เขาพระวิหาร เป็นทั้งโบราณสถานงดงามชั้นนำระดับโลก และเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง
เป็นที่น่าเชื่อว่า ยอดเขาแห่งนี้เป็นที่สถิตของ"ผี" หรือ "แถน" ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์
และเป็นที่เคารพนบนอบสำหรับทุกเผ่าทุกภาษาแต่โบราณช้านาน
ก่อนที่จะเกิด "ชาติ" หรือ "ประเทศ" ดังรู้จักในสมัยนี้, เช่น "ลาว", "ไทย", หรือ "เขมร"ต่อมาราว พ.ศ.500-1500 ศาสนาพราหมณ์เข้ามามีบทบาทสำคัญมากในอุษาคเนย์
พ่อพราหมณ์กำหนดว่า
"พระขะพุงผี" แห่งยอดเขานี้คือ พระศิวะเจ้า,
จึงปลูกพระศิวลึงค์ขนานนามว่า "ศรีศิขเรศวร" (พระผู้เป็นเจ้าแห่งยอดเขา) แล้วสร้างปราสาทเทวสถานครอบไว้อย่างสง่างาม
เป็นที่น่าเชื่อว่า ชื่อ "ศรีศิขเรศวร" ที่ปรากฏในศิลาจารึกภาษาสันสกฤตน่าจะเป็นที่มาของชื่อจังหวัด ศรีสะเกษ โดยสืบทอดกันมาปากต่อปาก
เขาพระวิหาร, จุดขัดแย้ง...เราไม่มีหลักฐานว่าสองฝ่ายนั้นคือใคร, แต่แน่นอนทีเดียวคงไม่ใช่ "เขมร" Vs "ไทย"
เพราะในยุคนั้นต่างไม่เป็นประเทศรัฐและไม่มีชายแดนที่เป็นเส้นตายตัว
ในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เขาพระวิหาร น่าจะ เกิดเป็นจุดขัดแย้งใน ค.ศ.1907 เมื่อสยามกับฝรั่งเศสตกลง
เรื่องชายแดนตามแผนที่ที่นักสำรวจฝ่ายฝรั่งเศสทำขึ้นมาตามหลักสากลที่ถือสันปันน้ำเป็นเขต, แล้วฝ่ายสยามไม่ค้านค้านหรือประท้วง
ว่าโดยสรุป เขาพระวิหารอยู่ในแดนสนธยา,
คืออยู่ในเขมรตามกฎหมาย (Legally in Cambodia)
แต่อยู่ในเมืองไทยตามภูมิประเทศ (Physically in Thailand)
เรื่องแบบนี้ ใครๆ ทะเลาะกันได้วันยังค่ำ ไม่เป็นที่สิ้นสุดเขาพระวิหารมาเป็นที่ขัดแย้งกันอีกครั้งใน ค.ศ.1962 เมื่อศาลโลกตัดสินว่า
เขาพระวิหารเป็นของเขมรโดยอาศัยเอกสารหลักฐานสมัย ค.ศ.1907
และไม่รับพิจารณาหลักฐานทางภูมิศาสตร์
ความส่งท้ายที่จริง ปัญหาเขาพระวิหารปัจจุบันไม่ได้เกิดจากประวัติศาสตร์, ภูมิศาสตร์, หรือนิติศาสตร์,
หากเกิดจาก ความไม่โปร่งใส ของรัฐบาลประชาธิปตวย
อีนังโมหิณี, แมวรักของผม, สรุปได้กะทัดรัดดีว่า :-
"ในระบอบประชาธิปไตยขนานแท้ เขาไม่แต่งตั้งหมาจิ้งจอกให้เป็นผู้ดูแลเรื่องธิปไตยของเล้าไก่"จากมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 4 ก.ค. 51 ฝรั่งมองไทย โดยไมเคิล ไรท
อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่นี่ มี version ภาษาอังกฤษด้วย
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?id=43665&catid=1