ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
25-04-2024, 14:47
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  การเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา จะทำให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอย.....? 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
การเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา จะทำให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอย.....?  (อ่าน 1539 ครั้ง)
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« เมื่อ: 10-08-2008, 11:19 »

เปิดเบื้องหลัง ปฏิวัติ 19 ก.ย. ล้มเหลว-พ่ายแพ้-แตกแยก   
 
 
โดย โพสต์ทูเดย์ วัน พุธ ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2551 10:18 น.
 
 การปฏิวัติ 19 ก.ย. 2549 ถือว่า ล้มเหลว และพ่ายแพ้ เพราะไม่เพียงแค่กลุ่มอำนาจเก่าของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกโค่นล้มจะชนะเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2550 จนจัดตั้งรัฐบาลได้


พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินแต่ยังส่งผลให้คณะทหารที่ก่อการปฏิวัติ ในนามคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) แตกแยกกันเองด้วย ไล่มาตั้งแต่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีต ผบ.ทบ. และอดีตประธาน คมช. กับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ของพี่น้องรบพิเศษที่แสนยาวนานระหว่าง “พล.อ.สนธิ” กับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ของรัฐบาลปฏิวัติ ต้องขาดสะบั้นลง จนทำให้ พล.อ.สนธิ เกือบต้องหลั่งน้ำตา

พล.อ.สนธิ ได้เปิดใจถึงเบื้องหลังการปฏิวัติว่า นอกจากเพื่อยุติการปะทะนองเลือดของม็อบทั้งฝ่ายสนับสนุนและต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้ว ยังเห็นว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกพาดพิง พร้อมยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้เป็นคนตั้งเขาเป็น ผบ.ทบ. จึงไม่มีเรื่องหนี้บุญคุณใดๆ

“ คนที่ชื่อทักษิณ ชินวัตร เป็นนักธุรกิจ ที่ความคิดก็อยู่แต่ในเรื่องพวกนี้เป็นหลัก ถ้าผมไม่ปฏิวัติ ก็ยังไม่รู้เลยว่า วันนี้ ชาติบ้านเมือง และสถาบันของเราจะเป็นอย่างไร จะยังมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอยู่หรือไม่” พล.อ.สนธิ กล่าว

พล.อ.สนธิ ระบุว่า การวางแผนปฏิวัติ คิดกันกับ พล.อ.อนุพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ในขณะนั้นแค่ 2 คน ส่วน พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร อดีตแม่ทัพภาค 3 ในเวลานั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลย เพราะไม่ได้ร่วมวางแผน แต่มาตอนทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ตาม การรวมตัวของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) เริ่มจากความไม่เป็นเอกภาพ เพราะวางแผนเฉพาะในกองทัพบก (ทบ.) ก็ทำให้ ผบ.เหล่าทัพ คนอื่นที่แม้จะเป็นเพื่อน ตท.6 ของ พล.อ.สนธิ เพิ่งได้รับเชิญหลังจากการยึดอำนาจสำเร็จแล้ว เพราะ ผบ.เหล่าทัพ ล้วนเป็นคนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่งตั้งมาทั้งสิ้น

โดยคณะปฏิวัติใช้ บ้านเกษะโกมล เป็นที่วางแผน ตั้งแต่วันที่ 16-18 ก.ย. โดยมีแกนนำ 7 คน เข้าร่วมหารือทุกวัน คือ พล.อ.สนธิ พล.อ.อนุพงษ์ พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 ขณะนั้นเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 พ.อ.ภูมิพัฒน์ จันทร์สว่าง พ.อ.ธงชัย รอดย้อย นายทหารฝ่ายเสนาธิการของ พล.อ.สนธิ พ.อ.ชัยชนะ นาคเกิด ผู้การกรมรบพิเศษที่ 3 และ พ.ท.ปริญญา รื่นภาควุฒิ ผบ.ร.1 พัน 1 รอ. มือขวาของ พล.อ.อนุพงษ์ โดยมี พล.อ. วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม เข้ามาร่วมด้วย ในวันที่ 18 ก.ย.

พล.อ.สนธิ ปฏิเสธว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ แต่ยอมรับว่า ตั้งแต่ก่อนปฏิวัติ ได้มีการเข้าพบ พล.อ.เปรม เรื่อยมา สัปดาห์ละ 1 ครั้งเป็นอย่างน้อย เพื่อเล่าสถานการณ์ต่างๆ ให้ฟัง


 กองบัญชาการต้านปฏิวัติ ที่เกิดจากคำสั่งข้ามทวีปของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งมี พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ผบ.สส. เป็นผู้ดูแลสถานการณ์ โดยมีแกนนำรัฐบาลทั้ง พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกฯ และ รมว.ยุติธรรม นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช รองเลขานายกฯ และ นาย เนวิน ชิดชอบ เข้าไปร่วมบัญชาการติดต่อรับคำสั่งจาก พ.ต.ท.ทักษิณ จากสหรัฐ และพยายามจะยุยงให้ “พล.อ.เรืองโรจน์ สู้” จน พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ รอง ผบ.สส. ในเวลานั้น และเป็นเพื่อน ตท.6 ของ พล.อ.สนธิ เกลี้ยกล่อมและต่อสายให้คุยกับ พล.อ.สนธิ ก่อนที่จะชวนกันเข้าวัง จน พล.อ.เรืองโรจน์ ไม่คิดต่อสู้ ที่เป็นเพราะเสียเปรียบแล้ว จึงมุ่งเข้าวัง แต่ก็ไม่ทัน เพราะ พล.อ.สนธิ ผบ.เหล่าทัพ เข้าเฝ้าฯ ก่อนแล้ว

“ถ้าผมจะสู้ ก็ไม่รู้ว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ แต่ผมก็คงเอาชนะได้ไม่ยากหรอก เพราะกำลังของผมก็มี โดยเฉพาะของเพื่อน นายกฯ ทักษิณ แล้วที่สำคัญเป็นทหารกรุงเทพฯ ทั้งนั้น ส่วนพวกทหารของฝ่ายปฏิวัติมาจากต่างจังหวัด ทหารบ้านนอกทั้งนั้น จะมาสู้อะไรทหารในกรุงได้ในเรื่องปฏิวัติ แต่ผมไม่อยากให้ต้องมีการนองเลือด เพราะคนที่ตายมันไม่ใช่พวก ผู้ใหญ่หรอก แต่เป็นพวกทหารข้างล่าง แล้วก็เป็นทหารด้วยกัน จะมาสู้กันเองทำไม ผมถึงยอมให้ แต่ไม่ใช่ยอมแพ้” พล.อ.เรืองโรจน์ ระบุ

นอกจากนี้ หนังสือ “ลับ ลวง พราง” ยังเปิดเผยบทบาทของ “วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ” เจ้าของฉายาฤาษีตาไฟ หรือโหร คมช. ปรึกษาด้านโหราศาสตร์ของการปฏิวัติ 19 ก.ย. ได้ทำนายทายทักว่า พล.อ.สนธิ เป็น ทหารเอกของพระเจ้าตากสิน ที่ต้องกู้ชาติ และเป็นคนให้คำ แนะนำว่า พล.อ.สนธิ ต้องปฏิวัติ และตรวจดวงชะตาว่าสำเร็จแน่นอน ทำให้ พล.อ.สนธิ เกิดความมั่นใจ เพราะ พล.อ.สนธิ ศรัทธาอาจารย์วารินทร์ที่ทำนายอนาคตของตนเองแม่นยำมาตลอด

แต่ที่ พล.อ.สนธิ ไม่เชื่อตามคำของอาจารย์วารินทร์ คือ แนะนำให้เป็นนายกรัฐมนตรีเอง


ทั้งนี้ ผลพวงของการปฏิวัติได้ทำให้ คมช.แตกร้าวกันเอง มาตลอด จนมาถึงหลังศึกชิงเก้าอี้ ผบ.ทบ. ที่ทำให้ พล.อ.สนธิ และ พล.อ.สพรั่ง ขัดแย้งอย่างรุนแรง และทำให้ พล.อ.สพรั่ง กับ พล.อ.อนุพงษ์ ก็ไม่มองหน้ากัน

ยิ่งกว่านั้น เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน ขั้วอำนาจเปลี่ยนหลังการเลือกตั้ง และกลุ่มอำนาจเก่ากลับมายึดอำนาจรัฐคืน บรรดาแกนนำ คมช.ต่างก็พากันแยกย้ายเอาตัวรอด เพราะกลัวการถูกเช็กบิล ภายใต้ข้ออ้างที่เรียกว่า “สมานฉันท์เพื่อชาติ”

ขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ คีย์แมนสำคัญที่ทำให้การปฏิวัติสำเร็จราบรื่น สุดท้ายต้องขัดแย้งกับ พล.อ.สนธิ เพราะเชื่อว่า พล.อ.สนธิ ไม่ได้เสนอชื่อเป็น ผบ.ทบ. พล.อ.อนุพงษ์ จึงอาศัยสายสัมพันธ์เพื่อน ตท.10 สมานฉันท์ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้าน พล.อ.สนธิ ก็แสร้งลับ ลวง พราง อีกครั้ง ด้วยการยอมโทร.คุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อ ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และกลุ่มอำนาจเก่าตายใจ พร้อมกับเกรงความไม่ปลอดภัย จึงย้ายไปอยู่บ้านพัก ทบ.ใน ร.11รอ. และอาจลงสู่สนามการเมือง โดยมีพรรคเพื่อแผ่นดินคอยรองรับ

หลังการปฏิวัติสำเร็จ คมช.ได้มีการแจกโบนัสนายทหาร ผบ.หน่วยคุมกำลัง ที่เหนื่อยและเสี่ยงชีวิตด้วยกันมา ทั้งในการแต่งตั้งโยกย้ายเลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง และการให้ “ทิป” หน่วยละ 1 ล้านบาท เป็นอย่างต่ำ

ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของหนังสือ “ลับ ลวง พราง” ที่ วาสนา นาน่วม นักข่าวสายทหาร หนังสือพิมพ์ บางกอกโพสต์ ได้ใช้เวลาเก็บข้อมูลและเรียบเรียงนานกว่า 1 ปี ที่กำลังถูกมองว่า อาจจะกลายเป็น คู่มือเช็กบิล คมช.

http://news.sanook.com/scoop/scoop_264967.php



นำมาให้อ่านอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเตือนความจำเกี่ยว การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ของฝ่ายทำรัฐประหารและฝ่ายรัฐบาลที่ถุกตัดหน้าทำรัฐประหารก่อน'เส้นยาแดง'......!!!

ถ้าวันนี้ฝ่ายรัฐประหารจะทำการ'ปฏิบัติ'ตนเอง จะเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอย.... Question



บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
หน้า: [1]
    กระโดดไป: