สำรวจจุดพิพาทเขตแดนไทย-เขมร พื้นที่ทับซ้อน"บก-ทะเล"
รอวันปะทุ
ท่ามกลางความตึงเครียด ณ แนวชายแดนไทย-กัมพูชาด้าน "เขาพระวิหาร" จากปัญหาการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียวของทางการกัมพูชา จนส่งผลกระทบถึงพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นข้อพิพาทที่ยากจะเจรจา ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่ราบรื่นมาหลายปี กลับร้อนระอุขึ้นอีกครั้ง
ที่น่าวิตกก็คือ ข้อพิพาทเรื่องเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ไม่ได้มีเฉพาะที่เขาพระวิหารเท่านั้น แต่ยังมีอีกมากมายหลายจุด ฉะนั้นหากรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงไม่อาจคลี่คลายสถานการณ์ได้ในเร็ววัน ก็มีแนวโน้มสูงว่าข้อพิพาทเรื่องเขตแดนบริเวณอื่นๆ จะปะทุขึ้นมาอีก
จุลสารความมั่นคงศึกษา ฉบับที่ 38 ประจำเดือน เม.ย.2551 เรื่อง "กรณีเขาพระวิหาร" ซึ่งมี รศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นบรรณาธิการ ได้สรุปปัญหาเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาเอาไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้
ประเทศไทยและกัมพูชามีแนวพรมแดนติดต่อกันความยาวประมาณ 798 กิโลเมตร แบ่งเป็นตามแนวสันปันน้ำประมาณ 524 กิโลเมตร ตามแนวลำน้ำประมาณ 216 กิโลเมตร และเป็นเส้นตรงประมาณ 58 กิโลเมตร ทั้งสองฝ่ายได้ทำการปักปันเขตแดนร่วมกันครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.2452 โดยใช้หลักเขตแดนทำจากไม้รวม 73 หลัก เริ่มตั้งแต่ช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ (รอยต่อ จ.สุรินทร์ และ จ.ศรีสะเกษ) เป็นหลักเขตที่ 1 โดยแบ่งเส้นเขตแดนเป็น 3 ส่วน ได้แก่
ส่วนที่ 1 เริ่มตั้งแต่จุดร่วมเขตแดน 3 ประเทศ (ไทย-กัมพูชา-ลาว) บริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี ไปตามทิวเขาพนมดงรัก ผ่าน จ.ศรีสะเกษ สุรินทร์ จนถึงเขตรอยต่อ จ.บุรีรัมย์ กับ จ.สระแก้ว (บริเวณหลักเขตที่ 28) ใช้แนวสันปันน้ำของทิวเขาพนมดงรักเป็นเส้นเขตแดน
ส่วนที่ 2 เริ่มตั้งแต่หลักเขตแดนที่ 28 เส้นเขตแดนไปตามลำคลองสลับกับแนวเส้นตรงไปจนถึงต้นน้ำของทิวเขาบรรทัด (ใกล้หลักเขตแดนที่ 68) ผ่าน จ.สระแก้ว และจันทบุรี
ส่วนที่ 3 เริ่มตั้งแต่ต้นน้ำคลองใส (รอยต่อ จ.จันทบุรี กับ จ.ตราด) เส้นเขตแดนไปตามแนวสันปันน้ำของทิวเขาบรรทัดในเขต จ.ตราด ผ่านหลักเขตแดนที่ 69 จนถึงหลักเขตแดนที่ 72 และจากหลักเขตแดนที่ 72 เป็นเส้นตรงจนถึงหลักเขตแดนที่ 73 อ.คลองใหญ่ จ.ตราด
ต่อมาพบว่าหลักเขตบางส่วนถูกเคลื่อนย้าย บางส่วนสูญหาย และการใช้แผนที่ในการพิจารณาปัญหาเขตแดนคนละฉบับ โดยไทยใช้แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ลำดับชุด L 7017 ที่กรมแผนที่ทหารจัดทำ ส่วนฝ่ายกัมพูชาใช้แผนที่ มาตราส่วน 1:50,000 ที่จัดพิมพ์โดยสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ส่งผลให้แนวเขตแดนบนแผนที่ทับซ้อนกัน
ที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายได้ร่วมทำบันทึกความเข้าใจเรื่องการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.2543 และมีคณะทำงานปฏิบัติงานร่วมกันเรื่อยมา แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่เสร็จสิ้น และมีพื้นที่ที่ยังเป็นปัญหาเขตแดนระหว่างสองประเทศ ได้แก่
1.จังหวัดสุรินทร์
สุรินทร์มีปัญหาพรมแดนติดต่อกับกัมพูชาทางด้าน อ.กาบเชิง บัวเชด สังขะ และกิ่งอำเภอพนมดงรัก ซึ่งเขตแดนติดต่อมีลักษณะเป็นป่า มีทิวเขาพนมดงรักกั้นตลอดแนว ส่วนหนึ่งประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยทับทัน-ห้วยสำราญ และตามแนวชายแดนซึ่งเป็นเขตแดนทางบกมีช่องทางขึ้นลงจำนวนมาก
สุรินทร์มีหลักเขตแดนทั้งหมด 23 หลัก ตั้งแต่หลักเขตแดนที่ 2-23 ในจำนวนนี้มีหลักเขตแดนที่ไม่สามารถตรวจพบ 6 หลัก คือหลักเขตแดนที่ 2,4,5,6,15 และ 16 ส่วนหลักเขตที่ 7 มีร่องรอยการเคลื่อนย้าย
ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเฉพาะที่สำคัญ ได้แก่
1.1 กลุ่มปราสาทตาเมือน เป็นปราสาทหินมีจำนวน 3 หลัง ตั้งอยู่บนแนวภูเขาบรรทัด บริเวณบ้านหนองคันนาสามัคคี หมู่ 18 ต.ตาเมียง กิ่งอำเภอพนมดงรัก กลุ่มปราสาทตาเมือน ประกอบด้วย ปราสาทตาเมือนธมเก่าแก่และมีขนาดใหญ่ที่สุด ปราสาทตาเมือนโต๊ด และประสาทตาเมือน
1.2 ปราสาทตาควาย ตั้งอยู่ในเขตบ้านไทยนิยมพัฒนา หมู่ 17 ต.บักได
ช่วงปี 2544 ราษฎรกัมพูชาได้แพร่กระจายข่าวว่า ปราสาทตาเมือนและปราสาทตาควายเป็นของกัมพูชา และกัมพูชาอาจยื่นข้อเรียกร้องอ้างสิทธิเหนือปราสาททั้งสองแห่ง ซึ่งในการประชุมเจ้าหน้าที่เทคนิคไทย-กัมพูชา นำโดย นายประชา คุณะเกษม ที่ปรึกษา รมว.ต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี ฝ่ายไทย) และ นายวาร์ กิมฮง ที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชาด้านกิจการชายแดน ในฐานะประธาน เจบีซี ฝ่ายกัมพูชา เมื่อวันที่ 7-8 พ.ย.2544 ฝ่ายไทยเสนอว่าขอให้จัดชุดสำรวจร่วมทำการเดินตรวจสอบแนวสันปันน้ำในภูมิประเทศบริเวณปราสาท เพื่อพิสูจน์ทราบตำแหน่งประสาททั้งสามหลัง โดยยึดถือตามแนวสันปันน้ำต่อเนื่องในภูมิประเทศเป็นเส้นเขตแดน
แต่ฝ่ายกัมพูชาชี้แจงว่า ได้ตรวจสอบตำแหน่งของปราสาททั้ง 2 หลัง (ตาเมือนธม, ตาเมือนโต๊ด) แล้ว ประกอบกับหลักฐานบันทึกว่าจากการปักปันเขตแดน หมายเลขที่ 23 ระหว่างไทย-ฝรั่งเศส ปี ค.ศ.1908 แสดงสัญลักษณ์ตัวปราสาท 2 หลังอยู่ในเขตกัมพูชา
ขณะที่แผนที่ชุด L 7017 มาตราส่วน 1: 50,000 ปี 2527 ที่ฝ่ายไทยยึดถือ และแผนที่ชุด L 7016 มาตราส่วน 1: 50,000 ปี 2514 จัดทำโดยสหรัฐอเมริกาที่ฝ่ายกัมพูชายึดถือ ปรากฏเส้นเขตแดนตรงกันคือ ตัวปราสาทตาเมือนธมอยู่ในเขตกัมพูชา และอีก 2 ปราสาท (ตาเมือนโต๊ด, ตาเมือน) อยู่ในเขตไทย ปัจจุบันปัญหาบริเวณดังกล่าวจึงยังไม่ได้ข้อยุติ
2.จังหวัดบุรีรัมย์
จังหวัดบุรีรัมย์ไม่ปรากฏปัญหาขัดแย้งหรือข้อพิพาทเกี่ยวกับเส้นเขตแดน แต่ยังมีหลักเขตแดนที่ต้องปักปัน ได้แก่
- หลักเขตแดนที่ 25 บริเวณช่องสายตะกู ต.สายตะกู อ.บ้านกรวด ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ เพราะหลักเขตสูญหาย
3.จังหวัดสระแก้ว
พื้นที่ จ.สระแก้ว ที่อยู่ในความดูแลของกองกำลังบูรพา ตั้งแต่ อ.ตาพระยา อ.คลองหาด (หลักเขตที่ 28-51) มีหลักเขตที่สมบูรณ์ 11 หลักเขต สูญหายจำนวน 6 หลักเขต แต่ที่มีเหตุให้เกิดการล้ำแดน คือ
3.1 บริเวณหลักเขตที่ 31-32 เนิน 48 อ.ตาพระยา โดยไทยและกัมพูชายึดแผนที่อ้างอิงต่างกัน ไทยยึดแผนที่ชุด L 7017 ที่ไทยและสหรัฐจัดทำเมื่อปี 2512-2514 แต่กัมพูชายึดแผนที่ชุด L 7016 จัดทำโดยฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ.2497
3.2 หลักเขตที่ 35 บริเวณจุดผ่อนปรนตาพระยา-บึงตรอกวน อ.ตาพระยา ซึ่งหลักเขตดังกล่าวสูญหาย ทำให้ไม่สามารถกำหนดเส้นเขตแดนที่ชัดเจนได้ และกัมพูชายังกล่าวหาฝ่ายไทยว่าก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์บางส่วนรุกล้ำเขตแดนกัมพูชา
3.3 หลักเขตที่ 37-40 บริเวณเขาพนมปะ และเขาพนมฉัตร อ.ตาพระยา ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างยึดถือแผนที่อ้างอิงต่างกัน
3.4 หลักเขตที่ 46-48 ต.โนนหมากมุ่น กิ่ง อ.โคกสูง ถูกราษฎรกัมพูชาบ้านโชคชัย จังหวัดบันเตียเมียนเจย ประมาณ 200 คน รุกล้ำเข้ามาปลูกที่อยู่อาศัยในเขตไทยห่างจากชายแดนประมาณ 300 เมตร คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 400 ไร่ นอกจากนี้หลักเขตที่ 48 ยังถูกทำลายด้วย
3.5 พื้นที่บ้านป่าไร่ใหม่ ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ ใกล้หลักเขตที่ 49 ฝ่ายกัมพูชาก่อสร้างกำแพงคอนกรีตในบริเวณดังกล่าว แต่ยอมยุติการก่อสร้างและยอมให้ไทยรื้อถอนบางส่วน ซึ่งฝ่ายกัมพูชาได้นำกำลังตำรวจเข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการในเขตกัมพูชาใกล้บริเวณดังกล่าว
3.6 พื้นที่บริเวณจุดผ่านแดนถาวรคลองลึก อ.อรัญประเทศ เกิดจากการปรับพื้นที่เพื่อก่อสร้างบ่อนการพนันในเขตกัมพูชา อันเป็นเหตุให้ลำน้ำคลองลึก คลองพรมโหด ที่ใช้เป็นเส้นเขตแดนตื้นเขินและเปลี่ยนทิศทาง
3.7 หลักเขตที่ 51 บ้านคลองหาด อ.คลองหาด (เขาตาง็อก) ไทยและกัมพูชาต่างใช้แผนที่อ้างอิงที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดพื้นที่เหลื่อมทับกันประมาณ 3 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 1,875 ไร่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาเข้าทำการปลูกสร้างสิ่งก่อสร้างไว้ และกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) ได้เข้าเจรจาให้รื้อถอนออกไปแล้ว
4.จังหวัดจันทบุรี
4.1 บริเวณหลักเขตที่ 51 ฝ่ายไทยและกัมพูชาใช้หลักฐานอ้างอิงต่างกัน ทำให้เกิดพื้นที่เหลื่อมทับประมาณ 3 ตารางกิโลเมตร ซึ่งพื้นที่เหลื่อมทับดังกล่าว กัมพูชาเคยปลูกสร้างสิ่งก่อสร้าง แต่ กปช.จต.ได้กดดันให้กัมพูชารื้อถอนสิ่งก่อสร้าง
4.2 หลักเขตที่ 62 บ้านหนองกก ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ซึ่งตลิ่งริมน้ำถูกกระแสน้ำกัดเซาะจนพังทลาย เป็นเหตุให้หลักเขตอ้างอิงที่ตั้งอยู่ริมคลองโป่งน้ำร้อนโค่นล้ม ทางกองบัญชาการทหารสูงสุดได้อนุมัติแนวทางติดตั้งหลักเขตแดนขึ้นใหม่ โดยเจรจากับกัมพูชาดำเนินการติดตั้งหลักเขตชั่วคราว
4.3 หลักเขตแดนที่ 66 และ 67 บ้านผักกาด อ.โป่งน้ำร้อน ทั้งสองประเทศต่างอ้างอิงแนวเขตแดนต่างกัน โดยฝ่ายไทยอ้างอิงจากสภาพภูมิประเทศ แต่กัมพูชาใช้แนวเส้นตรง ทำให้เกิดพื้นที่เหลื่อมทับกันประมาณ 1 ตารางกิโลเมตร ซึ่งฝ่ายกัมพูชาได้เข้ามาตัดไม้ และยังกล่าวหาไทยว่าทำการปิดประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติรุกล้ำเข้าไปในเขตกัมพูชา
5.จังหวัดตราด
5.1 บริเวณบ้านคลองสน บ้านคลองกวาง-ตากุจ อ.คลองใหญ่ บนเส้นเขาบรรทัด เนื่องจากกัมพูชาได้สร้างถนนสาย K5 ล้ำเข้ามาในเขตไทยประมาณ 500 เมตร รวมระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร ซึ่งฝ่ายกัมพูชายอมรับว่าสร้างล้ำเข้ามาจริง ทาง กปช.จต.จึงได้ปิดเส้นทางในส่วนที่ล้ำเข้ามา พร้อมทั้งตั้งจุดตรวจและลาดตระเวนตามเส้นทางอย่างต่อเนื่อง
5.2 บริเวณบ้านหนองรี อ.เมือง กำลังทหารสังกัดร้อย ปชด.1 พัน ปชด.501 ได้เข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการบริเวณพิกัด TU.509454 ลึกเข้ามาในเขตไทยประมาณ 300 เมตร กปช.จต.ได้กดดันมิให้ฝ่ายกัมพูชาก่อสร้างอาคารเพิ่มเติม
5.3 หลักเขตแดนที่ 72,73 จุดผ่านแดนถาวรบ้านหาดเล็ก ต.หาดเล็ก อ.คลองใหญ่ โดยหลักเขตที่ 72 สูญหาย และมีการอ้างอิงแนวเขตจากหลักเขตที่ 73 ไปยังหลักเขตที่ 72 แตกต่างกัน ฝ่ายกัมพูชายึดถือค่าพิกัด TT.724886 ส่วนไทยยึดถือที่ค่าพิกัด TT.725884 ทำให้มีพื้นที่เหลื่อมทับกันประมาณ 100 ไร่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาพยายามก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างถาวรในพื้นที่ แต่ กปช.จต.ได้กดดันให้ยุติ
6.เส้นเขตแดนทางน้ำ
ไทยและกัมพูชาประกาศเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทยแตกต่างกัน ฝ่ายกัมพูชาประกาศเมื่อ 1 ก.ค.2515 โดยลากเส้นจากจุดอ้างอิงที่ละติจูด 11 องศา 38.88 ลิปดาเหนือ ลองจิจูด 102 องศา 54.81 ลิปดาตะวันออก ผ่านยอดเขาสูงสุดของเกาะกูดเลยไปถึงระยะกึ่งกลางระหว่างหลักเขตที่ 73 ส่วนฝ่ายไทยประกาศเขตไหล่ทวีปเมื่อ 18 พ.ค.2516 โดยกำหนดจุดอ้างอิงที่ 1 ที่ละติจูด 11 องศา 39 ลิปดาเหนือ ลองจิจูด 102 องศา 55 ลิปดาตะวันออก ที่บ้านหาดเล็ก แล้วลากเส้นเกาะกง จากนั้นแบ่งครึ่งมุมระหว่างเส้นฐานตรงออกเป็นมุมภาคทิศ 211 องศา ไปยังตำแหน่งของจุดที่ 2
ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดพื้นที่เหลื่อมทับทางทะเลประมาณ 34,043 ตารางกิโลเมตร ซึ่งยังอยู่ระหว่างการเจรจา!
http://www.bangkokbiznews.com/2008/07/18/news_26854803.php?news_id=26854803เฝ้าระวังจุดต่างๆไว้ด้วยครับ