ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
29-03-2024, 07:46
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  ห้องสาธารณะ  |  รู้จักโรงเรียนอาซิซสถานที่ปัตตานีไหม 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
รู้จักโรงเรียนอาซิซสถานที่ปัตตานีไหม  (อ่าน 3020 ครั้ง)
คนเหนือ
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: 29-07-2008, 21:55 »

เค้าว่าโรงเรียนนี้มีอาจารย์ขายชาติ
ชอบแบ่งแยกดินแดน มีแนวคิดหัวรุนแรง
และแขกไม่กินหมูบางคนชอบมาเกรียนแถวนี้


 

รู้สึกว่าจะชื่อ โมโม อะไรสักอย่าง
บันทึกการเข้า
เด็กอาซิซ
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: 31-07-2008, 21:14 »

http://http://[sup][size=10pt][[font=Verdana]color=blue][[ftp=ftp://tt][list][li][move][i][b]รู้ด้ายไงว่าอาจาร์ยขายชาติด้วยเคยเห็นแล้วหรือไง.ทำไมต้องมากล่าวหาแบบนี้ด้วยหา................ไม่เข้าจายคนสมัยนี้จิงๆ
ถ้าเป็นคนอิสลามว่าโรงเรียนอิสลามด้วยกันนี้ไม่เป็นรัยเพราะมันน่าจะมีเหตุผลรัยบางอย่างไม่ก็เคยอยู่ร.ร.นั้น :slime_doubt:แต่ถ้าเป็นคนพุทธนี้มันยังไงๆอยู่นะ
 :slime_whistle:งงจิงๆ[/b[/i][/move][/li][/list][/tt]]tt][list][li][move][i][b]รู้ด้ายไงว่าอาจาร์ยขายชาติด้วยเคยเห็นแล้วหรือไง.ทำไมต้องมากล่าวหาแบบนี้ด้วยหา................ไม่เข้าจายคนสมัยนี้จิงๆ
ถ้าเป็นคนอิสลามว่าโรงเรียนอิสลามด้วยกันนี้ไม่เป็นรัยเพราะมันน่าจะมีเหตุผลรัยบางอย่างไม่ก็เคยอยู่ร.ร.นั้น :slime_doubt:แต่ถ้าเป็นคนพุทธนี้มันยังไงๆอยู่นะ
 :slime_whistle:งงจิงๆ[/b[/i][/move][/li][/list][/tt][/ftp][/color][/font[/size][/sup]
[/img]]]
บันทึกการเข้า
อิรวันชาห์ IrWanSyah
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 870



« ตอบ #2 เมื่อ: 31-07-2008, 21:32 »

ตามข่าวกันหน่อย บังโม ณ พันทิพย์ย้ายไปใหนแล้ว ครูเอกชนย้ายเข้าออกบ่อย เพราะเศรษฐกิจนะ ไม่ใช่สถานการณ์ ยิ่งครูไอทีที่ใหนให้เงินเดือนดีกว่า ใครเล่าจะไม่ย้ายไปอยู่   

ปล. ถ้าที่นั่นมีพวกแบ่งแยกอยู่ เธอคนนี้คงย้ายไปนานแล้วหละ

-------------------------------------

http://www.isranews.org/cms/index.php?option=com_content&task=view&id=2904&Itemid=58

ครูแหม่มกับชีวิตที่แปรเปลี่ยนหลังสูญเสียสามีจากเหตุร้าย...ยังคงยืนหยัดเพื่ออนาคตของเด็กเล็ก     
วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน 2007 09:41น. 
เลขา เกลี้ยงเกลา
สถาบันข่าวอิศรา สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย


ภาพ : ครูแหม่ม – สุขุมาลย์ อินกะโผะ 

 

เดือนมิถุนายน 2547 หน้าโรงเรียนศาสน์สามัคคี อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ร่างของนายใจ อินกะโผะ ครูแห่งโรงเรียนนี้นอนจมกองเลือดจากฝีมือผู้ไม่หวังดี นับเป็นกรณีแรกๆ ของการเริ่มทำร้ายครูที่ทำงานอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้  นับจากเหตุการณ์ปล้นปืนเมื่อต้นปี 2547

สามปีกว่าที่ผ่านมาที่ครูใจได้จากโลกนี้ไป ทิ้งให้ ครูแหม่ม – สุขุมาลย์ อินกะโผะ  คู่ชีวิตขาดคู่คิดคู่ใจเผชิญโลกและเลี้ยงดูลูกตามลำพัง หากด้วยความเข้มแข็งของจิตใจที่ครูแหม่มมีเป็นสิ่งที่ทำให้ผ่านคืนวันเหล่านั้นมาได้

ด้วยความเป็นคนเข้มแข็งมาตั้งแต่เด็ก นับแต่ต้องจากบ้านเกิดมาอาศัยแผ่นดินปัตตานี ทำให้ครูแหม่มเป็นสมาชิกของชุมชนปัตตานี  เรียนหนังสือตั้งแต่เด็กก่อนจะทำงานในพื้นที่ให้ความรู้แก่เด็กเล็กมาอย่างยาวนานนับสิบปี

“พื้นเพพี่เป็นคนนครศรีธรรมราช พอพ่อแม่แยกทางกัน ญาติรับตัวมาอยู่ที่ปัตตานีตั้งแต่ปี 2511 มาอยู่ที่กะลาพอ สายบุรี เรียนที่ปัตตานีแล้วไปจบปก.ศ.ต้นที่วิทยาลัยครูยะลา สอบบรรจุครูครั้งแรกได้ที่โรงเรียนดรุณศาสน์วิทยา สายบุรี สอนวิชาคณิตศาสตร์ พี่ใจ แฟนพี่สอบบรรจุวันเดียวกันสอนที่เดียวกันมา 16 ปี จากนั้นพี่ย้ายมาที่โรงเรียนมูลนิธิอาซิซสถาน อ.โคกโพธิ์ได้ 16 ปีถึงทุกวันนี้ไม่เคยย้ายไปไหน ส่วนพี่ใจเขาเป็นคนโคกโพธิ์ ย้ายมาสอนที่โรงเรียนดรุณศาสน์ได้ 14  ปีจนถึงวันที่ถูกยิง”

ด้วยความเป็นคนขยันมาตั้งแต่ยังสาว ทำให้ครูแหม่มเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปและมีฐานะที่พอมีพอกินตามอัตภาพ

“พี่กลับจากโรงเรียนจะส่งเสื้อผ้าไปขายทุกอำเภอ สิ้นเดือนก็ขับมอเตอร์ไซค์ไปเก็บเงินเป็นรายได้เสริม ในสายบุรีเรารู้จักกันเกือบทุกบ้าน สามทุ่มยังไปไหนมาไหนสบาย มีข้าราชการครูอำเภออื่นมาเช่าบ้านอยู่เยอะ เป็นความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เพื่อนมุสลิมก็มีเยอะ”

เมื่อเหตุการณ์ร้ายมาเยือนชีวิตครูแหม่มในวันหนึ่ง หลายสิ่งในชีวิตต้องเปลี่ยนแปลงไป สิ่งแรกคือครูแหม่มต้องเป็นทั้งพ่อละแม่แก่ลูกทั้งสองคน

“หลังเหตุการณ์มีบางอย่างเปลี่ยนไป จากที่เคยอยู่พร้อมหน้าพ่อแม่ลูกก็ไม่มี ตอนที่เกิดเรื่องลูกชายสุดท้องเรียนชั้นม.5 วันที่พ่อเขาเสียบอกกับลูกว่า “แม่ยังอยู่นะ ให้มั่นใจในตัวแม่” ลูกชายจึงได้รับความเอ็นดูจากญาติมากขึ้นเมื่อพ่อเสียและเขาก็ตั้งใจเรียน อาศัยว่าพี่เป็นคนที่ดูแลตัวเองได้ ทั้งทำงาน ขับรถเอง ไม่ต้องพึ่งสามีมาก แต่บรรยากาศของบ้านเหงามาก คนที่เคยจัดการเรื่องต่างๆ คนที่เคยกวาดบ้าน ไปรับไปส่งลูกทุกวันไม่มีอีกแล้ว ลูกก็ต้องย้ายไปอยู่กับยายในเมืองเพราะพี่ต้องสอนหนังสือแต่เช้าเหมือนกัน”


ครูแหม่มพูดถึงเรื่องราวพร้อมหยาดน้ำใสคลอนัยน์ตาให้รับรู้ได้ถึงความรู้สึกข้างใน ถ้อยคำที่พรั่งพรูออกมาจึงเป็นสิ่งที่ครูแหม่มอยากบอก

“เรื่องแบบนี้เกิดกับใครย่อมต้องเสียใจแน่นอน อาจเป็นบุญของพี่ที่มีญาติที่ดี ตั้งแต่พ่อแม่แยกกัน ญาติก็ให้ความเมตตามาตลอด  น้าชายที่เป็นศึกษานิเทศก์เขามีจิตวิทยาพูดตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุว่า “ให้คิดว่าพี่ใจตายดี ตายอย่างสงบ ตายหน้าโรงเรียน ตายไปลูกเมียไม่เดือดร้อน รัฐบาลก็ช่วย เขาไม่ได้ตายฟรี” เขาให้กำลังใจกันเยอะ ทำให้ปรับเปลี่ยนชีวิตไม่มากเท่าไหร่ ญาติสามคนจากกรุงเทพฯ มาช่วยจัดบ้านและอยู่เป็นเพื่อนเป็นเดือน จากที่เคยต้องบริการเวลาเขามาเยี่ยมครั้งก่อนๆ กลายเป็นเขามาดูแลให้หมดทั้งซักผ้า ดูแลอาหารการกิน เขาจะพูดในสิ่งที่ดีไม่ให้เราคิดมาก ญาติอีกคนอยู่ด้วยกันตลอดเวลาสองปี พอเหตุการณ์หนักขึ้นเขาเพิ่งย้ายไปอยู่บ้านชายทะเล

“คดีไม่ไปถึงไหน ไม่อยากไปตาม ถึงจับได้ก็ไม่สามารถไปทำอะไรเขาได้ ให้เหตุการณ์เป็นบทเรียน อย่าให้เกิดกับคนอื่นก็พอแล้ว จบกันแค่นั้น คนที่ตายก็ไม่ฟื้นคืนชีวิต

“ไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนกันว่ามีพื้นฐานมาจากเรื่องใด จากที่พี่เป็นครูพุทธในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนามานานก็ไม่เห็นมีอะไรที่ทำให้แตกแยกกัน เราอยู่ร่วมกันได้ดี หยอกล้อกันเป็นประจำ ทางผู้บริหารและโต๊ะครูของโรงเรียนก็ให้เกียรติเป็นอย่างดี เขาจะถามความคิดเห็นเวลาประชุมเสมอ ครูแหม่มคิดเห็นยังไง เมื่อก่อนที่นี่มีครูพุทธเยอะ พอโรงเรียนเปลี่ยนเป็นมูลนิธิไม่นานก็มีการเปลี่ยนรัฐบาลที่มีนโยบายให้ข้าราชการไปอยู่ในโรงเรียนเล็กเพราะอาซิซสถานได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาล 100 เปอร์เซ็นต์ ทางโรงเรียนต่อรองให้มีครูข้าราชการได้ 3 คน พี่เป็นผู้หญิงคนเดียว รวมทั้งหมดมีสิบกว่าคน ครูทั้งโรงเรียนเกือบ 200 คน นักเรียนสามพันกว่าคน

“ทำไมเขาจึงพยายามทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างศาสนา แต่ในความจริงเราก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทำไมจึงยังจับใครจริงจังไม่ได้เสียที ทหารก็มีเยอะในพื้นที่ ทำให้ประชาชนกังขา อาจเป็นเพราะประชาชนไม่ไว้ใจเจ้าหน้าที่จึงไม่ได้รับความร่วมมืออย่างจริงจัง” เป็นสิ่งที่ผู้หญิงคนหนึ่งรู้สึก

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อบรรดาพี่น้องครูร่วมชะตากรรมเกือบทุกวัน ไม่ได้ทำให้ครูแหม่มคนนี้หวั่นไหว ยังมั่นคงที่จะทำหน้าที่เรือจ้างส่งผู้โดยสารให้ถึงฝั่งต่อไปจนกว่าจะสิ้นแรง

“ตอนนี้พี่อายุ 52 ตั้งใจสอนเด็กและใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ไม่คิดย้ายไปไหน พี่เป็นคนที่พ่อแม่แยกทาง กว่าที่จะสร้างเนื้อสร้างตัวได้ต้องเริ่มจากศูนย์มามีพร้อมทั้งรถ บ้าน ที่ดิน ก็เพียงพอแล้ว จะให้ทิ้งไปคงไม่ได้ พี่ผูกพันในพื้นที่มานาน จะไปอยู่ที่อื่นก็ต้องปรับตัวปรับชีวิตใหม่อีก อายุก็เยอะแล้ว อยู่ที่นี่มาเกือบ 40 ปีเหมือนเป็นบ้านเกิดของตัวเอง ญาติพี่น้องก็ขอให้ย้าย ผู้ใหญ่ทางกระทรวงก็ให้ย้ายออกจากพื้นที่จะไปสอนที่ไหนก็ได้ เป็นเพราะตัวเองที่เลือกอยู่เอง คิดว่าจะเกิดอะไรก็แล้วแต่บุญแต่กรรม คิดว่าหากเป็นอะไรไปก็บอกกับทุกคนไว้แล้วว่าไม่เสียใจแล้วในชีวิตนี้ที่ได้ทำคุณประโยชน์ไว้พอควร ห่วงแต่ลูกชายที่เรียนตอนนี้ หากเขาไม่เกเรคงเรียนจบ ส่วนลูกสาวคนโตทำงานที่ภูเก็ตก็หมดห่วงไป

“ถ้าสุขภาพยังดีจะทำหน้าที่ครูต่อไป ได้คุยกับเพื่อนๆ ได้คุยกับเด็กเป็นเรื่องราวของชีวิตทุกวัน ยังไม่คิดลาออก”

การเป็นผู้สูญเสียย่อมส่งผลกระทบถึงหลายคนที่อยู่ข้างหลัง การมีกำลังใจยืนหยัดสู้ชีวิตต่อได้โดยตัวเองจึงจะเป็นการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างจริงจัง

“อย่าคิดว่าเมื่อสามีเสียชีวิต รัฐบาลต้องดูแลทุกอย่าง มันไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน สิ่งที่รัฐช่วยก็ขอบคุณเขา เราต้องดูแลกันเอง ถ้าเราช่วยเหลือตัวเองได้ก็จะดีกว่า พึ่งพาตนเองให้ได้จะภูมิใจและมีศักดิ์ศรี” ครูแหม่มปิดท้ายการสนทนาถึงผู้สูญเสียเช่นเธอ
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-07-2008, 21:59 โดย อิรวันชาห์ IrWanSyah » บันทึกการเข้า

西施无情
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 456


ไซซีไ้ร้ใจ


« ตอบ #3 เมื่อ: 02-08-2008, 15:26 »

มาเกรียนจริงๆด้วยแฮะ
บันทึกการเข้า

我愛你, 陈一冰,
saoda
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: 05-08-2008, 12:42 »

เป็นศิษย์เก่าที่เก่ามากปี 36 ตอนนั้นไปเรียนแล้วมีความสุขมากบ้านอยู่หาดใหญ่เวลาไปต้องไปทางรถไฟ
กับเพื่อนที่เป็นรูมเมทหลายคนเป็นเด็กหาดใหญ่ทั้งหมดเรยจำได้ว่าเวลาไปเรียนสามัญตอนนั้นเรียนกันตอนเย็น ไม่ทราบว่าตอนนี้เปลี่ยนเป็นแบบใหนแล้ว
ไม่เคยคุยกับเพื่อนทีเป็นผู้ชายร่วมห้องเราเรียน /2เป็นสายอังกฤษ คณิต แล้วทั้งห้องที่เป็นผู้หญิงเกือบทั้งหมดพูดไทยแต่ผู้ชายเกือบทั้งหมดพูดมาลายู
สนุกมากเวลาทะเลาะกัน ต่างคนก็ต่างพูดภาษาต้วเองเราก็ฟังมาลายูไม่ออก พวกมัน (ผู้ชาย) ฟังไทยได้เล็กน้อยแต่พวกเราซัดภาษาใต้เรยมันก็ฟังไม่ออกเหมื่อนกัน เรียนอยู่ 3ปีจบม.6 ก็ยังไม่เคยได้คุยกันดีๆ เลย
 จนกระทั้งหลังจากนั้นผ่านไปหลายปีได้มีโอกาสเจอกันเนื่องจากไปเลี้ยงส่งเพื่อน(ผู้ชาย)ในห้องไปเรียนต่อออสเตรเลียก้เลยยได้มีโอกาสคุยกันและเล่าความหลังครั้งเรียนด้วยกัน สนุกมาก ก็เลยมีการตกลงกระชับไมตรีกันใหม่โดยมีการเลี้ยงรุ่นกันตอนนั้นเป็นที่กล่าวขวัญกันมากว่าเป็นรุ่นที่มึความสมัครสมานสามัคคีกัน ไม่เคยขาดการติดต่อนกันเรยแม้กายห่างกันแต่ใจ อาซิซ 36 ก็ไม่เคยลืมกัน แม้ตอนนี้พวกเราก็ยังคงมีการติดต่อกันอยู่สมำเสมอและนัดเจอกันเมื่อมีโอกาส
รักและคิดถึงเพื่อนทุกคนจากใจอาซิซ ปี36


บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: