ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
19-04-2024, 05:25
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  31 กรกฎาคม 2551 พิพากษาคดี หมายเลขดำที่ อ.1149/2550 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
31 กรกฎาคม 2551 พิพากษาคดี หมายเลขดำที่ อ.1149/2550  (อ่าน 2653 ครั้ง)
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« เมื่อ: 28-07-2008, 20:00 »

คดีหมายเลขดำที่ อ.1149/2550

อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ อดีตประธานกรรมการบริหารบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันจงใจหลีกเลี่ยงการชำระภาษีอากรหุ้นบริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 546 ล้านบาท จากหุ้นจำนวน 4.5 ล้านหุ้น ซึ่งมีหุ้นมูลค่า 738 ล้านบาท โดยความเท็จ โดยฉ้อโกงโดยใช้กลอุบาย อันเป็นความผิดตามประมวลรัษฎากรมาตรา 37 (1) (2) และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ 91

ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดี ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2551 เวลา 09.00 น.

-------------------------------
*** ท่านใดมีรายละเอียดของ กฎหมายทั้งหมดที่จำเลยถูกฟ้อง ขอความกรุณานำมาเผยแพร่ด้วยนะคะ
-------------

ต่อด้วยข่าวแบบซุบซิบ

http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&iDate=28/Jul/2551&news_id=161680&cat_id=300

อ้างถึง
กรองกระแส 28 กรกฎาคม 2551    กองบรรณาธิการ

มันมาแย้วววว...มาตามฤกษ์ยามเพชฌฆาต ฮ่ะ..ฮ่ะ..ฮ่ะ.."สายลับผ้าเตี่ยวแดง" รายงานมาด้วยอาการแสยงขนว่า ใกล้เวลา ราวี..ราวี..ท่านพี่เหยินใหญ่มีคำบัญชาการให้ "เคลื่อนพล"

พร้อมอาวุธซุกซ่อนเต็มอัตราศึก  คึกมาจาก เชียงราย-บุรีรัมย์  ดำดินมาซ่องสุมชุมนุมทัพอยู่ใกล้ๆ จังหวัดที่ใกล้ฉะเชิงเทรา "หน่วยแทรกซึม" ส่งรหัสมอร์สมาด้วยเสียงกระเส่าปอดว่า   คราวนี้เห็นท่ามันมาบุกแหลก  ยิ่งถ้า "นายหญิง" เข้าปิ้งด้วยละก็ รับประกัน 99.99% เตรียมรถหวอไว้เปิดรอรับบริจาคเลือดได้   ศึกใหญ่ระเบิดแน่   จะมีพาเหรดแห่แหนมาเข้ากรุง มุ่งสมทบสนามหลวง ตามแผนทะลุ-ทะลวงล้อมสภาฯ "เอาดอกไม้มาให้กำลังใจ" พลังประชาชนต้องยื่นแก้รัฐธรรมนูญให้ได้   ใครขวางหน้า-ขวางทาง "ตายเป็นตาย" ตามนโยบาย "ให้คนของพ้มลุกขึ้นมาฆ่าบ้าง" เจ้าสำนักทุกขิโต-นั่งทางนอกแต่เห็นทางในใสแจ๋วว่า  สภาฯ เปิดต้นเดือนสิงหา มีกลิ่นเลือดโชยมา  เผลอๆ มหาวิทยาลัยมัฆวานฯ   ทั้งอาจารย์และลูกศิษย์อาจถูก "ข้าศึก-เตี่ยวแดง" ยกทัพมาล้อมกรอบเป็นการทดสอบ  หลวงพ่อโกย  แต่ไม่ต้องตกอก-ตกใจจนไส้เลื่อนไหลกลับ  เพราะสายลับดาวเทียมดักจับข่าวลับได้ว่ามี "หน่วยหน้ากล้าตาย" ไม่ต้องการเห็นบ้านเมืองวุ่นวาย   ระดมพลเป็นการภายใน "ส่งสายเขียว" แยกย้ายบินเดี่ยวเกาะติดความเคลื่อนไหว "กองทัพเหยินใหญ่" จากชายพระนครแล้ว   แผนซ้อนแผนเป็นแบบไหน? บอกไปก็ไม่ใช่แผนลับซีคร้าบบบบ...พี้น้อง แต่ขอป้องปากกระซิบซักนิดว่า โปรดอย่ากะพริบตา ตั้งแต่เพ-ลานี้เป็นต้นไป ศึกใหญ่ใกล้ระเบิด!!

--------------------

ระยะนี้ อันธพาลกำลังได้ใจ และนายของมันกำลังจนมุม วันที่ 31 ก.ค.นี้ มีเรื่องให้ต้องลุ้นกันว่า ศาลท่านจะให้ผู้ที่ถูกพิพากษาว่าผิดต้องจำคุก ประกันตัวหรือไม่ ถ้าให้ประกันก็คงไม่มีอะไร นอกจากเสียชื่อไปยกหนึ่ง แต่ถ้าไม่ให้ประกันตัว

เรื่องใหญ่แน่ๆ

อย่างไรก็รอลุ้นนะคะ 
บันทึกการเข้า
boonterm
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 265


โย่ว......


« ตอบ #1 เมื่อ: 28-07-2008, 20:10 »

วิธีที่คนตระกูลนี้จะฟอกตัว ก็มีวิธีเดียว คือ ชนะคดีในศาลต่าง ๆ


  เอาใจช่วยนะ



บันทึกการเข้า

............................................................

55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« ตอบ #2 เมื่อ: 28-07-2008, 20:23 »

เชื่อว่า คงไม่น่ารอด...เรื่องแบบนี้ อยู่ที่ว่ากฏหมายจะเอาจริง หรือปล่าวแค่นั้นเอง...

สุดท้าย เจ๊ ก็คงขอประกันตัว แล้ว ยื่นอุทธรณ์ต่อ...ลิ่วล้อ ก็ต้องไปอาละวาด หน้าศาลนิดหน่อย...

พอให้หัวคะแนน ได้มีกินมีใช้ มีค่าเหล้า..ไปแจกกุ๊ย...

ใครพนันกับผมมั๊ยล่ะ...ผมว่า ไอ้ วรัญชัย มันต้องไป....งานนี้ ตกรถ ได้ไง



 
บันทึกการเข้า
Suraphan07
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,128



« ตอบ #3 เมื่อ: 28-07-2008, 20:28 »

อือม...ลืมไปเลยน่ะเนี่ยะ...

มิน่าล่ะ ช่วงนี้ลิ่วล้อถึงได้ป่วน ทำงานกันหนัก เสี่ยงคุก เสี่ยงตารางกันเป็นว่าเล่น...
สงสัยต้องการก่อให้เกิดอะไรบางอย่าง เพื่อกอบกู้ชื่อเสียงเจ้านายให้ห่างคุก...

ขอบพระคุณคุณ พรรณชมพู ที่เอาข่าวที่น่า ตื่นเต้น ชวนติดตาม มาเตือนความจำกัน...
บันทึกการเข้า
ริวเซย์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4,637


Worrior in The Blue Armor


เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 28-07-2008, 20:45 »

แม้แต่ลิ่วล้อในบอร์ดช่วงนี้ก็เงียบผิดปกติ

สงสัยโดนเกณท์ออกไปกินหญ้าที่ม็อบสนามหลวงหรือที่ไหนสักแห่งเพราะคนมันขาดแคลนจริงๆ

ถึงขนาดต้องกะเกณท์นักรบไซเบอร์ไปด้วย

 
บันทึกการเข้า

ถ้ามีแฟนแบบนี้เอาไหมครับ^^


Solidus
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,381



« ตอบ #5 เมื่อ: 28-07-2008, 21:33 »

เชื่อว่า คงไม่น่ารอด...เรื่องแบบนี้ อยู่ที่ว่ากฏหมายจะเอาจริง หรือปล่าวแค่นั้นเอง...

สุดท้าย เจ๊ ก็คงขอประกันตัว แล้ว ยื่นอุทธรณ์ต่อ...ลิ่วล้อ ก็ต้องไปอาละวาด หน้าศาลนิดหน่อย...

พอให้หัวคะแนน ได้มีกินมีใช้ มีค่าเหล้า..ไปแจกกุ๊ย...

ใครพนันกับผมมั๊ยล่ะ...ผมว่า ไอ้ วรัญชัย มันต้องไป....งานนี้ ตกรถ ได้ไง



 

ขืนลิ่วล้อไปทำความวุ่นวายนี่อาจไม่ได้ประกันตัว แต่อาจถูกนายผู้ชายส่งคนมาป่วนเพื่อไม่ให้นายหญิงได้ประกันก็ได้
บันทึกการเข้า
Moonraker
สมาชิกสามัญขั้นที่ 1
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 37



« ตอบ #6 เมื่อ: 28-07-2008, 21:44 »

เป็นไปได้มั้ย ที่จำเลยจะหาเหตุอะไรสักอย่างมาอ้างไม่ไปฟังคำพิพากษาตามกำหนด แล้วศาลต้องนัดฟังคำพิพากษาเป็นวันอื่นอีกที ซึ่งอาจจะใช้เวลาอีกเดือน
ไม่อยากหวังมาก กล้วอารมณ์ค้าง
 
บันทึกการเข้า
Solidus
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,381



« ตอบ #7 เมื่อ: 28-07-2008, 22:01 »

เป็นไปได้มั้ย ที่จำเลยจะหาเหตุอะไรสักอย่างมาอ้างไม่ไปฟังคำพิพากษาตามกำหนด แล้วศาลต้องนัดฟังคำพิพากษาเป็นวันอื่นอีกที ซึ่งอาจจะใช้เวลาอีกเดือน
ไม่อยากหวังมาก กล้วอารมณ์ค้าง
 
ทำแบบวัฒนาไง
บันทึกการเข้า
NN
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 230


« ตอบ #8 เมื่อ: 28-07-2008, 22:21 »

อ้างถึง
    มาตรา 37 ผู้ใด

    (1) โดยรู้อยู่แล้วหรือโดยจงใจแจ้งข้อความเท็จ หรือให้ถ้อยคำเท็จ หรือ ตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ หรือนำพยานหลักฐานเท็จมาแสดง เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรตามลักษณะนี้ หรือ

    (2) โดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน หลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรตามลักษณะนี้
    ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่สามเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองแสนบาท
   
( พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2502 ใช้บังคับ 5 พ.ย. 2502 เป็นต้นไป )
 

    มาตรา 37 ทวิ ผู้ใดเจตนาละเลย ไม่ยื่นรายการที่ต้องยื่นตามลักษณะนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือทั้งปรับทั้งจำ

( พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2502 ใช้บังคับ 5 พ.ย. 2502 เป็นต้นไป )

อาญา
อ้างถึง
หมวด ๖  ตัวการและผู้สนับสนุน

มาตรา ๘๓ ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

อ้างถึง
หมวด ๗   การกระทำความผิดหลายบท หรือหลายกระทง

มาตรา ๙๑ * เมื่อปรากฏว่าผู้ใดได้กระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ศาลลงโทษผู้นั้นทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป แต่ไม่ว่าจะมีการเพิ่มโทษ ลดโทษ หรือลดมาตราส่วนโทษด้วยหรือไม่ก็ตาม เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว โทษจำคุกทั้งสิ้นต้องไม่เกินกำหนดดังต่อไปนี้

                   (๑) สิบปี สำหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกินสามปี

                   (๒) ยี่สิบปี สำหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปีแต่ไม่เกินสิบปี

                   (๓) ห้าสิบปี สำหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสิบปีขึ้นไป เว้นแต่กรณีที่ศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิต

                   * พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๖) พ.ศ.๒๕๒๖ มาตรา ๔


ผิดถูกประการใด ผู้เชี่ยวชาญ กม. ช่วยยืนยัน ด้วยครับ 
บันทึกการเข้า
bangkaa
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 407



« ตอบ #9 เมื่อ: 28-07-2008, 23:06 »

อ้อ โดนก่อน.... ถ้าผิด.... ก็อุทธรณ์... ยังไม่ติดคุก...

แต่ถูกตราหน้าว่า.... โกงภาษี..... อับอายประชาชี....

ก.ย. - ต.ค. อย่างเร็ว.... ค่อยเช็คบิล ท่านเหลี่ยม....
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ฟันคดีที่ดินรัชดาฯ

โชะเดียว... คอขาด

ไม่ติดคุก.... ก็หนีไปเกาะกง....




 
บันทึกการเข้า

มาทำหน้าที่... ใช้หนี้แผ่นดิน...และมาทำบุญ...
Rule of Law
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #10 เมื่อ: 29-07-2008, 00:00 »

คุณพรรณ หรือท่านใดที่ข้อมูลแน่นๆ
มาตั้งกระทู้เป็นสักขีพยานกันดีกว่า  ตอนนี้ หมาจนตรอกแล้วววว
- ใครคิดว่าจะต้องมีกุ๊ยตะลุยเมืองแน่นอน
- ใครคิดว่าเหลี่ยมจะตั้งหลักเงียบๆเล่นคลื่นใต้น้ำดีกว่า



บันทึกการเข้า

Your C.V is nothing. Your future plan...is everything.
May The Force Be With You
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 331


ขอพลังสถิตย์กับท่าน


« ตอบ #11 เมื่อ: 29-07-2008, 01:03 »

มาปูเสื่อรอดีใจ   แต่ยังไงผมว่ามันไม่ยอมติดคุกแน่แน่  หนีก่อน100% ฟันธง
บันทึกการเข้า

"เจไดที่ฉลาดมากๆ คนหนึ่งเคยบอกข้าไว้ว่าเราไม่จำเป็นต้องชนะ แต่เราต้องสู้"
มารร้ายพ่ายแพ้รัก
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 292



« ตอบ #12 เมื่อ: 29-07-2008, 11:30 »

มันยื่นอุทธรณ์แน่นอน เฮ้อ อยากเห็นมันติดคุกจริง ๆ ตระกูลนี้ 
บันทึกการเข้า
NN
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 230


« ตอบ #13 เมื่อ: 31-07-2008, 10:28 »



ขออนุญาตขุดมารอคำพิพากษาตัดสิน
บันทึกการเข้า
Cherub Rock
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,183


น้องๆ ช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นที ว่าเลิกมองผมได้แล้ว


« ตอบ #14 เมื่อ: 31-07-2008, 11:09 »

ย้อนรอยคำฟ้อง 'พจมาน-บรรณพจน์-เลขาฯ' คดีเลี่ยงภาษีหุ้นชินฯ



คำฟ้องในคดีที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ อดีตประธานกรรมการบริหารชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) พี่ชายบุญธรรมคุณหญิงพจมาน, คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมานเป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐาน ร่วมกันจงใจหลีกเลี่ยงการชำระภาษีอากรหุ้นบริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 546 ล้านบาทจากหุ้นจำนวน 4.5 ล้านหุ้นซึ่งมีหุ้นมูลค่า 738 ล้านบาท โดยความเท็จ โดยฉ้อโกง โดยใช้กลอุบาย อันเป็นความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 (1) (2) และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 และ 91
     
คำ ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2540 จำเลยทั้ง 3 ได้บังอาจร่วมกันหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร โดยใช้อุบายว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด (มหาชน)หรือบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) สั่งขายหุ้นบริษัทดังกล่าวของจำเลยที่ 2 ซึ่งมีชื่อของ น.ส.ดวงตา วงศ์ภักดี หรือนางดวงตา ประมูลเรือง เป็นผู้มีชื่อทางทะเบียนถือการครอบครองแทน จำนวน 4.5 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 164 บาท รวมมูลค่าประมาณ 738 ล้านบาท ให้แก่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นญาติของจำเลยที่ 2 และเป็นพนักงานบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ฯ โดยผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ในชื่อของ น.ส.ดวงตา ที่เปิดบัญชีไว้ที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ภัทรธนกิจ จำกัด หรือบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) หรือบริษัทหลักทรัพท์ เมอร์ริน ลินช์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นนายหน้าหรือโบรกเกอร์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผ่านบริษัทตัวแทนนายหน้า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 จะต้องเสียค่านายหน้า และภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่บริษัทตัวแทนนายหน้า โดยต้องเสียค่านายหน้าและภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเงินฝ่ายละ 3,690,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 7,380,000 บาท
     
ต่อมาวันที่ 11 พ.ย. 40 จำเลยที่ 2 สั่งจ่ายเช็คธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สำนักรัชโยธิน ลงวันที่ 12 พ.ย. 40 จำนวน 741,690,000 บาท จากบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 2 ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักรัชโยธิน ชำระค่าซื้อหุ้นให้แก่บริษัทหลักทรัพย์ ภัทรฯ แล้วบริษัทดังกล่าวได้สั่งจ่ายเช็คขีดคร่อมเฉพาะ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาถนนวิทยุ ลงวันที่ 12 พ.ย. 40 สั่งจ่ายเงิน 734,310,000 ล้านบาท เป็นเงินค่าขายหุ้น ภายหลังหักค่าตัวแทนนายหน้าและภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ น.ส.ดวงตา ซึ่งเป็นผู้มีชื่อทางทะเบียน
     
ต่อมาจำเลยที่ 2 และ 3 ได้ร่วมกันนำเช็คขีดคร่อมเฉพาะ ระบุชื่อ น.ส.ดวงตา ฉบับดังกล่าวไปเข้าบัญชีออมทรัพย์ของจำเลยที่ 2 ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักรัชโยธิน เพื่อเรียกเก็บเงิน และเรียกเก็บเงินตามเช็คได้ในวันที่ 12 พ.ย. 40
     
การกระทำของจำเลยทั้ง 3 เป็นการร่วมกันแสดงเจตนาลวงว่าได้มีการซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย ซึ่งได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำมูลค่าหลักทรัพย์ที่ได้จากการขายหลักทรัพย์ใน ตลาดหลักทรัพย์ มารวมคำนวณเป็นเงินได้พึงประเมินเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามนัยกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ.2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ข้อ 2 (23)
     
ความจริงแล้วจำเลยที่ 2 ไม่ได้ขายหุ้นจำนวนดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 แต่เป็นการโอนหุ้นให้แก่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นญาติของจำเลยที่ 2 ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นเลขาฯ ส่วนตัวของจำเลยที่ 2 จำเลยทั้ง 3 ได้ร่วมกันทำอุบายโอนหุ้นดังกล่าวของจำเลยที่ 2 ให้แก่ น.ส.ดวงตาเป็นผู้ถือครองแทน และดำเนินการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ในนามของ น.ส.ดวงตา แล้วร่วมกันทำทีเป็นว่าซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านบริษัทตัวแทนนายหน้าดังกล่าว และจำเลยที่ 2 เจ้าของหลักทรัพย์ เป็นผู้ชำระราคาและรับราคาค่าหลักทรัพย์ไว้เองโดยยินยอมจ่ายค่าตัวแทนนาย หน้า เพื่อแสดงว่าเป็นการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อที่มิต้องนำเงินได้จากการขายหลักทรัพย์ดังกล่าวมาคำนวณภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดา
     
การกระทำดังกล่าวเป็นการอำพรางการให้ ซึ่งจำเลยที่ 1 ผู้รับการให้ จะต้องนำมูลค่าหลักทรัพย์คือหุ้นบริษัทดังกล่าวมูลค่า 4.5 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 164 บาท มูลค่าประมาณ 738 ล้านบาท มารวมคำนวณเป็นรายได้พึงประเมินเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ประจำปีภาษี 2540 เป็นเงิน 273,060,000 บาท
     
ต่อมาวันที่ 30 มี.ค. 41 จำเลยที่ 1 ได้ยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภงด.90) ประจำปีภาษี 2540 พร้อมกับนางบุษบา ดามาพงศ์ ภรรยา ต่อเจ้าหน้าที่สรรพากร ว่าในปี 2540 จำเลยที่ 1 มีเงินได้จากการจ้างแรงงานและจากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ หรือจากการรับทำงาน และมีเงินได้ที่เป็นเงินปันผลเครดิตเงินปันผล รวมเป็นเงินได้สุทธิที่ต้องคำนวณภาษีเป็นเงินเพียง 23,318,411.53 บาท อัตราภาษีร้อยละ 37 รวมภาษีเงินได้ที่ต้องชำระเป็นเงิน 8,192,812.27 บาท โดยมิได้นำค่าหุ้นดังกล่าวซึ่งเป็นทรัพย์สินหรือเงินได้จำนวน 738 ล้านบาท มาคำนวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษี ภงด. จำนวน 273,060,000 บาท
     
ต่อมาเมื่อระหว่างวันที่ 18 พ.ค.-30 ส.ค.44 จำเลยที่ 1 และ 2 โดยรู้อยู่แล้ว โดยจงใจ ได้บังอาจร่วมกันแจ้งข้อความเท็จ ให้ถ้อยคำเท็จ ตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรต่อนาย ช.นันท์ เพ็ชญไพศิษฎ์ และนางเบญจา หลุยเจริญ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีกรมสรรพากร ซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน โดยจำเลยที่ 1 ให้ถ้อยคำและตอบคำถามเมื่อวันที่ 18 พ.ค. 44 มีสาระสำคัญว่า การซื้อหุ้นบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ฯ เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 40 จำนวน 4.5 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 164 บาท รวม 738 ล้านบาท เป็นกรณีที่จำเลยที่ 2 ยกหุ้นให้ โดยโอนหุ้นให้บุคคลอื่นถือแทนในตลาดหลักทรัพย์ และจำเลยที่ 2 เป็นผู้จ่ายเงินซื้อ
     
จำเลยที่ 1 ยังให้ถ้อยคำเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 16 ก.ค. 44 มีสาระสำคัญว่า เป็นพี่ชายบุญธรรมของจำเลยที่ 2 ช่วยเหลือกิจการงานของจำเลยที่ 2 จนกิจการมีความเจริญก้าวหน้า จนกระทั่งเมื่อปี 2538 จำเลยที่ 2 สนับสนุนให้มีครอบครัวเพื่อความเป็นปึกแผ่น และปลายปี 2540 จำเลยที่ 2 ดำริจะมอบของขวัญให้แก่บุตรชายของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีอายุครบ 1 ปี เป็นหุ้น จึงได้มอบหุ้นจำนวน 4.5 ล้านหุ้นดังกล่าวเป็นของขวัญแก่ครอบครัวและบุตรชาย โดยไม่ต้องทำสิ่งใดเป็นการตอบแทน และมิได้มีข้อผูกพันหรือสัญญาที่ต้องกระทำสิ่งใดเป็นการตอบแทน จึงเข้าใจโดยสุจริตว่าเป็นการให้โดยเสน่หา ตามธรรมเนียมประเพณี และธรรมจรรยาของสังคมไทย ได้รับการยกเว้น ตามมาตรา 42 (10) แห่งประมวลรัษฎากร
     
ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ถ้อยคำ เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 44 มีสาระสำคัญว่า จำเลยที่ 1 เป็นบุตรบุญธรรมของบิดาซึ่งได้อุปการะเลี้ยงดูส่งเสียให้การศึกษา จำเลยที่ 1 เข้ามาช่วยเหลือช่วยบริหารจัดการธุรกิจของครอบครัวตั้งแต่เริ่มดำเนินการจน มีความมั่นคงและมีทรัพย์สินจำนวนมาก เห็นว่าจำเลยที่ 1 ควรมีครอบครัว จึงสนับสนุนให้แต่งงานกับ น.ส.บุษบา วันสุนิล เมื่อต้นปี 2539 ให้ปลูกสร้างเรือนหอในที่ดินของครอบครัวดามาพงศ์ เมื่อมีครอบครัวควรมีทรัพย์สินที่มั่นคง จึงตั้งใจที่จะมอบหุ้นให้จำนวนหนึ่งในวันแต่งงาน เพื่อให้พี่น้องมีฐานะทัดเทียมกัน แต่มอบให้ไม่ทันเนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เตรียมเข้าทำงานในทางการเมือง จึงจำเป็นต้องจัดการเรื่องบริหารงานให้เสร็จสิ้นก่อน
     
เมื่อ จำเลยที่ 1 มีบุตรชายเกิดเมื่อวันที่ 4 พ.ค. 39 จะมีอายุครบ 1 ปี การดำเนินการต่างๆ ด้านบริหารจัดการเสร็จสิ้นลง จึงยกหุ้นจำนวน 4.5 ล้านหุ้นให้จำเลยที่ 1 ในวันที่ 7 พ.ย. 40 เป็นของขวัญ โดยเห็นว่าอยู่ในฐานะและวิสัยที่พึงให้แก่บุคคลในครอบครัวได้ เนื่องจากจำเลยที่ 2 และครอบครัวมีทรัพย์สินมากกว่า 2 หมื่นล้านบาท ส่วนหุ้นที่โอนเป็นหุ้นของจำเลยที่ 2 ที่ให้ น.ส.ดวงตา เป็นผู้ถือหุ้นแทน และอยู่ในพอร์ตที่ทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว
     
โดย จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 รู้อยู่แล้วว่า ข้อความที่ให้ถ้อยคำ ตอบถ้อยคำนั้น เป็นข้อความเท็จ เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรเชื่อว่าการโอนหุ้นดังกล่าว เป็นเงินที่ได้จากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา หรือจากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งได้รับการยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ความจริงแล้วเป็นการให้เพื่อตอบแทนการที่จำเลยที่ 1 ทำงานให้ครอบครัวของจำเลยที่ 2 แต่ทำอุบายอำพรางว่าเป็นการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้รับการให้ จะต้องนำหุ้นบริษัทดังกล่าวจำนวน 4.5 ล้านหุ้นมูลค่า 738 ล้านบาทมาแสดงเป็นเงินได้ในการคำนวณภาษี
     
การกระทำของ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ดังกล่าว เพื่อจะหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรตามลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร โดยความเท็จ ให้ถ้อยคำเท็จ หรือตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ และโดยการฉ้อโกง โดยอุบายของจำเลยทั้ง 2 เป็นเหตุให้รัฐเสียหายต้องขาดรายได้อันควรได้ไปเป็นเงินภาษีอากรจำนวน 273,060,000 บาท และเป็นเงินเพิ่มจำนวน 273,060,000 บาท รวมเป็นเงินภาษีอากรและเงินเพิ่มจำนวน 546,120,000 บาท
     
ทั้ง นี้ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ตรวจสอบมูลคดีแล้ว จึงแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง และคณะอนุกรรมการไต่สวนได้แจ้งข้อกล่าวหาให้แก่จำเลยทั้ง 3 ทราบโดยชอบแล้ว จำเลยทั้ง 3 ได้ชี้แจงข้อกล่าวหาโดยให้การปฏิเสธ คตส.จึงส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินการฟ้องคดีต่อศาล



http://www.matichon.co.th/news_detail.php?id=43510&catid=17

เอาคำฟ้องจากมติชนมาให้อ่านประกอบกระทู้
เพื่อความรู้และความบันเทิงครับ Mr. Green


บันทึกการเข้า

"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
หน้า: [1]
    กระโดดไป: