ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
24-04-2024, 07:48
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  แลกกับความเจริญประเทศกรมพระยาดำรงเคยโดนว่าขายชาติ 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
แลกกับความเจริญประเทศกรมพระยาดำรงเคยโดนว่าขายชาติ  (อ่าน 2346 ครั้ง)
อยากประหยัดให้ติดแก๊ส
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,406



« เมื่อ: 29-07-2008, 09:39 »

ฃ้อ ๓ ถ้าเมื่อฃ้าพเจ้า(หมายถึงพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) สิ้นชีวิตไป มีลูกชายอยู่ แต่อายุยังไม่ครบ ๒๐ ปี
บริบูรณ์, ฃ้าพเจ้าฃองแสดงความปราร์ถนาว่า ให้เลือกสมเด็จเจ้าฟ้ากรมฃุนสุโขทัยธรรมราชา เปนผู้สำเร็จราชการแทนพระ
องค์ตามกฎมณเฑียรบาล

(นี่เป็นคำสั่ง (ห้าม) อีกชั้น ๑ .- ถ้าเสนาบดีจะคิดเลือกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเปนผู้สำเร็จราชการ
ต่างพระองค์, ให้เสนาบดีกระทรวงวังคัดค้านด้วยประการทั้งปวงจนสุดกำลัง, เพราะฃ้าพเจ้าได้สังเกตเห็นมาว่า พระเจ้าบรม
วงศ์เธอพระองค์นี้ไม่มีศาสนา, ไม่มีศีล, ไม่มีธรรม, วัน ๑ อาจพูดอย่างหนึ่ง, อีกวันหนึ่งอาจกลับกลอกเสียก็ได้, และฃ้าพเจ้า
จะไม่ลืมเลย ว่าพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์นี้ ลิเอาราชอาณาเฃตต์ฃองพระราชวงศ์จักรีไปฃายฝรั่งเสีย ๓-๔ คราวแล้ว.
ถ้าให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์นี้เปนผู้สำเร็จราชการ ลูกฃ้าพเจ้าอาจไม่มีแผ่นดินอยู่ก็ได้


เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปลายรัชกาลที่ ๕ ในตอนนั้นอังกฤษที่ปกครองมลายู คิดจัดตั้งทำกิจการรถไฟขึ้นใช้ในดินแดนแถบนี้
ทางรัฐบาลไทยเกรงว่าอังกฤษจะขอต่อทำรางรถไฟเชื่อมเข้ามาในประเทศไทย ไม่ช้าก็เร็ว วิธีแก้ก็คือชิงทำเองเสียก่อน   
ไม่ปล่อยให้อังกฤษแผ่อิทธิพลเข้ามาได้ด้วยข้ออ้างข้อนี้ สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีมหาดไทยก็
เสด็จออกไป "กรุยทาง" คือไปสำรวจเนื้อที่ที่จะวางรางรถไฟ มีผู้ตามเสด็จคือเหล่าเจ้าหน้าที่ในกรมรถไฟ และฝรั่งชื่อ
Mr.Gittin เป็นหัวหน้า การกรุยทางกินเวลาเป็นเดือนๆ เดินทางด้วยช้าง เพื่อดูเส้นทางให้ละเอียดถี่ถ้วน เพื่อดูส่วนที่จะ
ตัดสถานี และวางแผนทำถนน ไม่ให้กินที่ทับหรือตัดกับทางรถไฟ มีทางรถไฟเป็นสายหลัก การกรุยทางสำเร็จลงแล้ว
แต่ติดขัดที่งบประมาณสร้างทาง

รถไฟซึ่งเป็นก้อนใหญ่มาก  รัฐบาลยังไม่มีมากพอ ก็ต้องรั้งรอไว้ก่อน จนกระทั่งมลายูทำรถไฟเสร็จ กิจการได้กำไรงาม
รัฐบาลไทยจึงเห็นว่าควรหยิบยกเรื่องรถไฟขึ้นมาทำเสียที ติดขัดว่างบประมาณถึง 4 ล้านบาทนั้นยังหาไม่ได้และมีนโย
บายว่าถ้าไปกู้ยืมเงินมา ก็ต้องมองเห็นว่าได้ดอกผลให้สามารถใช้หนี้ได้ ไม่งั้นก็จะไม่ยืมเป็นอันขาด คือไม่ใช่ว่ากู้มาก่อน
แล้วค่อยคิดทีหลังว่าจะเอาเงินที่ไหนไปใช้เขา แบบนั้นไม่ทำพูดไปแล้วกิจการรถไฟก็ย่อมออกดอกผลมากพอใช้หนี้ได้
จึงตกลงว่าจะทำ ปัญหาก็คือจะกู้เงินจากใคร

สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรงนึกถึงเรื่องหาแหล่งเงินกู้อยู่ ช่วงนั้นตรงกับพระเจ้าอยู่หัวเสด็จยุโรปครั้งที่ 2 พอดี ทรงมีที่
ปรึกษาฝรั่งคนหนึ่งชื่อนายสโตรเบล(Mr. Strobel) ก็ทรงปรึกษาว่าจะกู้เงินจาก F.M.S. ที่ให้มลายูกู้ทำกิจการรถไฟ

ม.จ.พูนพิศมัยทรงเล่าในตอนนี้ว่า "วันหนึ่ง เสด็จพ่อ...ตรัสออกไปว่า เออ ก็ F.M.S. เขากำลังรวย เราเอาเงินเขาเองมา
ทำเองไม่ได้หรือ? และเวลานี้ทางไมตรีก็กำลังดีอยู่ บางทีจะได้ดอกถูกๆบ้างกระมัง?" นายสโตรเบลก็ฮุบโผงว่า "เข้าที
จะต้องเลียบเคียงดู" เสด็จพ่อก็ตรัสว่า "ไม่ได้นา สโตรเบล จะต้องกราบทูลพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงทราบเสียก่อน เราทำเอง
ไม่ได้" แกก็หัวเราะ รับว่าจะตรองดูก่อน ครั้นต่อมาวันหนึ่ง แกมาทูลเสด็จพ่อว่า F.M.S. เขาจะคิดดอกเพียง 4% เท่านั้น
ฉันเห็นเหมือนกับได้เปล่า จึงตกลงกับเขาไปแล้วว่าจะกู้ เสด็จพ่อก็ทรงร้อง ว่า "เอ๊ะ ไม่ทูลในหลวงเสียก่อน เห็นจะไม่ดี
แน่ เพราะท่านจะทรงพระดำริเห็นเรื่องนี้ในยุโรปอย่างไรบ้างก็ไม่รู้" สโตรเบลก็ตอบว่า "เอาเถอะ เรื่องนี้ฉันรับผิดชอบเอง"
ก็นิ่งกันมาจนไม่ช้านายสโตรเบลก็เกิดตายไปเสียเฉยๆ เรื่องนี้ก็ระงับมา จนก่อนเสด็จสวรรคตได้สักหน่อย ก็กลับเข้าที่ประ
ชุมอีก ทรงทราบตามบันทึกของนายสโตรเบลว่า ได้ตกลงกู้เงิน F.M.S. ตามความเห็นของกรมดำรง แต่แกไม่ได้จดไว้
ด้วยว่าเสด็จพ่อขอให้กราบทูลก่อน ครั้นเรื่องโผล่ขึ้นตามบันทึกของแก ท่านจะกราบทูลความจริงก็จะเป็นการแก้ตัว และ
ซัดคนตาย จึงจำต้องนิ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงฉุนพวกฝรั่งทางสิงคโปร์อยู่ในเวลานั้น และทรงมีพระราชดำริ
ว่าจะกู้เงินทำรถไฟนั้นจากประเทศยุโรป จึงเป็นเหตุให้ทรงขุ่นเคือง มีพระราชดำรัสออกมาว่า

"แล้วกัน กรมดำรง อ้ายเงินรายนี้จะเป็นเงินขายเมืองเสียแล้ว"

เผอิญในเวลานั้น  สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช(หมายถึงพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ) เสด็จอยู่ด้วย จึงทรงได้ยิน และ
ทรงจำมาเป็นคำสำหรับกริ้วเสด็จพ่อต่อมาว่า ขายบ้าน ขายเมือง ท่านพวกนักปราชญ์สมัยใหม่ก็พลอยผสมต่อ ทั้งๆที่ไม่รู้
เรื่องอะไรเลย
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=1816.0


http://www.geocities.com/bluesing2001/media/rightonland.htm

บางคนบ้าพลังชอบก่อสงครามให้ทหารผู้น้อยไปรบ สุดท้ายสงครามจบไม่ได้อะไรเลย เหลือแค่อนุสาวรีย์ไว้รอรถเมล์
บันทึกการเข้า
moon
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 780


« ตอบ #1 เมื่อ: 29-07-2008, 09:56 »

ไอ้เหี้eแก็ส

บอกเจตนามาตรงๆ ดีกว่า เล่นลิ้นไปเรื่อยให้คนเดาเจตนาของมึงไปเรื่อยเปื่อย

อย่างเช่น ไอ้เหี้e มึงนี่มัน เหี้e จริงๆ เลย อย่างเนี้ยเป็นมั้ย

ประวัติศาสตร์มีไว้ศึกษา มิใช้เอามาเพื่อสนองเจตนารมณ์ชั่วๆ อย่างนี้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-07-2008, 09:58 โดย moon » บันทึกการเข้า
ริวเซย์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4,637


Worrior in The Blue Armor


เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 29-07-2008, 10:22 »

เหรอ แล้วตั้งกระทู้ขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์อะไรครับ

จะสร้างความชอบธรรมให้ลูกพี่เหลี่ยมเหรอ

บันทึกการเข้า

ถ้ามีแฟนแบบนี้เอาไหมครับ^^


อยากประหยัดให้ติดแก๊ส
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,406



« ตอบ #3 เมื่อ: 29-07-2008, 13:07 »

คําร้องของกัมพูชาที่สำคัญที่ให้ศาลโลกวินิจฉัยคือประเด็นที่ว่า กัมพูชามีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนอันเป็นที่ตั้งของปราสาทพระวิหาร การนำเสนอพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายนั้นมีดังนี้

ฝ่ายไทยเสนอว่า หากพิจารณาตามสนธิสัญญาที่สยามทำกับประเทศฝรั่งเศส (ขณะนั้นประเทศฝรั่งเศสปกครองกัมพูชา) เมื่อปี ค.ศ.1904 ซึ่งตามสนธิสัญญาจะใช้ "สันปันน้ำ" (watershed) ปราสาทพระวิหารจะอยู่ฝั่งไทย แต่หากพิจารณาตามแผนที่ ปราสาทพระวิหารจะอยู่ฝั่งกัมพูชา

ขออธิบายตรงนี้เลยว่าหลังจากที่มีการทำสนธิสัญญาทวิภาคีในปี ค.ศ.1904 ทั้งสองฝ่ายได้ตั้งคณะกรรมการผสมขึ้น และไม่นานนัก คณะกรรมการชุดนี้ก็มิได้ทำงานอีกต่อไป ต่อมา ฝ่ายไทยได้ร้องขอให้ประเทศฝรั่งเศสจัดทำแผนที่ขึ้น ข้อสังเกตเกี่ยวกับแผนที่เจ้าปัญหาฉบับนี้ มีดังนี้

ประการแรก แผนที่นี้เป็นการร้องขอจากฝ่ายไทยให้ประเทศฝรั่งเศสทำขึ้น แผนที่นี้ทำขึ้นที่กรุงปารีส การที่ประเทศร้องขอให้ประเทศฝรั่งเศสทำขึ้นนั้นเป็นเพราะว่าในขณะนั้น ประเทศไทยยังขาดผู้เชี่ยวชาญในการทำแผนที่

ประการที่สอง การปักปันเขตแดนแล้วลงมาตราส่วนลงในแผนที่เป็นการกระทำฝ่ายเดียวของประเทศฝรั่งเศส โดยที่ฝ่ายไทยไม่มีส่วนร่วมเลย

ประการที่สาม การทำแผนที่นี้ไม่เกี่ยวกับคณะกรรมการผสมแต่อย่างใด ในประเด็นนี้ผู้พิพากษาฟิสต์มอริสซึ่งเป็นหนึ่งในองค์คณะกล่าวว่า คณะกรรมการผสมไม่เคยแม้แต่จะ "เห็น" แผนที่นี้ อย่าว่าแต่ "รับรอง" เลย เป็นการร้องขอฝ่ายเดียวจากรัฐบาลไทย

ประการที่สี่ เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดและเป็นเหตุผลสำคัญที่ศาลโลกวินิจฉัยให้ประเทศไทยแพ้ก็คือ แม้ประเทศไทยจะไม่มีส่วนในการทำแผนที่ แต่ประเทศไทยก็ไม่เคยคัดค้านหรือประท้วงเกี่ยวกับความถูกต้องของแผนที่ ทั้งๆ ที่ประเทศไทยมีโอกาสอยู่หลายครั้งที่จะทักท้วงหรือประท้วงถึงความคลาด เคลื่อนหรือความผิดพลาดของแผนที่

โอกาสที่จะประท้วงความไม่ถูกต้องของแผนที่ เช่น กรณีการเจรจาทำสนธิสัญญาทางไมตรี พาณิชย์และการเดินเรือกับประเทศฝรั่งเศสที่ทำขึ้นในปี ค.ศ.1925-1937 แต่ไทยก็มิได้ทักท้วง

ซึ่งศาลโลกเห็นว่า การนิ่งเฉยของประเทศไทยเป็นเวลานานเท่ากับเป็นการยอมรับความถูกต้องของแผนที่แล้ว จะมาปฏิเสธในภายหลังนั้น ไม่อาจกระทำได้ เป็นการปิดปากประเทศไทยว่าจะมาปฏิเสธความผิดพลาดของแผนที่ไม่ได้

ยิ่งไปกว่านั้น ทางการของไทยเองยังได้ทำแผนที่ใช้ขึ้นเองอีกด้วยในปี ค.ศ.1937 โดยแผนที่ที่เจ้าหน้าที่ของไทยเป็นผู้จัดทำ ได้แสดงว่าปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในดินแดนของกัมพูชา ประเด็นนี้ไทยอ้างว่า แผนที่ที่ไทยทำขึ้นเองฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการทหารเป็นการภายในเท่านั้น แต่ศาลโลกไม่เห็นด้วยกับข้ออ้างของไทยในประเด็นนี้

เหตุผลประการหนึ่งที่ศาลโลกเห็นว่า ประเทศไทยยอมรับอำนาจอธิปไตยของกัมพูชาเหนือที่ตั้งปราสาทพระวิหารก็คือ การที่กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ไปเยือนกึ่งเป็นทางการที่ปราสาทพระวิหาร ในครั้งนั้น กองทหารฝรั่งเศสได้ตั้งกองทหารเกียรติยศรับการเสด็จอย่างเต็มที่ และยังชักธงชาติของประเทศฝรั่งเศสด้วย

ซึ่งศาลโลกเห็นว่า เท่ากับประเทศไทยยอมรับอำนาจอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารว่าเป็นของกัมพูชา (ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส) อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ ผู้พิพากษาศาลโลกท่านหนึ่งคือ ท่านเวลลิงตัน คู ซึ่งเป็นตุลาการเสียงข้างน้อยได้ทำความเห็นแย้งว่า ในเวลานั้นกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยแล้ว แต่ดำรงตำแหน่งนายกราชบัณฑิตยสถานแห่งประเทศไทย อีกทั้งพระองค์ยังตรัสว่า การมาเยือนปราสาทพระวิหารนี้ไม่เกี่ยวกับการเมือง
ที่มา มติชน


ประวัติศาสตร์ก็มี อย่าเที่ยวไปด่าใครส่งเดชว่าขายชาติ
บันทึกการเข้า
amm
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 66


« ตอบ #4 เมื่อ: 29-07-2008, 13:24 »

ไอ้ นพ ดล ขายยยยยยยยยยยชาติ
ไอ้ทักษิณ  ขายยยยยยยยยยยชาติ

ปราสาทพระวิหารมันอยู่ของมันยังงั้น เสือกมาแตะทำไม ดิ้นเข้า แถเข้า อีพวกนี้มีแผนก่อการร้าย ถ้ามันสร้างสถานการณ์สำเร็จ ก็เข้าทางเหลี่ยมเลย
บันทึกการเข้า
meriwa
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,100



เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 29-07-2008, 16:02 »

ล็อคกระทู้ได้เลยครับ แอดมิน

กระทู้ควายๆ ชอบอ้างประวัติศาสตร์แบบคนไม่มีมันสมองจะคิดอะไรใหม่ๆได้

สมัยเรียนมรึงต้องชอบลอกการบ้านเพื่อนแน่เลย

ถึงได้เป็นควายอยู่อย่างนี้
บันทึกการเข้า

ผู้ปกครองระดับธรรมดา   ใช้ความสามารถของตน    อย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับกลาง       ใช้กำลังของคนอื่น             อย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับสูง           ใช้ปัญญาของคนอื่น           อย่างเต็มที่

                                                                  ...คำคมขงเบ้ง
หน้า: [1]
    กระโดดไป: