แล้ววันที่ 31 ก.ค. นี้ อ้อใหญ่ ไม่ต้องไปฟังคำพิพากษาศาลอาญา หรือครับ
หรือว่าส่งทนายไปฟังได้
โดยปกติศาลมักจะพิจารณาข้อเท็จจริงในสำนวนเท่านั้นครับ การที่จำเลยยังมีคดีอื่นๆอีก ก็เป็นเรื่องของข้อเท็จจริง
ในคดีอื่น ไม่เกี่ยวข้องกัน ทั้งแต่ละคดีก็ใช้องค์คณะผู้พิพากษาคนละชุดกัน การที่ศาลให้ออกนอกประเทศได้ ศาลคง
เห็นว่าไม่เป็นอุปสรรคต่อการพิจารณาคดีนี้ หมายถึงไปในช่วงที่ยังไม่มีอะไรที่ต้องดำเนินการในคดีนี้ จึงให้ไปแต่ก็ต้อง
กลับเข้ามาก่อนวันที่ ที่จะมีการพิจารณาคดีนี้ ส่วนคดีอื่นๆจะมีการพิจารณาหรือไม่ ก็ไปว่ากันในคดีอื่น อย่างคดีที่ศาล
อาญา ที่มีการนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 31 กค. นั้น ก็ต้องไปดูเงื่อนไขในการประกันตัว ว่าศาลมีข้อห้ามไม่ให้จำเลย
เดินทางไปต่างประเทศหรือไม่ หากไม่มีก็เดินทางได้ หากมีก็ต้องมาขออนุญาตศาลในคดีนี้ก่อน
ถามว่าหากในคดีที่ศาลอาญา หากการปล่อยชั่วคราวของจำเลย ไม่มีเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ จำเลยก็
เดินทางออกนอกประเทศได้ แล้วถามว่าผูพิพากษาศาลอาญาเห็นเองว่า จำเลยจะเดินทางไปต่างประเทศ ไม่มาฟัง
คำพิพากษาแน่ จะสั่งห้ามไม่ให้เดินทางได้เลยหรือไม่ ก็คงไม่ได้เพราะศาลไม่อาจรู้เองได้ ไม่อาจเอาข้อเท็จจริงนอก
สำนวนมาสั่งให้เป็นผลร้ายกับจำเลยได้ ต้องให้อัยการโจทก์แถลงให้ศาลทราบ เพื่อให้ข้อเท็จจริงเข้ามาในสำนวนก่อน
ศาลจึงจะมีอำนาจถอนประกัน หรือ ห้ามจำเลยเดินทางออกนอกประเทศได้
แต่เค้าเดินทางวันที่ 5-10 สค. นี่ครับ ไม่น่าห่วงเรื่องที่ศาลอาญา
สรุปก็คือจะเดินทางออกนอกประเทศได้หรือไม่ก็ว่ากันเป็นคดีๆ ไป