ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
26-04-2024, 16:06
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  **ทวงคืน ปตท...แปรรูปรัฐวิสาหกิจ..โครงสร้างราคาน้ำมัน..ความเข้าใจที่ถูกต้อง** 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
**ทวงคืน ปตท...แปรรูปรัฐวิสาหกิจ..โครงสร้างราคาน้ำมัน..ความเข้าใจที่ถูกต้อง**  (อ่าน 3302 ครั้ง)
*bonny
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,459



« เมื่อ: 29-07-2008, 16:24 »

สวัสดีครับ..
สืบเนื่องจากกระทู้นี้..

http://forum.serithai.net/index.php?topic=30412.0

ตอนแรกตั้งใจจะตอบต่อท้ายกระทู้ แต่เห็นว่า ความเห็นของผมยาวมาก และกระทู้เลยไปไกลแล้ว คนที่เข้ามาใหม่จะไม่ไปอ่านทุกความเห็น  ก็เลยขออนุญาตยกมาต่อกันที่นี่
หลายความเห็นที่ไม่ได้ตอบในกระทู้นู้นก็ขอยกยอดมาเคลียร์ที่นี่ทั้งหมดนะครับ (ผมอ่านแค่สองหน้าเอง  )

เพื่อให้ง่ายแก่การอ้างอิงเมื่อต้องการทักท้วงผม ผมจึงจัดลำดับเป็นหัวข้อๆ ไว้ สามารถหยิบมาได้เลยโดยไม่ต้องควานหาทั้งบทความ

เนื้อหาจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ เรื่องวาระซ่อนเร้นของพันธมิตรในการทวงคืน ปตท.  และเรื่องความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและตัวเลขที่ถูกพันธมิตรบิดเบือน หรือ จงใจให้ไม่ครบถ้วน ทำให้ประชาชนที่ไม่ได้ศึกษาแบบเจาะลึกเข้าใจผิดได้  และผมก็ได้เห็นจากกระทู้ที่แล้วว่า มีเพื่อนๆ บางคนคล้อยตาม หรือ อาจจะเข้าใจผิดมาโดยตลอดก็ได้จึงแสดงความเห็นเช่นนั้น

ขอย้ำสรุปตรงนี้นะครับ สำหรับคนที่ไม่ชอบอะไรยาวๆ จะได้ไม่ต้องเสียเวลา..
กระทู้นี้ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยครับ ประเด็นทวง ปตท.เขาคงเลิกเล่นไปแล้ว ไม่ต่อยอดหรอก เพราะมันเป็นไปไม่ได้  พันธมิตรต้องการแค่รักษาแนวร่วมที่เป็นสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจเท่านั้น จากนี้ไปคงไปเล่นกันเรื่องอื่นๆ ที่เป็นประเด็นหลักต่อไป  แค่นี้แหละครับ..จบ
...............


ส่วนข้างล่างนี้ เป็นเรื่องของความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องที่ผมต้องการแลกเปลี่ยนกับผู้ที่สนใจจริงๆ และเป็นการบันทึกเอาไว้ในหน้าเว็บ และเพื่อเก็บลงในบล็อกตัวเองเหมือนเขียนไดอารี่ เพื่อให้คนที่สนใจใช้อ้างอิงว่า ครั้งหนึ่งเกิดอะไรขึ้นในบ้านเมือง

ขอเริ่มเลยนะครับ..

1)   จุดเริ่มต้นของการออกมาประท้วงบนถนนของพันธมิตร

พันธมิตรออกมายึดสะพานมัฆวานเพราะไม่พอใจที่รัฐบาลนอมินีลุแก่อำนาจ ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเพื่อฟอกความผิดให้กับระบอบทักษิณ และประท้วงเรื่องการพยายามแทรกแซงองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ตรวจสอบนักการเมืองที่ทุจริตและขายชาติ

ในเมื่อไม่มีกลไกใดๆ ทางรัฐสภาสามารถทัดทานการใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ของพวกพ้องของรัฐบาลได้ ก็ต้องอาศัยอำนาจของประชาชนออกมาชุมนุมเรียกร้องโดยสงบและปราศจากอาวุธ เป็นไปตามสิทธิในรัฐธรรมนูญ

จุดมุ่งหมายดั้งเดิมนี้ เห็นด้วย 100%

แม้ต่อมาจะมีการขยายขอบเขตของการประท้วงบ้าง เช่น เพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม  เพื่อปกป้องอธิปไตยบริเวณพื้นที่ทับซ้อนรอบเขาพระวิหาร  รวมทั้งเรื่อง การเปลี่ยนแปลงการเมืองไปสู่ การเมืองใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้คนชั่วอาศัยการเลือกตั้งแต่เพียงอย่างเดียวเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากประเทศอีก

ผมก็เห็นด้วยทั้งหมดเช่นกัน

เพียงแต่เรื่อง 70 ต่อ 30 พันธมิตรเปิดตัวเร็วไปหน่อย และสัดส่วนไม่สอดคล้องกับระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยนัก  ผมต้องขอติงเอาไว้ อย่าเดินหน้าต่อ เพราะจะเสียแนวร่วมชนชั้นปัญญาชน และ ชาวรากหญ้าไปทั้งหมด

การคัดเลือกตัวแทนจากหลากหลายอาชีพโดยผ่านการเลือกตั้งกันเองมาเป็นผู้แทนราษฎร  ผมเห็นด้วย สอดคล้องกับกรณี สว.ต้องมาจากการสรรหา ซึ่งอยู่ในต้นฉบับเกี่ยวกับความคิดที่ผมได้ส่งสำเนาไปให้สสร.ตั้งแต่ปี 2549  และทำเป็นกระทู้ในเสรีไทยเรื่อง “รัฐธรรมนูญปี 2550 ที่อยากเห็น”  ความยาว 30 กว่าหน้ากระดาษ ซึ่งก็คงมีคนในนี้อ่านจบไม่ถึง 10 คนหรอกครับ แต่ สสร.ต้องอ่าน เพราะเป็นการแสดงความคิดเห็นของประชาชน

2)   วาระซ่อนเร้นในการทวงคืน ปตท.?

มีบางคนบอกว่า เรื่อง ปตท. พันธมิตรเล่นมาตั้งแต่ปี 2549 แล้วไม่ใช่เพิ่งมาเริ่ม
ก็มีส่วนจริงครับ  เพราะพันธมิตรก็เล่นทุกเรื่องแบบเหวี่ยงแหอยู่แล้ว เวลาพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจบนเวทีปราศรัย  และกรณี ปตท.ก็เป็นประเด็นฮอตที่เกิดขึ้นหลังจากศาลปกครองมีคำพิพากษาในยุครัฐบาลทักษิณให้ระงับการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเอาไว้ก่อน  ศาลท่านคุ้มครองชั่วคราวนะครับ ไม่ได้ระงับอย่างถาวร  ดังนั้น..ในอนาคต หากรัฐบาลมีการจัดการที่ดีกว่านี้ มีการทำประชาพิจารณ์ และแสดงให้เห็นว่า จะมีการกระจายหุ้นอย่างเป็นธรรม ก็สามารถยื่นขอแปรรูปได้อีก  เพราะกฎหมายฉบับนั้นก็ยังอยู่

กลุ่มพันธมิตร + สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ(ที่ไม่ต้องการแปรรูป) + เอ็นจีโอที่เดินเรื่องขอความคุ้มครองจากศาล จึงมีสายสัมพันธ์ต่อกัน เพราะต่างก็ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของระบอบทักษิณด้วยกันนั่นเอง แต่ถ้ามองลงไปให้ลึกๆ จุดมุ่งหมายของแต่ละฝ่ายหลังการสิ้นสุดของระบอบทักษิณแตกต่างกันนะครับ

การเคลื่อนไหวของพันธมิตรที่สะพานมัฆวานในระยะแรกดำเนินไปอย่างอิสระตามแนวทางที่วางไว้  จนกระทั่งไม่นานมานี้ ก็มีแนวร่วมจากสหภาพแรงงานการรถไฟ และการไฟฟ้า เข้ามาร่วมอย่างแข็งขัน รับปากจะส่งพนักงานเข้าร่วมด้วยทุกวัน และหากรัฐบาลสลายการชุมนุมเมื่อใด ก็พร้อมจะตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดการจราจรทางรถไฟทันที

เจตนารมณ์ของการทุ่มเทของสหภาพแรงงานครั้งนี้เป็นที่ฮือฮามาก เพราะเป็นกลไกลำคัญที่ทำให้พันธมิตรแข็งแกร่งและพลิกเป็นฝ่ายได้เปรียบ หลังจากรัฐบาลตั้งวอร์รูมเผชิญหน้า ฮึดฮัดจะใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมอยู่แล้ว

หลังจากนั้นเป็นต้นมา  บนเวทีก็มีการโจมตีการบริหารปตท.เรื่อยมาแทบทุกวัน และถึงจุดสูงสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่พันธมิตรยกพลไปทวงคืน ปตท.ที่ถนนวิภาวดีรังสิต

ความจริงน่ะ การทวงคืน ทำทีหลังก็ได้ครับ การเมืองใหม่ของพันธมิตรสำเร็จ จะทำอะไรก็ง่ายอยู่แล้ว  มาประกาศทวงคืน (ตอนหลังเปลี่ยนเป็นการ “ยึดคืน”) ในตอนนี้ ไม่เกิดประโยชน์อันใดเลยต่อการเคลื่อนไหวของพันธมิตร เพราะยังเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้  สูญเสียพลังงานที่กำลังถดถอย และสูญเสียแนวร่วมที่เป็นนักวิชาการอิสระ และชนชั้นปัญญาชนไปอีกส่วนหนึ่ง

การปรากฏตัวบนเวทีที่ปตท.ของนายศิริชัย ไม้งาม แกนนำสหภาพการไฟฟ้า ก็เป็นคำตอบว่า ทำไมสหภาพแรงงานการไฟฟ้าจึงแข็งขันเข้าร่วมต่อสู้กับพันธมิตรเสมือนไม่มีเงื่อนไขใดๆ

การแลกเปลี่ยนที่ต้องอาศัยการพึ่งพากันและกันของพันธมิตรและแนวร่วมต่างๆ ก็ไม่น่าจะผิดแปลกอะไรหรอกครับ  หากพันธมิตรจะบอกกับประชาชนอย่างตรงไปตรงมา และให้ข้อมูลที่ไม่บิดเบือนกับประชาชนโดยตลอด
ที่ผมคัดค้าน ก็คัดค้านประเด็นนี้แหละครับ คือ อย่าใช้ประชาชนที่เขาบริสุทธืใจกับพันธมิตรมาตลอด ตั้งแต่จุดเริ่มต้น มาปกป้องผลประโยชน์ขององค์กรใด องค์กรหนึ่ง  ถ้าทำเพื่อเงื่อนไขแลกเปลี่ยนมวลชนซึ่งกันและกันในอนาคตก็ต้องบอกให้ประชาชนเหล่านั้นรู้ด้วย  เพื่อพวกเขาจะได้ตัดสินใจในการเป็นแนวร่วมต่อไปหรือไม่

3)   ทำไมสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจจึงกลัวการแปรรูปกันนัก?

รัฐวิสาหกิจทางด้านสาธารณูปโภคที่มีกำไร พาเหรดกันแปรรูปเป็นบริษัทมหาชนกันเกือบหมดแล้ว  ทั้ง การบิน ทางด่วน พลังงาน โทรคมนาคม โรงไฟฟ้าบางแห่ง และล่าสุด การประปา  เหลือที่กำไรดี พอจะขายได้ก็การไฟฟ้าฝ่ายผลิตนี่แหละ   ใครๆ ก็มองออกว่า ถ้ากระแสโลกาภิวัฒน์ดำเนินต่อไปเช่นนี้ การไฟฟ้าต้องเสร็จนักการเมืองเข้าสักวัน  เพราะกฎหมายทุนรัฐวิสาหกิจไม่มีใครยอมยกเลิกซักที  ไทยรักไทยเดิมเอามาหาเสียงว่า จะยกเลิก แต่พอได้เป็นรัฐบาลกลับเอามาใช้ประโยชน์เสียเอง ( ถ้าตอนนั้น ไทยรักไทยยกเลิก วันนี้ไม่มีการประท้วงทั้งการไฟฟ้า และ ปตท.ครับ นี่คือ ความจริงเรื่องผลประโยชน์และมรดกตกทอดที่ต้องรักษาไว้ )

ต้องบอกก่อนว่า ผมเป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจตั้งแต่สมัยรัฐบาลชวน2 แล้ว เพราะผมไม่เชื่อว่า สภาพการจัดการแบบรัฐวิสาหกิจในปัจจุบันจะเกิดการพัฒนาองค์กร จนนำไปสู่ประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชนที่ใช้บริการรัฐวิสาหกิจนั้นๆ ในระยะยาว ( ผมมองไป 5 - 10 ปีข้างหน้า ไม่ได้มองเฉพาะหน้า )

แต่ที่ต้องคัดค้านก็เพราะ รัฐบาลทักษิณมีเจตนาขายทรัพยากรธรรมชาติของประเทศเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง เห็นแก่ผลประโยชน์ของประเทศเพื่อนบ้านมากกว่าผลประโยชน์ของชาติต่างหาก

หากว่า ในอนาคตมีรัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล และมีความกล้าคิด กล้าชนกับม็อบรัฐวิสาหกิจ คิดจะแปรรูป ผมก็จะสนับสนุนครับ
นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมคัดค้านการยึดคืน ปตท.ของพันธมิตรด้วย  เพราะพันธมิตรไม่มีการแสดงหลักการใดๆ ประกอบการประท้วงว่า ถ้ายึดคืนมาแล้ว จะดูแลรักษาสภาพอย่างไรให้ ปตท.สามารถแข่งขันกับธุรกิจข้ามชาติได้ และไม่นำ ปตท.ไปสู่จุดตกต่ำเช่นเดียวกับรัฐวิสาหกิจอื่นๆ

สหภาพแรงงานการไฟฟ้าไม่อยากแปรรูป เพราะต้องการรักษาทรัพยากรของแผ่นดินไม่ให้ตกอยู่ในมือของต่างชาติ หรือ เพราะกลัวการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความสำเร็จอย่างที่ ปตท.เป็นอยู่ทุกวันนี้?

เจตนาของแกนนำสหภาพ คือ พยายามตี ๆ ๆ เพื่อให้เห็นว่า ถ้าแปรรูปแล้ว น้ำมัน ก๊าซ มันจะแพงอย่างนี้ เพราะไม่เห็นหัวของประชาชนอีกต่อไป แต่เห็นผลประโยชน์ของเจ้าของหุ้นหยิบมือหนึ่ง  ประชาชนที่ได้รับฟังโดยไม่หาข้อมูลเพิ่มเติมก็เออออด้วย  การแปรรูปเป็นความเลวร้าย ทำให้น้ำมันแพง ก๊าซแพง
เจตนาของแกนนำสหภาพที่แฝงตัวอยู่ในพันธมิตรก็คงต้องการแค่นี้แหละครับ  คือ สร้างเกราะป้องกันตัวเอง ไม่ได้คิดว่า จะทวงคืน ปตท.จริงๆ หรอก  เพราะมันทำไม่ได้

การบินไทย ปตท. ทางด่วน การสื่อสาร และ โทรศัพท์ ยังไม่ถือว่า เป็นผู้ให้บริการระบบผูกขาดรายเดียว (Monopoly) แต่เป็นผู้ให้บริการในระบบกึ่งผูกขาด (Oligopoly) คือ ยังไม่ถึงกับมัดมือลูกค้าชก  แต่การไฟฟ้า การประปา การรถไฟ ในประเทศเรานี้ต้องเรียกว่า ผู้ผูกขาดในการให้บริการโดยสิ้นเชิง  แกนนำสหภาพจึงกล้าประกาศว่า จะตัดน้ำ ตัดไฟ  จะหยุดเดินรถทั่วประเทศ ในทันทีหากพันธมิตรถูกสลายด้วยกำลัง

ในระบบที่ประชาชนมีทางออก ทำแบบนี้ได้ไหมครับ?  นี่เท่ากับพวกเราเป็นลูกไก่ในกำมือของคนเหล่านี้จริงๆ เราไม่ใช่เจ้าของอย่างที่พวกเขาอ้างหรอก  เพราะเจ้าของจะถูกตัดการให้บริการได้อย่างไร

ในขณะที่ผมเขียนกระทู้อยู่นี้..
สหภาพแรงงานไปรษณีย์ไทยก็กำลังยื่นหนังสือประท้วงไม่ให้บรรจุร่าง .พ.ร.บ.การประกอบกิจการไปรษณีย์เข้าสู่ ครม. โดยระบุว่าจะกระทบต่อประชาชน เพราะค่าบริการจะแพงขึ้น และกระทบต่อพนักงานไปรษณีย์ทั่วประเทศ 24,000 คน พร้อมยื่นหนังสือของ รมว.ไอซีทีขอถอนร่างฯ มาพิจารณาใหม่ พร้อมกับระบุว่า เป็นร่างกฎหมายที่ล้าสมัย เพราะต้องการลดภาระของรัฐบาล แต่ปัจจุบันไปรษณีย์มีกำไรแล้ว

ทำไมถึงกลัวกันจัง..
เพราะถ้าร่างนี้ผ่านครม. เอกชนจะเข้ามาดำเนินกิจการไปรษณีย์แข่งได้น่ะสิครับ  ไอ้ที่บอกว่า จะทำให้ค่าไปรษณีย์แพงขึ้น ก็คงอีหรอบเดียวกับสหภาพการไฟฟ้าฯ อ้าง
มันจะเป็นไปได้อย่างไร  เอกชนมาแข่งขันเสนอให้บริการเป็นทางเลือก ถ้าคิดค่าบริการแพงกว่า คนก็กลับไปใช้บริการของไปรษณีย์ไทยสิ ดูอย่างองค์การโทรศัพท์ปะไร ก่อนและหลังจากเอกชนมาเป็นคู่แข่ง ผิดกันราวฟ้ากับดิน

รัฐวิสาหกิจที่ผูกขาดกลัวที่สุด ก็คือ การแข่งขันกันในระบอบเสรีนิยมนี่แหละครับ  เพราะกลัวจะสู้ไม่ได้  นี่เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า จริงๆ แล้ว สหภาพแรงงานทั้งหลายปกป้องทรัพย์สินของชาติหรือของตัวเองกันแน่

ผมจะเล่าตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงและมีข้อพิสูจน์ให้คุณได้ในปัจจุบัน..

ผมเคยไปทำธุระเรื่องโอนมิเตอร์ไฟที่การไฟฟ้าบางพลี ถ.กิ่งแก้ว ตอนนั้นรู้สึกจะปี 2548

ผมไปถึงที่นั่นตอน 15.10 น.  พอขึ้นบันไดไป ก็มีพนักงานกรูกันลงบันไดสวนลงมามากมาย  พอเดินไปที่โต๊ะเจ้าหน้าที่ ปรากฏว่า หายกันไปหมด  สอบถามจนพบตัวคนทำเรื่อง  เขาบอกว่า ต้องมาก่อนบ่ายสาม  ผมก็แย้งว่า อ้าว เห็นติดประกาศว่า ปิดรับเรื่อง ตอน 15.30 น.ไม่ใช่หรือ

เขาบอกว่า  ที่นี่พวกเรามาทำงานกันแต่เช้า พรุ่งนี้ 7 โมงกว่าๆ คุณมาทำเรื่องได้เลย  คนรีบกลับเพราะรถรับส่งจะมารับตอน 15.30น.

มันตลกตรงที่ ป้ายบอก 8.00 – 15.30 น.  แต่คนการไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงเวลาทำงานกันตามอำเภอใจ โดยยึดเอาความสะดวกของพวกเขาเป็นหลัก  คนทั่วไปไม่รู้หรอกครับ  ใครจะกล้าไปตอน 7 โมงเช้า มีหวังเจอโดนด่ายับ
แล้วสาขาอื่นๆ เขาทำไมทำงานกันตรงเวลาได้?

เรื่องแบบนี้ บริษัทที่มีธรรมาภิบาลแล้ว ทำไม่ได้หรอกครับ


อีกเรื่องนะครับ..
ถ้าคุณเป็นเจ้าของโครงการ จะเป็นคอนโด ตึกแถว บ้านจัดสรรก็ตามแต่  ไม่ใช่บ้านอยู่อาศัยรายย่อยๆ ใช้ไฟเดือนละ 50 หน่วยก็แล้วกัน  คุณจะปักเสาพาดสายไฟฟ้าในโครงการ หรือ จะติดตั้งมิเตอร์เมนจ่ายน้ำสำหรับโครงการ  คุณจะต้องถูกเรียกระบบเหมาจ่ายแบบมัดมือชกก้อนใหญ่  ซึ่งมีใบเสร็จจากการไฟฟ้านะครับ  เพียงแต่มูลค่าวัสดุจะแพงกว่าท้องตลาด 100%
แต่การไฟฟ้าและการประปาไม่ได้ทำเองหรอก (เมื่อก่อนเคยทำเอง) จ้างผู้รับเหมารายย่อยอีกทีหนึ่ง ด้วยค่าจ้างตามแรงงานท้องตลาด มาร์จินจำนวนประมาณ 50% นี้ น่าสงสัยอย่างยิ่งในระบบจัดซื้อจัดจ้าง  แต่เอกชนไม่มีทางเลือก เพราะในประเทศนี้ ก็มีการไฟฟ้า การประปา แห่งเดียวที่ให้บริการอยู่  จำเป็นต้องจ่ายไป แล้วต้นทุนนี้ก็ไปหารกับลูกบ้านในโครงการอีกที ซึ่งลูกบ้านก็ไม่รู้เรื่องหรอกครับ

ตกลง..ประชาชนรายย่อยๆ ก็ไม่ได้รับบริการอย่างเท่าเทียมและป็นะรรมจากสาธารณูปโภคของรัฐอยู่ดี


ระบบแบบนี้แหละครับที่เป็นขุมทรัพย์มหาศาลที่ไม่มีใครเจาะเข้าไปได้  และผมเรียกร้องมาตลอดว่า ต้องแก้ไขหากต้องการให้ประเทศนี้มีการพัฒนาที่ยั่งยืน
ถ้ามีผู้ให้บริการเอกชนมาแข่งขันสักราย-สองราย รับรองว่า ไฟฟ้าและประปาจะถูกลงกว่านี้เยอะครับ

4)   แปรรูปเป็นรัฐวิสาหกิจแล้วดีจริงหรือ? ราคาถูกลงแน่ๆ ใช่ไหม?

เรื่องนี้ต้องรำลึกกันสักนิด  ตำนานการแปรรูปองค์กรเอกชนมาเป็นของรัฐนั้น เคยทำมาแล้วครั้งหนึ่ง  เท่าที่จำได้ก็คือ การเลิกสัมปทานรถเมล์ของเอกชน แล้วโอนมาดำเนินการโดยรัฐ ในสมัย มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมชเป็นนายก

ตอนนั้น ในกทม. มีรถเมล์ค่ายใหญ่ๆ ของเอกชนอยู่ 3 ค่าย คือ  รถเมล์ขาวนายเลิศ  รถเมล์ครีมน้ำเงินของบุญผ่อง และรถเมล์สีเขียวของศรีนคร  รถเมล์นายเลิศวิ่งรับส่งผู้โดยสารมานานถึง 70 ปี มีรถเมล์ 700 คัน และพนักงานอีก 3500 คน ตอนนั้นถือว่า กิจการใหญ่โตมากนะครับ 30 ปีมาแล้ว  เก็บค่าโดยสารครั้งสุดท้ายแค่ 50 สตางค์ตลอดสาย มีกำไรเลี้ยงตัวได้  เพราะขยายกิจการมาโดยตลอดจากเดิมมีแค่เส้นทางเดียว คือ ประตูน้ำ – สี่พระยา
ตอนนั้น ผมเป็นนักเรียนยังจำได้ ซื้อคูปองรายเดือน ได้ลดอีกต่างหาก
นายเลิศ เศรษบุตร เป็นเจ้าของและผู้บริหารเองทั้งหมด ไม่ใช้รถเช่าช่วง มีคติประจำใจให้พนักงานทุกคนว่า "สุภาพ ซื่อสัตย์ ประหยัด ทันใจ เอากำไรแต่น้อย บริการผู้มีรายได้น้อย”

ตอนคึกฤทฺธิ์เปลี่ยนระบบมาเป็นรัฐวิสาหกิจ ก็พากันดีใจกันใหญ่ คาดหวังว่า ตอไปนี้ประชาชนจะได้รับบริการดีขึ้น รถใหม่ขึ้น  ไม่ต้องห้อยโหนเหมือนก่อน พนักงานมีสวัสดิการเหมือนของรัฐ  ดีใจกันใหญ่

จนถึงวันนี้ 31 ปีของ ขสมก. จากวันแรกที่รัฐบาลลงทุนให้ฟรีๆ ขสมก.ทำให้เกิดหนี้สินล้นพ้นตัวถึง 69,000ล้านบาทแล้ว

นี่แหละครับ  เอกชนทำมา 70 ปี ขยายกิจการจากให้บริการรถม้ามาเป็นรถเมล์ มีกำไรทุกปี เก็บค่าโดยสารราคาเดียว  แต่รัฐทำเอง ไม่มีคู่แข่งแท้ๆ แต่ เจ๊งไม่เป็นท่า  อย่าไปโทษภาวะน้ำมันนะครับ ควรดูการบริหารจัดการโดยภาครัฐดีกว่าครับ

5)   เดินเกมทวงคืน ทั้งๆ ที่รู้ว่า เป็นไปไม่ได้

มีเหตุผลอธิบายดังนี้..

4.1..สภาวะทางการเมืองการปกครองคงมีแต่ประเทศเผด็จการคอมมิวนิสต์เท่านั้นแหละครับ ที่สามารถยึดกิจการของเอกชนหรือมหาชนเข้ามาเป็นของรัฐ  เสรีนิยมประชาธิปไตยไม่ทำกันหรอกครับ

4.2..สภาวะทางกฎหมายไทย
สถานภาพการแปรรูปของ ปตท. ศาลปกครองสูงสุดได้ตัดสินแล้วว่าถูกต้อง แต่ที่ดินที่ได้จากการเวนคืนเพื่อวางท่อก๊าซ คือ ท่อก๊าซฯ ที่เชื่อมต่อจากชายแดนพม่า-ราชบุรี ท่อก๊าซฯ ระยอง-วังน้อย ท่อก๊าซฯ วังน้อย-ราชบุรี และอาจมี ท่อก๊าซฯ มาบตาพุด-บางปะกง รวมทั้งท่อสาขาที่เชื่อมโยงกับท่อดังกล่าวที่เข้าข่ายต้องโอนคืนให้แก่รัฐด้วย และยังเห็นว่า ปตท.จะต้องจ่ายค่าตอบแทนย้อนหลัง ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2544 ให้กับกระทรวงการคลังด้วย
ดังนั้น..
การทวงคืนด้วยการประกาศจะยึดกลับมาเป็นของรัฐ/ประชาชนโดยแกนนำพันธมิตรจึงทำไม่ได้ เว้นแต่คุณจะทำผิดกฎหมายเสียเองด้วยการละเมิดคำสั่งศาล  มีผู้บอกว่า ถูกกฎหมายจริง แต่ไม่ชอบธรรม ไม่เป็นธรรมต่อประชาชน เลยจะต้องทวงคืน
ผมถามว่า เราจะเคารพคำตัดสินกรณียึดท่อก๊าซ แต่ไม่เคารพกรณีสถานภาพของการแปรรูปเช่นนั้นหรือ?
ถ้าเราทำเช่นนั้นจริง ประเทศนี้จะเหลือกติกาอะไรให้พวกเรายึดถือได้

ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ให้นายอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกก็ทำไม่ได้ แม้แต่แกนนำพันธมิตรเป็นรัฐบาลก็ทำไม่ได้  ซึ่งนายสนธิที่เข้าใจเรื่องเศรษฐศาสตร์ดีก็คงรู้เรื่องนี้ แต่ไม่บอกกับประชาชน

6)   ผมคงเสียสติเพราะถือหุ้น ปตท.ไว้เยอะ จึงกลัวหุ้นตก เลยออกมาโวย

รู้ได้ไง..เอ๊ย..ไม่ใช่..หึ หึ

ข้อเท็จจริงคือ ผมเป็นนักลงทุนที่รู้เรื่องการเงิน และตลาดทุนดีพอสมควรคนหนึ่ง   ผมมีเงินลงทุนทั้งในตั๋วแลกเงิน  เงินฝากธนาคาร  ประกันชีวิต และหุ้นในตลาดหลักทรัพย์  โดยพยายามแบ่งให้มีสัดส่วนเท่าๆ กัน เป็นการกระจายความเสี่ยง

หุ้น ปตท.ผมก็มีแต่ไม่มากหรอก (ถ้ามากก็ดีครับ ชอบ)  นอกจากนี้ยังมีหุ้นธนาคาร  หุ้นธุรกิจเดินเรือทะเล  หุ้นอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ และ หุ้นวัสดุก่อสร้าง

การขึ้นลงของหุ้น ปตท.ไม่มีผลต่อความเป็นอิสระทางความคิดทางการเมืองของผมหรอกครับ เพราะผมได้เคยบอกแล้วว่า ผู้ลงทุนได้รับการคุ้มครองจากพรบ.ตลาดทุน  ใครจะยึดคืน ซื้อคืน ถอดถอน เพิกถอน ก็ทำไปเหอะ แต่ผู้ลงทุนรายย่อยได้รับการปกป้องด้วยวิธีการเทนเดอร์ออฟเฟอร์ ในราคาใกล้เคียงราคาตลาด
วันที่ม็อบบุก ปตท. ผมยังกะว่า ถ้าลงมาผมก็จะเข้าไปซื้อด้วยซ้ำไป เพราะเงินปันผลดีกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก ยิ่งราคาต่ำลงยิ่งคุ้มค่า  เสียดายม็อบอยู่ไม่นาน หุ้นดีดตัว เลยอดซื้อ

7)   แล้วออกมาปกป้องผลประโยชน์ของปตท.ทำไม? บางเรื่องอยู่เฉยๆ ก็ได้? เป็นการขัดขาพันธมิตรที่มีจุดยืนเดียวกัน

เป็นคนชอบเสือกครับ   ใครหามหมู ผมถือไม้คานไปหาเสมอๆ
 
ถ้าการขัดขาทำให้เดินก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ก็สมควรรับฟังครับ  พันธมิตรต้องใจกว้าง รับการติชมได้จึงจะพัฒนา ถ้าพวกเราใครมีความเห็นต่างแล้วต้องเก็บงำ  ก็อย่าใช้ม็อตโตว่า เสรีไทย เสรีทางความคิดเลย

ผมไม่มีหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของ ปตท.แต่อย่างใด และก็ยังให้การสนับสนุนกลุ่มพันธมิตรอยู่  แต่ต้องการให้ข้อมูลที่พันธมิตรไม่ได้ให้กับม็อบ  และไม่ชอบการบิดเบือนความจริงทั้งเรื่องตัวเลขกำไร ..การคืนกำไรให้คลัง  ..ราคาน้ำมันที่จะถูกลงทันทีที่ถูกยึดคืน  และ..ความเป็นไปได้ที่จะยึดคืน

พันธมิตรได้ยกระดับการชุมนุมเป็นแบบอย่าง เป็นม็อบคนดี มีคุณภาพ เป็นมหาวิทยาลัยราชดำเนิน วิทยาเขตมัฆวาน ต้องพูดความจริง พูดให้ชัด พูดให้หมดทั้งข้อดีและข้อเสีย และพูดสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้นให้กับนักศึกษา ม็อบพันธมิตรต่างจากม็อบ นปก.ก็ตรงนี้..ไม่ใช่หรือ?

ถ้าแกนนำพันธมิตรได้อ่านบทความนี้ เชื่อว่า จะเป็นผลดีมากกว่าผลเสีย ในแง่ของการปรับปรุงคุณภาพ ดีกว่าให้ฝ่ายนู้นเป็นคนติติง ตรวจสอบและจับผิดได้

ถ้ายังดึงดันเรื่อง ปตท. หรือเรื่องอื่นๆ นอกประเด็นดั้งเดิมที่กำหนดแต่แรกก็ทำไปเถอะครับ แต่ต้องพูดความจริงให้หมด ให้ชัด อย่าหมกเม็ด อย่าโยนหินถามทางแล้วเลิก มันเสียสมดุล เสียพลังงาน และเสียแนวร่วมที่เป็นคนกลางๆ และนักวิชาการไป

Cool   พันธมิตรพูดบิดเบือนอย่างไร พูดความจริงไม่ครบถ้วนอย่างไรเกี่ยวกับ ปตท. จนทำให้ผู้คนเข้าใจผิด?

มีหลายประเด็นที่พันธมิตรพูดต่างจากข้อเท็จจริง พูดไม่ชัดเจน หรือ พูดไม่ครบถ้วน เช่น..

7.1..พันธมิตรไม่ได้บอกว่า
นอกจากกท.การคลังที่ถือหุ้นอยู่ 51.8% แล้ว ยังมีกองทุนวายุภักษ์ถืออยู่อีกราว 14.5%  ซึ่งกองทุนนี้จัดตั้งโดยรัฐบาลทักษิณ  มีกท.การคลังถืออยู่อีก 30% นอกนั้นก็ยังมีหน่วยงานรัฐอื่นๆ และกองทุนบำเหน็จบำนาญของข้าราชการเป็นส่วนใหญ่

ดังนั้นตัวเลขที่พันธมิตรบอกว่า กำไรสองแสนล้าน แต่จ่ายให้คลังแค่ 15,000ล้าน จึงไม่ใช่

ข้อเท็จจริง.. 
ปีที่ผ่านมากำไรสุทธิของปตท.ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยทำมา ก็ทำได้แค่ 115,000ล้านบาท  ถ้าไม่รวมบริษัทในเครือ ปตท.โดดๆ มีกำไรแค่ 63,000ล้านบาทเท่านั้นเอง

ตัวเลข 2 แสนล้านไม่รู้พันธมิตรเอามาจากไหน?
ถ้าหมายถึง..กำไรก่อนหักภาษีเงินได้และดอกเบี้ย ซึ่ง ปตท.ทำได้แค่ 165,000 ล้านบาท  ก็ยังห่าง 2 แสนล้านอยู่ดี
ถ้าหมายถึงกำไรบริษัทในเครืออื่นๆ มารวมด้วย ก็ไม่แฟร์นัก  เพราะ ปตท.เป็นแค่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่รายหนึ่ง  บริษัทอื่นๆ เขาไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย แยกการบริหารการจัดการ และการตลาดออกจากกัน
ก็เหมือนผมที่มีธุรกิจของผมเอง แต่มีเงินลงทุนในหลายกิจการหลายประเภทตามที่กล่าวมาแล้ว  ถ้าเวลาจะเล่นงานผมว่าทำธุรกิจหน้าเลือด  ก็ไม่น่าจะเอาเงินลงทุนในส่วนอื่นๆ มาผนวกด้วย
ธนาคารกรุงเทพ ก็มีสัดส่วนการลงทุนในบรัษัทประกันภัยประกันชีวิต  บริษัทหลักทรัพย์  และเกือบทุกอุตสาหกรรมแม้แต่วัสดุก่อสร้าง
บริษัทซี.พี. ก็เช่นเดียวกัน เข้าไปเกี่ยวข้องหมด ทั้งธุรกิจเคเบิลทีวี โทรมือถือ
ถ้าธนาคารกรุงเทพ หรือ ซี.พี. ทำไม่ดีในธุรกิจหลักของบริษัทแม่  ก็ไม่ควรนำตัวเลขที่เขาไปลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนมาในรูปของเงินปันผลในที่อื่นๆ มานับรวม  เพราะธุรกิจอื่น มันคนละโครงสร้าง อาจไม่ได้หน้าเลือดด้วยก็ได้

ส่วนตัวเลขที่พันธมิตรพยายามกดให้ต่ำกว่าความจริง คือ เงินปันผลส่งคืนให้คลังที่บอกว่าแค่ 15,000ล้านบาท  ซึ่ง ปตท.มีนโยบายจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 25% ของกำไรสุทธิ แต่ทุกปีจะจ่ายเกินกว่า 30% ซึ่งปีที่ผ่านมา กท.การคลังรับไป 16,700 ล้านบาท ไม่ใช่ 15,000ล้านบาท
ถ้าบวกกับส่วนที่คลังถือผ่านกองทุนวายุภักษ์อยุ่ 30% ตามที่กล่าวข้างต้น และกองทุนฯ ถือหุ้นใน ปตท.อยู่ 14.5%นั้น คลังจะได้ปันผลอีก.ประมาณ..4,500ล้านบาท
เบ็ดเสร็จรวมแล้วประมาณ 2 หมื่นล้านบาท  ส่วนที่เหลือที่ยังไม่จ่ายปันผลอีก 70%ของกำไร ปตท.เก็บเอาไว้ลงทุนต่อ หรือ หากไม่ลงทุนต่อ ส่วนแบ่งของกท.การคลังก็จะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 60%  (51.8 + 9%) อยู่ในกำไรสะสมที่ยังไม่ได้จัดสรร

แค่นั้นยังไม่หมด..
ในฐานะบริษัทจำกัด ปตท.ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปีให้กท.การคลังอีก 40,000ล้านบาทจากยอดกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (165,000ล้าน) นะครับ  รวมๆ แล้ว คลังได้คืนไปประมาณ 6 หมื่นล้านบาทในปีที่แล้ว

ตรงนี้นี่แหละที่ผมบอกว่า พันธมิตรบิดเบือน และไม่พูดให้หมด ทำให้ประชาชนทั่วไป (รวมทั้งบางคนในห้องนี้) เข้าใจผิด

7.2..ในทางกลับกัน..
หากยึดกลับมาเป็นรัฐวิสาหกิจแล้ว เงินปันผลและเงินภาษีเงินได้ที่ต้องจ่ายให้รัฐไม่มี แต่รัฐวิสาหกิจต้องนำเงินกำไรส่งคืนคลัง ซึ่งเท่าที่เห็นมา รัฐวิสาหกิจพยายามส่งคืนคลังให้น้อยที่สุดด้วยการใช้จ่ายไปในเรื่องที่ไม่จำเป็น เพื่อให้งบหมดๆ ไป  เช่น ไปจัดสัมนาต่างจังหวัด  ดูงานต่างประเทศ ฯลฯ
บอร์ดผู้บริหารก็จะเปลี่ยนหมด  จะมีคนของนักการเมืองแต่งตั้งเข้ามาเป็นเหลือบคอยคุมขุมทรัพย์  ประสิทธิภาพในการดำเนินงานจะดีเหมือนเดิมหรือไม่?

อ้างถึง
ปตท. รับรางวัลธรรมาภิบาลเอเชีย
Wednesday, 7 February 2007 22:46 --

เอเชียมั่นนี่มอบรางวัลบริษัทขนาดใหญ่ที่ดีที่สุดในประเทศไทย หรือ Large-Cap Corporate of the Year พร้อมอีก 6 รางวัลธรรมาภิบาลแก่ ปตท. แบ่งเป็น 3 รางวัลสำคัญในระดับเอเชีย และ 3 รางวัลในระดับประเทศ ภายหลังสรุปผลสำรวจธรรมาภิบาลองค์กรในเอเชียล่าสุด หรือ Asiamoney’s Corporate Governance Poll

เป็นเกียรติประวัติของบริษัทในประเทศไทยที่หากเป็นรัฐวิสาหกิจคงไม่มีวันได้เห็น
ผมเอามาให้ดูเฉยๆ คุณจะเชื่อระบบตรวจสอบที่มีผู้สอบบัญชีรับอนุญาตที่เป็นอิสระซึ่งตลาดหลักทรัพย์ให้การรับรอง หรือ คุณจะเชื่อหน่วยงานของรัฐตรวจสอบคุณภาพกันเองก็ว่ากันไปครับ  ตามสะดวก

ส่วนค่าปรับที่ปตท.เอาที่เวนคืนไปใช้ประโยชน์ในการวางท่อก๊าซ จำนวน 3 พันล้าน และค่าเช่ารายปีอีก 300 ล้านบาทก็ไม่ต้องจ่าย  เพราะกลายเป็นของรัฐแล้ว

ที่จะยุ่งอีรุงตุงนังด้วย คือการทวงคืน ไม่สามารถกระทำต่อ ปตท.บริษัทเดียวโดดๆ ได้ เพราะปตท.มี holding stake ในบริศัทลูกอีกหลายบริษัททั้งที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เช่น ไทยออยล์   ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม  ปตท.เคมีคอล  ปตท.อะโรเมติก และที่ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์อีกจำนวนหนึ่ง  ซึ่งหากมีสัญญาระหว่างกันจะต้องเปลี่ยนสัญญาใหม่ทั้งหมด  เพราะกลายเป็นการทำสัญญากับรัฐ ไม่ใช่เอกชน  ต้องร่างสัญญาใหม่ให้กฤษฎีกา อัยการตรวจสอบอีก  ต้องผ่านมติ ครม.ในฐานที่องค์กรของรัฐไปร่วมทุน  ในระหว่างนั้น ต้องหยุดกิจการเอาไว้หรือไม่ 
โอ๊ย..ย  รับรองว่า ยุ่งยิ่งกว่ายุงตีกัน และคงมีการฟ้องร้องกันอีเหละเขะขระไปล่ะครับ  เพราะใช้กฎหมายกันคนละมาตรากับเอกชน

9)   เคยมีประเทศที่แปรรูปรัฐวิสาหกิจ สุดท้ายสมบัติชาติตกอยู่ในมือของเอกชนหมด คนในชาติไม่เหลืออะไรเลย?

ผมเข้าใจว่า คนที่ออกความเห็นนี้คงหมายถึงประเทศในลาตินอเมริกาอย่างอาร์เจนติน่าที่ อัมรินทร์ คอมันตร์ และนิติภูมิ เอามาเผยแพร่

ผมว่า ต้องกลับไปดูด้วยนะครับว่า เวลาแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่ประเทศนั้น เขาขายสัดส่วนทั้งหมดให้นักลงทุนต่างชาติหรือเปล่า?  และเขาเปิดสัมปทานให้ต่างชาติมาลงทุนในทรัพยากรของชาติทั้ง 100% หรือ ลงขันร่วมกันกับภาครัฐก่อนนะครับ

ไทยเราไม่เป็นแบบนั้นแน่นอน เพราะเราแปรรูปไม่ถึง 100%  แต่ให้กท.การคลังถือหุ้นใหญ่เกินกว่า 51% และกำหนดสัดส่วนการถือครองของต่างชาติไม่เกิน 30% เท่านั้น  ดังนั้น การกำหนดนโยบายและการให้บริการจึงกำหนดโดยภาครัฐกลายๆ เกือบเหมือนเดิม
โดยดูจากบอร์ดผู้บริหาร ก็จะเป็นคนไทยเกือบทั้งหมดอยู่แล้ว  จึงต่างกันกับประเทศอาร์เจนติน่า ที่เปิดสัมปทานให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนทั้งหมด สาธารณูปโภคจึงตกเป็นของต่างชาติหมดครับ

ก่อนรัฐบาลทักษิณจะล่มสลาย  ได้มีความพยายามที่จะแก้ไขสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติในธุรกิจคมนาคมจาก 25% เป็น 49% จนสำเร็จ ยังจำได้ไหมครับ  พอแก้ได้วันเดียว ขายชินคอร์ปให้สิงคโปร์เลย  ดูมันทำ..
ที่ทำเช่นนี้เพราะเป็นรายการ “สิงคโปร์ขอมา” และ ทักษิณ “จัดให้” เพื่อดีลนี้โดยเฉพาะแต่กระทบกิจการโทรคมนาคม และทรัพย์สมบัติของชาติในอนาคตชั่วลูกชั่วหลาน  ถ้าสิงคโปร์ถือหุ้นผ่านนอมินีขายชาติอีกแค่ 1.01% ก็จะทำให้สิงคโปร์มีสิทธิ์ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่  ต่อไปภายภาคหน้า เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการประกอบกิจการโทรคมนาคมในประเทศไทยได้ง่ายๆ


10)   ถ้าปตท.กลับมาเป็นของรัฐ จะสามารถทำให้ราคาน้ำมันลดลงมาได้อย่างน้อยก็ บาท-สองบาท?

ไม่แน่ อาจถูกและแพงกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้  มาดูเหตุผลที่อธิบายกันนะครับ..

โครงสร้างของราคาน้ำมันขายปลีกเป็นดังนี้
ราคาหน้าโรงกลั่นที่อ้างอิงจากสิงคโปร์ + ภาษีสรรพสามิตและเงินสมทบเข้ากองทุนน้ำมัน + ค่าการตลาดของ = ราคาขายปลีกหน้าปั๊ม ณ กทม.

ปัจจุบัน ราคาค่าการตลาดอยู่ที่ประมาณ 70 สตางค์ + - ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำมากแล้ว  ขนาดใช้แรงงานพม่ายังต้องปิดตัวหนี  จึงไม่มีใครกล้าไปลด  มีแต่จะเพิ่มให้

ส่วนที่สอง คือ ภาษีสรรพสามิต ซึ่งเป็นรายได้ของรัฐบาล ตอนนี้รัฐบาลยอมลดส่วนนี้ลงแล้ว ราคาขยับลงทันทีเท่ากับผลต่างที่รัฐเคยจัดเก็บ  ส่วนนี้..ดำเนินการได้ทันทีไม่ว่า ปตท.จะเป็นของรัฐหรือไม่ ทั้งภาษีและกองทุนน้ำมันอยู่ในการกำกับดูแลของรัฐอยู่แล้ว  แต่ภาษีน้ำมันเป็นรายได้สำคัญในการบริหารประเทศของรัฐบาลนะครับ ที่ผ่านมาจึงไม่กล้าแตะ
ในอดีต รัฐบาลทักษิณก็พยายามดึงราคาขายปลีกน้ำมันให้ต่ำลง  ขนาดเจ้าพ่อประชานิยมทำเอง ยังไม่กล้าแตะส่วนแรกเพราะแทรกแซงเอกชน และส่วนที่สามเลยครับ  เลือกแตะในส่วนของรัฐเอง โดยต้องให้กองทุนน้ำมันมาพยุงราคาแทน  ซึ่งก็ทำให้กองทุนน้ำมันติดลบไปกว่า 8 พันล้านบาท  และที่ประเทศไทยต้องใช้น้ำมันแพงกว่าปกติในรอบสองปีที่ผ่านมา ก็เพราะต้องเอาเงินไปคืนกองทุนน้ำมันไงครับ  ตอนนี้กองทุนกลับมาเสมอตัวแล้ว

ราคาที่หลายท่านกังขา และให้ความเห็นว่า ถ้า ปตท.เป็นของรัฐเมื่อไร ลดราคาได้ทันที คือ ส่วนแรกใช่ไหมครับ

จริงๆ แล้ว รายได้จากการค้าน้ำมันของ ปตท.ที่ขายปลีกให้ประชาชน มันแค่ 6% ของรายได้ทั้งหมดเองนะครับ  ตัดทิ้งไปทั้งส่วน ก็ไม่ได้ทำให้กำไรของ ปตท.แย่ลง  อาจดีขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำไป หากคิดในแง่ของความสามารถในการทำกำไร (Profitability ratio) แต่ทำไม่ได้เพราะป็นธุรกิจพื้นฐานที่ใช้ต่อยอดไปสู่ธุรกิจอื่นๆ

โครงสร้างและปัจจัยที่กระทบต่อราคาหน้าโรงกลั่นมาจาก..

1)   ราคาน้ำมันดิบ 2) เทคโนโลยีของโรงกลั่น 3) ค่าเงินบาท และ 4) ค่าการกลั่น 5) ราคาอ้างอิงที่ตลาดสิงคโปร์ = ราคาหน้าโรงกลั่น 
   
เออ..เริ่มสงสัยกันแล้วใช่มั้ยว่า ทำไมต้องอ้างอิงสิงคโปร์ด้วย ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้ซื้อน้ำมันจากที่นั่น
ความเป็นมาเป็นอย่างนี้ครับ..

ก่อนหน้านี้  จนถึงปี 2534 เรายังไม่มีโรงกลั่นน้ำมันของตนเอง (มีแต่ของต่างชาติ) ต้องนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากนอกประเทศมาโดยตลอด และสิงคโปร์ก็คือโบรกเกอร์ของเรา  และที่นั่นก็เป็นศูนย์กลางซื้อขายน้ำมันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาตลอดจนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่

ต่อมาในสมัยรัฐบาลอานันท์  เรามีโรงกลั่นของตัวเองแล้ว และกลั่นได้เอง  รัฐบาลได้มีนโยบายให้ราคาน้ำมันขายปลีกไม่ขึ้นกับรัฐบาลอีกต่อไป แต่ให้บริษัทผู้ค้าน้ำมันกำหนดราคากันเองตามภาวะตลาด  โดยรัฐบาลเชื่อว่า การกำหนดราคาหน้าโรงกลั่นที่เป็นธรรม และการมี ปตท.เป็นส่วนหนึ่งของปั๊มรัฐบาลจะทำหน้าที่เป็นตัวถ่วงดุลผู้ค้าปลีกน้ำมันต่างชาติได้

ก็ใช้ราคาอ้างอิงที่ตลาดสิงคโปร์มาจนทุกวันนี้ 

ถามว่า ยกเลิกได้ไหม?

ตอบว่า..ได้ทันทีเลยครับ  แต่ความผันผวนของราคาน้ำมันขายปลีกอาจทำให้บางครั้ง ราคาสูงกว่าการใช้ราคาอ้างอิงก็ได้  ถึงตอนนั้น  ก็จะมีคนสวนว่า ทำไมไม่ใช้ราคาอ้างอิงเป็นตัวกำหนดราคาหน้าโรงกลั่นอีก ปวดกบาล

แล้วราคาที่อื่นล่ะใช้อ้างอิงได้หรือไม่? เพราะมันถูกว่า SPOT

บางทีคนไทยเห็นรายงานราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ทะเลเหนือถูกกว่า ก็ตีโพยตีพาย ทำไมไม่ใช้อ้างอิงวะ

ตอบว่า มันเป็นราคาอ้างอิงของแต่ละภูมิภาคนะครับ  ที่สิงคโปร์แพงกว่า เพราะรวมค่าขนส่งมาถึงย่านนี้ด้วย  ใครที่อยู่ลอนดอนก็คงไม่อ้างอิงราคาที่สิงคโปร์หรอก

เราตั้งราคาอ้างอิงกันในประเทศไม่ได้หรือ?

ก็ดีครับ  แต่เราจะไม่มีมาตรฐานในการควบคุมราคาของผู้ค้าน่ะสิ  เพราะต้นทุนของผู้ค้าบวกกำไรเป็นเท่าไร เราต้องยอมรับราคานั้น แม้ว่า ราคาน้ำมันตลาดโลกตกลงไปแล้ว แต่ต้นทุนของเขาที่ซื้อมายังแพงอยู่ จะทำอย่างไร  มันมีผลกระทบสองด้านนะครับ ทั้งขึ้นและลง  อยู่ที่ว่า พวกเรารับภาวะไร้มาตรฐานนั้นได้ไหม

ความจริงราคาอ้างอิงสิงคโปร์  ก็เหมือน อัตราดอกเบี้ยมาตรฐานเวลาเราไปกู้เงินต่างประเทศ LIBOR London Interbank offered rate  หรือ SIBOR Singapore Interbank offered rate นั่นแหละ  เราไม่จำเป็นต้องไปกู้ที่อังกฤษ หรือ สิงคโปร์  ไปกู้ที่เกาหลีก็ได้ แต่ใช้อัตราดอกเบี้ยที่ว่าเป็นตัวอ้างอิง แล้วบวก/ลบด้วยกำไรที่สถาบันการเงินต้องการเข้าไป

มันมีค่าอยู่แค่นั้นเองครับ  ทางสิงคโปร์เขาไม่ได้อะไรหรอก อย่าไปคิดมากถึงขนาดว่า ยกเลิกราคาอ้างอิงสิงคโปร์แล้วราคาจะถูกลง มันไม่แน่เสมอไป

แต่ที่ผ่านมาในรอบสองปี อ้างอิงราคาที่ตลาดสิงคโปร์ที่ไร บริษัทผู้ค้าน้ำมันได้เปรียบทุกที  ก็เป็นเพราะราคาน้ำมันมีแต่ขึ้น ๆ ๆ ไงครับ  สต็อกน้ำมันยังราคาเดิม แต่ราคาที่สิงคโปร์มันขึ้นเอาๆ ก็ทำให้ผู้ค้าน้ำมันได้รับประโยชน์

แต่วันนี้..
ราคาน้ำมันอยู่ในช่วงขาลงแล้ว และมีแนวโน้มลงไปที่ 100 ดอลล่าร์/บาร์เรล  คราวนี้แหละ มีเจ็บตัวกันมั่ง  เพราะราคาอ้างอิงเปลี่ยนลงไปทุกวัน  แต่ผู้ค้าน้ำมันสั่งน้ำมันล่วงหน้าเป็นเดือนๆ  ในราคาเดิม  ก็ต้องแบกรับภาระขาดทุนกันไป

ดังนั้น..
ถ้าราคาอ้างอิงลดลงมาสองวันแล้ว ยังไม่มีปั๊มไหนขยับ ขอให้ด่าไปเลยครับ

ส่วนเรื่องค่าการกลั่นที่หลายท่านบอกว่า ปตท.ผูกขาดเพราะมีโรงกลั่นในมือ 5 ใน 7 แห่ง ทำให้กำหนดราคากลั่นได้ตามใจชอบ

ก็เพราะเรามีโรงกลั่นถึง 7 แห่งนี่แหละครับ คือ การแข่งขันที่ทำให้ค่าการกลั่นไม่อาจกำหนดได้ตามใจชอบ

โรงกลั่น 5 แห่งที่ว่านั้น ปตท.เป็นแค่ผู้ถือหุ้น ไม่มีสิทธิ์ในการกำหนดนโยบาย  แต่ละแห่งเป็นเอกชนที่ต้องแข่งันกันเองด้วย เพราะต่างก็อยู่ในตลาดหลักทรัพย์เช่นกัน เป็นระบบชิงดีชิงเด่น ใครกำหนดราคาสูงกว่าก็อดได้งานสิครับ  และเพราะประเทศเรามีโรงกลั่นถึง 7 โรง ทำให้กำลังการผลิตเหลือเฟือ  ต้องรับจ้างกลั่นเพื่อส่งออกน้ำมันนะครับ  เราส่งออกน้ำมันไปต่างประเทศมา 12 ปีแล้วครับ  และนี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมที่ลาว ที่เขมร น้ำมันจึงแพงกว่าบ้านเรา  ทั้งๆ ที่ด้อยพัฒนา และการใช้น้ำมันก็น้อย  ก็เพราะต้องนำเข้าแบบสำเร็จรูปไงล่ะครับ
ส่วนที่มาเลเซียน้ำมันราคาถูกกว่าเรา แต่ก็ไม่มาก ตอนนี้ขึ้นราคามาใกล้เคียงกันแล้ว นี่ขนาดเขาผลิตได้เอง กลั่นได้เองนะเนี่ย  แถมรัฐบาลมาเลเล่นไม่เก็บภาษีสรรพสามิตด้วย ถ้าเก็บเหมือนของเรา ราคาอาจหายใจรดต้นคอกันเท่านั้น

สถานการณ์ของโรงกลั่น ถ้ากำไรดี บางจากปิโตรเลียม คงไม่เกือบเจ๊งหรอกครับ ตอนนั้นมหาจำลองไปขอให้ทักษิณช่วย แต่ทักษิณเฉย จำได้ไหมครับ ต้องเปลี่ยนมาขอร้องให้คนไทยช่วยโรงกลั่นน้ำมันของไทยด้วยกัน

บางคนอาจแย้งอีกว่า  ถ้าโรงกลั่นทั้ง 7 แห่ง ฮั้วราคากันล่ะ

ตอบว่า มีกลไกอื่นอีกที่ควบคุมราคาค่ากลั่นน้ำมันครับ  เช่น ค่าการกลั่นมาตรฐานโลก  และ ราคานำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป

ถ้าโรงกลั่นกำหนดค่าการกลั่นสูงเกินไป  ผู้ค้าน้ำมันก็หันไปสั่งน้ำมันสำเร็จรูปจากต่างประเทศเข้ามาก็ได้ครับ  ในที่สุด โรงกลั่นก็ต้องลดราคากันลงมา

อีกอย่าง ปตท.เป็นผู้ค้า ซื้อมาขายไป รับมาราคาเท่าไร ก็บวกกำไรแล้วขายออกไป  ค่าการกลั่นจึงไม่สำคัญกับ ปตท.เลย

น้ำมันดิบส่วนใหญ่เรานำเข้าเกือบทั้งหมด  (มีผลิตเองได้บ้างประมาณ 10 -20%) เราควบคุมราคาไม่ได้ ตรงนี้ไม่ต้องไปคอนโทรล  ตลาดโลกควบคุมราคาไว้หมด  ผู้ค้าน้ำมันไปเลือกซื้อหาเอาว่าจะซื้อจากแหล่งไหน  ผ่านโบรกเกอร์ หรือ ซื้อตรงก็ได้
ชนิดของน้ำมันดิบที่บ้านเรานำเข้ามามี 2 ชนิด คือ Light Sweet ที่มีราคาแพง และ Heavy Sour ที่มีราคาถูกกว่า บ้านเราโรงกลั่นนำเข้าน้ำมันดิบประเภท Heavy Sour ซึ่งมาจากตะวันออกกลางประมาณกว่า 75% ที่เหลือจึงเป็นน้ำมันดิบ Light Sweet  ดังนั้น ต้นทุนส่วนนี้ ยึดราคา HEAVY Sourเป็นหลัก แล้วนำต้นทุนน้ำมันดิบซึ่งธุรกิจพลังงานของไทยขุดได้เองซึ่งราคาต่ำกว่ามาถัวเฉลี่ย ก็จะได้เป็นต้นทุนราคาน้ำมันดิบรอการกลั่น

ต้นทุนตัวนี้แหละครับ ที่ ไม่ตรงกับราคาอ้างอิงที่สิงคโปร์  หลายคนจึงหยิบมาโจมตีกัน

ถ้ารัฐจะกำหนดราคาตรงนี้เอง ก็ต้องรื้อระบบ กลับไปใช้วิธีการเดิมก่อนปี 2535 คือ กำหนดราคาหน้าโรงกลั่นโดยรัฐบาล
แต่โรงกลั่นน้ำมันไม่ใช่ของรัฐบาลแล้วนี่ครับ  ถ้าทำเช่นนั้น เวลาเกิดความเสี่ยงจากราคาน้ำมันโลก รัฐบาลก็ต้องรับผิดชอบความเสี่ยงแทนเอกชนด้วย  และคงไม่สามารถทำได้เพราะเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของเอกชนเขาฟ้องตายเลย เว้นแต่รัฐทำสัญญาระยะสั้น เลี้ยงดูพนักงานและจ่ายดอกเบี้ยให้เขาด้วย

ดังนั้น..
คนที่บอกว่า สามารถดึงราคาลงมาได้ทันที บาท-สองบาท ต้องทบทวนดูนะครับ
   
11)   ปตท.แปรรูป ทำให้กำไรตกเป็นของต่างชาติและนักลงทุนแค่หยิบมือเดียว

ก่อนอื่นต้องไปศึกษาก่อนนะครับว่า ทำไมเราต้องมีตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุนจากภายนอก ไม่งั้นเถียงกันตายไปข้างก็ไม่รู้เรื่อง

รายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ปตท.มีดังนี้.. (29 กค.51)
อ้างถึง
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่   จำนวนหุ้น   ร้อยละ

กระทรวงการคลัง   1,459,885,575   51.80%                           
กองทุนรวม วายุภักษ์ หนึ่ง โดย บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน)   217,900,000   7.73%                           
กองทุนรวม วายุภักษ์ หนึ่ง โดย บมจ.หลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงไทย   217,900,000   7.73%                           
HSBC (SINGAPORE) NOMINEES PTE LTD   59,117,288   2.10%                           
CHASE NOMINEES LIMITED 42   46,347,400   1.64%                           
บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด   44,627,201   1.58%                           
STATE STREET BANK AND TRUST COMPANY   42,649,005   1.51%                           
NORTRUST NOMINEES LTD.   40,729,686   1.45%                           
MELLON BANK,N.A.   29,622,665   1.05%                           
THE BANK OF NEW YORK (NOMINEES) LIMITED   26,954,391   0.96%                           
HSBC BANK PLC-CLIENTS GENERAL A/C   21,251,600   0.75%                           
สำนักงานประกันสังคม   20,755,100   0.74%                           
กองทุน บำเหน็จบำนาญข้าราชการ   18,313,100   0.65%                           
STATE STREET BANK AND TRUST COMPANY FOR LONDON   16,189,825   0.57%                           
GOVERNMENT OF SINGAPORE INVESTMENT CORPORATION C   15,305,300   0.54%                           
INVESTORS BANK & TRUST COMPANY   15,173,425   0.54%                           
STATE STREET BANK AND TRUST COMPANY FOR AUSTRALIA   14,154,335   0.50%                           

ถ้าไม่นับคนไทยด้วยกันแล้ว  ต่างชาติที่มาถือหุ้น ถือเป็นสถาบันการเงินและกองทุนต่างประเทศขาประจำที่ลงทุนไปทั่วโลก  และลงทุนในหุ้นไทยขนาดใหญ่ๆ มีความมั่นคงสูงๆ เท่านั้น  คงมีแต่สิงคโปร์นี่แหละครับ ที่ได้บัตรเชิญพิเศษจากรัฐบาลเรา แต่ก็มีอยู่น้อยนิด  ส่วนหุ้นนักการเมืองจริงๆ มีไม่กี่ล้านหุ้นหรอกครับ ขายหรือยังก็ไม่รู้  แต่เห็นด้วยว่า ได้มาโดยไม่สุจริตสักเท่าไร

เงินลงทุนของสถาบันการเงินต่างชาติเขาจะเป็น Silent Investment  คือ ไม่มาร่วมบริหาร ไม่ออกเสียง ไม่ขาย  รับปันผลอย่างเดียว  ไม่ว่าจะเกิดสภาวการณ์ใดๆ ก็ฝังรากลึก  ต่างจากกองทุนเก็งกำไรจากต่างชาติ หรือ ที่เรียกว่า Hedged Fund มันมาฟันแล้วก็เดินจากไปเหมือนขึ้นห้องกับโสเภณี
สถาบันการเงินเหล่านี้ เราไปเชิญเขามาด้วยการทำโรดโชว์นะครับ ไปขอร้องให้เขาเอาเงินมาลงทุน ถ้าเราไม่เอาสถาบันการเงินที่เอาเงินมาแช่นิ่ง อยากจะไล่เขาไป  คืนเงินเขาดีๆ เขาไปแน่นอนครับ  เพราะตลาดหลักทรัพย์ที่ไหนๆ ในโลกก็ต้องการเงินกองทุนเหล่านี้ทั้งนั้น

เรื่องนี้ ถ้าเราไม่ใจกว้าง หาว่า พวกนี้มาขโมยทรัพยากรธรรมชาติของเรา  งั้นตอนนี้ แบงค์กรุงเทพ  ซี.พี. ก็คงโดนไล่ออกจากทุกประเทศที่ไปลงทุนแน่นอนครับ
แม้แต่ตอนนี้  ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียมของเรา ก็กำลังขุดเจาะน้ำมันอยู่ที่ประเทศเวียดนามสองบ่อ และมีแนวโน้มดีที่จะได้น้ำมันดิบมาใช้ในประเทศเราวันละเป็นแสนบาร์เรลในเร็ววันนี้แล้ว

ถ้าคนเวียดนามคิดแบบบางคนที่ว่าบ้าง  เราคงสูญเสียโอกาสดีๆ ให้กับประเทศไปด้วย


บางคนก็บอกว่า บ่อน้ำมันของเราก็มี  ในทะเลก็เยอะแยะ  ไปขุดขึ้นมาใช้ ไม่ต้องมีต้นทุนสูง ไปดูดเอามาขายถูกๆได้

พูดแบบนี้ก็คือ พูดโดยไม่มีข้อมูลทางวิชาการเลย 
ในประเทศเราเอง  ก็มีการสำรวจอยู่เนืองๆ ครับ ทั้งที่เพชรบูรณ์ และภาคใต้ ที่อ่าวไทย มีบ้างเป็นก๊าซธรรมชาติ  แต่บ่อน้ำมันมีน้อย ไม่คุ้มค่าการลงทุน เขาก็ไม่ขุด  อย่าลืมว่า การไปตั้งแท่นขุดเจาะที่ใดก็ตาม ต้องมีวิศวกรและช่างเทคนิคเป็นร้อยชีวิตไปประจำการนานเป็นปีๆ เสียค่าใช้จ่ายในการลงทุนเป็นหลักพันล้านนะครับ ถ้าประเทศเรามี คงไม่ส่งคนไปนอนกินเบี้ยเลี้ยงแพงกว่าสองเท่าหรอกครับ คนและทรัพยากรเรามีจำกัด เอาไปใช้ในแหล่งที่คุ้มทุนเร็วจะดีกว่า

ส่วนการแปรรูปที่ทำให้ประเทศชาติเสียเปรียบ และ นักการเมืองได้ปรธโยชน์จนถึงทุกวันนี้ ผมว่า มันผิดที่คนนะครับ ไม่ได้ผิดที่ระบบ อย่าไปทำให้ระบบเสียหายหมดเลย [/size]
บันทึกการเข้า

ประเทศชาติมีภัย  เสรีไทยร่วมกอบกู้
อยากประหยัดให้ติดแก๊ส
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,406



« ตอบ #1 เมื่อ: 29-07-2008, 16:36 »

ณ สถานที่แห่งหนึ่ง
A: ค่อยชั่วหน่อย น้ำมันลงราคาตั้งเยอะ
B: โชคดีที่ได้พันธมิตรไปทวง ปตท นะเนี่ย ไม่งั้นมันไม่ลดราคาหรอก
A: 
บันทึกการเข้า
login not found
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,523



« ตอบ #2 เมื่อ: 29-07-2008, 16:55 »

ตั้งยาว สรุปว่าไม่ได้มีประเด็นอะไรชี้แจงให้ชัดเจนกว่าในกระทู้เก่าเลย
ตัวเลขที่ยกมา หลายๆคนก็รู้ก็เข้าใจกันอยู่แล้ว
ที่เขียนๆมา แม้ไม่ได้เขียนใน คห.เดียว แต่ก็เขียนไว้หมดแล้ว
เผลอๆจะกลายเป็นการเอาความเห็นแย้งของคนอื่น มาสรุปเป็นความชอบของตัวเองเสียด้วย

 
บันทึกการเข้า
Rule of Law
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #3 เมื่อ: 29-07-2008, 17:03 »

ขอเสริมนิดหนึ่ง

การแปรรูปองค์กรเข้าระบบบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์
ไม่ได้การันตีว่า องค์กรนั้นจะมีการบริหารจัดการแบบโปร่งใสเสมอไป
ดังนั้น  อย่าพูดซ้ำอีกเลย ว่าแปรรูปจะทำให้บริหารดีขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น การบริหารจัดการของบ.การบินไทย
ในบริษัท มีการกระทำที่ผิดจริยธรรมอีกเยอะมาก เรื่องจริง
ไม่เห็นจะมี corporate machanism ใดๆมาช่วยกำจัดสิ่งเลวร้ายได้เลย
และตอนนี้ การบินไทยมีการเติบโตของค่าใช้จ่าย มากกว่าการเติบโตของรายได้.....




บันทึกการเข้า

Your C.V is nothing. Your future plan...is everything.
*bonny
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,459



« ตอบ #4 เมื่อ: 29-07-2008, 17:13 »

ตั้งยาว สรุปว่าไม่ได้มีประเด็นอะไรชี้แจงให้ชัดเจนกว่าในกระทู้เก่าเลย
ตัวเลขที่ยกมา หลายๆคนก็รู้ก็เข้าใจกันอยู่แล้ว
ที่เขียนๆมา แม้ไม่ได้เขียนใน คห.เดียว แต่ก็เขียนไว้หมดแล้ว
เผลอๆจะกลายเป็นการเอาความเห็นแย้งของคนอื่น มาสรุปเป็นความชอบของตัวเองเสียด้วย

 

ไอ้ที่มั่ว มันคือ ความเห็นของคุณอันนี้ต่างหาก  ต้องหัดหาความรู้มากๆ ก่อนจะแสดงความคิดเห็นนะครับ

ผมเตือนด้วยความหวังดี
เพราะโรงกลั่นทุกโรงในประเทศไทย ปตท.เป็นเจ้าของและผู้ถือหุ้นอยู่
ไม่ว่าจะน้ำมันเจ้าไหนก็ต้องซื้อจากโรงกลั่น ปตท.
ราคาจึงถูกบวกไปแต่แรกตั้งแต่หน้าโรงกลั่นแล้ว แข่งขันกันไม่ได้
ไม่เหมือนในอดีตที่ยังมีโรงกลั่นเอกชน
น้ำมันของบางเจ้าจึงต่างกันเป็นบาทได้ทั้งๆที่ราคาน้ำมันในสมัยนั้นแค่สิบบาท

เฮ้อ..อ
บันทึกการเข้า

ประเทศชาติมีภัย  เสรีไทยร่วมกอบกู้
login not found
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,523



« ตอบ #5 เมื่อ: 29-07-2008, 17:26 »

เฮ้อ....ที่คุณอ้างมา ก็ไม่ต่างจากคำโฆษณาของปตท.
มีมาตรการอย่างนั้น มีหน่วยงานอย่างนี้
แต่ก็ไม่ได้มีหลักฐานอะไรมาชี้แจงจริงๆเสียที

เชื่อข้อมูลแบบนั้น ก็คล้ายๆกับเชื่อที่สมัครเคยพูดไว้ว่า
"เขาให้สินบนป็นเงินเยน คนไทยใช้เงินบาท มันจะไปให้สินบนกันได้ยังไง"
บันทึกการเข้า
คนกวาดขยะ
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 147



« ตอบ #6 เมื่อ: 29-07-2008, 17:29 »

กระทู้นี้ ไม่มีความเห็นครับ พอแล้ว

แค่จะบอกจุดยืนเดิม

ปตท.จะทำอย่างไร วิธีไหน ก็ได้ ขอเพียงทำเพื่อประชาชนมากกว่านี้ ไม่ใช่ทำเพื่อผู้ถือหุ้นอย่างเดียว

ขอบคุณความรู้ที่ให้ แต่ขอบอกว่าไม่มีอะไรใหม่ รู้มาพอแล้ว

รู้พอที่จะทำให้เจ็บปวดจนพูดไม่ออก กับความเห็นแก่ตัวของคน
บันทึกการเข้า

สังคมไทยวิบัติ มาช่วยกันปฏิวัติสังคมใหม่กันเถอะ
Iona
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 271


« ตอบ #7 เมื่อ: 29-07-2008, 17:33 »

ไม่ได้ตอบจขก.เป็นข้อๆ

ปตท.สร้างมาจากภาษีและทรัพย์สินส่วนรวมของคนไทยทุกคน ดังนั้น ปตท.ไม่ควรเป็นองค์กรที่แสวงหากำไรจากคนไทยทุกคน (เมื่อเราสร้างปตท. แต่ปตท.กลับเอากำไรจากเรา มันไม่ถูกต้องหรอก)

1.ไม่ได้มีแต่พันธมิตรที่ต้องการทวงคือ ปตท.ให้กลับมาเป็นของรัฐ เช่น สว.รสนา หรือองค์กรอื่นๆ
2.ถ้าจะแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ข้าพเจ้าคิดว่า ควรไปสนับสนุนให้มีการลงทุนเพื่อสร้างการแข่งขันเพิ่มขึ้น หรือปรับโครงสร้างการบริหารจัดการองค์กรใหม่ คนไทยจะได้ประโยชนย์มากกว่า
เพราะ มันไม่ใช่เลยว่า ถ้าแปรรูปแล้วการบริหารจะโปร่งใส การแข่งขันเรื่องราคาอย่างเสรีจะเกิดขึ้น คนไทยจะได้ประโยชนย์จากราคาที่ลดลงตามต้นทุนที่แท้จริง
3.เรื่องเงิน2แสนล้าน จขก.ต้องเข้าเวปตลาดหุ้น แล้วเอาส่วนกำไรสุทธิเพื่อประกาศปันผลต่อหุ้น ของปตท.ทั้งหมด(รวมทั้งบ.ลูก) จะเห็นว่า เกือบ2แสนล้านจริง และคาดการว่าปีนี้จะถึง2แสนล้าน ถ้าไม่มีการออกมาโวยวายก่อน
4.ส่วนเรื่อง LPG ขึ้นราคา ข้าพเจ้ามองว่า ก็จากเหตุผลเพื่อกำไรสูงสุด ผลักให้คนในเมืองใช้ NGV เช่นแท็กซี่ เพราะไม่ได้ออกต่างจังหวัด (NGVขายส่งออกไม่ได้เนื่องจาก ไม่คุ้มต่อการลงทุนในการขนส่ง)

ความเห็นเพิ่มเติม
รถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากไฮโดรเจนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า กำลังผลิตออกมาขายสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า สิ่งนี้ จะเปลี่ยนโฉมหน้าด้านการขนส่งของโลกเรา ภายใน2ปีข้างหน้า
แล้ว สิ่งที่ปตท.มหาชนทำขณะนี้คือ สร้างกำไรสูงสุด จากรายได้ของคนไทยทุกคน มันถูกแล้วหรือ ?
(น้ำมัน, LPG, NGV จะกลายเป็นเทคโนโลยีที่ล้าหลัง >>> ประเทศเราตอนนี้ ควรจะเน้น ไบโอดีเซลที่ต่างจังหวัดเพราะสามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ ไม่ใช่แอลกอฮอล์)

ประเด็นสำคัญ มันอยู่ที่ว่า ขณะที่เรากำลังรอเทคโนโลยีใหม่  ปตท.ของเรา ที่สร้างจากภาษีของเรา ควรเป็นแรงผลักดันทางพลังงานให้กับประชาชนของเราอย่างไร? ให้คนไทยไม่ต้องเดือดร้อนจาก ปัญหารอยต่อทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในตอนนี้ (ปตท.จะเป็นแรงผลักดันด้านต้นทุน เพื่อสร้างปริมาณงานและเงินอย่างไร? ให้คนไทยของเรามีความสามารถเข้าถึงราคาของเทคโนโลยีใหม่นั้นโดยเร็ว)

ข้าพเจ้าเห็นว่า ควรนำปตท.กลับคืนเป็น องค์กรของรัฐไทย ที่เป็นทรัพย์สินส่วนรวมของคนไทย เป็นแรงผลักดันด้านต้นทุนให้คนไทย จนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีพลังงานใหม่อย่างรวดเร็ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-07-2008, 18:18 โดย Iona » บันทึกการเข้า

เงินงบประมาณของประเทศที่นำไปใช้จ่ายต่างๆ มาจาก การจัดเก็บภาษีที่เราประชาชนคนไทยทุกคนต้องจ่ายกันอยู่แล้วทั้งจากภาษีทางตรงและภาษีทางอ้อม(vet 7) (ขอย้ำว่าทุกคนเพราะเมื่อเราได้ซื้อสินค้าใดๆ สินค้านั้นยอมมีต้นทุนมาจากการเสียภาษีแล้ว) หรือจากการจัดเก็บจากทรัพย์สินส่วนรวมของคนไทยทุกคนที่เกิดบนแผ่นดินที่บรรพบุรุษของเราปกป้องรักษา ไม่ว่าจะเป็น แผ่นดิน แผ่นน้ำ ใต้แผ่นดิน ใต้แผ่นน้ำ ท้องฟ้า อวกาศ

เงินงบประมาณของประเทศ ไม่ได้มาจากเงินของคนใดคนหนึ่งหรือพรรคใดพรรคหนึ่ง ไม่มีใครสมควรอย่างยิ่งที่จะแอบอ้างว่าเงินนี้เป็นของตนนำมาแจกจ่าย การแอบอ้างนั้น เป็นการกระทำที่ไร้จริยธรรม และไม่ยุติธรรมต่อความรู้ของทุกๆคนในประเทศที่ต้องเสียภาษี

อย่าโทษหรือด่าว่า คนที่เค้าไม่มีโอกาศเข้าถึงข่าวสารข้อมูล ปัญหาจะแก้ได้คือ ทำอย่างไรให้เค้าเหล่านั้น ได้เข้าถึงข่าวสารข้อมูล

หลอกคนไทยตลอดไป คิดว่าหลอกได้หรือ? รัฐบาลของทักษิณ

เป็นเรื่องแปลก...สิ่งที่คนโกงกลัวที่สุดคือ ....ไม่ได้มีชีวิตเพื่อใช้เงินที่โกงมา? ประวัติศาสตร์โลกมีให้เห็น
ลูกหินฮะ๛
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,099


เสียเข็มขัด อย่าเสียกุงเกง


« ตอบ #8 เมื่อ: 29-07-2008, 17:34 »

ณ สถานที่แห่งหนึ่ง
A: ค่อยชั่วหน่อย น้ำมันลงราคาตั้งเยอะ
B: โชคดีที่ได้พันธมิตรไปทวง ปตท นะเนี่ย ไม่งั้นมันไม่ลดราคาหรอก
A: 

ณ สถานที่แห่งหนึ่ง
A: ค่อยชั่วหน่อย น้ำมันลงราคาตั้งเยอะ
B: โชคดีที่ได้พันธมิตรไปทวง ปตท นะเนี่ย ไม่งั้นมันไม่ลดราคาหรอก
C:  น่านแหละ เหตุผลที่เดือนที่แล้ว เจ้านายเรา รีบเทขาย ..อิอิ รวยเละ

A:  
B:  

บันทึกการเข้า

  ... ... ... 
Iona
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 271


« ตอบ #9 เมื่อ: 29-07-2008, 17:47 »

จาก ......2.ถ้าจะแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ข้าพเจ้าคิดว่า ควรไปสนับสนุนให้มีการลงทุนเพื่อสร้างการแข่งขันเพิ่มขึ้น หรือปรับโครงสร้างการบริหารจัดการองค์กรใหม่ คนไทยจะได้ประโยชนย์มากกว่า
เพราะ มันไม่ใช่เลยว่า ถ้าแปรรูปแล้วการบริหารจะโปร่งใส การแข่งขันเรื่องราคาอย่างเสรีจะเกิดขึ้น คนไทยจะได้ประโยชนย์จากราคาที่ลดลงตามต้นทุนที่แท้จริง

ตัวอย่างเช่น
สมมุติ บ.เอกชนแห่งหนึ่ง กรองน้ำปะปาเพื่อสร้างน้ำดื่มที่มีคุณภาพสูง ส่งทางท่อของเค้าเอง แทนที่ทุกครัวเรือนจะต้องใช้เครื่องกรองคุณภาพต่ำ หรือสร้างน้ำคุณภาพสูงสำหรับอุตสาหกรรม
ต่อชุมชนในเขตใดเขตหนึ่ง (รัฐบาลจะส่งเสริมการลงทุนเค้าอย่างไร?) มันจะเกิดการแข่งขันขึ้นเอง คนไทยซึ่งเป็นผู้บริโภคจึงจะได้ประโยชนย์สูงสุดมากกว่า

มันไม่ใช่เลย ว่าการแปรรูปการปะปาให้เป็นเอกชน(แต่ผูกขาดท่อส่งน้ำและแหล่งน้ำดิบ) แล้วคิดว่า คนไทยจะได้น้ำและการบริการมีคุณภาพที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ขณะนี้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-07-2008, 15:16 โดย Iona » บันทึกการเข้า

เงินงบประมาณของประเทศที่นำไปใช้จ่ายต่างๆ มาจาก การจัดเก็บภาษีที่เราประชาชนคนไทยทุกคนต้องจ่ายกันอยู่แล้วทั้งจากภาษีทางตรงและภาษีทางอ้อม(vet 7) (ขอย้ำว่าทุกคนเพราะเมื่อเราได้ซื้อสินค้าใดๆ สินค้านั้นยอมมีต้นทุนมาจากการเสียภาษีแล้ว) หรือจากการจัดเก็บจากทรัพย์สินส่วนรวมของคนไทยทุกคนที่เกิดบนแผ่นดินที่บรรพบุรุษของเราปกป้องรักษา ไม่ว่าจะเป็น แผ่นดิน แผ่นน้ำ ใต้แผ่นดิน ใต้แผ่นน้ำ ท้องฟ้า อวกาศ

เงินงบประมาณของประเทศ ไม่ได้มาจากเงินของคนใดคนหนึ่งหรือพรรคใดพรรคหนึ่ง ไม่มีใครสมควรอย่างยิ่งที่จะแอบอ้างว่าเงินนี้เป็นของตนนำมาแจกจ่าย การแอบอ้างนั้น เป็นการกระทำที่ไร้จริยธรรม และไม่ยุติธรรมต่อความรู้ของทุกๆคนในประเทศที่ต้องเสียภาษี

อย่าโทษหรือด่าว่า คนที่เค้าไม่มีโอกาศเข้าถึงข่าวสารข้อมูล ปัญหาจะแก้ได้คือ ทำอย่างไรให้เค้าเหล่านั้น ได้เข้าถึงข่าวสารข้อมูล

หลอกคนไทยตลอดไป คิดว่าหลอกได้หรือ? รัฐบาลของทักษิณ

เป็นเรื่องแปลก...สิ่งที่คนโกงกลัวที่สุดคือ ....ไม่ได้มีชีวิตเพื่อใช้เงินที่โกงมา? ประวัติศาสตร์โลกมีให้เห็น
คนไทยคนหนึ่ง
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 744


« ตอบ #10 เมื่อ: 29-07-2008, 18:58 »


พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พศ 2550

www.eppo.go.th/cdf/korat/1-2-regulator.pdf

                                                       ส่วนที่1
                                      คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน

มาตรา 11  ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้

1.) กำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงานเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัตินี้ภายใต้กรอบนโยบายของรัฐ
...................................
6.) ตรวจสอบการประกอบกิจการพลังานของผู้รับใบอนุญาตให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส

-----------------------------------------

คณะกรรมการชุดนี้ยังไม่เกิด ซึ่งถ้าเกิดแล้วก็จะสามารถรื้อโครงสร้างราคาเชื้อเพลิงให้มีความเป็นธรรมกับประชาชน

ตอนนี้ ผู้ขายจับมือกันตั้งราคาที่เอาเปรียบประชาชนจนเกินไป ไม่มีความโปร่งใส อันนี้จะทำง่ายกว่ายืดปตทกลับมามากนัก

ถ้ามีกรรมการกลางมาควบคุม ทุกอย่างก็จะดีขึ้น ( ถ้าไม่ถูกผลประโยชน์ปิดตาหรือทำให้สมองไม่ทำงานเสียก่อน)

และถ้าการเมืองภาคประชาชนเข้มแข็งก้สามารถตรวจสอบความโปร่งใส ของคณะกรรมการได้ง่าย


ปล. ไม่ได้คัดค้านการนำปตท กลับมาเป็นของรัฐ แต่มันทำยากมาก

 การเป็นบ. มหาชน กับเป็นของรัฐ100% มีทั้ง ข้อดีข้อเสียทั้งสองอย่าง จะทำอะไรก็ต้องคิดให้รอบคอบอย่างยิ่ง

เพราะจะมีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อสังคม

 ข้อเท็จจริง : ตอนนี้ ปตท. ไม่มีความโปร่งใส เอาเปรียบประชาชนมากเกินไป

ส่วนวิธีการทำให้ปตท.โปร่งใส มีหลายวิธี ต้องคิดและตัดสินใจกันให้ดีๆ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-07-2008, 06:18 โดย คนไทยคนหนึ่ง » บันทึกการเข้า
คาคาชิ
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 521


ที่นี่เหมือนโลกที่โดนมนุษย์ต่างดาวบุกหาตรรกะไม่เจอ


« ตอบ #11 เมื่อ: 30-07-2008, 02:56 »

พอก่อนเถอะครับ ท่าน
ผมนับถือท่าน นับถือความคิดของท่าน

แต่ตอนนี้ มีเรื่องใหญ่กว่านี้
ออกไปช่วย ๆ กันก่อนดีกว่าครับ

จบเรื่องเลวร้ายเมื่อไหร่
เรื่องปตท. ก็คงจะเป็นเรื่องต่อไป เองแหละครับ
ถึงตอนนั้น ก็ เอาความเก่งกาจ มากางให้ประชาชนดู

อย่าเพิ่งคิดให้ปวดหัวในตอนนี้เลยครับ

อีกไม่กี่วัน ถึงเลือด ผมว่าเรื่องนี้ใหญ่กว่ามาก
บันทึกการเข้า
noppon
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 165



« ตอบ #12 เมื่อ: 30-07-2008, 09:23 »

ถ้าน้ำมันดิบยังอยู่ในช่วงขาลงแบบนี้
กระแสความไม่พอใจ ปตท. จะค่อย ๆ ลดไปเองครับ

ความจริง ถ้าไม่มีกระทู้ก่อนหน้า มีกระทู้นี้เลย จขกท. คงไม่โดนต่อว่าขนาดนั้น
คือจะชี้แจงเพื่อให้เข้าใจข้อมูลเกี่ยวกับ ปตท. ก็ทำไป

แต่ไม่ควรไปหาว่าพันธมิตรฯ อาจจะมีนัยแอบแฝง กับการนัดชุมนุมที่ ปตท.
(เพราะยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริง เป็นเพียงการตั้งข้อสงสัยของ จขกท. เท่านั้น)
บันทึกการเข้า

สมาชิกลำดับที่ #71 ครับ
*bonny
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,459



« ตอบ #13 เมื่อ: 30-07-2008, 11:36 »

ถ้าน้ำมันดิบยังอยู่ในช่วงขาลงแบบนี้
กระแสความไม่พอใจ ปตท. จะค่อย ๆ ลดไปเองครับ

ความจริง ถ้าไม่มีกระทู้ก่อนหน้า มีกระทู้นี้เลย จขกท. คงไม่โดนต่อว่าขนาดนั้น
คือจะชี้แจงเพื่อให้เข้าใจข้อมูลเกี่ยวกับ ปตท. ก็ทำไป

แต่ไม่ควรไปหาว่าพันธมิตรฯ อาจจะมีนัยแอบแฝง กับการนัดชุมนุมที่ ปตท.
(เพราะยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริง เป็นเพียงการตั้งข้อสงสัยของ จขกท. เท่านั้น)

พันธมิตรไม่ใช่เทวดานี่ครับ ผมจึงตั้งข้อ "กังขา" ไม่ได้
ผมสนับสนุนแต่ก็ไม่ใช่เห็นด้วยกับทุกพฤติกรรม  อย่างกรณีของ ศรราม ผมก็ไม่เห็นด้วยที่พันธมิตรใช้สื่อโจมตี  แต่ถ้าโจมตีบนเวทีก็โอเคครับ  แต่สื่อสารมวลชนอย่างหนังสือพิมพ์ และทีวีในเครือข่ายพันธมิตร ควรรักษาจรรยาบรรณ เพราะจรรยาบรรณจะนำมาซึ่งความน่าเชื่อถือจากสังคม

เรื่องโจมตีผมในกระทู้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เป็นเรื่องของความคิดเห็นไม่ตรงกัน  ความรู้สึก และข้อมูลที่ไม่เพียงพอ
ถ้าไม่ใช้อารมณ์ ผมเอาข้อเท็จจริงมาหักล้างได้
บันทึกการเข้า

ประเทศชาติมีภัย  เสรีไทยร่วมกอบกู้
คนไทยคนหนึ่ง
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 744


« ตอบ #14 เมื่อ: 30-07-2008, 11:56 »

ข้อมูลไม่แน่นพอ อย่าเปิดศึกหลายด้าน จะกระทบถึงเป้าหมายใหญ่

ล้มรัฐบาลให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาศึกษาให้ละเอียด ก่อนเคลื่อนไหว

ยังมีภาระกิจที่เร่งด่วนอีกมาก ทำหลายอย่างพร้อมๆกันอาจจะทำได้ไม่ดีซักอย่าง

ควรจัดลำดับความสำคัญและความเร่งด่วนด้วย เดี๋ยวมวลชนจะสับสน และจะทำให้กำลังอ่อนด้อยลง
บันทึกการเข้า
วัฏเมฆา
น้องใหม่
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 16


เพียงแค่เมฆาล่องลอยผ่านมา


« ตอบ #15 เมื่อ: 30-07-2008, 12:06 »

เออ.... เท่าที่อ่านมา

ผมคล้อยตามเจ้าของกระทู้ครับ สืบเนื่องมาจาก การใช้เหตุ และ ผล ในการหักล้าง

มีปัจจัยที่เห็นได้จริง ในการนำเสนอ

ผมก็เสียตังค์ เสียเวลา ให้พันธมิตร ไม่น้อย ถึงวันนี้ก็ยังเต็มใจที่จะเสีย

การออกนอกกรอบมีความเป็นไปได้ แต่ถ้าทำความเข้าใจ แล้ว ต้องกลับเข้ากรอบ

สิ่งที่ไม่ถูกต้อง และไม่ชอบธรรม เราประชาชน ต้องร่วมมือกัน ให้ใช้กฏหมาย ลงโทษ โดยสุจริต

ไม่ใช่เราจะใช้ กฏหมายลงโทษซะเอง
บันทึกการเข้า

เมฆาล่องลอยผ่านมา เที่ยวหาความรักไร้จุดหมาย ถึงทั่วหล้าประดังความวุ่นวาย ขอพัดพายเยี่ยงวัฏเมฆา
วาโย
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 250


ซ้ายหรือขวาก็ว่าเอียงทั้งคู่ขอสู้อยู่ตรงกลางดีกว่า


« ตอบ #16 เมื่อ: 30-07-2008, 12:45 »

 เห็นด้วยกับคุณคาคาชิครับเรื่องนี้ยกไว้ก่อนได้ไหมครับ กรณี ปตท.มันมีส่วนผสมของผลประโยชณ์ของคนหลายๆฝ่าย ผมว่าถกกันให้ตายก็ไม่ได้ข้อสรุปในวันสองวันนี้หลอกครับแต่ปัญหาข้างหน้าที่กำลังจะมาถึงใกล้เข้ามาแล้ว
 ปล.ขอแถมนิดนึง จขกทครับผมเคยไปเสียค่าไฟตอน7.30นนะครับที่การไฟฟ้าบนถนนพระรามสองไป7โมงเขาก็ไม่ไล่คุณหลอกครับที่นั่นบริการดี รวดเร็วกว่าเดิมด้วย และอีกอย่าไม่เสมอไปนะครับที่อะไรต่อมิอะไรอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลแล้วจะไม่พัฒนา ยกตัวอย่างเช่น ผมเคยไปต่อใบขับขี่ที่กรมขนสงทางบก(จัตตุจักร)ครั้งที่ผ่านมานี้ใช้เวลาแค่10นาทีเองครับ(แต่ก่อนไปมันทั้งวันยังไม่เสร็จเลย) ไฟฟ้าเดี่ยวนี้ก็พัฒนาให้บริการดีขึ้น โรงพยาบาลของรัฐก็อัพตัวเองขึ้นเหมือนกันจากแต่ก่อน
 สรุปเหมือนคุณแล้วกันครับว่ามันอยู่ที่คน ได้คนดีมีธรรมภิบาล มีวิสัยทัศน์ เชี่ยวชาญในหน้าที่นั้นๆและมีคุณธรรมงานอะไรหรือระบบไหนก็ไปโรจณ์ทั้งนั้นแหล่ะ( เอ...สรุปอย่างนี้เป็นการโบยว่าระบบการศึกษาไทยไม่ได้เรื่องหรือเปล่านี่)
บันทึกการเข้า

มาเถอะพี่น้องพ้องเพื่อนชีวิต ...ตื่นเถอะมวลมิตรผู้ยังหลับไหลจากเรา...คาราวาน (ขอยกท่อนหนึ่งของเพลงคาราวานมาแสดงระกันครับ ถึงเวลาแล้วที่คนหลับต้องตื่นสู้ คนอยู่ต้องก้าวต่อไป)
มารร้ายพ่ายแพ้รัก
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 292



« ตอบ #17 เมื่อ: 30-07-2008, 14:15 »

จริง ๆ แล้วการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ถ้ามีการบริหาร การจัดการที่ดี มีหลักธรรมาภิบาล สมควรแปรรูปนะครับ จะได้เกิดการแข่งขัน และเกิดการพัฒนา ผู้บริโภคก็ได้ประโยชน์ เพราะไม่มีการผูกขาด

ถ้าลองมองดูพวกพนักงานรัฐวิสาหกิจดู ก็จะรู้ว่าทำงานแบบไหน ผมว่าแย่ยิ่งกว่าข้าราชการอีกนะครับ งานสบาย สวัสดิการได้แบบเอกชน ทำงานยิ่งกว่าเช้าชาม เย็นชาม เสียอีก ผมว่าพนักงานรัฐวิสาหกิจที่มาเข้าร่วมกับพันธมิตรก็เพราะกลัวการแปรรูปนี่แหละครับ ไมได้่กลัวว่าแปรรูปแล้วอะไร ๆ มันจะแพงหรอก แต่กลัวว่าแปรรูปแล้วตัวเองจะไม่สบายเหมือนเก่ามากกว่า เพราะจะมาทำงานแบบเช้าชาม เย็นชาม ไม่ได้เสียแล้ว

ผมว่าหลายคนในที่นี้ก็รู้ เพียงแต่มันยังพอยอมรับได้ แต่ถ้าต้องแปรรูปแล้วไปอยู่กับกลุ่มทุนแค่ไม่กี่กลุ่ม แถมสนใจแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง ไม่สนใจผลประโยชน์ประเทศชาติ ไม่มีหลักธรรมาภิบาล ตรงนี้แหละครับที่เรายอมไม่ได้ น่ากลัวยิ่งกว่าพวกเช้าชาม เย็นชาม ในรัฐวิสาหกิจอีกครับ

บันทึกการเข้า
คนกวาดขยะ
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 147



« ตอบ #18 เมื่อ: 30-07-2008, 18:44 »

จริง ๆ แล้วการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ถ้ามีการบริหาร การจัดการที่ดี มีหลักธรรมาภิบาล สมควรแปรรูปนะครับ จะได้เกิดการแข่งขัน และเกิดการพัฒนา ผู้บริโภคก็ได้ประโยชน์ เพราะไม่มีการผูกขาด

ถ้าลองมองดูพวกพนักงานรัฐวิสาหกิจดู ก็จะรู้ว่าทำงานแบบไหน ผมว่าแย่ยิ่งกว่าข้าราชการอีกนะครับ งานสบาย สวัสดิการได้แบบเอกชน ทำงานยิ่งกว่าเช้าชาม เย็นชาม เสียอีก ผมว่าพนักงานรัฐวิสาหกิจที่มาเข้าร่วมกับพันธมิตรก็เพราะกลัวการแปรรูปนี่แหละครับ ไมได้่กลัวว่าแปรรูปแล้วอะไร ๆ มันจะแพงหรอก แต่กลัวว่าแปรรูปแล้วตัวเองจะไม่สบายเหมือนเก่ามากกว่า เพราะจะมาทำงานแบบเช้าชาม เย็นชาม ไม่ได้เสียแล้ว

ผมว่าหลายคนในที่นี้ก็รู้ เพียงแต่มันยังพอยอมรับได้ แต่ถ้าต้องแปรรูปแล้วไปอยู่กับกลุ่มทุนแค่ไม่กี่กลุ่ม แถมสนใจแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง ไม่สนใจผลประโยชน์ประเทศชาติ ไม่มีหลักธรรมาภิบาล ตรงนี้แหละครับที่เรายอมไม่ได้ น่ากลัวยิ่งกว่าพวกเช้าชาม เย็นชาม ในรัฐวิสาหกิจอีกครับ


ชัดเจนตามนั้น

บันทึกการเข้า

สังคมไทยวิบัติ มาช่วยกันปฏิวัติสังคมใหม่กันเถอะ
ฮูลิแกน
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 234



« ตอบ #19 เมื่อ: 30-07-2008, 19:52 »

พันธมิตรไม่ใช่เทวดานี่ครับ ผมจึงตั้งข้อ "กังขา" ไม่ได้
ผมสนับสนุนแต่ก็ไม่ใช่เห็นด้วยกับทุกพฤติกรรม  อย่างกรณีของ ศรราม ผมก็ไม่เห็นด้วยที่พันธมิตรใช้สื่อโจมตี  แต่ถ้าโจมตีบนเวทีก็โอเคครับ  แต่สื่อสารมวลชนอย่างหนังสือพิมพ์ และทีวีในเครือข่ายพันธมิตร ควรรักษาจรรยาบรรณ เพราะจรรยาบรรณจะนำมาซึ่งความน่าเชื่อถือจากสังคม

เรื่องโจมตีผมในกระทู้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เป็นเรื่องของความคิดเห็นไม่ตรงกัน  ความรู้สึก และข้อมูลที่ไม่เพียงพอ
ถ้าไม่ใช้อารมณ์ ผมเอาข้อเท็จจริงมาหักล้างได้

 
บันทึกการเข้า

ชาตินิยมแบบคับแคบผมไม่ชอบ แต่พวกเพ้อเจ้อบ้าทฤษฎี ผมก็ไม่ชอบเหมือนกัน
บทความของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล จาก ค.คน ฉบับเมษายน 2550
จูล่ง_j
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,901



« ตอบ #20 เมื่อ: 30-07-2008, 20:33 »

สิ่งที่ผมเป็นห่วงอย่างหนึ่งจาก ปตท คือ เป็นแหล่ง อินไซเดอร์ แหล่งฮั้ว ให้นักลงทุนกลุ่มทักษิน
คนพวกนี้ หากินกับผลประโยชน์ของชาติมาตั้งแต่ต้น และไม่รู้ยังจะมีแผนชั่วอะไรอีก
ดูจากที่พันธมิตร สงสัยว่า ปตท จะร่วมมือกับทักษิน ไปขุดเจาะอ่าวของเขมร ผมก็ระแวงอยู่
แล้วส่วนหนึ่งที่ศาล ไม่ได้ตัดสิน ยึด ปตท กลับมาเป็นของรัฐ
เพราะ ปตท มันออกมา ขู่ตลอดว่า ถ้าเอา ปตท ออกจากตลาด เศรษฐกิจ จะร่วงอย่างแรง
ผมเห็นข่าว ขู่ของ ปตท บ่อยมาก
ปตท มันแปรรูปแบบพิลึกมาตั้งแต่แรกแล้ว ไม่เปิดโอกาสให้ชาวบ้านซื้อได้
ตีราคาหุ้นก็ต่ำกว่าความเป็นจริงมาก
กรรมการของ ปตท ก็สวมหมวกหลายใบ คือ นายโอฬาร ไชยประวัติ
ทั้งกรรมการ ชินคอร์ป เอไอเอส การไฟฟ้า บมจ.การบินไทย
ถ้าเป็นไปได้ อย่างน้อยก็อยากให้รื้อ บอร์ดบริหาร ของ ปตท ใหม่ ทั้งหมด
คัดสรร กันใหม่ แบบเป็นวาระแห่งชาติไปเลย อย่าเอาพวกสมุนนักการเมืองเข้าไปนั่ง
เหตุการณ์ที่ขายหุ้นครั้งแรกก็เอามาทำคดีใหม่ ว่าทำไมการขายมันผิดปรกติ
หาคนรับผิดชอบให้ได้ ไม่ใช่ปล่อยให้ผ่านไปเฉยๆ
บันทึกการเข้า

Rule of Law
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #21 เมื่อ: 30-07-2008, 23:39 »


จริง ๆ แล้วการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ถ้ามีการบริหาร การจัดการที่ดี มีหลักธรรมาภิบาล สมควรแปรรูปนะครับ จะได้เกิดการแข่งขัน และเกิดการพัฒนา ผู้บริโภคก็ได้ประโยชน์ เพราะไม่มีการผูกขาด

ถ้าลองมองดูพวกพนักงานรัฐวิสาหกิจดู ก็จะรู้ว่าทำงานแบบไหน ผมว่าแย่ยิ่งกว่าข้าราชการอีกนะครับ งานสบาย สวัสดิการได้แบบเอกชน ทำงานยิ่งกว่าเช้าชาม เย็นชาม เสียอีก ผมว่าพนักงานรัฐวิสาหกิจที่มาเข้าร่วมกับพันธมิตรก็เพราะกลัวการแปรรูปนี่แหละครับ ไมได้่กลัวว่าแปรรูปแล้วอะไร ๆ มันจะแพงหรอก แต่กลัวว่าแปรรูปแล้วตัวเองจะไม่สบายเหมือนเก่ามากกว่า เพราะจะมาทำงานแบบเช้าชาม เย็นชาม ไม่ได้เสียแล้ว




ขออนุญาต "ย้ำ" ข้อมูลให้ท่านทราบอีกครั้ง  สิ่งที่ท่านพูดมาบอกว่าแปรรูปแล้วจะดีขึ้นนั้น 

ได้โปรดเชื่อด้วยเถิด  ในฐานะพนักงานรัฐวิสาฯ  เดี๊ยนขอบอกด้วยความจริงใจว่า

ขณะนี้ บริษัทของเดี๊ยนแปรรุปแล้ว  "ไม่มี" การบริหารจัดการที่ดี
คนทำงานเช้าชามเย็นชาม..... "มีเต็มไปหมด" เต็มไปหมดจริงๆ
บริษัทของเดี๊ยนแปรรูปมาได้สิบกว่าปี  กว่าที่รัฐจะเปิดแข่งขันเสรีในอุตสาหกรรมนี้

การแปรรูป "ไม่ได้ตอบโจทย์" ของการบริหารจัดการอย่างแน่นอน

ดังนั้น  ถ้าจะแปรรูป รัฐต้องชัดเจนว่า ทำไปเพื่อวัตถุประสงค์อะไรกันแน่
มันไม่ง่ายเหมือนยาวิเศษ กินแล้วโรคร้ายหายทันที



บันทึกการเข้า

Your C.V is nothing. Your future plan...is everything.
*bonny
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,459



« ตอบ #22 เมื่อ: 31-07-2008, 09:09 »

ขออนุญาต "ย้ำ" ข้อมูลให้ท่านทราบอีกครั้ง  สิ่งที่ท่านพูดมาบอกว่าแปรรูปแล้วจะดีขึ้นนั้น 

ได้โปรดเชื่อด้วยเถิด  ในฐานะพนักงานรัฐวิสาฯ  เดี๊ยนขอบอกด้วยความจริงใจว่า

ขณะนี้ บริษัทของเดี๊ยนแปรรุปแล้ว  "ไม่มี" การบริหารจัดการที่ดี
คนทำงานเช้าชามเย็นชาม..... "มีเต็มไปหมด" เต็มไปหมดจริงๆ
บริษัทของเดี๊ยนแปรรูปมาได้สิบกว่าปี  กว่าที่รัฐจะเปิดแข่งขันเสรีในอุตสาหกรรมนี้

การแปรรูป "ไม่ได้ตอบโจทย์" ของการบริหารจัดการอย่างแน่นอน

ดังนั้น  ถ้าจะแปรรูป รัฐต้องชัดเจนว่า ทำไปเพื่อวัตถุประสงค์อะไรกันแน่
มันไม่ง่ายเหมือนยาวิเศษ กินแล้วโรคร้ายหายทันที



สวัสดีครับ

ผมเข้าใจว่า บริษัทที่คุณสังกัด น่าจะเป็น "การบินไทย"  ถ้าไม่ใช่ก็ขอโทษ  แต่ถ้าใช่ ผมขอวิเคราะห์เรื่อง ความล้มเหลวในการบริหารจัดการของ การบินไทย สักเล็กน้อย

การบินไทยแต่เดิมก็ไม่ใช่สายการบินแห่งชาตินะ  เป็นของเอกชนร่วมทุนกับรัฐ คือ บริษัทเดินอากาศไทย ร่วมทุนกับ สแกนดิเนเวียนแอร์ไลน์ซีสเต็ม ตั้งแต่ปี 2503  ตอนนั้นยังไม่ใช่สายการบินแห่งชาติ มีสายการบินอื่นๆ แข่งขันอยู่ เช่น แอร์สยาม และสายการบินรายเล็กๆ ให้บริการเช่าเหมาลำ
จนต่อมา บริษัทต่างชาติขายหุ้นทั้งหมดให้เดินอากาศไทย และรัฐบาลมีนโยบายเปลี่ยนโครงสร้างให้การบินไทยเป็นสายการบินแห่งชาติ มีกท.การคลังเข้าไปถือหุ้นแทนเดินอากาศไทย

ผมจำได้ว่า การบินไทยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อ ปี 2534  ราคาที่เสนอขายประชาชน จำไม่ชัดว่า 45 หรือ 60 บาทนี่แหละ  มี oversubscribe เยอะมากจนต้องใช้วิธีการจับสลากจัดสรร

ในขณะเดียวกันก็ขายหุ้นให้กับพนักงานการบินไทยในราคาพาร์ คือ 10 บาทเป็นการตอบแทน

แรกๆ ที่แปรรูปก็ยังดูดีครับ กำไรดีพอประมาณ  ตอนหลังสุดนี่ ราคาลดลงมาเหลือแค่ 17 บาท ยังหาคนซื้อยาก

ที่นักลงทุนไม่นิยมเพราะความขัดแย้งภายในสูง  ไม่มีเอกภาพ ทะเลาะกันเองระหว่างพนักงานกับผู้บริหาร และมีการแทรกแซงจากนักการเมืองเป็นระยะๆ เนื่องจากการจัดซื้อจัดจ้างของการบินไทยมีมูลค่าสูง

ตอนหลังนี่ได้ผู้บริหารอาชีพจากการคัดสรรเข้ามาเป็น DD แต่ก็ทำงานลำบากครับ  เพราะถ้าไม่ใช่ลูกหม้อจะโดนขัดแข้งขัดขา และหากไม่สนองนโยบายนักการเมืองก็อยู่ไม่ได้อีก

ต้องกลับไปแก้ปัญหาภายในส่วนนี้ก่อนนะครับ  ถ้าแก้ไม่ได้ การพัฒนาองค์กรก็ไม่มี  ที่ทำงานเช้าชามเย็นชามก็เพื่อกอดเก้าอี้ ไม่ใช่เพื่อไต่เต้า ใช่ไหมครับ

อย่าลืมนะครับ เราไม่ได้แปรรูป 100% เป็นของเอกชน แต่มีรัฐถือหุ้นทางตรงและอ้อมกว่า 60% ตามนิยามมันก็ยังเป็นรัฐวิสาหกิจอยู่เช่นเดิม  เพราะรัฐเข้ามาแทรกแซงได้ด้วยการถือเสียงข้างมากนะครับ  ดังนั้น จะให้คนในองค์กรพัฒนาจากเช้าชาม เย็นชาม เป็น เช้าสอง เย็นสอง ก็ยังไม่เต็มกำลังนัก

แม้แต่ ปตท.ก็โดนแทรกแซงเช่นกัน เห็นไหม เรื่องขอน้ำมันราคาถูกน่ะ  ถ้าเป็นเอกชนทั้งหมด รัฐมาขอเช่นนี้ไม่ได้หรอก
การบินไทยก็คงโดนขอเยอะ  แต่เป็นขออย่างอื่นแทน  เพราะถือว่า คนที่ขึ้นสายการบินเป็นคนมีตังค์ นักการเมืองเลยขอแบ่งผลประโยชน์จากการจัดซื้อจัดจ้าง

ต่อมา..คือเรื่อง การแข่งขัน
การบินไทยแทบจะเป็นผู้ผูกขาดรายเดียวในการให้บริการการบินภายในประเทศ  แต่เพราะความเห็นแก่ได้และเห็นแก่ผลประโยชน์ของรัฐบาลทักษิณ  เปิดเส้นทางการบินให้แอร์เอเซีย ซึ่งเป็นสายการบินต่างชาติเข้ามาบินทับเส้นทางของการบินไทยได้

นี่แหละครับ..แอร์เอเซียเป็นของชินวัตร+มาเลย์ ในขณะที่การบินไทยเป็นของชาติและประชาชน (กท.การคลังถือหุ้น 51% กองทุนวายุภักษ์ 17%)  ถ้าคุณเป็นคนที่เห็นแก่ประเทศชาติ ยังไงก็ต้องเลือกการบินไทยไว้ก่อน  แต่นี่..คือ ความเลวทรามต่ำช้าที่ต้องจดบันทึกไว้ว่า ..ทักษิณมีส่วนทำให้การบินไทยตกต่ำลง และแอร์เอเซียผงาดขึ้น

แม้จะออกมาทำนกแอร์แข่งกับต้นทุนต่ำ  แต่การเข้าถึงประชาชนที่ใช้บริการของนกแอร์สู้แอร์เอเซียไม่ได้เลย ทั้งความสะดวกและราคา

ต้องยอมรับนะครับ การเป็นรัฐวิสาหกิจมาก่อน ทำให้ระบบการทำงานยังยึดติดกับระบบราชการมากกว่าเอกชน  ถ้าไม่ปรับตัวให้ทัน  เวลามีการแข่งขันจากภายนอกก็จะสู้เอกชนไม่ได้หรอก

ไม่ใช่เฉพาะการบินไทยที่เจอปัญหาแบบนี้  องค์การโทรศัพท์ก็เจอเช่นกัน  แปรรูปแล้วก็สู้เอกชนไม่ได้ เพราะคนหนึ่งเรือเกลือ อีกคนหนึ่งเรือเร็ว  ย่อมไปถึงที่หมายก่อนในต้นทุนที่ต่ำกว่า

เคยมีการสำรวจพบว่า ในจำนวนเลขหมายโทรศัพท์เท่ากัน  คนของเอกชนใช้ทรัพยากรมนุษย์ทำงานน้อยกว่าขององค์การโทรศัพท์ถึง 10 เท่า  แค่แบกเงินเดือนและสวัสดิการก็แพ้แล้วครับ

อย่างไรก็ดี..
ธุรกิจการบินในรอบหลายปีมานี้เจอปัญหาพลังงาน แต่ไม่อาจปรับราคาได้ตามต้นทุน และคนเดินทางน้อยลงเมื่อสายการบินปรับราคาสูงขึ้น  ก็ทำให้รายได้ของบริษัทสายการบินต่ำลง

อันนี้ เป็นทั่วโลกครับ ไม่ใช่เฉพาะการบินไทย  บริทิชแอร์เวย์  ทีดับเบิลยูเอ  ก็ประสบปัญหาวิกฤติจนแทบต้องเลิกกิจการมาแล้ว  เขาเปิดดำเนินการมาก่อน และใหญ่กว่าการบินไทยเยอะ

ผมเห็นด้วยว่า การแปรรูปไม่ใช่คำตอบสุดท้ายว่า องค์กรจะดีขึ้นเสมอไปครับ  การแข่งขัน กระแสโลกในธุรกิจนั้นๆ และนโยบายของรัฐที่มากระทบเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จและความอยู่รอดครับ
บันทึกการเข้า

ประเทศชาติมีภัย  เสรีไทยร่วมกอบกู้
มารร้ายพ่ายแพ้รัก
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 292



« ตอบ #23 เมื่อ: 31-07-2008, 09:44 »

ขออนุญาต "ย้ำ" ข้อมูลให้ท่านทราบอีกครั้ง  สิ่งที่ท่านพูดมาบอกว่าแปรรูปแล้วจะดีขึ้นนั้น 

ได้โปรดเชื่อด้วยเถิด  ในฐานะพนักงานรัฐวิสาฯ  เดี๊ยนขอบอกด้วยความจริงใจว่า

ขณะนี้ บริษัทของเดี๊ยนแปรรุปแล้ว  "ไม่มี" การบริหารจัดการที่ดี
คนทำงานเช้าชามเย็นชาม..... "มีเต็มไปหมด" เต็มไปหมดจริงๆ
บริษัทของเดี๊ยนแปรรูปมาได้สิบกว่าปี  กว่าที่รัฐจะเปิดแข่งขันเสรีในอุตสาหกรรมนี้

การแปรรูป "ไม่ได้ตอบโจทย์" ของการบริหารจัดการอย่างแน่นอน

ดังนั้น  ถ้าจะแปรรูป รัฐต้องชัดเจนว่า ทำไปเพื่อวัตถุประสงค์อะไรกันแน่
มันไม่ง่ายเหมือนยาวิเศษ กินแล้วโรคร้ายหายทันที






ครับผม ผมถึงบอกไงครับว่าต้องมีการบริหาร จัดการที่ดี  ถ้าแปรรูปแล้วยังเช้าชาม เย็นชามอยู่ ก็อย่าแปรมันเลยครับ เพราะไม่รู้จะแปรไปเพื่ออะไร อย่างที่คุณพูดถูกครับ รัฐต้องชัดเจน ทำไปเพื่อวัตถุประสงค์อะไรกันแน่
บันทึกการเข้า
Iona
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 271


« ตอบ #24 เมื่อ: 31-07-2008, 14:30 »

การแข่งขันจะเกิดก็ต่อเมื่อกิจการนั้นๆคุ้มค่าต่อการลงทุน เมื่อเกิดการแข่งขันขึ้นก็จะเกิดการแข่งเรื่องราคา ประชาชนได้ประโยชนย์

ตัวอย่าง กิจการโทรคมนาคมต่างๆ คุ้มค่าต่อการแข่งขันก็จะเกิดการลงทุนจากเอกชน
ถามว่าเอกชนลงทุนครบทั้งระบบไหม คำตอบคือไม่
(เอกชนย่อมลงทุนในเขตที่คุ้มต่อการลงทุน ดังนั้นจึงไม่แปลก สำหรับองค์การโทรศัพท์หรือองค์กรอื่นๆที่จำเป็นต้องให้บริการในเขตที่ไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน จะมีผลประกอบการดีเท่าเอกชนไม่ได้)

แต่การจะอ้างอิงถึงการบริหารของเอกชนแล้วบอกว่า กิจการรัฐวิสาหกิจอื่นๆที่ไม่มีผู้แข่งขันจากเอกชน(เอกชนเห็นว่าไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน) ก็แปรไปเป็นเอกชนซะเลย หน้าจะมีผลประกอบการที่ดีกว่านี้ บริการที่ดีกว่านี้ คงไม่ใช่แน่นอน เพราะ มันจะเปลี่ยนเป็นการผูกขาดโดยรัฐวิสาหกิจที่แปลงร่างเอกชนเจ้าเดียว
(การจัดการองค์กร ไม่เกี่ยวกับการแปรรูปเป็นเอกชน)
ข้าพเจ้าคิดว่า เราควรผลักดันเอกชนอื่นๆในรูปภาษีหรืออื่นๆ เพื่อเพิ่มผู้แข่งขันในกิจการต่างๆเหล่านี้ในเขตที่คุ้มค่าต่อการลงทุน ประชาชนจะได้ประโยชนย์มากกว่า ส่วนรัฐวิสาหกิจก็ให้บริการในทุกเขตรายได้ต่อไป


มาเริ่มถามว่า เราจะแปรรูปรัฐวิสาหกิจเพื่ออะไร?......เพื่อ  ใคร (ดีไหม)
-รัฐ : เพื่อลดรายจ่ายของประเทศ? หรือเพิ่มรายได้ของประเทศ?
(ลดหรือเพิ่มเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับมูลค่าทรัพย์สินที่มีอยู่)

-ผู้บริโภคชาวไทยทั้งประเทศ : เพื่อที่จะบริหารให้มีประสิทธิภาพจนทำให้ราคาขายต่อผู้บริโภคถูกลง?
(ประเด็นนี้คือการคาดว่า ถ้าลดต้นทุนในส่วนขนาดองค์กรแล้วราคาขายต่อผู้บริโภคจะลดลง >>> โดยลืมมองพื้นที่ ที่ไม่เหมาะต่อการลงทุน ว่าองค์กรจะลงทุนเพื่อผลประกอบการที่ขาดทุนหรือไม่)

-การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ : เพิ่อนำจำนวนทรัพย์สินมากมายที่รัฐวิสาหกิจมี ไปเพิ่มขนาดให้ตลาดหลักทรัพย์ (ภาพลวงตาหรือไม่? ประชานิยมแปรรูป)
(ถ้าราคาปัยจัยพื้นฐานต่ำ ปกติเราเก็บภาษีได้ประมาณ1.6ล้านล้าน ถ้าราคาปัจจัยพื้นฐานสูงเช่น น้ำมัน ไฟฟ้า ปะปา อื่นๆ แน่นอนการผลิตและลงทุนย่อมลดลงเพราะต้นทุนที่สูงขึ้น ภาษีที่จ่ายก็ย่อมลดลง เมื่อนำมาเทียบผลดีผลร้ายกับ วงเงินหมุนเวียน0.1ล้านล้านในตลาดหลักทรัพย์ สิ่งไหนดีร้ายมากกว่ากัน)

จขก. มองการแปรรูปว่า เพื่อใคร?  แล้วคุณๆละมองการแปรรูปว่าเพิ่อใคร?   (ข้าพเจ้าอ่านมายาวมากแล้ว แต่ยังมองไม่ออกว่าเพื่อ ใคร? มีผลดีเสียต่อใคร?)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-07-2008, 15:38 โดย Iona » บันทึกการเข้า

เงินงบประมาณของประเทศที่นำไปใช้จ่ายต่างๆ มาจาก การจัดเก็บภาษีที่เราประชาชนคนไทยทุกคนต้องจ่ายกันอยู่แล้วทั้งจากภาษีทางตรงและภาษีทางอ้อม(vet 7) (ขอย้ำว่าทุกคนเพราะเมื่อเราได้ซื้อสินค้าใดๆ สินค้านั้นยอมมีต้นทุนมาจากการเสียภาษีแล้ว) หรือจากการจัดเก็บจากทรัพย์สินส่วนรวมของคนไทยทุกคนที่เกิดบนแผ่นดินที่บรรพบุรุษของเราปกป้องรักษา ไม่ว่าจะเป็น แผ่นดิน แผ่นน้ำ ใต้แผ่นดิน ใต้แผ่นน้ำ ท้องฟ้า อวกาศ

เงินงบประมาณของประเทศ ไม่ได้มาจากเงินของคนใดคนหนึ่งหรือพรรคใดพรรคหนึ่ง ไม่มีใครสมควรอย่างยิ่งที่จะแอบอ้างว่าเงินนี้เป็นของตนนำมาแจกจ่าย การแอบอ้างนั้น เป็นการกระทำที่ไร้จริยธรรม และไม่ยุติธรรมต่อความรู้ของทุกๆคนในประเทศที่ต้องเสียภาษี

อย่าโทษหรือด่าว่า คนที่เค้าไม่มีโอกาศเข้าถึงข่าวสารข้อมูล ปัญหาจะแก้ได้คือ ทำอย่างไรให้เค้าเหล่านั้น ได้เข้าถึงข่าวสารข้อมูล

หลอกคนไทยตลอดไป คิดว่าหลอกได้หรือ? รัฐบาลของทักษิณ

เป็นเรื่องแปลก...สิ่งที่คนโกงกลัวที่สุดคือ ....ไม่ได้มีชีวิตเพื่อใช้เงินที่โกงมา? ประวัติศาสตร์โลกมีให้เห็น
Iona
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 271


« ตอบ #25 เมื่อ: 31-07-2008, 14:53 »

นึกเรื่องขำๆแบบการบริการเนตของไทย ^^'

ถึงเนตองค์กร จะช้าๆหลุดๆ แต่ราคาก็ถูกกว่า เนตเอกชน ที่เร็วๆหลุดๆ 55555+  >>>  ก็ขึ้นอยู่กับ ผู้บริโภคจะเลือกแบบไหนที่เหมาะสมต่อการใช้งาน ในพื้นที่ไหน

ด้วยนิยาม ของถูกที่สุดและดีที่สุด มันคงหายากกว่า วิหารทองคำ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-07-2008, 15:10 โดย Iona » บันทึกการเข้า

เงินงบประมาณของประเทศที่นำไปใช้จ่ายต่างๆ มาจาก การจัดเก็บภาษีที่เราประชาชนคนไทยทุกคนต้องจ่ายกันอยู่แล้วทั้งจากภาษีทางตรงและภาษีทางอ้อม(vet 7) (ขอย้ำว่าทุกคนเพราะเมื่อเราได้ซื้อสินค้าใดๆ สินค้านั้นยอมมีต้นทุนมาจากการเสียภาษีแล้ว) หรือจากการจัดเก็บจากทรัพย์สินส่วนรวมของคนไทยทุกคนที่เกิดบนแผ่นดินที่บรรพบุรุษของเราปกป้องรักษา ไม่ว่าจะเป็น แผ่นดิน แผ่นน้ำ ใต้แผ่นดิน ใต้แผ่นน้ำ ท้องฟ้า อวกาศ

เงินงบประมาณของประเทศ ไม่ได้มาจากเงินของคนใดคนหนึ่งหรือพรรคใดพรรคหนึ่ง ไม่มีใครสมควรอย่างยิ่งที่จะแอบอ้างว่าเงินนี้เป็นของตนนำมาแจกจ่าย การแอบอ้างนั้น เป็นการกระทำที่ไร้จริยธรรม และไม่ยุติธรรมต่อความรู้ของทุกๆคนในประเทศที่ต้องเสียภาษี

อย่าโทษหรือด่าว่า คนที่เค้าไม่มีโอกาศเข้าถึงข่าวสารข้อมูล ปัญหาจะแก้ได้คือ ทำอย่างไรให้เค้าเหล่านั้น ได้เข้าถึงข่าวสารข้อมูล

หลอกคนไทยตลอดไป คิดว่าหลอกได้หรือ? รัฐบาลของทักษิณ

เป็นเรื่องแปลก...สิ่งที่คนโกงกลัวที่สุดคือ ....ไม่ได้มีชีวิตเพื่อใช้เงินที่โกงมา? ประวัติศาสตร์โลกมีให้เห็น
Cylonn
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 137


« ตอบ #26 เมื่อ: 31-07-2008, 16:10 »

ผมว่าเราไม่ต้องเอาปตทคืน  แต่ต้องทำลายกำแพงการผูกขาดโดยปตทให้หมด ทำให้เกิดการแข่งขันเสรีทางพลังงาน
แตกบริษัทปตท ออกเป็นบริษัทย่อยให้หมด เหมือนกับที่สหรัฐเคยบังคับให้AT&Tแตกเป็น7บริษัทย่อยเพื่อทำลายการผูกขาดและให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรมในตลาด (ไมโครซอพก็เกือบโดน)
รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานรัฐจะต้องสามารถหาแหล่งพลังงานเองได้ทางจากภายในและภายนอกประเทศ
เปิดเสรีพลังงานให้รายย่อยทั้งผู้ค้าและผู้ใช้สามารถนำเข้าพลังงานได้เอง โดยไม่ต้องพึ่งแต่รายใหญ่ในประเทศ
ส่งเสริมพลังงานทางเลือกให้เป็นรูปธรรม มากกว่านี้ เน้นผู้ค้ารายย่อยและการพึ่งพาตนเอง

เลิกอุ้มพลังงานทั้งหมด (มันจะได้เลิกทวงบุญคุณสะที) เปลื่ยนมาสนับสนุนให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรมแทน
บันทึกการเข้า
*bonny
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,459



« ตอบ #27 เมื่อ: 31-07-2008, 18:44 »

ผมว่าเราไม่ต้องเอาปตทคืน  แต่ต้องทำลายกำแพงการผูกขาดโดยปตทให้หมด ทำให้เกิดการแข่งขันเสรีทางพลังงาน
แตกบริษัทปตท ออกเป็นบริษัทย่อยให้หมด เหมือนกับที่สหรัฐเคยบังคับให้AT&Tแตกเป็น7บริษัทย่อยเพื่อทำลายการผูกขาดและให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรมในตลาด (ไมโครซอพก็เกือบโดน)
รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานรัฐจะต้องสามารถหาแหล่งพลังงานเองได้ทางจากภายในและภายนอกประเทศ
เปิดเสรีพลังงานให้รายย่อยทั้งผู้ค้าและผู้ใช้สามารถนำเข้าพลังงานได้เอง โดยไม่ต้องพึ่งแต่รายใหญ่ในประเทศ
ส่งเสริมพลังงานทางเลือกให้เป็นรูปธรรม มากกว่านี้ เน้นผู้ค้ารายย่อยและการพึ่งพาตนเอง

เลิกอุ้มพลังงานทั้งหมด (มันจะได้เลิกทวงบุญคุณสะที) เปลื่ยนมาสนับสนุนให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรมแทน

จริงๆ เราก็เปิดเสรีการลงทุนด้านพลังงานอยู่แล้วนี่ครับ  ไม่มีกฎหมายห้ามไม่ให้ใครมาแข่งกับ ปตท.นะ

ถ้าจะทำให้ ปตท.เล็กลง ก็ทำได้โดยผ่านกท.การคลัง  แต่ก็ต้องระวังด้วย  เพราะจะไปทำให้บริษัทค้าน้ำมันต่างชาติใหญ่ขึ้นมาโดยปริยาย  ถ้าผู้นำในการกำหนดราคาเป็น เชลล์ คุณจะหนาวกว่านี้ก็ได้

คู่แข่งทางด้านพลังงานเกิดง่ายแต่อยู่รอดยากครับ  ไม่นานมานี้ ก็มีทั้ง เจ็ท เปโตรนาส Q8 เป็นเงินทุนต่างชาติทั้งนั้น แต่ก็ไปไม่รอด  เพราะเราไม่เสรีดังปากพูด  รัฐเองน่ะแหละเป็นตัวการทำให้ ปตท.ใหญ่และกลายเป็นผู้ผูกขาดในตลาดน้ำมันและก๊าซหุงต้ม

ธุรกิจน้ำมัน เมื่อก่อนนี้ เชลล์ เป็นผู้ค้ารายใหญ่  เอสโซ่เป็นอันดับสองนะครับ  แต่พอเราเปิดเสรีทางด้านราคาหน้าปั๊ม รัฐสั่งให้ ปตท.ชะลอการปรับราคาเป็นเจ้าสุดท้ายเวลาน้ำมันปรับขึ้น และลงราคาก่อนเพื่อนเวลาน้ำมันปรับลง  ทำให้มาร์เก็ตแชร์ของ ปตท.โตแซงหน้าเชลล์ เอสโซ่ ขึ้นมาอยู่อันดับหนึ่ง

เชลล์เองก็เคยประท้วงนโยบายรัฐนะครับ เรื่องแทรกแซงราคาผ่าน ปตท. จำได้ไหม  แต่ก็ไม่เป็นผลอะไร  ทุกวันนี้ เชลล์ เอสโซ่ คาลเท็กซ์ อยู่ได้เพราะมีทำเลปั๊มที่ดีกว่า ปตท.และคู่แข่งรายใหม่ๆ เนื่องจากเปิดดำเนินการมาก่อนหลายสิบปีครับ

ก๊าซหุงต้มก็เหมือนกัน รัฐกำหนดราคาควบคุมแทนที่จะเปิดเสรี ทำให้โตอยู่เจ้าเดียว คือ ปตท.
ดังนั้น รัฐนี่แหละตัวดีที่ทำให้ ปตท.กำไรบานเบอะครับ

สหรัฐมีกฎหมายต่อต้านการผูกขาดนี่ครับ ใครเข้าข่าย ก็ต้องแตกฐานออกไปตามกม. รัฐไม่ได้เข้าไปบังคับนะ  แต่จะมีคู่แข่งทางการค้าฟ้องร้องต่อศาลเองแหละ

ตอนนี้บ้านเราปั๊มแก๊ศกำลังมาแรง  รายใหม่อยากเข้าตลาดกันตรึม เพราะอนาคตรถที่ใช้ดีเซลจะหันมาติดแก๊ส  รัฐบาลก็ควรจะสนับสนุนเต็มที่  ด้วยการลดภาษีให้ผู้ประกอบการรายใหม่ๆ  ซึ่งตอนนี้หาทำเลดีๆ ได้ยาก  ลูกค้าต้องรอคิวกันนานมาก  ถ้ารัฐสามารถกำหนดอัตราภาษีรายใหม่และรายเก่าให้แตกต่างกัน  รายเก่าก็คงไม่ขยายกิจการมาสู้ครับ แต่จะขายตามที่มีอยู่  การแข่งขันก็จะสุสีมากขึ้นเอง
บันทึกการเข้า

ประเทศชาติมีภัย  เสรีไทยร่วมกอบกู้
กลายใต้
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 56



« ตอบ #28 เมื่อ: 31-07-2008, 22:58 »

เห็นด้วยกะที่เห็นต่างครับ  ...      เอาความจริงมาเสนอ เป็นสิ่งที่ถูกต้องครับ ความจริงจะปกต้องตัวเราเองไปด้วย

อย่างไรก็ตาม  และถ้าความเห็นต่างที่ยังคงอยู่บนความจริง   และเจตนาที่บริสุทธิ์ มันจะทำให้เกิดความสมดุล และเป็นธรรมชาติไปในตัวมันเอง .. 


แต่กับคำว่า ผมกังขา พันธมิตร ที่ออกมาจากผู้เขียนที่ได้รับการยอมรับเรื่องคุณภาพ

 มันก็กระตุกให้เกิดความสมดุลแรงไปหน่อย   ( คุณบอนนี่ อาจจะคิดว่า ก็พันธมิตรวิ่งเร็วไปด้วยเลยต้องกระตุกแรงหน่อยล่ะ  )

คำว่า กังขา มันก็เลยทำเชือกออกมาสองเส้นใหญ่ ๆ ดึงพวกเราให้ผงะไปชั่วขณะ

1.เส้นนึ่งดึง แกนนำพันธมิตรกำลังมีวาระซ่อนเร้นในทางลบ  ความศรัทธราของผู้นำ ต่อผู้ร่วมงานลดลง

2.เส้นนึงดึง ผู้ร่วมชุมนุม  ออกความหมายว่า เอ้ย ไม่ช่วยกัน แล้วยังเอาเท้ามาราน้ำอีก 
 
 ออกแนวดูถูกเล็ก ๆ ว่าแรงกายและแรงใจ แรงเงินทีพวกเราได้ช่วย ๆ กันสร้างมาจนถึงวันนี้ มันเพื่อแกนนำบางคนหรือนี่ ???



แต่อย่างไรก็ตาม อันนี้ก็เป็นการเมืองใหม่ก็ควรเป็นแบบนี้แล...อย่าไปขัดธรรมชาติของมันครับ 



บันทึกการเข้า
Rule of Law
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #29 เมื่อ: 01-08-2008, 00:56 »


ขอบคุณทุกท่านค่ะที่เข้ามาแชร์ไอเดียมากมาย

คุณ bonny  ใช่ค่ะ เดี๊ยนอยู่การบินไทย เห็นอะไรเยอะ....
เรื่องของการบินไทย ใครที่สนใจติดตามก็ทราบดีว่ามันเป็นยังไงบ้าง
อย่างที่คุณว่ามาใช่เลยค่ะ  โดยเฉพาะเรื่อง "ธรรมาภิบาล" ยังอ่อนด้อยอยู่มาก
คนตามน้ำก็กอบโกยไปได้เรื่อยๆ
ที่ว่า growth ของต้นทุน มากว่า growth ของรายได้ เป็นหลักฐานว่าบริหารล้มเหลวค่ะ

-----------------------------------------------------------------------------------------

พูดถึงเรื่องการเสนอขายหุ้นให้แก่สาธารณะ (เอาเข้าตลาดหลักทรัพย์)

ถ้าไม่มองว่าเป็นรัฐวิสาหกิจ คือ เป็นบริษัทใดๆก็ตาม
การเสนอขายหุ้น  เดี๊ยนมองออกเป็นอย่างเดียวค่ะ
"ต้องการระดมทุน"  มาทำอะไรซักอย่าง

แง่มุมอื่น.... นึกไม่ออกค่ะว่าทำไปเพื่ออะไร

บันทึกการเข้า

Your C.V is nothing. Your future plan...is everything.
Cylonn
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 137


« ตอบ #30 เมื่อ: 01-08-2008, 09:59 »

จริงๆ เราก็เปิดเสรีการลงทุนด้านพลังงานอยู่แล้วนี่ครับ  ไม่มีกฎหมายห้ามไม่ให้ใครมาแข่งกับ ปตท.นะ

ถ้าจะทำให้ ปตท.เล็กลง ก็ทำได้โดยผ่านกท.การคลัง  แต่ก็ต้องระวังด้วย  เพราะจะไปทำให้บริษัทค้าน้ำมันต่างชาติใหญ่ขึ้นมาโดยปริยาย  ถ้าผู้นำในการกำหนดราคาเป็น เชลล์ คุณจะหนาวกว่านี้ก็ได้

คู่แข่งทางด้านพลังงานเกิดง่ายแต่อยู่รอดยากครับ  ไม่นานมานี้ ก็มีทั้ง เจ็ท เปโตรนาส Q8 เป็นเงินทุนต่างชาติทั้งนั้น แต่ก็ไปไม่รอด  เพราะเราไม่เสรีดังปากพูด  รัฐเองน่ะแหละเป็นตัวการทำให้ ปตท.ใหญ่และกลายเป็นผู้ผูกขาดในตลาดน้ำมันและก๊าซหุงต้ม

ธุรกิจน้ำมัน เมื่อก่อนนี้ เชลล์ เป็นผู้ค้ารายใหญ่  เอสโซ่เป็นอันดับสองนะครับ  แต่พอเราเปิดเสรีทางด้านราคาหน้าปั๊ม รัฐสั่งให้ ปตท.ชะลอการปรับราคาเป็นเจ้าสุดท้ายเวลาน้ำมันปรับขึ้น และลงราคาก่อนเพื่อนเวลาน้ำมันปรับลง  ทำให้มาร์เก็ตแชร์ของ ปตท.โตแซงหน้าเชลล์ เอสโซ่ ขึ้นมาอยู่อันดับหนึ่ง

เชลล์เองก็เคยประท้วงนโยบายรัฐนะครับ เรื่องแทรกแซงราคาผ่าน ปตท. จำได้ไหม  แต่ก็ไม่เป็นผลอะไร  ทุกวันนี้ เชลล์ เอสโซ่ คาลเท็กซ์ อยู่ได้เพราะมีทำเลปั๊มที่ดีกว่า ปตท.และคู่แข่งรายใหม่ๆ เนื่องจากเปิดดำเนินการมาก่อนหลายสิบปีครับ

ก๊าซหุงต้มก็เหมือนกัน รัฐกำหนดราคาควบคุมแทนที่จะเปิดเสรี ทำให้โตอยู่เจ้าเดียว คือ ปตท.
ดังนั้น รัฐนี่แหละตัวดีที่ทำให้ ปตท.กำไรบานเบอะครับ

สหรัฐมีกฎหมายต่อต้านการผูกขาดนี่ครับ ใครเข้าข่าย ก็ต้องแตกฐานออกไปตามกม. รัฐไม่ได้เข้าไปบังคับนะ  แต่จะมีคู่แข่งทางการค้าฟ้องร้องต่อศาลเองแหละ

ตอนนี้บ้านเราปั๊มแก๊ศกำลังมาแรง  รายใหม่อยากเข้าตลาดกันตรึม เพราะอนาคตรถที่ใช้ดีเซลจะหันมาติดแก๊ส  รัฐบาลก็ควรจะสนับสนุนเต็มที่  ด้วยการลดภาษีให้ผู้ประกอบการรายใหม่ๆ  ซึ่งตอนนี้หาทำเลดีๆ ได้ยาก  ลูกค้าต้องรอคิวกันนานมาก  ถ้ารัฐสามารถกำหนดอัตราภาษีรายใหม่และรายเก่าให้แตกต่างกัน  รายเก่าก็คงไม่ขยายกิจการมาสู้ครับ แต่จะขายตามที่มีอยู่  การแข่งขันก็จะสุสีมากขึ้นเอง

มันดูเหมือนจะเสรีแต่ไม่เสรีจริงนะซิครับ  กฎหมายเมืองไทยไม่เคยเอื้ออำนวยให้รายเล็กเกิดไม่ว่าธุรกิจไหน ตราบใดที่รัฐยังอุ้มปตท อุ้มค่าพลังงานอยู่ คำว่าเสรีและการแข่งขันอย่างเป็นธรรมไม่มีทางเกิด
ทุกวันนี้ปตทผูกขาดธุรกิจพลังงานมากเกินไปตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ทั้งยังมีกฎหมายรัฐวิสาหกิจเดิมคุ้มครองอยู่ เช่นบังคับให้กฟพตั้งซื้อก๊าซซื้อพลังงานจากปตทเท่านั้น ท่อก๊าซปตทก็ผูกขาดอยู่ฝ่ายเดียวยังงี้คู่แข่งจะเกิดได้ไง  ดูตัวอยู่ง่ายๆตอนที่สมัครแพร้มเรื่องน้ำมันรัสเซีย ทำได้จริงไม่จริงไม่รู้ แต่เห็นปตทออกมามขวางก่อนเลย เรื่องไบโอดีเซล ไม่เคยมีการส่งเสริมที่ชัดเจน ทั้งๆที่สามารถส่งเสริมให้ประชาชนพึ่งตัวเองได้จากพลังงานสีเขียวเหล่านี้ ทุกวันนี้โรงกลั่นไบโอไม่สามารถผสมและขายให้ผู้ใช้ได้โดยตรงต้องผ่านผู้ค้าพลังงานเดิมเท่านั้น

ทุกวันนี้ใครรู้บ้างต้นทุนพลังงานจริงอยู่ตรงไหน ทำไมมันอ้างว่าอุ้มค่าพลังงานได้ทุกตัวทั้งๆที่บ้างตัวก็เป็นบายโพดัก ทำไมตอนน้ำมันโลกขึ้นราคามันขึ้นทันที แต่ตอนลงไม่ยอมลง ทำไมพวกไบโอ พวกก๊าซโซฮอล ต้องมีราคาต่างจากน้ำมันด้วยค่าคงที่เสมอ ทั้งๆที่ต้นทุนและวิถีของธุรกิจ ต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เรื่องพลังงาน..ตราบใดถ้าต้นทุนและการกำหนดราคาของพลังงานแต่ละตัว ยังไม่โปร่งใส ราคายังไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามกลไกตราดที่แท้จริง ผมว่าเราบอกไม่ได้หรอกครับว่าเราเปิดเสรีพลังงานแล้ว

ส่วนเรื่องทำปตทให้เล็กลง จริงๆไม่อยากเน้นไปที่ปตทหรอกครับ อยากให้เน้นไปเรื่องการแข่งขันอย่างเป็นธรรมเหมือนที่สหรัฐมีกฏหมายควบคุมเรื่องเหล่านี้อยู่

การแปรรูปรัฐวิสาหกิจโดยการโยกย้าย การผูกขาดโดยรัฐมาเป็นการผูกขาดโดยเอกชน คือหายนะของประชาชนครับ
ถ้าจะแปรรูป จะต้องมองที่กลไกการตลาดและการแข่งขันอย่างเป็นธรรมด้วย ที่สำคัญ ต้องคำนึงถึง ประชาชน ผู้ค้ารายย่อยและผู้ค้าชุมชนด้วย

สุดท้าย อาจจะมีคนกังวลเรื่องราคาพลังงาน ถ้ากลไกตลาดทำงานได้จริง ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพลังงานจะปรับตัวได้เอง เหมือนทฤษฏีสองสูงของเจ้าสัวซีพีนะแหละครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2008, 10:11 โดย Cylonn » บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: