เอาอีกแล้ว มาอีกแล้ว
ไอ้ความคิดพรรค์นี้มาอีกแล้ว
พรรคนี้มันไม่ความคิดดี ๆ บ้างเลยหรือไงฟระ
มีแต่ความคิดจะขายชาติเี่นี่ยยยยยยย
คณะรมต.ชุดนี้มันเป็นบ้าอะไร
ถึงคิดแต่จะขายชาติเนี่ยยยยย
รมช.ประสงค์ โฆษิตานนท์ มาในโควต้าของ
"พรรคเพื่อแผ่นดิน" นะครับ
ไม่ใช่ พรรคพลังประชาชน และเขาว่าเป็นประเภท "ไม่มีพรรค มีแต่พวก"
ข่าวว่าเคยเป็น backup ให้ พล.ต.สนั่น สมัยอยู่ประชาธิปัตย์ด้วยครับ
ก่อนนี้เป็น สว. มาหลายสมัย แต่เพิ่งจะเข้ามานั่งเก้าอี้บริหารเป็นครั้งแรก
โดยมาแทน นายสิทธิชัย โควสุรัตน์ รัฐมนตรีในโควต้าพรรคเพื่อแผ่นดิน
ที่ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี พร้อม นายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรค
นำมาบอกเป็นข้อมูลให้สมาชิกเสรีไทยนะครับ
..รู้สึกว่าแนวคิดของ รมช.คนนี้ จะมีแต่มิติเรื่องการค้าอย่างเดียว..มีบทความที่ไทยโพสต์กล่าวถึง รมช. คนนี้ไว้ พร้อมบทสัมภาษณ์ครับ 
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จากถุงเงินเสธ.หนั่นถึงเพื่อแผ่นดิน เส้นทาง'ประสงค์'สู่เก้าอี้มท.3http://www.parliament.go.th/news/news_detail.php?prid=153468 หนึ่งในรัฐมนตรีแกะกล่องของ "สมัคร 4" ทว่าสำหรับคนการเมืองแล้วเอ่ยชื่อ "ประสงค์ โฆษิตานนท์" ทุกคนต่างรู้จักชื่อและความเป็นมาของ "มท.3" คนนี้เป็นอย่างดีเพราะถือว่าเป็นหนึ่งในนักการเมืองประเภท "ไม่มีพรรค มีแต่พวก" แม้คนส่วนใหญ่จะมองว่าเขาเป็นคนใกล้ชิดของ พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ เจ้าของ "บ้านสนามบินน้ำ" ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมรับว่าแนบแน่นกับเสธ.หนั่นที่สุดในบรรดานักการเมืองทั้ง หลาย
จนหลายคนพูดกันไปว่า เขาเป็นหนึ่งในนายทุนคนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์สมัย เสธ.หนั่นเป็นแม่บ้านพรรคที่อยู่ในกลุ่ม "พันธมิตร เอสเค" หรือสนั่น ขจรประศาสน์ ซึ่งมาจากตัวอักษรย่อจากชื่อและนามสกุลในภาษาอังกฤษของ เสธ.หนั่น และก่อนหน้านี้ที่พลตรีสนั่นถูกเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ สมัยเป็น มท.1 ก็เคยถูกฝ่ายค้านพยายามขุดคุ้ยหาข้อมูลเรื่อง "บ้านสามหลัง" เพื่อหวังโยงถึงคนใกล้ชิดรอบข้าง แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับ มท.3 คนนี้
แต่หากดูประวัติความเป็นมาของ "ถุงเงินรายใหญ่" ของพรรคเพื่อแผ่นดินที่ซุ่มเงียบมานานปริศนาการเมืองของหลายคนว่า เพื่อแผ่นดินเอาเงินมาจากไหนในการสู้ศึกเลือกตั้ง ก็จะพบว่าประสงค์นั้นแนบชิดทั้งสายการเมือง-นักธุรกิจ-ทหาร หลายต่อหลายขั้วอำนาจ เช่นการได้รับการเสนอชื่อให้เป็น ส.ว.ยุคแต่งตั้งทั้งในยุค "รสช." ที่ พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ อดีตประธาน รสช.ลงนามแต่งตั้ง ส.ว.ก่อนพ้นตำแหน่งไม่กี่ชั่วโมง หรือในยุค บรรหา ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรีก่อนจะมาเป็น ส.ว.สมัยที่สามติดกันหลังได้รับเลือกตั้งที่เพชรบูรณ์
วันนี้เจ้าตัวมาเป็น มท.3 เสียที หลังจากก่อนหน้านี้จริงๆ แล้วเป็นที่รู้กันว่าเขาจะต้องเป็น มท.3 ตั้งแต่สมัคร 1 แต่ติดขัดที่ตอนตั้งรัฐบาลช่วงเดือนมกราคม ประสงค์ยังพ้นจากการเป็น ส.ว.ไม่ถึงสองปีตามคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีในรัฐธรรมนูญทำให้ต้องเว้นวรรค ไปก่อนจะสมประสงค์ดังชื่อในวันนี้
"ผมไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคเพื่อแผ่นดิน ไม่เคยทำกิจกรรมการเมืองใดๆ กับเพื่อแผ่นดิน ขนาดที่ทำการพรรคผมยังไม่เคยไป ที่จริงผมเป็น ส.ว.จนซินเป็น ส.ว.แต่งตั้งมาสองสมัย สมัยแรกก็ท่านบิ๊กจ๊อด (พลเอกสุนทร คงสมพงษ์) สมัยที่สองก็ท่านบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วก็ไปสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ว.ปี 43 ที่ผ่านมางานการเมืองก็ไม่ได้สัมผัสโดยตรง ปกติทำงานเงียบๆ ไม่ค่อยเปิดตัวเท่าไหร่ ความจริงผมสนิทกับพินิจ จารุสมบัติและปรีชา เลาหพงศ์ชนะ มา 10 กว่าปี และเป็นที่ปรึกษาทั้งสองคนมาตลอดแต่ไม่เปิดตัว ซึ่งการรับตำแหน่งนี้ก็ได้รับคำแนะนำจากพินิจด้วย" เป็นคำเกริ่นนำของประสงค์ ถึงที่มาที่ไปของการบิน มท.3 ก่อนที่จะเริ่มคุยกันถึงการทำงาน ซึ่งหนึ่งในนโยบายที่เจ้าตัวประกาศจะเดินหน้าก็คือการ "แก้กฎหมายให้ต่างชาติเช่าครองที่ดินระยะยาว 99 ปี"!!!!!!
-ถูกมองว่าได้รับตำแหน่งครั้งนี้เพราะเป็นนายทุนให้เพื่อแผ่นดินในการเลือกตั้งโดยเฉพาะกลุ่มของพินิจ จารุสมบัติ? ผมเป็นนักธุรกิจและเป็น ส.ว.มา 10 ปี ทำให้สนิทกับทุกพรรคการเมืองแต่ไม่ได้ยุ่งเรื่องการเมืองมาก แต่บังเอิญมันชอบ ธุรกิจที่ผมเคยทำไม่เกี่ยวข้องกับราชการอยู่แล้ว เพื่อนที่คบกันก่อนหน้านี้ เมื่อพรรคมีรายจ่ายเราช่วยได้เราก็ช่วย
ผมสนิทกับพลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์และอดีต รมว.มหาดไทยมานานมาก ผมดีใจที่เมื่อพูดอะไรไป เสธ.หนั่นเชื่อและไว้วางใจผม และไม่ใช่แค่ เสธ.หนั่น ในประชาธิปัตย์ผมก็สนิทกับทุกคนก่อนหน้านี้ก็ไปนั่งกินกาแฟที่พรรคประชา ธิปัตย์เกือบทุกวัน รู้จักกันหมดกับ ส.ส.ประชาธิปัตย์ กับพินิจ ก็สนิทกันมาหลายสิบปีแล้วเขาบอกว่าถึงเวลาแล้วที่ผมจะมารับตำแหน่งรัฐมนตรี เพราะทุกคนเชื่อใจผมอยู่ นายกฯ ต้องการคนที่ดีมาทำงาน และผมเพิ่งรู้เมื่อมาสัมผัสการเมืองว่าผู้ใหญ่หลายคนในหลายพรรคการเมือง มองผมเป็นผ้าขาว ทุกคนอยากได้ผมไปทำงาน
ก่อนเลือกตั้งที่ผ่านมาหลายพรรคก็มาชักชวนผมให้ไปอยู่ด้วยกัน ทั้งหมดเป็นเพื่อนกันทั้งนั้น ผมบอกผมไม่เล่นการเมือง แต่ที่มาช่วยเพื่อแผ่นดินเพราะแกนนำบอกว่าขอเชิญเหอะ ผมก็เลยคิดว่าเอาก็เอา
-ที่คนบอกว่าเป็นเจ้าของธุรกิจหินอ่อน ตอนนี้ธุรกิจหลักๆ คืออะไร? ตอนนี้ผมเตะฝุ่นมานานแล้ว (หัวเราะ) ตอนเป็น ส.ว.ทำอะไรมากไม่ได้ตอนนี้ไม่ได้ทำอะไร เพราะไม่มีสทธิ์ทำ ครอบครัวไม่มีธุรกิจอะไรแล้ว
-เข้าไปสนับสนุนพรรคเพื่อแผ่นดินในการเลือกตั้งอย่างไร? ไม่เชิง การช่วยเหลือก็มีบ้างแต่ไม่อยาก ผมไม่ได้ตั้งใจมาเล่นการเมืองโดยตรง และไม่เคยคิดด้วย ก็มีการติดต่อและช่วยเหลือตลอด การมาเป็นรัฐมนตรีครั้งนี้ค่อนข้างฉับพลัน พอมีการปรับ ครม.ทางแกนนำพรรคคุยกัน ซึ่งผมก็รู้จักหลายคนแต่จะสนิทกับพินิจและปรีชา เลาหพงษ์ชนะ รวมทั้งอีกหลายคนเช่นคุณวัฒนา อัศวเหม ประธานพรรค ผมเป็นเพื่อนสนิทกับ ดร.มั่นพันธโนทัย รมว.ไอซีที เพราะเขาเป็นเลขาฯ ของคุณวัฒนา รู้จักกันมา 30 กว่าปี คุ้นเคยกัน ส่วนกับสุวิทย์ คุณกิตติ ก็เจอกันที่รัฐสภา 10 กว่าปีแล้ว ทุกคนรู้จักผมดี ผมคิดว่าการรับตำแหน่งของผมไม่น่าจะทำให้ ส.ส.ของพรรคไม่พอใจ แต่ก็อย่างว่าเรื่องอย่างนี้พูดยาก ผมไม่ได้ไปสัมผัสโดยตรง
-คนภายนอกก็มองว่าเพราะเป็นนายทุนพรรคเลยได้ตำแหน่ง? ไม่ใช่เลย บางคนไปพูดให้ผมเสียหายว่าได้ตำแหน่งเพราะการออกทุนให้พรรค พรรคเพื่อแผ่นดินเชิญผม เขาบอกว่าถึงเวลาแล้วที่จะมาช่วยพรรคเพราะผู้ใหญ่ทุกพรรครู้ว่าผมเป็นคน โปร่งใส ไม่มีปัญหาอะไร และเป็น ส.ว.มา 3 สมัย ทุกคนก็ยอมรับ ขนาดว่า ส.ว.เลือกตั้งรุ่นแรกปี 43 ปัญหาเยอะ แต่ผมไม่มีปัญหากับใคร ทุกคนยอมรับผม และรู้ว่าผมโปร่งใส
แม้กระทั่งสมเกียรติ ศรลัมพ์ ส.ส.นครสวรรค์ พรรคเพื่อแผ่นดิน ที่ถูกถามจากสื่อว่า ผมจะมาเป็นรัฐมนตรีหรือไม่ นายสมเกียรติก็ตอบว่า ไม่เชื่อว่าผมจะมารับตำแหน่งเพราะผมเป็นสุภาพบุรุษ คงไม่มารับตำแหน่งทางการเมือง แต่ผมรู้ว่าผมทำงานได้ก็อาสาเข้ามา สิ่งที่เราทำไม่ได้ก็ไม่ทำ นายสมเกียรติก็โทร.ว่าแซวว่าทำผมหน้าแตก (หัวเราะ)
อีกทั้งมาทำงานไม่มีใครรู้ว่ารัฐบาลจะอยู่นานแค่ไหน การเมืองตอนนี้มันแกว่งมากไม่รู้จะจบหรือถึงทางตันเมื่อไหร่ มันคลุมเครือมาก ผมก็ประเมินไม่ออกแม้จะอยู่การเมืองมานาน ผมได้คุยกับแกนนำหลายพรรค ไม่มีใครฟันธงได้ว่าจะจบลงเมื่อไหร่ แต่เมื่อผมมีโอกาสมาทำงานผมก็ทำไว้ก่อน
-แม้จะไม่ได้ร่วมกิจกรรมกับพรรคเพื่อแผ่นดิน แต่วันนี้มาเป็น รมต.ในโควต้าพรรคแล้ว คิดว่าปัญหาที่พรรคมีความแตกแยกกันมาก แบ่งเป็นหลายกลุ่มหลายก๊ก เลือกตั้งครั้งหน้าจะมีเพื่อแผ่นดินอยู่อีกไหม? ไม่มีใครรู้อนาคต ทุกพรรคก็มีพวกใครพวกมัน พรรคพลังประชาชนก็มีหลายกลุ่ม แต่เขาก็รวมกันได้ การเมืองตอนนี้ต้องดูวันต่อวัน ก็ต้องรอดูวันที่ 18 สิงหาคมที่ศาลฎีกานัดตัดสินคดีคุณวัฒนา อัศวเหม ประธานพรรคเพื่อแผ่นดินอีกครั้งหนึ่งก่อนด้วย
ส่วนผมจะช่วยเพื่อแผ่นดินอีกหรือไม่หลังจากนี้ ยังไม่ได้คิด อย่าไปคิดอะไรมาก ไปเรื่อยๆ ถ้ายุบสภาก็ไม่รู้ว่าพรรคการเมืองจะรวมกันอย่างไร ดูไม่ออก ตอนนี้เกือบทุกพรรคกำลังจะถูกยุบแล้วมั้ง (หัวเราะ) ผมว่ามาตรา 237 เรื่องยุบพรรครวมทั้งกฎหมายพรรคการเมืองที่ออกมา พวก สนช.ใส่ยาแรงเกินไป ทำให้ช็อค
คิดดูเมื่อก่อนทุกคนอยากเป็นกรรมการบริหารหมด พรรคใหญ่ๆ ที่มีหลายสิบคน ที่มีหลายสิบคน ถ้ามีใครคนหนึ่งไปทำผิด การทำผิดเลือกตั้งก็พลาดกันง่ายๆ ถ้าไม่ทำผิดโดยตรงเขาก็ใส่ความผิดแกล้ง โดนคนหนึ่งพรรคก็หมด ผมว่าแย่มากไม่รู้ว่ามาตรา 237 มันหลุดมาได้ไง มันต้องแก้รัฐธรรมนูญ แต่เป็นบางมาตราเช่นมาตรา 237 มันตลกมาก คือเวลาร่างรัฐธรรมนูญต้องมองให้ไกล เมื่อมีอำนาจก็ร่างได้ แต่เมื่อเลือกตั้งก็หมดอำนาจไปแล้ว ทำให้ยุ่งและเสียเงินอีก ไม่รู้ว่าเขาคิดกันอย่างไร
-ในฐานะเป็นรัฐมนตรีคนหนึ่งในรัฐบาล ประเมินว่าจะอยู่ได้นานแค่ไหน เพราะพันธมิตรฯ ก็ยังปักหลักขับไล่รัฐบาลต่อเนื่อง? จริงๆ แล้วเมื่อรัฐบาลทำงานมาได้แค่ 2 เดือนแล้ว เสนอแก้รัฐธรรมนูยพันธมิตรฯ ก็ออกมาคัดค้าน ซึ่งรัฐบาลก็ถอนการแก้ รธน.แล้ว กลุ่มพันธมิตรฯ ก็ต้องหยุด แต่นี้พอรัฐบาลหยุด พันธมิตรฯ ก็ไปคัดค้านเรื่องอื่น นี่ก็ประท้วง 70 กว่าวันแล้ว ทำอะไรไม่ทำ ถ้ารัฐบาลถอย พันธมิตรฯ ก็ต้องถอยไปด้วย เรื่องมันก็จบ แต่ถ้ารัฐบาลไม่ดี ก็มาชุมนุมใหม่ เรื่องรัฐธรรมนูญถ้ารัฐบาลจะแก้ก็แก้เลย ไม่แก้ก็ไม่ต้องทำ แต่จะทำอย่างไรให้พบกันครึ่งทาง คุยกันให้รู้เรื่อง ผมเชื่อว่าให้ใจเย็นๆ ทั้งรัฐบาลและพันธมิตรฯ ปล่อยไปสักพักนึง แล้วทุกอย่างจะเรียบร้อย
-ภารกิจในความรับผิดชอบ เช่น กรมที่ดิน จะมีนโยบายอย่างไร ในสภาวะที่เศรษฐกิจมีปัญหา เพราะภาคธุรกิจก็ต้องการให้แก้ไขกฎหมายให้ต่างชาติเช่าที่ดินระยะยาว 99 ปี? เป็นเรื่องที่ผมคิดอยู่ ที่ประเทศอเมริกาเขาปล่อยให้เป็นระบบเสรีเลยเรื่องการซื้อขายบ้านที่ดิน ทุกคนมีสิทธิ์ อเมริกาไม่ได้ห่วงว่าต่างชาติมาซื้อที่ดินเพราะยังไงที่ดินก็เป็นของประเทศ นั้นวันยังค่ำ ไม่มีใครเอาไปได้ เรื่องนี้เป็นแง่คิดไว้ก่อนในการพิจารณาว่าจะให้คนต่างชาติมีกรรมสิทธิ์ได้ เท่าไหร่หรือว่าจะซื้อขาดเลย
ประเด็นนี้ควรเป็นตัวตั้งในการคิดเรื่องนี้ ถ้าไม่ตั้งโจทย์ก็คิดเรื่องนี้ไม่ได้เช่น หากเศรษฐีจะมาซื้อที่ดินที่ จ.ภูเก็ต แค่ 1-2 ไร่ แล้วสร้างบ้านหรือคฤหาสน์ ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าส่งเสริมเพราะภูเก็ตเป็นแหล่งดึงดูดนักธุรกิจทั่ว โลก
"ถ้ามีการซื้อ-ขายที่ดินให้นักธุรกิจต่างชาติ ยังไงเขาก็เอาที่ดินเราไปไม่ได้ แต่ผลที่ตามมาคือ ธุรกิจที่ดึงมาด้วยมหาศาล อย่าไปคิดว่าซื้อที่ดินแล้วจะหมด ต้องดูเป็นจุดๆ ประเทศไทยมีตั้งกี่ล้านไร่ ขายเขาไปซะบ้าง ที่ดินที่ จ.ภูเก็ต ขายให้นักธุรกิจไปเพื่อธุรกิจที่ดึงเข้ามา มันไม่กี่ไร่ หากขาย 50 ไร่ ก็หลายสิบคน อันนี้ต้องคิดแง่นี้ อย่าไปคิดทำใจแคบ"
-คนส่วนใหญ่อาจไม่เห็นด้วยที่ให้ต่างชาติมาถือครองที่ดินระยะยาว? ไม่น่าเสียหายอะไร เราขายสิทธิ์ให้เขาซื้อเป็นเจ้าของสิทธิ์ไปเลย ก็ไม่เสียหายอะไร ตอนนี้ต้องทำทุกอย่างให้เงินเข้าประเทศ ที่ดินตรงนี้ต้องไม่ศูนย์เสีย
-จะมองว่าเป็นการผูกขาดที่ดินผืนนั้นระยะยาวหรือไม่? ไม่เป็นไร ถึงมี 3 ไร่ ก็ไม่เสียหายอะไร ถ้าคนมีเงินมาซื้อที่ก็ต้องมาพัฒนาที่ดินผืนนั้นให้มีประโยชน์ ตัวนี้สำคัญต้องมองจุดนี้ นักธุรกิจดังๆ มาอยู่และมีเครือข่ายบอกต่อๆ กันไป จะเป็นผลดีต่อประเทศ.
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์