ทำ
Solidus
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,381



« ตอบ #7 เมื่อ: 20-08-2008, 22:23 »

สมควรโดนเต็มอัตราโทษ
บันทึกการเข้า
1ktip
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,457



« ตอบ #8 เมื่อ: 20-08-2008, 22:32 »

เห็นว่าตุ๊ดตู่ใช้ตำแหน่งประกันให้ เอ...คราวก่อนก็เอาไปประกันให้เจ๊เพ็ญแล้วไม่ใช่เหรอ? ตำแหน่ง สส. ใช้ประกันได้กี่คดีครับเนี่ย 
บันทึกการเข้า
\(^_^)/
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 617



« ตอบ #9 เมื่อ: 21-08-2008, 13:54 »

ตรวจฎีกาจำคุก “วีระ” หมิ่นเบื้องสูง!    ย้อนรอย "ไข่แม้วหมิ่นเบื้องสูง" ทัศนะคติ..ที่ไม่เคย "หราบจำ   

ปี 2531 นายวีระเคยถูก ศาลฎีกาพิพากษา  จำคุก  นฐานกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งเว็บไซต์ของศาลฎีกาได้ลงรายละเอียดไว้ดังต่อไปนี้

  คำพิพากษาศาลฎีกา (ที่ 2354/2531) ระหว่างพนักงานอัยการ จังหวัดบุรีรัมย์ โจทก์ กับนายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย จำเลยซึ่งให้จำคุกนายวีระเมื่อ 20 ปีก่อนฐานกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหรือหมิ่นประบรมเดชานุภาพ
 


โจทก์ฟ้องว่า ขณะเกิดเหตุคดีนี้และในปัจจุบันประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีเป็นประมุข และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ พระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบันเป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 9 ซึ่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2521 มาตรา 6 บัญญัติไว้ว่า   องค์พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้  สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เป็นพระบรมราชินีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นรัชทายาท อันประกอบขึ้นเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ ขณะเกิดเหตุ จำเลยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย จำเลยได้กระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน คือ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2529 เวลากลางวัน จำเลยได้กระทำการโฆษณาหาเสียงโดยการกล่าวป่าวประกาศด้วยการกระจายเสียงทางเครื่องขยายเสียงสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.จังหวัดบุรีรัมย์ พรรคประชาธิปัตย์ ในท่ามกลางประชาชนที่มาฟังจำนวนหลายคน ตอนหนึ่งในการโฆษณานี้ จำเลยได้กล่าวว่า   “ผมถ้าเลือกเกิดเองได้ ผมจะไปเลือกเกิด ทำไมเป็นลูกชาวนาจังหวัดสงขลา จะไปเลือกเกิดอย่างนั้นทำไม ถ้าเลือกเกิดได้ก็เลือกเกิดมันใจกลางพระบรมมหาราชวังนั่น ออกมาเป็นพระองค์เจ้าวีระซะก็หมดเรื่อง ไม่จำเป็นจะต้องออกมายืนตากแดดพูดให้พี่น้องฟัง เวลาอย่างนี้ เที่ยงๆ ก็เข้าห้องเย็น เสวยเสร็จก็บรรทมไปแล้ว ตื่นอีกทีก็บ่ายสามโมง ที่มายืนกลางแดดอยู่ทุกวันนี้ ก็มันเลือกเกิดไม่ได้”
อันเป็นการพูดโฆษณาเปรียบเทียบละเมิดหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ดูหมิ่น ใส่ความ หมิ่นประมาทพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ พระมหากษัตริย์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งเป็นองค์รัชทายาท
       
ทั้งนี้ เพราะ พระบรมมหาราชวังเป็นของและเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรี สำหรับคนที่จะเกิดในใจกลางพระบรมมหาราชวัง และเป็นพระองค์เจ้านั้นจะต้องเป็นพระมหากษัตริย์ และเป็นพระราชโอรสหรือพระราชธิดาของพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นรัชทายาทเท่านั้น  ที่จำเลยกล่าวถึงเกิดใจกลางพระบรมมหาราชวังออกมาเป็นพระองค์เจ้า มีความหมายถึงพระมหากษัตริย์ พระราชินีและรัชทายาท ดังกล่าวแล้วข้างต้น และเป็นการกล่าวต่อนายศิว์ณัฏฐพงศ์ วัฒนาชีพ และประชาชนอีกหลายคนซึ่งเป็นบุคคลที่สามว่า   ทุกพระองค์มีแต่ความสุขสบาย ไม่ทรงทำอะไร ตอนเที่ยงก็เข้าห้องเย็น (หมายถึงห้องที่มีเครื่องทำความเย็น) เสวยเสร็จก็บรรทม ตื่นอีกทีก็บ่ายสามโมง ไม่ต้องออกไปยืนกลางแดด  ทั้งนี้โดยประการที่น่าจะทำให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯพระมหากษัตริย์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถและสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร รัชทายาทเสื่อมเสียพระเกียรติยศชื่อเสียงถูกดูหมิ่นและถูกเกลียดชัง โดยเจตนาจะทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาไม่เคารพสักการะ
       
       เหตุเกิดที่บริเวณหน้าสถานีรถไฟลำปลายมาศ ตำบลลำปลายมาศ อำเภอลำปลายมาศจังหวัดบุรีรัมย์
       
       ต่อมาจำเลยได้กล่าาวในทำนองเดียวกัน เหตุเกิดที่บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอสตึก ตำบลสตึก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 91 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2521 มาตรา 6 นับโทษจำเลยต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำที่ 26228/2528 ของศาลแขวงพระนครเหนือและคดีอาญาหมายเลขดำที่ 22128/2528 ของศาลแขวงพระนครใต้

  ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีเจตนาหมิ่นประมาทดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ข้อความที่จำเลยกล่าวไม่เป็นการใส่ความและไม่อาจทำให้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังได้ จึงไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด พิพากษายกฟ้อง 

  โจทก์อุทธรณ์   

  ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยมีเจตนาหมิ่นประมาทดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือรัชทายาท พิพากษากลับว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 3 ปี รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 6 ปี คำขอให้นับโทษต่อให้ยก 

  จำเลยฎีกา 

ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันทรงพระนามว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ เป็นรัชกาลที่ 9ในราชวงศ์จักรี มีพระบรมราชินีทรงพระนามว่าสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ส่วนองค์รัชทายาทคือสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
       
       ขณะเกิดเหตุ จำเลยดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2529 เวลาประมาณ 14 นาฬิกา จำเลยได้กล่าวปราศรัยในการหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ที่หน้าสถานีรถไฟลำปลายมาศ ตำบลลำปลายมาศ อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยพูดทางเครื่องขยายเสียงมีประชาชนมาฟังประมาณ 4-5 พันคน ในคำปราศรัยของจำเลยตอนหนึ่ง จำเลยได้กล่าวว่า ผมถ้าเลือกเกิดเองได้ ผมจะไปเลือกเกิดทำไมเป็นลูกชาวนาจังหวัดสงขลา จะไปเลือกเกิดอย่างนั้นทำไมถ้าเลือกเกิดได้ก็เลือกเกิดมันใจกลางพระบรมมหาราชวังนั่น ออกมาเป็นพระองค์เจ้าวีระซะก็หมดเรื่อง ไม่จำเป็นจะต้องออกมายืนตากแดดพูดให้พี่น้องฟัง เวลาอย่างนี้เที่ยงๆ ก็เข้าห้องเย็น เสวยเสร็จก็บรรทมไปแล้ว ตื่นอีกทีก็บ่ายสามโมงที่มายืนกลางแดดอยู่ทุกวันนี้ก็มันเลือกเกิดไม่ได้ เลือกเกิดในท้องคนจนก็ไม่ได้ จะเลือกเกิดในท้องคนรวยก็ไม่ได้ จะเลือกเกิดที่กรุงเทพฯ ก็ไม่ได้เลือกเกิดที่จังหวัดบุรีรัมย์ก็ไม่ได้
       
       ในวันเดียวกัน หลังจากที่จำเลยได้ปราศรัยที่อำเภอลำปลายมาศแล้ว จำเลยได้ไปกล่าวปราศรัยที่หน้าที่ว่าการอำเภอสตึก ต่อหน้าประชาชนที่มาฟังประมาณ 1 หมื่นคน มีข้อความตอนหนึ่งว่า ถ้าคนเราเลือกที่เกิดได้ ผมทำไมจะไปเกิดเป็นลูกชาวนาที่สงขลาให้มันโง่อยู่จนทุกวันนี้ ผมเลือกเกิดมันใจกลางพระบรมมหาราชวังไม่ดีเหรอ เป็นพระองค์เจ้าวีระไปแล้ว ถ้าเป็นพระองค์เจ้าป่านนี้ก็ไม่มายืนพูดให้คอแหบคอแห้ง นี่เวลาก็ตั้งหกโมงครึ่ง ผมเสวยน้ำจัณฑ์เพื่อให้มันสบายอกสบายใจไม่ดีกว่าเหรอ ที่มายืนพูดนี่ก็เมื่อยพระชงฆ์เต็มทีแล้วนะ
       
       คำกล่าวปราศรัยของจำเลยทั้งสองแห่งเป็นการกล่าวตำหนิล่วงเกินองค์พระมหากษัตริย์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทั้งนี้ คำที่จำเลยกล่าวถึงพระบรมมหาราชวัง มีความหมายถึงพระบรมมหาราชวังใหญ่อันเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ เป็นสัญลักษณ์แทนความเป็นพระมหากษัตริย์ รวมทั้งเป็นที่ประสูติและที่สวรรคต

  ด้วยพระบรมมหาราชวังนี้ นอกจากจะหมายถึงองค์พระมหากษัตริย์แล้วย่อมหมายถึงพระราชินีและองค์รัชทายาทด้วย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และองค์รัชทายาท แม้จะประสูติที่ใดก็ให้ถือว่า ประสูติในพระบรมมหาราชวังส่วนที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ แม้จะไม่ได้ประทับอยู่ในพระบรมมหาราชวังที่ประทับนั้นก็ให้ถือว่า เป็นพระบรมมหาราชวังด้วย 

  ฉะนั้น เมื่อประชาชนได้ยินคำพูดถึงพระบรมมหาราชวังก็จะนึกถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ขณะประสูติทรงมีฐานันดรเป็นพระองค์เจ้า
       
       ดังนั้น พระองค์เจ้าที่เกิดในพระบรมมหาราชวังจึงหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 


  การที่จำเลยกล่าวที่อำเภอลำปลายมาศว่า ไม่จำเป็นจะต้องออกมายืนตากแดด
พูดให้พี่น้องฟัง เวลาอย่างนี้เที่ยงๆ ก็เข้าห้องเย็นเสวยเสร็จก็บรรทมไปแล้วตื่นอีกทีก็บ่ายสามโมง มีความหมายว่า
ทั้งสามพระองค์มีความเป็นอยู่สุขสบาย การงานไม่ต้องทำ พักผ่อนกันตลอดไป


ส่วนข้อความที่จำเลยกล่าวที่อำเภอสตึกว่า ถ้าเป็นพระองค์เจ้าป่านนี้ก็ไม่มายืนพูด
ให้คอแหบคอแห้ง นี่เวลาก็ตั้งหกโมงครึ่ง ผมเสวยน้ำจัณฑ์เพื่อให้มันสบายอกสบายใจไม่ดีกว่าเหรอ
ที่มายืนพูดนี่ก็เมื่อยพระชงฆ์เต็มทีแล้วนะ 


   ข้อความนี้หมายความว่า ทั้งสามพระองค์อยู่อย่างสะดวกสบาย ดื่มสุราเพื่อความสำราญผิดกับประชาชนธรรมดาที่ต้องทนกรำแดดกรำฝน ไม่มีเวลาพักผ่อน

  คำว่า บรรทม น้ำจัณฑ์ และพระชงฆ์เป็นคำราชาศัพท์ใช้สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระมเหสี หรือองค์รัชทายาทซึ่งความจริงแล้วทั้งสามพระองค์มิได้เป็นอย่างที่จำเลยว่า 
พระองค์มีพระราชภารกิจอยู่มากมายและทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อประเทศชาติและความมั่นคง
ความอยู่สุขของประชาราษฎร์พระราชภารกิจประจำวันของพระองค์ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่จำเลยว่า

   การกล่าวเช่นนี้ทำให้พระองค์ได้รับความเสียหาย เป็นการใส่ความ ทำให้ประชาชนขาดความเคารพสักการะถูกดูหมิ่น
 ถูกเกลียดชัง ซึ่งตามปกติพระองค์เป็นที่เคารพสักการะของประชาชนผู้ใดจะล่วงเกินมิได้การที่จำเลยกล่าวเช่นนี้..
เป็นการกล่าวอย่างมีเจตนาโดยเมื่อจำเลยพูดในตอนบ่าย ก็ยกตัวอย่างในช่วงตอนบ่าย ซึ่งเป็นพฤติการณ์ในตอนบ่าย
       
   ครั้นถึงตอนเย็นจำเลยก็ยกตัวอย่างเกี่ยวกับพฤติการณ์ตอนเย็นซึ่งเรื่องนี้หากจำเลยไม่ตั้งใจ
จำเลยก็จะพูดเพียงครั้งเดียวแล้วไม่พูดอีก

ี้ จำเลยก็จะพูดเพียงครั้งเดียวแล้วไม่พูดอีก แต่จำเลยพยายามที่จะดัดแปลงข้อความ
ในการพูดทั้งสองครั้งให้เข้ากับบรรยากาศในเวลาที่กำลังพูด
     ต่อมาประชาชนบางกลุ่มมีความเคลื่อนไหวที่จะเดินขบวนประท้วงการกระทำของจำเลยซึ่งจะเกิดความไม่สงบขึ้น   
ในบ้านเมือง สมาชิกวุฒิสภา และนายทหารราชองค์รักษ์ซึ่งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ยื่นญัตติ   
ไปยังประธานรัฐสภาให้รัฐบาลแถลงเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ได้ดำเนินการไปอย่างไร เพื่อประชาชนจะได้ทราบข้อเท็จจริง
   จำเลยได้ติดต่อขอทำความเข้าใจกับผู้ที่ยื่นญัตติโดยจำเลยยอมรับว่า ได้มีการกล่าวข้อความดังกล่าวจริง     
และในที่สุดจำเลยได้ทำพิธีขอขมา โดยกล่าวขอพระราชทานอภัยโทษต่อพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ที่ห้องรับรองของรัฐสภาต่อหน้าสื่อมวลชนและสมาชิกวุฒิสภาที่ยื่นญัตติ
       
       การที่จำเลยได้กระทำพิธีขอพระราชทานอภัยโทษดังกล่าวแสดงว่า จำเลยทำแผนประทุษกรรมประกอบคำรับสารภาพโดยความสมัครใจต่อมาจำเลยได้ทำหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษ
ผ่านทางราชเลขาธิการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
จำเลยนำสืบว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง จำเลยจบการศึกษานิติศาสตร์บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขณะที่ศึกษาอยู่นั้นจำเลยได้รับแต่งตั้งเป็นผู้แทนนักศึกษาของคณะนิติศาสตร์ และเป็นหัวหน้าทีมโต้วาทีของมหาวิทยาลัยหลายปีติดต่อกัน
       
       หลังจากจบการศึกษาแล้ว จำเลยประกอบอาชีพเป็นนักหนังสือพิมพ์ทำงานที่หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ไทยรัฐ มติชนและชาวไทย โดยเริ่มงานเป็นผู้สื่อข่าวการเมือง และเขียนบทความการเมืองประจำ
       
       เมื่อปลายปี พ.ศ.2517 จำเลยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส. สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ในกรุงเทพมหานครและได้รับเลือกตั้งเป็นส.ส.ในเขตกรุงเทพมหานคร2 ครั้ง และเป็นส.ส.จังหวัดพัทลุงอีก 3 ครั้งติดต่อกัน
       
       ระหว่างเป็น ส.ส.ในปี พ.ศ.2519 จำเลยเป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปี พ.ศ.2524
เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี พ.ศ.2525 เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
และตั้งแต่ปี พ.ศ.2526 เป็นต้นมาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
       
       ตำแหน่งในพรรคการเมืองจำเลยเคยเป็นกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ต่อมาได้เป็นกรรมการบริหารในตำแหน่งโฆษกพรรคและครั้งหลังสุดเป็นเลขาธิการพรรค
       
       ในการหาเสียงเลือกตั้งส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ผู้ที่มีบทบาทในการหาเสียงคือหัวหน้าพรรคนายชวน หลีกภัย
นายมารุต บุนนาค และตัวจำเลย เกี่ยวกับคดีนี้เนื่องจากมีการเลือกตั้งทั่วไปในการเลือกตั้ง ส.ส.เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2529
จำเลยในฐานะเลขาธิการพรรคต้องเดินทางไปช่วยหาเสียงให้แก่ลูกพรรคทั่วประเทศ
       
       ในจังหวัดบุรีรัมย์ พรรคประชาธิปัตย์ส่งสมาชิกลงสมัครในเขตเลือกตั้งทุกเขตเขต 1 มีนายพรเทพ เตชะไพบูลย์ลงสมัครรับเลือกตั้ง
       
       ระหว่างหาเสียงนั้น จำเลยได้รับรายงานจากนายพรเทพ เตชะไพบูลย์ ว่าได้รับความนิยมจากประชาชนมาก ทำให้คู่แข่งขันหวั่นวิตกว่าพรรคประชาธิปัตย์จะชนะการเลือกตั้ง คู่แข่งขันจึงระดมกันโจมตีนายพรเทพโดยการปราศรัยและออกใบปลิวแจกจ่ายแก่ประชาชนอ้างว่า ชาวบุรีรัมย์ควรเลือกคนบุรีรัมย์เป็นผู้แทนราษฎร นายพรเทพ เป็นคนเกิดที่กรุงเทพมหานคร และเป็นลูกเศรษฐีจึงไม่ควรเลือกนายพรเทพ เป็นผู้แทนราษฎรของจังหวัดบุรีรัมย์
       
       ข้อกล่าวหานี้ทำให้นายพรเทพวิตกว่าอาจจะทำให้คะแนนเสียงลดลงหรือทำให้ไม่ได้รับเลือกตั้งจำเลยจึงรับที่จะแก้ไขให้
       
       ต่อมาเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2529 จำเลยได้ไปช่วยหาเสียงให้แก่นายพรเทพ และนายการุณ ใสงาม เฉพาะในเขต 1 จำเลยไปปราศรัยที่อำเภอลำปลายมาศและอำเภอสตึก
       
       ส่วนเขตของนายการุณ ใสงาม จำเลยปราศรัยที่หลังสถานีรถไฟอำเภอเมืองบุรีรัมย์ ข้อความที่ปราศรัยที่อำเภอลำปลายมาศและอำเภอสตึกจำเลยปราศรัยถึงเรื่องการเมืองและปัญหาสังคมและอธิบายถึงหน้าที่
ของผู้แทนราษฎรที่แท้จริงให้ประชาชนได้เข้าใจ
       เมื่ออธิบายถึงหน้าที่ของผู้แทนราษฎรแล้ว จำเลยได้อธิบายถึงคุณสมบัติของผู้สมัครของพรรคว่านายพรเทพ
มีวุฒิทางการศึกษาสูงจบจากต่างประเทศมีฐานะส่วนตัวดี อยู่ในฐานะที่จะช่วยเหลือประชาชนได้และได้ขอร้องประชาชนว่าอยู่
ว่าถือเอาที่เกิดเป็นเรื่องสำคัญ เพราะคนเราไม่สามารถเลือกเกิดเองได้

โดยจำเลยกล่าวว่า แม้ตัวจำเลยเองเมื่อปี พ.ศ.2524 ไปลงสมัครรับเลือกตั้งที่จังหวัดพัทลุง ก็ถูกคู่แข่งขันโจมตีในลักษณะนี้มาแล้ว โดยถูกโจมตีว่าเป็นคนเกิดที่จังหวัดสงขลาแล้วมาลงสมัครผู้แทนราษฎรที่จังหวัดพัทลุง ขอให้ประชาชนชาวพัทลุงต่อต้านอย่าเลือกจำเลยเป็นผู้แทนราษฎร
       
       ในครั้งนั้นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดพัทลุงคนหนึ่งคือนายพร้อม บุญฤทธิ์ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคประชาธิปัตย์ได้กล่าวปราศรัยแก้แทนจำเลยซึ่งเป็นผู้สมัคร
       
       จำเลยเล่าให้ประชาชนฟังเหมือนกับที่จำเลยกล่าวที่อำเภอลำปลายมาศและอำเภอสตึก ข้อความที่จำเลยกล่าวที่อำเภอลำปลายมาศและอำเภอสตึกนั้นจำเลยพูดโดยมีเจตนาจะแก้ข้อที่ว่าคนเรานั้นเลือกเกิดไม่ได้ แต่สามารถที่จะเลือกทำความดีได้ และการเลือกผู้แทนราษฎรให้ดูว่า เขามีความสามารถทำงานในฐานะผู้แทนราษฎรได้หรือไม่ ไม่ถือเอาที่เกิดเป็นเรื่องสำคัญ
       
       ส่วนการที่จำเลยยกเรื่องดังกล่าวขึ้นพูดเป็นเรื่องอุปมาอุปไมย เพื่อให้ประชาชนเข้าใจชัดว่า คนเราเลือกเกิดไม่ได้จริง ๆ จะเลือกเกิดเป็นคนจนก็ไม่ได้จะเลือกเกิดเป็นคนรวยก็ไม่ได้ จะเลือกเกิดที่กรุงเทพฯ ก็ไม่ได้จะเลือกเกิดที่บุรีรัมย์ก็ไม่ได้ จำเลยไม่ได้มุ่งที่จะเปรียบเทียบหรือดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือองค์รัชทายาทแต่อย่างใด
       
       คำว่าถ้าเลือกเกิดได้นั้นเป็นเรื่องที่จำเลยสมมุติตัวเองขึ้น และคำว่าพระองค์เจ้าวีระนั้นจำเลยหมายถึงตัวจำเลยเอง เป็นเรื่องที่จำเลยสมมุติขึ้น และที่ว่าเป็นพระองค์เจ้าวีระแล้วจำเลยจะบรรทมตื่นสายนั้น จำเลยหมายถึงตัวจำเลย ไม่ได้เปรียบเทียบกับพระองค์อื่นใด ที่โจทก์อ้างว่าพระบรมมหาราชวังหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชินีและองค์รัชทายาทนั้น เป็นการตีความที่บิดเบือน เพราะเป็นการเอาวัตถุมาหมายถึงบุคคลซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

 
 
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-08-2008, 14:28 โดย \(^_^)/ » บันทึกการเข้า

 
\(^_^)/
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 617



« ตอบ #10 เมื่อ: 21-08-2008, 13:56 »

 

  หนังสือพระราชวังในกรุงเทพฯ (พ.ศ. 2325-2525) ตามเอกสารหมาย ป.จ.33 ให้ความหมายคำว่า พระบรมมหาราชวังคือศูนย์กลางของการปกครอง และที่ประทับของพระมหากษัตริย์ คนทั่วไปมีความเข้าใจว่า พระบรมมหาราชวังหมายถึงบริเวณพระราชวังซึ่งอยู่ที่วัดพระแก้ว และเป็นสถานที่ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปประกอบพระราชพิธีสำคัญ ๆ
       
       ความจริงแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชโอรส พระราชธิดาทุกพระองค์ไม่ได้ประทับที่พระบรมมหาราชวัง หากแต่ประทับอยู่ที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ก็มิได้ประสูติในพระบรมมหาราชวัง ส่วนสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ประสูติที่พระที่นั่งอัมพรสถาน
       
       และคำว่า พระองค์เจ้า ที่โจทก์กล่าวหาว่าหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และองค์รัชทายาทนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะไม่มีทางเป็นไปได้ มีน้อยคนที่จะทราบว่า ความจริงแล้วพระองค์ทรงพระอิสริยยศเป็นอะไร
       
       ปรากฏว่าเดิมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทรงมีฐานันดรเป็นหม่อมเจ้า จึงเข้าใจตลอดมาว่า พระอนุชาคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันทรงเป็นหม่อมเจ้าด้วยหาใช่พระองค์เจ้าไม่
       
       ฐานันดรเดิมของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เป็นหม่อมราชวงศ์ พระองค์ไม่เคยทรงฐานันดรเป็นพระองค์เจ้า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เมื่อตอนประสูติก็ทรงฐานันดรเป็นเจ้าฟ้า ไม่เคยทรงมีฐานันดรเป็นพระองค์เจ้า
       
       เมื่อเอ่ยคำว่าพระองค์เจ้าลอยๆ ไม่ระบุชื่อ จะไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด เมื่อระบุชื่อลงไปด้วยจึงจะทราบว่าหมายถึงใคร
       
       ที่โจทก์นำสืบว่าเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ไปประทับที่ไหน ก็ให้ถือว่าที่นั่นเป็นพระบรมมหาราชวังนั้นไม่ถูกต้อง เพราะเป็นการบัญญัติถ้อยคำขึ้นเองเพื่อลงโทษจำเลย
       
       คำราชาศัพท์ที่ว่าบรรทม ตื่นสาย เสวยน้ำจัณฑ์ เมื่อยพระชงฆ์นั้น เป็นราชาศัพท์ที่คนทั่วไปรู้ว่าใช้ตั้งแต่หม่อมเจ้าขึ้นไป 


สำหรับความรู้สึกของประชาชนต่อการที่จำเลยกล่าวปราศรัยที่อำเภอลำปลายมาศและอำเภอสตึกทั้งหมดนั้นประชาชนรู้สึกเฮฮาสนุกสนาน ไม่มีปฏิกิริยาประท้วงหรือลุกขึ้นเดินหนีแต่ประการใด
       
       จำเลยกล่าวปราศรัยให้นายการุณ ใสงาม ที่อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จำเลยก็ไม่ได้กล่าวข้อความที่โจทก์ฟ้องเพราะในเขตเลือกตั้งนั้นไม่มีการกล่าวโจมตีนายการุณ ใสงาม ในประเด็นเดียวกันกับนายพรเทพ
       
       หลังจากจำเลยกล่าวคำปราศรัยแล้วทั้งสองแห่ง ไม่มีประชาชนไปแจ้งความเรื่องที่จำเลยกล่าวปราศรัย
       
       ต่อมา นายเชิดชัย เพชรพันธ์ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการการเลือกตั้งของพรรคสหประชาธิปไตย เขตกรุงเทพมหานคร ได้ไปแจ้งความนายศิว์ณัฎฐพงศ์พยานโจทก์เป็นผู้แทนของพรรคสหประชาธิปไตยและนายจรูญ นิ่มนวล เป็นหัวคะแนนของพรรคสหประชาธิปไตยซึ่งเป็นคู่แข่งทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์
       
       การที่นายเชิดชัย แจ้งความก็เพื่อหวังผลทางการเมืองและเพื่อทำลายคะแนนเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ทั่วประเทศ หลังการเลือกตั้งจำเลยได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
       
       ต่อมาได้มีการปลุกระดมกลุ่มมวลชนต่างๆ โดยเริ่มจากพรรคฝ่ายค้าน ฝ่ายทหารทำการปลุกระดมในกลุ่มลูกเสือชาวบ้าน ท.ส.ป.ช. และกลุ่มกระทิงแดงเพื่อเร่งรัดให้ดำเนินคดีแก่จำเลย แรกเริ่มเกิดเรื่องนี้ที่จังหวัดบุรีรัมย์ พนักงานสอบสวนได้ส่งเรื่องไปให้กรมตำรวจพิจารณาก่อนแล้ว
       
       แต่พนักงานสอบสวนเบื้องต้นที่จังหวัดบุรีรัมย์เห็นว่าไม่มีความผิด ไม่เข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จึงส่งเรื่องให้กรมตำรวจ
       
       ทางกรมตำรวจได้ให้ พลตำรวจตรีสุภาส จีรพันธ์ รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในฐานะที่เป็นหัวหน้าคณะทำงานเรื่องกฎหมายในสถานการณ์เลือกตั้งพิจารณา
       
       พลตำรวจตรีสุภาส จีรพันธ์ ได้ประชุมพิจารณาและทำความเห็นไปยังอธิบดีกรมตำรวจว่าไม่เข้าข่ายองค์ประกอบของมาตรา 112 จึงให้ระงับเรื่อง
       
       แต่ขณะเดียวกันกลุ่มประชาชนเริ่มลุกฮือเป็นที่น่าหวั่นเกรงว่า จะเกิดความไม่สงบขึ้นได้ ในที่สุดกรมตำรวจได้สั่งการให้ดำเนินคดีแก่จำเลย โดยให้ถือว่า คดีพอมีมูลที่จะฟ้องร้องได้ ทั้งนี้จริง ๆ แล้วเพื่อแก้ปัญหาความกดดันทางการเมืองเมื่อมีความกดดันดังกล่าวจำเลยจึงต้องแก้ปัญหาด้วยการลาออกโดยไม่มีใครบังคับ เพื่อเจตนาที่จะแก้ปัญหาความกดดันทางการเมืองและปกป้องรัฐบาลและระบอบประชาธิปไตย

ที่จำเลยกล่าวขอขมาในห้องรับรองของรัฐสภาต่อพระบรมสาทิสลักษณ์นั้นจำเลยไม่ได้ยอมรับผิด
       
       เหตุที่จำเลยไปขอขมาเนื่องจากพลโทวัฒนชัย วุฒิศิริ ซึ่งในขณะนั้นเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 ได้ติดต่อกับจำเลยเพื่อแก้ปัญหา โดยให้จำเลยไปพบพลโทพิจิตร กุลละวณิชย์ แม่ทัพภาคที่ 1 ในขณะนั้น
       
       จำเลยก็ได้ไปพบตามที่นัดหมาย และได้พูดคุยทำความเข้าใจจนชัดแจ้งว่า จำเลยมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และไม่ได้มีเจตนาอย่างที่ฝ่ายค้านหรือทางทหารเข้าใจ พลโทพิจิตร กุลละวณิชย์ ก็เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างและจะเลิกรากันไป
       
       แต่มีปัญหาว่าญัตติที่พลโทพิจิตรกุลละวณิชย์ ยื่นไว้ต่อวุฒิสภากล่าวหาว่าจำเลยละเมิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ถ้าจะถอนญัตติจะอธิบายแก่ประชาชนอย่างไร เพราะประชาชนอาจมองไปในแง่ไม่ดี
       
  จำเลยบอกว่าจะให้ทำอย่างไรก็ยินดี พลโทพิจิตรจึงเชิญสมาชิกวุฒิสภาซึ่งเป็นเจ้าของญัตติมาพบพร้อมกันที่สภา ขอให้จำเลยกล่าวคำขอพระราชทานอภัยโทษต่อพระบรมสาทิสลักษณ์ 

  จำเลยจึงกล่าวขอขมาเพื่อให้ผู้ยื่นญัตติทุกคนสบายใจ และเพื่อให้กลุ่มมวลชนที่กำลังลุกฮือสลายตัวไป   ทั้งนี้โดยการแสดงออกถึงความจริงใจของจำเลยในความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วนคำกล่าวของจำเลยตอนหนึ่งที่ว่า จะผิดหรือไม่ผิดนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในประเด็นข้อกฎหมายจะไม่พูดถึง เพราะจำเลยเห็นว่าเป็นเรื่องของศาลและถ้าเห็นว่า เป็นเรื่องของศาลและถ้าเห็นว่า เป็นเรื่องระคายเคืองต่อเบื้องพระยุคลบาทจำเลยก็พร้อมที่จะขอพระราชทานอภัย 

สำหรับคำกล่าวขอพระราชทานอภัยนั้น กองทัพภาคที่ 1 ได้จัดพิมพ์แล้วใส่ซองมาให้จำเลยกล่าว ไม่ใช่เป็นการรับสารภาพ เพราะจำเลยให้การปฏิเสธตลอดมาตั้งแต่ชั้นสอบสวนจนถึงชั้นศาล
       
       จำเลยมีสาเหตุขัดแย้งกับพยานโจทก์ คือ นายสิงห์โต จ่างตระกูลนายสรวง อักษรานุเคราะห์ นายชวลิต รุ่งแสง พลโทพิจิตร กุลละวณิชย์ และพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก
       
       การที่นายสุจินต์ ทิมสุวรรณ อธิบดีกรมอัยการ มีคำสั่งให้พนักงานอัยการพิเศษ 2 นายเป็นผู้ดำเนินคดีนี้เฉพาะเรื่อง ก็เพราะมีสาเหตุโกรธเคืองจำเลยเนื่องมาจากเรื่องคดีฆ่าผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดภูเก็ต

  พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อความที่จำเลยกล่าวนั้นไม่เป็นความจริงจึงเป็นการใส่ความโดยประการที่น่าจะทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯลฯ ทรงเสื่อมเสียพระเกียรติยศชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง แม้การกระทำดังกล่าวของจำเลยจะไม่เกิดผลเพราะไม่มีใครเชื่อถือคำกล่าวนั้นก็ตาม ก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
       
       จำเลยจะมีเจตนาหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นหรือไม่ จะถือตามความเข้าใจของจำเลยซึ่งเป็นผู้กล่าวเองมิได้ ต้องพิจารณาจากข้อความที่จำเลยกล่าวทั้งหมด
       
       การที่จำเลยกล่าวข้อความไปอย่างไร แล้วกลับมาแก้ว่า ไม่มีเจตนาตามที่กล่าว ย่อมยากที่จะรับฟัง
       
       การที่จำเลยเป็นผู้มีคุณความดีมาก่อน หลังจากเกิดเหตุแล้วยังได้ไปกล่าวคำกราบบังคมทูลของพระราชทานอภัยโทษต่อพระบรมสาทิสลักษณ์ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และได้มีหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษเป็นการรู้สึกความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดนั้น อันเป็นเหตุบรรเทาโทษ มีเหตุสมควรปรานีลดโทษให้จำเลย


องค์คณะผู้พิพากษาประกอบด้วย วีระชัย สูตรสุวรรณ - สุพจน์ นาถะพินธุ - วิศิษฎ์ ลิมานนท์ ศักดิ์ สนองชาติ 



ที่มา.  http://www.thaiday.com/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9510000098697

 
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-08-2008, 18:39 โดย \(^_^)/ » บันทึกการเข้า

 
boyk
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,477



« ตอบ #11 เมื่อ: 21-08-2008, 17:05 »

ชีพ ชูชัย เนี่ย...

คลิปเสียงเป็นร้อยเลยมั้ง...

น่าจะโดนนานแล้วรายนี้
บันทึกการเข้า

ไล่งับคนโกง ตอกฝาโลงไม่ให้เกิด
marrykate
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 274



« ตอบ #12 เมื่อ: 21-08-2008, 17:07 »

แล้วใครจะจัดรายการแก้ต่างให้ พณ.ท่านนายก(หอก...ชำรุด)

เมื่อคีนเห็นมันยังมาออกรายการควายจริงฯ โจมตีลุงสนธิอยู่เลย
บันทึกการเข้า
boyk
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,477



« ตอบ #13 เมื่อ: 21-08-2008, 17:10 »

คลิปเสียงชีพ ชูชัยโดนลบหมดแล้วคับ ตะกี้ผมไปเช็คมา 

แต่คิดว่าทางตำรวจคงเซฟไว้ทั้งหมดแล้ว

เพราะช่วงอีดา ตอร์ โดนรวบ คลิปชีพ ชูชัย ยังสามารถโหลดได้ต่อมาอีกหลายสัปดาห์

บันทึกการเข้า

ไล่งับคนโกง ตอกฝาโลงไม่ให้เกิด
หน้า: [1]
    กระโดดไป: