ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
24-04-2024, 16:24
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  เผยเบื้องลึก...พันธมิตรบุก ปตท. 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1] 2
เผยเบื้องลึก...พันธมิตรบุก ปตท.  (อ่าน 14826 ครั้ง)
333Unit
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 87


Don't belive what U see.But,Belive what it be.


เว็บไซต์
« เมื่อ: 28-07-2008, 02:13 »


เป็นเรื่องแน่นอนที่สุด...สำหรับกรณีที่พันธมิตรได้นำกลุ่มผู้ชุมนุม เคลื่อนขบวนโดยแกนนำ ได้ประกาศจุดมุ่งหมายว่า ".. ทวงคืน ปตท.กลับมาเป็นสมบัติของประชาชนไทย.."
... หลาย ๆ ล้านคน ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ โดยเฉพาะพวกเล่นหุ้น เถียงคอเป็นเอ็นว่า ...อ้าว ! ก็ตอนนี้มันเป็นบริษัทมหาชน ก็เป็นของประชาชนแล้ว ทำไมพวกพันธมิตร ถึงเกิดอาการสติไม่สมประกอบ จะเรียกคืนมาเป็นสมบัติของประชาชนอีก ..??? แถมยังบอกว่า " ปตท.เขาขายหุ้น คนไทยมีสตางค์ก็ไปซื้อเป็นเจ้าของซิ !! " ว่าไปโน่น

.....ทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องนี้มันมีเบื้องหลัง เบื้องลึก....ที่หลาย ๆ ล้านท่านอาจจะยังไม่ทราบ ...แน่นอนที่สุดมันเป็นเรื่องที่ลับมาก ๆ และนั่นหมายถึงความอยู่รอดของประชาชนในประเทศไทย ไม่ว่าจีน ลาว เขมร ฝรั่ง หรือ ใครก็แล้วแต่ ที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินนี้จะได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด เพราะ....

..... น้ำมัน..คือ ... ดัชนีบ่งชี้ ถึง การดำรงชีพขั้นพื้นฐานของประชาชน ไม่ว่าสินค้า หรือ เศรษฐกิจแบบไหนใหญ่เล็ก ก็ต้องเคลื่อนไปโดยอาศัย "ราคาน้ำมัน" เป็นตัวกำหนด เหมือน " หัวใจเศรษฐกิจของชาติ "

... ดังนั้น เมื่อ ปตท. คือ หน่วยงานที่ควบคุมราคาน้ำมัน เท่ากับ ทำหน้าที่ชี้เป็นชี้ตาย ให้กับประชาชนไทยทุกครัวเรือน แม้กระทั่งขอทาน หรือ หมาข้างถนน ก็ได้รับผลกระทบทั่วกัน..!!

จากการตรวจสอบของฝ่ายการข่าว ได้พบพฤติกรรมแฝงเร้น  การสมรู้ร่วมคิด ระหว่างบุคคลที่อาศัยแผ่นดินไทยเกิด กับ ต่างชาติ ได้ปรากฏเป็นหลักฐาน นำไปสู่การล่มสลายของเศรษฐกิจไทยในระยะเวลาอันใกล้

...การชุมนุมของพันธมิตรเพื่อทวงคืน ปตท. กลับมาเป็นสมบัติของชาติและประชาชนไทย ...งานนี้ จึงเป็นงานที่ "...คุณขอมา.." เรียกว่าเป็นงานด่วนและไม่อยู่ในแผนเดิมของพันธมิตรเสียด้วยซ้ำ

และแน่นอนที่สุด บุคคลกลุ่มนั้นย่อมหนีไม่พ้น "...ไอ้ตัวร้าย หน้าเหลี่ยม ...ดาราขาประจำ..." ที่ต้องเป็นยาดำตัวต้นเหตุทุกทีไป ...มันก็เลยกลายเป็นคนละเรื่องเดียวกัน เพราะหลัก ๆ พันธมิตรคือ ล้มระบอบทักษิณ ไล่รัฐบาลนอเมนี่... ก็เลยได้เพิ่ม กรณี ปตท.นี้เข้าไปอีก หนึ่ง จึงเป็นเรื่องคุณขอมา และ พันธมิตรก็จัดให้ ด้วยความเต็มใจ .....

หลักฐาน การขายชาติ ขายแผ่นดิน ที่ ปตท.ได้สมคบกับต่างชาติ และ สิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ นามว่า "ทักษิณ" ได้ร่วมกันกระทำ เราขอนำมาเปิดเผยให้ท่านทั้งหลายได้รับทราบ ดังต่อไปนี้
บันทึกการเข้า

333Unit
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 87


Don't belive what U see.But,Belive what it be.


เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 28-07-2008, 02:27 »


“เขาพระวิหาร” “แหล่งพลังงาน”

“ปตท.” และกลุ่มทุนอดีตนายกฯ “ทักษิณ” กลายเป็นเรื่องเดียวกันอย่างแทบไม่น่าเชื่อ... แต่ก็ต้องเชื่อ เพราะ “พลังงาน” เป็นสิ่งมีค่า เป็น “ขุมทอง” ที่ทักษิณยอมแลกได้ทุกอย่าง แม้ว่าจะทำให้ไทยต้องสูญเสียเขาพระวิหารให้กับเขมร และอาจต้องสูญเสียดินแดนและอธิปไตย ก็เพื่อแลกกับแหล่งพลังงาน ในอ่าวเขมร แหล่งพลังงานที่เหลืออยู่แห่งเดียวในโลก ปริศนานี้กำลังถูกเฉลยออกมาว่า ทำไม ทักษิณ ถึงต้องมีเอี่ยวในปตท. !

ว่าด้วยเรื่องเขาพระวิหารแล้ว “นพดล ปัทมะ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ อดีตทนายความและโฆษกประจำตัวของ “ทักษิณ” ไปลงนามเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2551 เพื่อยอมรับคำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาสนับสนุนให้กัมพูชาจดทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก จนอาจทำให้ประเทศไทยเสียดินแดน กลายเป็นข้อสงสัยว่าทำเพื่ออะไร ?

เพราะก่อนลงนามเพียง 1 เดือน พล.อ.เตีย บัน รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กัมพูชา ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนไทยว่า “ทักษิณ” จะลงทุนธุรกิจพลังงาน เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติในกัมพูชา โดยเฉพาะการเช่า เกาะกง ซึ่งมีรีสอร์ตดังอย่าง “สีหนุวิลล์” เป็นจุดขาย หลังจากที่ได้หารือกับสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเรียบร้อยแล้ว

“พลเอกเตีย บัน” ยังบอกด้วยว่า เรื่องธุรกิจน้ำมันและก๊าซ เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งชาวกัมพูชา ยังคงต้องซื้อน้ำมันในราคาที่แพง และทำให้ค่าครองชีพสูง แต่ทุกคนก็ต้องเผชิญปัญหานี้ต่อไป ตราบใดที่กัมพูชายังไม่สามารถขุดน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมาใช้ได้ในระยะอันใกล้

มีการเชื่อมโยงเมื่อครั้งที่ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” รองนายกรัฐมนตรี น้องเขย “ทักษิณ” ไปร่วมเป็นประธานเปิดถนนสาย 48 ไทย-กัมพูชา ระยะทาง 149 กิโลเมตร ซึ่งเป็นถนนที่ ครม.นายกฯ ทักษิณผ่อนปรนปล่อยกู้ให้กัมพูชาเป็นพิเศษ

..........แม้ปัจจุบันจะไม่มีหลักฐานจับได้ว่า มรดกโลก “เขาพระวิหาร” เป็นการเซ็นเพื่อ “ทักษิณ” หรือไม่ก็ตาม แต่ปริศนานี้กำลังถูกเฉลยออกมาอย่างช้าๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีการตั้งข้อสังเกตว่า เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้ เพราะ“กัมพูชา” เป็นแหล่งพลังงานที่เหลือเพียงไม่กี่แห่งในโลกที่ยังไม่ได้ถูกขุดเจาะ และพร้อมให้กลุ่มทุนเข้าไปดำเนินงาน ในพื้นที่แถบชายฝั่งและนอกชายฝั่ง ซึ่งจากการบรรยายของ TE DUONG TARA ผู้อำนวยการ Cambodian National Petroleum Authority เมื่อ 18 มกราคม 2006 ระหว่างการประชุมว่าด้วยเรื่องเทคโนโลยีปิโตรเลียม ของอาเซียนครั้งที่ 4 ระบุว่า กัมพูชามีแหล่งก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน และมีการผลิตจำนวนมากนอกชายฝั่ง โดยปัจจุบันมีเชฟรอน ได้รับสัมปทานอนุญาตขุดเจาะ และยังมีบริษัทจากไทยคือบริษัท ปตท.สผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (PTTEPI) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ปตท. ได้ร่วมทุน 30% กับอีก 2 บริษัท คือ บริษัท Resourceful Petroleum Ltd. และ SPC Cambodia Ltd. อีก 10% เป็นของ CE Cambodia B Ltd.

ปตท.สผ. อินเตอร์เนชั่นแนล ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลกัมพูชาในการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซนอกชายฝั่ง ในบริเวณอ่าวไทย แต่ยังมีพื้นที่แหล่งนี้ที่กัมพูชาเรียกว่า “บล็อก B” และ ปตท.สผ. ตั้งรหัสว่าโครงการจี 9/43 มีการพบเบื้องต้นว่ามีน้ำมันและก๊าซจำนวนมาก แต่ในหนังสือรายงานประจำปี 2550 ได้ระบุว่าเป็นพื้นที่คาบเกี่ยวระหว่างไทย-กัมพูชา และกำลังแก้ไขปัญหาเรื่องเส้นแบ่งเขตทางทะเล หรือเป็นหนึ่งในพื้นทับซ้อนระหว่างไทยและกัมพูชาอีกพื้นที่หนึ่ง

นี่คือพื้นที่ทับซ้อนที่ยังต้องรอบทสรุป


ที่สำคัญกว่านั้น ทางการกัมพูชายังมีความร่วมมือกับประเทศต่างๆ เพื่อสำรวจและวิจัยแหล่งพลังงานทั้งทางใต้ดิน และดาวเทียม บริเวณพื้นที่ชายฝั่ง และเบื้องต้นว่า บริเวณทะเลสาบ หรือ“ โตนเลสาบ” ใจกลางประเทศ ยังมีแนวโน้มของแหล่งน้ำมันดิบ ที่เรียกว่า Permian Carbonates ซึ่งพบทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกเหนือจากแถบชายฝั่งที่มีแหล่งก๊าซอีกหลายแห่ง โดยเฉพาะแถบ “จังหวัดเกาะกง ” ของกัมพูชา จังหวัดทะเลชายฝั่งทางตอนใต้ ซึ่งพบแหล่งน้ำมัน

....นั่นหมายความว่า เกาะกง กัมพูชา เป็นแหล่งน้ำมันแหล่งใหญ่ของโลกที่ยังคงเหลืออยู่ และยังไม่ได้ถูกขุดเจาะ ย่อมเป็นที่หมายปองของนานาประเทศทั่วโลก รวมทั้งทักษิณและเครือข่าย

“พลเอกเตีย บัน” บิ๊กของกัมพูชา เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า หนึ่งในนายทุนที่ต้องการเข้าไปลงทุนขุดเจาะน้ำมันในกัมพูชา คือ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร”

ความหอมหวนของแหล่งพลังงานในกัมพูชาจึงเป็น “ขุมทอง” ขนาดใหญ่ที่ “ทักษิณ” ยอมเดิมพันได้ทุกอย่าง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็น “เขาพระวิหาร” มรดกโลกอันมีค่า ทั้งๆ ที่ทักษิณเองก็รู้ดีว่าจะทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียดินแดน และอาจลุกลามกลายเป็นปัญหาระหว่างประเทศ

ผลจากการกระทำของนพดล รัฐมนตรีในสังกัด ก็ได้ถูกชี้ชัดโดยศาลรัฐธรรมนูญ ได้วินิจฉัยคดีแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 180 เพราะเป็นการลงนามโดยผู้มีอำนาจของ 2 ประเทศ มีพันธสัญญาร่วมกัน โดยต้องผ่านสภาเพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน อาจเกิดความแตกแยกระหว่างประเทศ และสุ่มเสี่ยงต่อผลกระทบเรื่องอาณาเขตของประเทศไทย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-07-2008, 02:32 โดย 333Unit » บันทึกการเข้า

333Unit
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 87


Don't belive what U see.But,Belive what it be.


เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 28-07-2008, 02:36 »

รศ.ศรีศักร์ วัลลิโภดม ตั้งข้อสังเกตว่า การตัดสินของคณะกรรมการมรดกโลกขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา เป็นการตัดสินที่ขัดต่อ 3 องค์กรประกอบอุดมคติของมรดกโลก เป็นการตัดสินที่ไม่ชอบธรรม และไม่ได้เป็นเครื่องมือสร้างสันติภาพตามเจตนารมณ์ที่แท้จริง แต่กลับทำให้เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวทางเศรษฐกิจ ซ่อนเร้นให้กลุ่มข้ามชาติเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์


ผลเสียที่ตามมาก็คือ หลังจากขึ้นทะเบียนตัวประสาทเขาวิหารเป็นมรดกโลกแล้ว ถัดจากนั้น จะให้ประเทศต่างๆ มาบริหารจัดการร่วมกัน หากไทยยอมเข้าร่วม เท่ากับว่าเป็นการยกดินแดนไทย และดินแดนทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรให้คณะกรรมการมรดกโลกบริหารจัดการ โดยขั้นตอนต่อไป คณะกรรมการมรดกโลกก็ยกพื้นที่ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของกัมพูชา

ได้มีการตั้งข้อสังเกต การตัดสินของคณะกรรมการมรดกโลกของยูเนสโก ถึงข้อเสนอของกัมพูชานั้น ผ่านหลักเกณฑ์แค่ 1 ใน 3 เท่านั้น คือ สถาปัตยกรรมที่มาจากการสร้างสรรค์ของมนุษย์ แต่หลักเกณฑ์ทางด้านภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรมไม่ผ่าน เพราะขาดความสมบูรณ์ เพราะโบราณสถานที่อยู่ในเขตพื้นที่ทับซ้อนไม่ได้นำมารวม การตัดสินครั้งนี้จึงขาดความน่าเชื่อถือ

ยังมีการตั้งข้อสังเกตอีกว่า การที่คณะกรรมการโลกได้ สนับสนุนกัมพูชาของเหล่าคณะกรรมการโลกครั้งนี้ เป็นเพราะ ทุกประเทศที่อยู่ร่วมในคณะกรรมการมรดกโลก เล็งเห็นขุมทรัพย์บ่อน้ำมันของเขมร ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส ที่มีกลุ่มโททิ่ลออยล์ (TOTAL Oil) และจีน ที่มีบริษัท CNOOC บริษัทน้ำมันเข้าไปสำรวจหาก๊าซและน้ำมันดิบในกัมพูชา

การยอมรับเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา ยังสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียดินแดน และอธิปไตย เป็น“โดมิโน” ที่ส่งผลกระทบถึง ปัญหา “พื้นที่ทับซ้อน” ระหว่างเขตแดนไทยและกัมพูชา ในหลายจังหวัด เช่น อุบลราชธานี สุรินทร์ บุรีรัมย์ จันทบุรี ตราด เนื่องจากไทยและกัมพูชาใช้แผนที่คนละใบ ไทยนั้นยึด “สันปันน้ำ” ในการวัด โดยใช้มาตราส่วน 1:50,000 ในขณะที่กัมพูชา ใช้มาตราส่วน 1:200,000

หากมีการนำ มาตราวัดของกัมพูชา ซึ่งเป็นไปได้มากมาจัดการกับ ปัญหาพื้นที่ทับซ้อน เหล่านี้ย่อมทำให้ไทยต้องเสียเขตแดน เช่น พื้นที่เกาะกูด จังหวัดตราด ก็เป็นพื้นที่ทับซ้อน หากถ้าใช้มาตราวัดของกัมพูชา เกาะกูดจะกลายเป็นของกัมพูชาไปโดยปริยาย

ต่อให้คนไทยคนไหนที่กินดีหมี สวมหัวใจสิงห์ ก็ยังไม่กล้าถึงเพียงนี้ หากไม่ใช่เพราะผลประโยชน์ เพื่อต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจพลังงาน ทักษิณจึงยอมได้ทุกอย่าง

นักธุรกิจระดับชาติอย่างทักษิณ ย่อมรู้ดีว่าธุรกิจพลังงานเป็นธุรกิจแห่งอนาคตที่ทำรายได้ให้มหาศาล หาใช่ธุรกิจโทรศัพท์มือถือ ซึ่งอยู่ในช่วงขาลง ไม่ได้รุ่งเรืองเหมือนในอดีต หรือแม้แต่การซื้อธุรกิจสโมสรทีมฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี้ ก็เพื่อสร้างโปรไฟล์ให้ดูดี ไม่ใช่ธุรกิจที่ทำรายได้งดงามเหมือนกับธุรกิจพลังงาน

ทักษิณได้เตรียมการในเรื่องนี้มานานแล้ว ด้วยการร่วมมือกับ “โมฮัมหมัด อัล ฟาเยด” เจ้าของห้างแฮร์รอดส์อันโด่งดังในอังกฤษ อัล ฟาเยด ไม่ได้เป็นแค่เจ้าของห้างหรู แต่ยังมีธุรกิจพลังงาน ที่เข้ามาทำร่วมกับ ปตท.สผ.

และนี่คือสาเหตุว่า ทำไมทักษิณจึงต้องพา “อัล ฟาเยด” เดินทางไปดูงานถึงเขมร ซึ่งไม่ใช่การร่วมลงทุนในธุรกิจกาสิโนอย่างที่เป็นข่าว เพราะระบบสาธารณูปโภคในเกาะกงก็ยังไม่พร้อม เกาะกงจึง เป็นเพียงแค่ข่าวบังหน้า เพราะเบื้องหลังก็คือความร่วมมือในการรุกเข้าทำธุรกิจพลังงานในกัมพูชา

และนี่คือ เหตุผลว่า ทำไมทักษิณจึงต้องเป็นเจ้าของ ปตท. ซึ่งมีความพร้อมในเรื่องทั้งขุดเจาะ จัดจำหน่าย ดังนั้นปตท จะเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจพลังงานในเขมร เป็นจริง โดยมีเครือข่ายธุรกิจพลังงานของ อัล ฟาเยด ร่วมเป็นกองหนุน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-07-2008, 04:33 โดย 333Unit » บันทึกการเข้า

333Unit
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 87


Don't belive what U see.But,Belive what it be.


เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 28-07-2008, 02:43 »

....ภาพ แหล่งก๊าซธรรมชาติที่กัมพูชา แบ่งสัมปทานเป็นส่วนๆ ให้กลุ่ม ปตท.สผ. ที่ร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่นในกัมพูชา และเชฟรอน และพื้นที่แถบนี้เป็นพื้นที่ทับซ้อนระหว่าง 2 ประเทศอีกด้วย....

.........................................................


ถ้าเลือกได้ เป้าหมายทำสัญญาให้เช่าเกาะกงของทักษิณกับเขมร ที่มีรัฐบาลฮุนเซนเป็นคู่สัญญา หาใช่ทำในนามรัฐต่อรัฐ แต่เป็นการทำในนาม “นิติบุคคล” โดยที่เกาะกงจะได้รับเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งได้รับการยกเว้นภาษี ซึ่งรายได้ไม่ต้องเข้ารัฐบาลกัมพูชา และเป็นเขตปกครองพิเศษ นอกเหนืออธิปไตย

แน่นอนว่าสิ่งที่ทักษิณต้องการมากที่สุดคือ การสร้างระบอบ “การเมือง” ใหม่ เป็นประชาธิปไตยแบบตัวแทน ที่เรียกว่า ระบอบทักษิณ โดยอ้างถึงระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน ที่ใครมีเงินก็เล่นการเมืองได้
และอะไรจะเกิดขึ้น หากทักษิณสามารถนำบริษัทเข้าไปลงทุนในเขมร ?


โมฮัมหมัด อัล ฟาเยด - เพื่อนซี้ “ทักษิณ” ร่วมก๊วน “เทมาเส็ก” แนบแน่น “ปตท.”


เมื่อย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ขุดเจาะน้ำมันของไทย จะพบว่ามหาเศรษฐีห้างสรรพสินค้าแฮร์รอดส์ (Harrods) โมฮัมหมัด อัล ฟาเยด (Mohamed Al Fayed) เพื่อนเลิฟของอดีตนายก “ทักษิณ” เข้ามาได้ประโยชน์จากธุรกิจน้ำมันในไทยมานาน ผ่าน ปตท.สผ. บริษัทลูก ปตท. ก่อนที่ปตท. จะเข้าตลาดหุ้นเมื่อปี 2544

.........โดย Asian Economic News และนิตยสาร Offshore ลงข่าวพร้อมเพรียงกันในช่วงธันวาคม 2542 ว่าหลังจากโมฮัมหมัด อัล ฟาเยดจัดตั้งบริษัท แฮร์รอดส์ เอ็นเนอร์ยี่ (Harrods Energy) ก็ได้สิทธิสำรวจน้ำมันใน 4 แปลงขุดเจาะในอ่าวไทย คือ B2/38, B11/32, B11/38 และ B12/32. ห่างจากชายฝั่งระยอง 150 กิโลเมตร โดยมีศักยภาพในการขุดเจาะน้ำมันวันละ 8,000 บาร์เรล ซึ่งในการสำรวจขุดเจาะครั้งนั้น Harrods Energy ถือหุ้น 50% ในการลงทุนสำรวจขณะที่ ปตท.สผ. ถือหุ้น 50%ที่เหลือ

จากการสืบค้นข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า บริษัท แฮร์รอดส์ เอ็นเนอร์ยี่ จดทะเบียนในเมืองไทยเมื่อ 22 พฤษภาคม 2541 ใช้ชื่อเป็นทางการว่า แฮร์รอดส์ เอ็นเนอร์ยี่ (ประเทศไทย) ต่อมาเปลี่ยนชื่อจนไม่เหลือคราบเดิม เป็นเพิร์ล ออย (Pearl Oil) (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในรายชื่อผู้ถือหุ้น) เมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2547 เพราะถูกขายให้กับบริษัท Pearl Energy Pte. Ltd. ที่มีฐานอยู่ในสิงคโปร์ สิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือเมื่อสืบสาวต้นทางจะพบกลุ่มทุนเทมาเส็ก (Temasek) แห่งสิงคโปร์ถือหุ้นบริษัทดังกล่าวผ่านทาง Mubadala Development (ข้อมูลจาก Business Week และ RGE Monitor)

ซึ่ง “เทมาเส็ก” มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับ “ทักษิณ” และคือบริษัทที่ซื้อหุ้นในชินคอร์ป จากครอบครัว ”ทักษิณ” ด้วยมูลค่ากว่า 73,000 ล้านบาท
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-07-2008, 02:45 โดย 333Unit » บันทึกการเข้า

333Unit
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 87


Don't belive what U see.But,Belive what it be.


เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 28-07-2008, 02:50 »

.......... ภาพ แผนที่แสดง กลุ่ม ปตท.สผ. ได้สัมปทานบล็อก B และเชฟรอน ได้บล็อก A ..............
""""""""""""""""""""""""""""""""""""

...สำหรับ บริษัท Pearl Oil ยังคงได้สัมปทานขุดเจาะน้ำมันอย่างต่อเนื่อง เช่น แปลง B 5/27 ที่แหล่งจัสมิน และ B12/32 ณ แหล่งบุษบงในอ่าวไทย เป็นต้น ส่งต่อน้ำมันดิบให้กับ ปตท.สผ. ภายใต้สัญญาซื้อ-ขาย 20 ปี เช่นเดียวกับเมื่อ 8 ธันวาคม 2549 Pearl Oil ก็ได้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเพิ่มในแปลง G10/48 บริเวณตอนใต้ของอ่าวไทย เมื่อสมัยนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

....จากข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์พบว่ากรรมการของเพิร์ลออย ยังเป็นกรรมการในบริษัทที่เกี่ยวข้องรวม 8 บริษัท แต่ละบริษัทต่างระบุว่าทำธุรกิจรับสัมปทานขุดเจาะน้ำมัน และมีทุนจดทะเบียนบริษัทละ 100 ล้านบาท บางบริษัทมีรายได้ แต่บางบริษัทยังไม่ได้บันทึกรายได้ โดยบริษัทที่มีรายได้สูงสุดคือเพิร์ลออย ประเทศไทย มีรายได้ปี 2549 รวม 7,071 ล้านบาท กำไร 1,654 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 16.54 บาท


บริษัท แฮร์รอดส์ เอ็นเนอร์ยี่ ประเทศไทย จำกัด เปลี่ยนชื่อเป็น เพิร์ลออย (ประเทศไทย) เมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2547 ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่อาคารไทยพาณิชย์ ปาร์ค พลาซ่า เวสท์ ชั้น 10

ณ วันที่ 30 เมษายน 2550 ปรากฏชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ 99.99% คือบริษัทเพิร์ลออยล์ (สยาม) คิดเป็น มูลค่า99,994 ล้านบาท หรือเฉลี่ยราคาหุ้นละ 1,000 บาท ส่วนผู้หุ้นอื่นเป็นบุคคลสัญชาติแคนาดา อินโดนีเซีย 3 คน อังกฤษ 1 คน และอเมริกา 1 คน เพียงคนละ 1 หุ้น เท่านั้น

ข้อมูลกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า”เพิร์ลออยล์ (สยาม) จดทะเบียนที่หมู่เกาะเวอร์จิน อังกฤษ ส่วนผู้หุ้นอื่นเป็นบุคคลสัญชาติแคนาดา อินโดนีเซีย 3 คน อังกฤษ 1 คน และอเมริกา 1 คน เพียงคนละ 1 หุ้น เท่านั้น

บันทึกการเข้า

333Unit
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 87


Don't belive what U see.But,Belive what it be.


เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 28-07-2008, 02:56 »

สิ่งที่น่าสังเกตุเป็นอย่างยิ่งก็คือ บริษัทเพิร์ลออยล์ (สยาม) จดทะเบียนที่หมู่เกาะเวอร์จิน อังกฤษ ซึ่งเป็นแห่งเดียวกับ บริษัทแอบเปิลลิส ของ " ทักษิณ" อีกด้วย
........  ภาพ แผนที่ประเทศกัมพูชา ณ ปี 2006 ที่แสดงแหล่งก๊าซและน้ำมัน ที่ส่วนใหญ่อยู่ชายฝั่งและนอกชายฝั่ง ....

"""""""""""""""""""""""""""""""
เครือข่าย”เพิร์ลออย (ประเทศไทย)”
-เพิร์ลออย บางกอก
-เพิร์ลออย ออฟชอร์
-เพิร์ลออย (ปิโตรเลียม)
-เพิร์ลออย (รีซอสเซส)
-เพิร์ลออย (อมตะ)
-เพิร์ลออย ออนชอร์
-เพิร์ลออย (อ่าวไทย)
บันทึกการเข้า

morning star
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,119


don't let them make up your mind


« ตอบ #6 เมื่อ: 28-07-2008, 03:05 »




ฟังดูเหลือเชื่อ... อยากให้ละเอียดกว่านี้ได้ป่ะ
บันทึกการเข้า

อย่าเดินตามใคร เพราะเรามีจุดมุ่งหมายของเราเอง
Caocao
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 557



« ตอบ #7 เมื่อ: 28-07-2008, 03:13 »

ดีๆ เคยได้ข้อมูลมาบ้างแล้ว ข้อมูลนี้ละเอียดขึ้น
บันทึกการเข้า

หลับเถิดทหารกล้า ปวงประชาจะคุ้มครอง
chaturant
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 499



« ตอบ #8 เมื่อ: 28-07-2008, 03:15 »

จุดสำคัญสุดตอนนี้ เราไม่ไว้ใจรัฐบาลนี้ครับ      ถ้ามันจริงใจจริงป่านี้ต้องเอาข้อมูลพวกนี้มาเปิดเผยแล้ว    และอีกอย่างมันต้องส่งผู้เชี่ยวชาญไปสำรวจแล้ว ว่า เขตแดนเราอยู่ตรงไหนกันแน่ตอนนี้ แล้วที่ จขกท. บอกว่า B A  เชพร่อนได้สัมปทาน และ บริษัทอื่นๆ คือมันขุดเจาะในฝั่ง เขมรใช่ป่าวครับ   ตอนนี้ผมงง ว่า เขตแดนเราตอนนี้มันอยู่ตรงไหนกันแน่   แล้ว ถ้าตอนนี้มนัยังตกลงกันไม่ได้   บริษัทอื่นมีสิทธิไรมาขุดเจาะในแผ่นดินไทย   หรือว่าที่มันกำลังขุดเจาะอยู่เป็นดินแดนเขมรครับ     
บันทึกการเข้า
chaturant
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 499



« ตอบ #9 เมื่อ: 28-07-2008, 03:20 »

อ่อ เข้าใจและ ดินแดนที่ บริษัทต่างๆขุดเจาะอยู่เป็นดินแดนเขมร   อ่าวอย่างนี้มันก็ดูด ของเราไปด้วยสิ มันบ่อเดียวกันน่ะครับ   แล้วทำไม ฝั่งที่เป็นของเรา ปตท. หรือ รัฐบาลไม่เคยออกมาเปิดเผยเลย เห้ย มีรับลมคมในไรป่าวเนี้ย     แล้วอีกอย่าง เขมร มันพยายามที่จะเอาให้ได้ทั้งบ่อ   ความจริงนี้มันของไทยหมดนะเนี้ย ..  ถ้าลองตีแผนที่ตรงๆสุด แผ่นดินไทยสิครับ  น่าเสียดาย   ผมคิดไว้ตั้งนานและ เรื่อง พระวิหารมันแค่น้ำจิ้ม  ความจริงมันต้องการพื้นที่ในอ่าวไทยเพิ่ม มันต้องการน้ำมัน..    
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-07-2008, 03:23 โดย chaturant » บันทึกการเข้า
333Unit
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 87


Don't belive what U see.But,Belive what it be.


เว็บไซต์
« ตอบ #10 เมื่อ: 28-07-2008, 03:32 »

เรียน คุณ chaturant
พื้นที่ซึ่งคุณสงสัยนั้น เรียกว่า "พื้นที่ทับซ้อน"(คล้าย ๆ หมู่เกาะสแปรสรี่ ที่เวียตนาม ฟิลิปปิน จีน อ้างสิทธิ์นั่นแหละ !) ด้วยเหตุนี้เอง จึงต้องขีดเส้นพรมแดนประเทศเสียใหม่ โดยใช้เส้น Lat-Long ที่ลากจากจุดดินแดน "เขาพระวิหาร"

ฉะนั้น ... จึงเป็นบทสรุปได้ โดยไร้ข้อสงสัยในพฤติกรรม ของนายนพดล และ นายสมัคร ว่าเหตุใดจึงต้องพยายามยัดเยียด ให้คนไทยยอมรับการตัดสินของ Unesco ซึ่งโดยความเป็นจริง องค์กรนี้ไม่มีสิทธิและอำนาจทาง International Law ที่จะกำหนดพื้นที่อาณาเขตใด ๆ แก่ประเทศใด ๆ

อีกทั้ง ::: คำตัดสินของศาลโลก เป็นคำสั่ง แต่ไม่มีบทลงโทษ ต่อผู้ไม่ปฏิบัติตาม ยกตัวอย่างเช่นกรณี UN และ ศาลโลก ให้อิสลาเอล คืนดินแดนแก่ปาเลสไตน์ อิสลาเอลนอกจากจะไม่ปฏิบัติตามแล้ว ยังไปตั้งบ้านเรือน เอาทหารไปฆ่าเจ้าของดินแดน ก็ไม่เห็นว่า UN จะลงโทษอะไร นอกจาก แบะ ๆๆ แล้วก็ปล่อยให้ชาวปาเลสไตน์ ตายไปทุกวัน ปรากฏชัดตามข่าว

ดังนั้น ... การที่ใครก็แล้วแต่ ที่อ้างว่าต้องฟังคำสั่งศาลโลก เพราะเราไม่ได้อยู่ในโลกคนเดียว นั่นน่ะ เรียกว่า "...โง่แล้วอวดฉลาด..."
แม้กระทั่งการตัดสินของศาลโลก ที่ให้ปราสาทเขาพระวิหารนั้น ก็ไม่ชอบด้วยหลักฐานทั้งปวง  มันมีที่ไหนในโลก คิดเอานะ...
เมื่อตัดสินว่า เขมรเป็นเจ้าของเขาพระวิหาร แต่ไหง เจ้าของบ้านต้องปีนเข้าทางหน้าต่าง จะบ้าเรอะ ?  แต่ไทย เดินขึ้นบ้านทางบันได เปิดประตูเข้าบ้านมาเป็นพันปี บอกว่าไม่ใช่เจ้าของ...คนตัดสิน ไม่บ้าก็เมา ??

... ทรัพย์อันได้โดยมิชอบ ก็เป็นโมฆะมาตั้งแต่ต้น ...นี่เป็นหลักสากล ทั้งโลกเขาก็ใช้กฏหมายนี้ ผู้ที่คิดว่าเขาพระวิหารเป็นของเขมร คิดผิดคิดใหม่ได้

......... ขออภัย นอกเรื่องไปนิด เนื่องจากมันทนไม่ไหวจริง ๆ ที่ได้อ่านในหลาย ๆ บอร์ด ชอบบอกว่าเขาพระวิหารเป็นของเขมร แล้วเจ้าของบ้านมันปีนเข้าทางหน้าต่างรึไง ?

กรณี ที่ต้องให้ยอมรับว่าเขาพระวิหาร และพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นของเขมรนั้น ก็เพราะว่า เมื่อลากเส้น Lat - Long ลงไปแล้ว ก็จะครอบคลุมพื้นที่ทับซ้อนทางทะล ที่เป็นปัญหาว่าเป็นของไทยหรือของเขมรนั้น กลายเป็นของเขมรโดยสมบูรณ์ ซึ่งจะไม่เป็นปัญหาในอนาคต เค้าเรียกว่า "ยิงปืนนัดเดียว ได้นกทั้งฝูง "
บันทึกการเข้า

Caocao
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 557



« ตอบ #11 เมื่อ: 28-07-2008, 03:40 »

เรียน คุณ chaturant
พื้นที่ซึ่งคุณสงสัยนั้น เรียกว่า "พื้นที่ทับซ้อน"(คล้าย ๆ หมู่เกาะสแปรสรี่ ที่เวียตนาม ฟิลิปปิน จีน อ้างสิทธิ์นั่นแหละ !) ด้วยเหตุนี้เอง จึงต้องขีดเส้นพรมแดนประเทศเสียใหม่ โดยใช้เส้น Lat-Long ที่ลากจากจุดดินแดน "เขาพระวิหาร"

ฉะนั้น ... จึงเป็นบทสรุปได้ โดยไร้ข้อสงสัยในพฤติกรรม ของนายนพดล และ นายสมัคร ว่าเหตุใดจึงต้องพยายามยัดเยียด ให้คนไทยยอมรับการตัดสินของ Unesco ซึ่งโดยความเป็นจริง องค์กรนี้ไม่มีสิทธิและอำนาจทาง International Law ที่จะกำหนดพื้นที่อาณาเขตใด ๆ แก่ประเทศใด ๆ

อีกทั้ง ::: คำตัดสินของศาลโลก เป็นคำสั่ง แต่ไม่มีบทลงโทษ ต่อผู้ไม่ปฏิบัติตาม ยกตัวอย่างเช่นกรณี UN และ ศาลโลก ให้อิสลาเอล คืนดินแดนแก่ปาเลสไตน์ อิสลาเอลนอกจากจะไม่ปฏิบัติตามแล้ว ยังไปตั้งบ้านเรือน เอาทหารไปฆ่าเจ้าของดินแดน ก็ไม่เห็นว่า UN จะลงโทษอะไร นอกจาก แบะ ๆๆ แล้วก็ปล่อยให้ชาวปาเลสไตน์ ตายไปทุกวัน ปรากฏชัดตามข่าว

ดังนั้น ... การที่ใครก็แล้วแต่ ที่อ้างว่าต้องฟังคำสั่งศาลโลก เพราะเราไม่ได้อยู่ในโลกคนเดียว นั่นน่ะ เรียกว่า "...โง่แล้วอวดฉลาด..."
แม้กระทั่งการตัดสินของศาลโลก ที่ให้ปราสาทเขาพระวิหารนั้น ก็ไม่ชอบด้วยหลักฐานทั้งปวง  มันมีที่ไหนในโลก คิดเอานะ...
เมื่อตัดสินว่า เขมรเป็นเจ้าของเขาพระวิหาร แต่ไหง เจ้าของบ้านต้องปีนเข้าทางหน้าต่าง จะบ้าเรอะ ?  แต่ไทย เดินขึ้นบ้านทางบันได เปิดประตูเข้าบ้านมาเป็นพันปี บอกว่าไม่ใช่เจ้าของ...คนตัดสิน ไม่บ้าก็เมา ??

... ทรัพย์อันได้โดยมิชอบ ก็เป็นโมฆะมาตั้งแต่ต้น ...นี่เป็นหลักสากล ทั้งโลกเขาก็ใช้กฏหมายนี้ ผู้ที่คิดว่าเขาพระวิหารเป็นของเขมร คิดผิดคิดใหม่ได้

......... ขออภัย นอกเรื่องไปนิด เนื่องจากมันทนไม่ไหวจริง ๆ ที่ได้อ่านในหลาย ๆ บอร์ด ชอบบอกว่าเขาพระวิหารเป็นของเขมร แล้วเจ้าของบ้านมันปีนเข้าทางหน้าต่างรึไง ?

กรณี ที่ต้องให้ยอมรับว่าเขาพระวิหาร และพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นของเขมรนั้น ก็เพราะว่า เมื่อลากเส้น Lat - Long ลงไปแล้ว ก็จะครอบคลุมพื้นที่ทับซ้อนทางทะล ที่เป็นปัญหาว่าเป็นของไทยหรือของเขมรนั้น กลายเป็นของเขมรโดยสมบูรณ์ ซึ่งจะไม่เป็นปัญหาในอนาคต เค้าเรียกว่า "ยิงปืนนัดเดียว ได้นกทั้งฝูง "

คงแทงใจดำไปหลายคน 
บันทึกการเข้า

หลับเถิดทหารกล้า ปวงประชาจะคุ้มครอง
333Unit
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 87


Don't belive what U see.But,Belive what it be.


เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: 28-07-2008, 03:47 »

มาต่อกันดีกว่า ว่า " ไอ้หน้าเหลี่ยม & the Gang" วางแผนกันยังไง



..............“ปราสาทพระวิหาร” “แหล่งน้ำมัน- ก๊าซไทย” “ทักษิณ” “ปตท.” “โมฮัมหมัด อัล ฟาเยด” กลายเป็นเรื่องเดียวกันอย่างแทบไม่น่าเชื่อ ...จนนำมาสู่ “คนไทย+รํฐบาลไทยขายชาติ” ด้วยการวางแผนปล้นชาติ ขายแผ่นดินอย่างแนบเนียนในช่วง10ปีที่ผ่านมา .......

22 พฤษภาคม 2541 – “โมฮัมหมัด อัล ฟาเยด” เจ้าของห้างสรรพสินค้าแฮร์รอดส์ จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในไทยภายใต้ชื่อ “แฮร์รอดส์ เอ็นเนอร์ยี่ (ประเทศไทย)” และรับสัมปทานขุดเจาะน้ำมันและก๊าซ ร่วมกับปตท.สผ.

ธันวาคม 2542
- แฮร์รอดส์ เอ็นเนอร์ยี่ เริ่มได้สัมปทานขุดเจาะน้ำมันในอ่าวไทย

กุมภาพันธ์ 2544
– “ทักษิณ ชินวัตร” ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง และได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีสมัยแรก

ตุลาคม 2546
- ขณะที่ “ทักษิณ” เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศพร้อมจะซื้อหุ้นสโมสรฟุตบอล “ฟูแล่ม” ซึ่งมี “โมฮัมหมัด อัล ฟาเยด” เป็นเจ้าของ ขณะที่สถานการณ์การเงินของ “ฟูแล่ม” ขาดทุน และมีหนี้จำนวนมาก

ปี 2547 - รัฐบาลทักษิณอนุมัติให้เงินกู้กัมพูชาอัตราดอกเบี้ยต่ำ จำนวน 827.4 ล้านบาท เพื่อสร้างถนนผิวทางแอสฟัลต์และสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กแบบให้เปล่าบนถนนสายนี้อีก 4 แห่ง โดยกรมทางหลวงออกแบบให้ ใช้งบประมาณ 288.2 ล้านบาท

ปลายกันยายน - ตุลาคม 2549
- หลัง “ทักษิณ” ถูกรัฐประหาร “ทักษิณ” ขณะที่อยู่ในอังกฤษ จึงได้หลบเข้าไปพักที่บ้านของนายโมฮัมหมัด อัลฟาเยด เลขที่ 55 Park Lane ทางตะวันตกของกรุงลอนดอน เพื่ออาศัยอิทธิพลของนาย โมฮัมหมัด อัลฟาเยด คุ้มครองหากมีการตามจับข้ามประเทศ หรือการอายัดตัวทางการทูต จวบจนกระทั่ง "สมุน" ในเมืองไทยได้ทำการติดต่อ "จิ้มก้อง"ไม่ให้มีการจับกุมตัว "ทักษิณ" เรียบร้อย จึงโผล่หัวออกมาก่อตั้ง "ก๊วน" และดำเนินการขายชาติต่อไปตามแผนการณ์เดิม

ปี 2550
ทักษิณ” ซื้อสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้ โดยมี “โมฮัมหมัด อัล ฟาเยด” เป็นผู้ประสานงานให้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ด้านผลประโยชน์ของบุคคลทั้งสองเป็นหนึ่งเดียวกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-07-2008, 04:38 โดย 333Unit » บันทึกการเข้า

Caocao
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 557



« ตอบ #13 เมื่อ: 28-07-2008, 03:53 »

ปูเสื่อรอครับ เห็นภาพโยงใยชัดเจนดี
บันทึกการเข้า

หลับเถิดทหารกล้า ปวงประชาจะคุ้มครอง
333Unit
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 87


Don't belive what U see.But,Belive what it be.


เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: 28-07-2008, 03:55 »

14 พฤษภาคม 2551

– พล.อ.เตีย บัน รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กัมพูชา ให้สัมภาษณ์ว่า “ทักษิณ” จะลงทุนธุรกิจพลังงาน เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติในกัมพูชา โดยเฉพาะการเช่า เกาะกง ซึ่งมีรีสอร์ตดังอย่าง “สีหนุวิลล์” เป็นจุดขาย หลังจากที่ได้หารือกับสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเรียบร้อยแล้ว

เว็บไซต์ของ “บางกอกโพสต์” ระบุด้วยว่า เกาะกงซึ่งอยู่ตรงข้ามกับจังหวัดตราดของไทย เป็นเป้าหมายแรกของ “ทักษิณ” ที่จะเข้าไปลงทุนในกัมพูชา ซึ่งจะรวมถึงการทำบ่อนกาสิโน และเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ โดยจะเป็นการร่วมทุนกับนักธุรกิจจากตะวันออกกลาง รวมถึงนาย โมฮัมหมัด อัล ฟาเยด มหาเศรษฐีชาวอียิปต์เจ้าของห้างแฮร์รอดส์ในลอนดอน

- “นภดล ปัทมะ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานร่วมกันเปิดถนนหมายเลข 48 ที่จังหวัดเกาะกง-สะแรอัมเบิล เป็นเส้นทางที่ทำให้การเดินทางจากบ้านหาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ของไทย ถึงพนมเปญโดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง

18 มิถุนายน 2551
– “นพดล ปัทมะ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ อดีตทนายความและโฆษกประจำตัวของ “ทักษิณ” ลงนามยอมรับคำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา สนับสนุนให้กัมพูชาเสนอจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก

8 กรกฎาคม 2551
- เวลาตี 3 ของเช้าวันอังคารที่ 15 กรกฎาคม 2551 ตามเวลาในประเทศไทย เป็นเวลาที่ชาวกัมพูชาดีใจ และเฉลิมฉลองกันทั่วเมือง เมื่อยูเนสโกมีมติรับข้อเสนอของรัฐบาลกัมพูชาที่เสนอขึ้นทะเบียน “ปราสาทพระวิหาร” เป็นมรดกโลก นาทีเดียวกันนั้นคนไทยต้องรู้สึกหดหู่กับการ “ขายชาติ” ของคนไทยด้วยกันเอง เพียงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว แลกกับประเทศไทยเสียดินแดนประมาณ 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นจุดกำหนดลากเส้นพาดลงใต้ ครอบคลุมพื้นที่ทับซ้อนในทะเล ทำให้พื้นที่ซึ่งอุดมไปด้วยน้ำมันและแก๊สธรรมชาติทั้งหมด กลายเป็นทรัพยากรสมบัติของประเทศเขมรเพียงประเทศเดียว !!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-07-2008, 03:57 โดย 333Unit » บันทึกการเข้า

chaturant
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 499



« ตอบ #15 เมื่อ: 28-07-2008, 04:07 »

ผมขอถาม จขกท. หน่อยน่ะครับ  ที่ผมตีเส้น แดงๆ รอบนี้  ตรงนี้คือ บ่อน้ำมันหรอครับ .... 


ถ้าใช่ปัจจุบัน ครึ่งสีเหลือง ยังเป็นของไทยอยู่หรือป่าวครับ หรือ กัมพูชามันเหมาเป็นพื้นที่ทับซ้อน   ถ้าแบ่งตามแทบสีเหลืองแล้ว เราก็น่าจะได้ กันคนละครึ่งแล้วนิครับ


* 111.JPG (28.83 KB, 420x265 - ดู 1797 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-07-2008, 04:16 โดย chaturant » บันทึกการเข้า
333Unit
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 87


Don't belive what U see.But,Belive what it be.


เว็บไซต์
« ตอบ #16 เมื่อ: 28-07-2008, 04:12 »

'''ภาพแปลงขุดเจาะน้ำมันในอ่าวไทยที่ Harrods Energy ลงทุนกับ ปตท.สผ. (ภาพจากนิตยสาร Offshore).

"""""""""""""""""""""""
แหล่งน้ำมันดิบในกัมพูชา
จำนวนบ่อน้ำมัน ขุดเจาะสำรวจแล้ว 9 หลุม/บ่อ พบน้ำมันดิบ 5 หลุม/บ่อ ยังไม่ได้สำรวจอีก 10 หลุม/บ่อ
ปริมาณน้ำมันดิบสำรอง 2ล้านล้านบาร์เรล
ปริมาณก๊าซธรรมชาติสำรอง 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต
มูลค่าการผลิต (ประมาณการ) 160,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี
การสนับสนุนของรัฐ จัดตั้งองค์กรปิโตรเลียมแห่งชาติ (Cambodia National Petroleum Authority) ขึ้นมากำกับดูแล
""""""""""""""""""""""
Ref :: Secret Document
http://nonlaw.com

"""""""""""""""""""""

และทั้งหมดนี้ คือ ที่มาว่า เหตุใดพันธมิตร จึงต้องมีภารกิจเร่งด่วน "ทวงคืน ปตท.มาเป็นสมบัติของประชาชนไทย"

และก็ด้วยสาเหตุนี้อีกเช่นกัน (เนื่องจาก...ดันไปทุบหม้อข้าวแก๊งขายชาติ) จึงมีรายการ "สลายการชุมนุม ที่อุดรฯ และ บุรีรัมย์ โดยการจ้างเขมรพลัดถิ่น(พวกที่มาอาศัยแผ่นดินไทยหากินเหมือนครอบครัวนายนพดล) ปลอมตัวเป็นผู้ร่วมชุมนุม อ้างว่าเป็นกลุ่มคนรักอุดร แต่เนื้อแท้นั้นก็เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐบาล คือนายขวัญชัย(ซึ่งนายสมัคร เป็นคนตั้งเอง)" และเหตุการณ์เช่นที่อุดรฯ จะเกิดขึ้นอีกหลายที่จากสาเหตุดังกล่าวแล้วนั้น

.... เชื่อมั่นว่า ในระยะ 7 วันต่อจากนี้ไป สถานการณ์จะไม่ธรรมดา บอกตรง ๆ ว่าเป็นห่วงฝ่ายพันธมิตรประชาชน(ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วก็ไม่ค่อยชอบซักเท่าไหร่ ! หมั่นไส้อีกตะหาก...) แต่ในกรณีขับไล่รัฐบาลสมัคร และ ล้มล้างระบอบทักษิณนี้ เห็นด้วยทุกประการ ตามหลักฐานที่ได้แสดงไว้แต่ต้น

ก็ยังสงสัยกับคนที่สนับสนุนฝ่าย "ทักษิณ" ว่า เขาเหล่านั้นเอาอะไรคิด ? และ เอาเหตุผล หรือ หลักฐานอะไรมาแสดงให้เห็นได้บ้างว่า " ทักษิณ " เป็นคนไทย(โดยกำเนิด) หรือ " ทักษิณ " ทำสิ่งที่ดีสำหรับประเทศไทย ช่วยบอกที บางทีเราอาจตกข่าว นะ

..................................................................................
หมายเหตุ ::::
สิ่งมีชีวิตบางชนิดที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์กล่าวว่า " ผมรวยแล้ว ไม่โกง... แต่ไม่ได้บอกว่าผมจะไม่ขายชาติ ขายแผ่นดิน"

สิ่งมีชีวิตลักษณะประหลาด ปาก*** จมูกหมู กล่าวว่า "ผมเป็นลูกพระยา ไม่มีวันจะขายชาติ" แต่ตามประวัติศาสตร์แม้แต่ตัวพระยาเองยังขายชาติ ขายแผ่นดิน เช่นพระยาราม เปิดประตูให้กองทัพหงสาวดี ยึดกรุงศรีอยุธยา นับประสาอะไร กับคนทึ่อ้างตัวว่าเป็นลูกพระยา จะขายชาติ ขายแผ่นดินไม่ได้ ...สิ่งมีชีวิตชนิดนี้ ปัจจุบันมีคดี "..แดกไป ด่าไป.." และยังก้มหน้าก้มตาขายแผ่นดินต่อไปอย่างไม่ละอาย...
นี่แหละคือ ตัวหนักแผ่นดิน ที่แท้จริง !!!
บันทึกการเข้า

Caocao
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 557



« ตอบ #17 เมื่อ: 28-07-2008, 04:13 »

จริงๆแล้วก็อย่างที่คิด ไอ้เหลี่ยมคิอไอ้โม่งที่อยู่เบื้องหลังปัญหาหลักๆในประเทศ แต่ก็อย่างว่า เพราะประเด็นนี้มันก็ส่อเค้ามาแต่ต้นว่า พธม. แทบไม่มีทางชนะ ถ้าการก้าวอ้างไม่สามารถเชื่อมโยงให้เห็นได้อย่างชัดเจน ในขณะที่ถึงแม้เห็นๆก็อาจทำอะไรไม่ได้ ประเด็นหลักน่าจะอยู่ที่กรณีเขาพระวิหาร แล้วผูกด้วยประเด็นนี้ซึ่งเป็นเหตุจูงใจที่มีน้ำหนักมากๆ ส่วนตัวหวังว่าการดเนินคดี มาตรา 190 ถ้าทำได้จริง เห็นผลจริง อาจเป็นตัวต้านทานผลรับที่จะเสียได้เป็นอย่างดี

ไม่ทราบมีข้อมูลอื่นอีกหรือไม่ครับ
บันทึกการเข้า

หลับเถิดทหารกล้า ปวงประชาจะคุ้มครอง
morning star
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,119


don't let them make up your mind


« ตอบ #18 เมื่อ: 28-07-2008, 04:19 »




เอาอีก
บันทึกการเข้า

อย่าเดินตามใคร เพราะเรามีจุดมุ่งหมายของเราเอง
333Unit
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 87


Don't belive what U see.But,Belive what it be.


เว็บไซต์
« ตอบ #19 เมื่อ: 28-07-2008, 04:23 »

เรียนคุณ chaturant

เมื่อลากเส้นจากจุด Lat-Long 4.6 กม.ตรง" เขาพระวิหาร" ก็จะคลุมพื้นที่ซึ่งคุณสงสัย(ซึ่งจริง ๆ คือพื้นที่ทับซ้อน = ยังตัดสินไม่ได้ว่าเป็นของประเทศใด) กลายเป็นของเขมรไปเลย

คงหายสงสัยนะ..

เพราะฉะนั้น การทำลายการชุมนุมของพันธมิตรจะเกิดขึ้นในทุก ๆ ที่ ก็เนื่องจากเป็นการป้องกันผลประโยชน์ที่จะสูญเสียไปของ "ทักษิณ & The Gang"
บันทึกการเข้า

Caocao
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 557



« ตอบ #20 เมื่อ: 28-07-2008, 04:29 »

มีข้อมูลแนวโน้มหลังจากฮุนเซนชนะเลือกตั้งไหมครับ ว่าพวกนี้เตรียมการเล่นเกมส์อะไรต่อ
บันทึกการเข้า

หลับเถิดทหารกล้า ปวงประชาจะคุ้มครอง
นีโอคอมมิวนิสต์
สมาชิกสามัญขั้นที่ 1
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 44


« ตอบ #21 เมื่อ: 28-07-2008, 08:17 »

สงสัยต้องมีนโยบายขุดคลองคอดกะจริงๆแล้ว หลังจากสงสัยกันว่าขุดไปสมัยนี้ไม่คุ้ม เมื่อมีบ่อน้ำมันไม่ว่าจะตกเป็นของไทยหรือกัมพูชา น่าจะมีผลสำรวจออกมาว่าคุ้มหรือไม่อีกทีนะครับ

หมั่นใส้ สิคโปร์มานานแล้ว
บันทึกการเข้า
amm
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 66


« ตอบ #22 เมื่อ: 28-07-2008, 11:14 »

ระบอบทักษิณเป็นอันตรายต่อประเทศไทย
บันทึกการเข้า
นค
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 86


« ตอบ #23 เมื่อ: 28-07-2008, 12:29 »

ไม่รู้นอกเรื่องหรือไม่  จะถามต่อได้ไหม เรื่อง  ท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย  โครงการจะนะ
มันเป็นคนละเรื่องเดียวกันหรือไม่  เพื่อวิเคราะห์ต่อจากข้อมุลที่มีอยุ่
บันทึกการเข้า
katindork
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 369


« ตอบ #24 เมื่อ: 28-07-2008, 17:40 »

ไม่รู้ผมเข้าใจผิดหรือไม่
หัวใจส่วนหนึ่งอยู่ที่เกาะกูด ซึ่งเป็นอธิปไตยของไทย
แต่ปัจจุบันเกิดเหตุการณ์แบบที่เขาพระวิหาร  เพราะมีเขมรอพยพเข้าไปอยู่ส่วนปลายเกาะเต็มไปหมด
และเริ่มมีการอ้างว่าเกาะกูดเป็นของเขมร เพื่อื่ประโยชน์ในการณ์ลากเส้นแผนที่ทะเล 

ซึ่งเป็นชั้นเชิงในการอ้างแผนที่ฝรั่งเศสเขียน ฉบับเดียวกับเขาพระวิหาร
บันทึกการเข้า
chaturant
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 499



« ตอบ #25 เมื่อ: 28-07-2008, 22:48 »

ขอขุดครับ กระทู้ดีมีสาระ  ใครมีข้อมูลเพิ่มเติม เอามาลงหน่อยน่ะครับ..
บันทึกการเข้า
เพื่อนร่วมชาติ
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 777


« ตอบ #26 เมื่อ: 28-07-2008, 23:40 »

ไม่รู้ผมเข้าใจผิดหรือไม่
หัวใจส่วนหนึ่งอยู่ที่เกาะกูด ซึ่งเป็นอธิปไตยของไทย
แต่ปัจจุบันเกิดเหตุการณ์แบบที่เขาพระวิหาร  เพราะมีเขมรอพยพเข้าไปอยู่ส่วนปลายเกาะเต็มไปหมด
และเริ่มมีการอ้างว่าเกาะกูดเป็นของเขมร เพื่อื่ประโยชน์ในการณ์ลากเส้นแผนที่ทะเล 

ซึ่งเป็นชั้นเชิงในการอ้างแผนที่ฝรั่งเศสเขียน ฉบับเดียวกับเขาพระวิหาร

มีเขมรอพยพเข้ามาเพิ่ม เหมือนที่เขาพระวิหารด้วยเหรอ

แล้วเจ้าหน้าที่ซึ่งดูแลเกาะกูดไปทำอะไรอยู่ 
บันทึกการเข้า
อิรวันชาห์ IrWanSyah
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 870



« ตอบ #27 เมื่อ: 28-07-2008, 23:45 »

มาอีกแล้ว    เรื่องแนวเดียวกับปฏิญญาฟินด์แลนด์ และเว็บมานุษยา

ตอนนั้นแป๊ะนรกมันวาดไดอะแกรมโยงใยให้ดูเสร็จสรรพว่ายิงมาจากเซอร์เวอร์หลักในทำเนียบ รวมถึงมีเซอร์เวอร์ส่วนตัวในห้องนอน



พอญาลพลออกมาเผยความจริงเท่านั้นแหละ เรื่องโกหกพกลมพันนี้ก็เงียบหายไปเลย

ใครเชื่อเรื่องนี้อีก ก็ลองเอามือลูบหัวหน่อยนะ กลัวว่าจะมีเขางอกออกมา  


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-07-2008, 23:50 โดย อิรวันชาห์ IrWanSyah » บันทึกการเข้า

ปรมาจารย์เจได
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,771


รักแท้ก็เหมือนผี รู้ว่ามี แต่ไม่เคยเจอ


« ตอบ #28 เมื่อ: 28-07-2008, 23:48 »

วันไหนทวง ปตท คืนได้
แล้วราคาน้ำมันลดฮวบฮาบ

เอ็งทั้งหลาย ที่เป็นคนรักทักษิณ
กรุณาแจ้งตัวตนด้วย บอกว่ากูขอเติมลิตรละ 50 เหมือนเดิม
บันทึกการเข้า

http://www.oknation.net/blog/jedimaster



"เมืองดอกบัวงาม  แม่น้ำสองสี  มีปลาแซบหลาย หาดทรายแก่งหิน  ถิ่นไทยนักปราชญ์  ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม งามลำเทียนพรรษา  ผาแต้มก่อนประวัติศาสตร์"

ไม่มีใครเน่าบริสุทธิ์ดุจดั่งมูล ประชาชินสมบูรณ์ซะที่ไหน เมื่อยืนหยัดโชว์จู๋และปาขี้ ประชาชินย่อมมีชีวิตใหม่ เมื่อท้องฟ้าสีขี้ผ่องอำไพ เหลี่ยมจันไsย่อมเป็นใหญ่อยู่ใต้ดิน ...

ขอเชิญร่วมกลุ่มต้านทักษิณใน hi5 ครับ

THAKSIN get out !!
http://www.hi5.com/friend/group/1123605--THAKSIN%2Bget%2Bout%2521%2521--front-html

say no to thaksin !
http://www.hi5.com/friend/group/1186900--say%2Bno%2Bto%2Bthaksin%2B%2521--front-html
อิรวันชาห์ IrWanSyah
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 870



« ตอบ #29 เมื่อ: 28-07-2008, 23:53 »

วันไหนทวง ปตท คืนได้
แล้วราคาน้ำมันลดฮวบฮาบ

เอ็งทั้งหลาย ที่เป็นคนรักทักษิณ
กรุณาแจ้งตัวตนด้วย บอกว่ากูขอเติมลิตรละ 50 เหมือนเดิม

ที่เขาก่อจราจลประท้วงราคาน้ำมันแพงในต่างประเทศหลายๆประเทศช่วงนี้ก็เพราะ ปตท.และทักษิณ ซินะ   
บันทึกการเข้า

chaturant
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 499



« ตอบ #30 เมื่อ: 29-07-2008, 00:31 »

บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
ทว่าการเจาะสำรวจและอ้างสิทธิในพื้นที่ไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะประเทศไทยและกัมพูชาต่างอ้างสิทธิทับซ้อนกันอยู่ถึง 25,923 ตารางกิโลเมตร
และในพื้นที่เดียวกันนี้เองที่ต่างฝ่ายต่างให้สัมปทานสำรวจขุดเจาะทับซ้อนกันอยู่ด้วย

จากข้อมูลของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ

ปรากฏประเทศไทยได้ให้สัมปทานสำรวจขุดเจาะและผลิตกับบริษัทเอกชนที่สนใจไปแล้วตั้งแต่ปี 2546
จนกระทั่งถึงปัจจุบันมี ผู้ได้รับสัมปทานไปแล้ว 4 กลุ่ม ได้แก่ บริษัท Thailand Bloc 5&6LLC
ในแปลงสัมปทานที่ 5-6, บริษัทบริติช แก๊ส เอเชีย อิงค์ ในแปลงสัมปทานที่ 7-8-9,
บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ในแปลงสัมปทานที่ 10-11-13 และพื้นที่ 12 (A) 12 (B)
และบริษัท ปตท.สผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในแปลงสัมปทาน G9/43 (พื้นที่ประกอบ)

แต่ทั้งหมดยังไม่สามารถเข้าไปดำเนินการสำรวจและผลิตได้ เนื่องจากมีพื้นที่
เส้นแบ่งเขตที่ต่างล้ำเข้ามาในพื้นที่ของกันและกัน หรือที่เรียกว่า Over Lapping Area
ที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้จนถึงวันนี้ ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง
กัมพูชาเองก็ได้ให้สัมปทานสำรวจขุดเจาะและผลิตเช่นเดียวกับประเทศไทย
โดยมีข้อสงสัยกันว่า บริษัทเชฟรอนฯจะเป็นผู้ได้รับสัมปทาน รายใหญ่ที่สุด หรืออาจกล่าวได้ว่า
เชฟรอนฯเป็นเพียงบริษัทเดียวที่ได้รับสัมปทานในพื้นที่ทับซ้อนทั้งจากรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชา

ตอนนี้ในมุมมองของต่างชาติ

กัมพูชากลายเป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ล่าสุดที่มีการประเมินว่า
กัมพูชา จะเป็นผู้ส่งออกน้ำมัน-ก๊าซรายใหญ่รายใหม่ของโลก 
หลังจากที่เชฟรอน (Chevron Corporation) บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกาประกาศเมื่อปี 2548
ว่าได้ค้นพบบ่อน้ำมัน-ก๊าซขนาดใหญ่ ในพื้นที่ 2,427 ตารางกิโลเมตรทางใต้ของประเทศกัมพูชา
โดยรายงานว่าบ่อขุดเพื่อการสำรวจ 5 จุด พบน้ำมันถึง 4 จุด ในพื้นที่สัมปทานแปลงเอ
เนื้อที่ 6,278 ตารางกิโลเมตรของเชฟรอน จากเดิมที่เคยคาดว่าจะมีน้ำมันราว 400 ล้านบาเรล
แต่อาจจะมีมีน้ำมันสำรองมาก 2 เท่าถึง 700 ล้านบาเรล
รวมถึงก๊าซธรรมชาติอีกระหว่าง 3 ล้านล้าน ถึง 5 ล้านล้าน ลูกบาศก์เมตร

 

กระแสข่าวอย่างต่อเนื่อง

ถึงความเนื้อหอมใน 2 ทางคือ การเข้ามาสัมปทานโดยตรงคือ
มีบรรษัทน้ำมันข้ามชาติยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ในโลก มาเข้าคิวกันขอใบอนุญาตเพื่อขุดน้ำมันขึ้นมาใช้ยาวเหยียด
ปัจจุบันแปลงสัมปทานของรัฐบาลมี 5 แปลง ขณะนี้กำลังแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
ระหว่างบริษัท Total SA ของฝรั่งเศส กับชีนุ๊ก (China National Offshore Oil Corp - CNOOC)
ของจีน เพื่อขอสัมปทานในแปลง B เนื้อที่ 6,557 ตารางกิโลเมตร นอกจากนี้
บริษัทจากญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฝรั่งเศส คูเวต ไทย มาเลเซีย ออสเตรเลียและสิงคโปร์
กำลังเข้ามาขอประมูลกันอย่างเข้มข้น แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ชัดว่า รัฐบาลกัมพูชาจะเอาแปลงขุดในทะเล
ทั้ง 6 แปลง ออกมาเปิดให้ประมูลจริงมากน้อยแค่ไหน

ประเด็นสำคัญตอนนี้มี 3 ประเด็นที่น่าสังเกตุเกี่ยวกับอนาคตพลังงานของกัมพูชาคือ


1.) กัมพูชายังอุบไต๋ปริมาณน้ำมันในบล็อก A ซึ่งไม่แน่ว่าจะเป็นการลักไก่หน้าไพ่หรือเปล่า


2.) สัญญาการผลิตน้ำมัน-ก๊าซที่ทำกับรัฐบาลที่มีพรรค CPP นำใด ๆ ในกัมพูชา
จะต้องทำผ่านบริษัทโซกีเม็กซ์ (Sokimex) ของคนเชื้อสายเวียดนาม ที่ใกล้ชิดกับฮุนเซน
ปัญหาในอนาคตคือการครอบงำและการคอรัปชั่น


3.) ขณะที่ประเด็นสำคัญที่ผมจะนำข้อมูลมานำเสนอ
คือกัมพูชายังตกลงในการแบ่งสรรผลประโยชน์ในเขตเศรษฐกิจทางทะเล
ที่ทับซ้อนกับไทยไม่ได้นี่คือชนวนสำคัญที่อนาคตหากเคลียร์ประเด็นเรื่องทับซ้อนไม่ได้
ก็อาจจะเกิดสงครามแย่งน้ำมันก็ได้ ประกอบกับฐานะภาพทางการเมืองของ
ไทยยังไม่สามารถต่อรองผลประโยชน์กับกัมพูชาได้
เมื่อเทียบกับประเทศมหาอำนาจที่แห่ให้การสนับสนุนประเทศกัมพูชาอย่างไม่ลืมหูลืมตา
 

ทั้งนี้คนวงในอุตสาหกรรมการสำรวจขุดเจาะในกัมพูชากล่าวว่า
ความจริงแล้วแหล่งที่คาดว่าจะมีก๊าซและน้ำมันดิบมากที่สุดก็คือ
เขตเหลื่อมล้ำทางทะเลในอ่าวไทยที่กัมพูชายังมีข้อพิพาทกับไทย


กระทั่งล่าสุด Dr Abdullah Al Madani
นักวิจัยและอาจารย์สอนวิชาเอเชียศึกษาที่มีชื่อเสียงแห่งคูเวต
ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ในบทความชิ้นหนึ่งที่มีการตีพิมพ์เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์กัล์ฟนิวส์
ได้ออกเตือนว่ากรณีพิพาทดินแดนระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ที่สุดนี้
อาจจะปะทุรุนแรงขึ้นได้เมื่อมีอุตสาหกรรมน้ำมันในกัมพูชาพัฒนาไปอย่างจริงจัง
และ กัมพูชา ควรจะพยายามให้มากขึ้นในการเจรจาแบ่งปันเขตแดนทางทะเลกับไทยให้แล้วเสร็จโดยเร็ว



นักวิชาการในตะวันออกกลางได้แสดงความวิตกว่า ในอนาคตอันใกล้นี้
ไทย - กัมพูชา อาจจะมีความขัดแย้งจนถึงขั้นเปิดสงครามย่อยๆ ขึ้นได้
ในยุคที่เริ่มมีการพัฒนาอุตสาหกรรมน้ำมันในกัมพูชา และเส้นแบ่งพรมแดนในเขตอ่าวไทยยังไม่ชัดเจน
พร้อมทั้งแนะนำให้ทั้งสองประเทศรีบเจรจาหาทางปักปันเขตแดนทางทะเลให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
ทั้งนี้ ในภาพรวมประเด็นเรื่องความซับซ้อนของเขตแดนทางทะเลในอ่าวไทยบริเวณนี้มี 4 ประเทศที่เกี่ยวข้องกัน
คือ ไทย เขมร มาเลเซีย และเวียดนาม ทับกันไปทับกันมา

แต่สำหรับ พื้นที่ไหล่ทวีปทับซ้อนระหว่างราชอาณาจักรไทย กับราชอาณาจักรกัมพูชา
หรือ Joint Development Area : JDA
อันเป็นปมปัญหาให้ต้องเจรจากันดังกล่าวนี้มีพื้นที่ประมาณ 25,789 ตารางกิโลเมตร
อันเป็นแหล่งที่คาดว่าจะมีทรัพยากรก๊าซธรรมชาติและน้ำมันที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแหล่งหนึ่งในเอเชียอาคเนย์ในอนาคต

สำหรับความเป็นมาก่อนหน้านี้ อดีตรัฐบาลที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
สามารถบรรลุข้อตกลงในการเจรจาปัญหาเขตทับซ้อนทางทะเล ไทย-กัมพูชา
ด้วยการมีบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยกับกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยกับกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน
เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 ยังผลให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคไทย-กัมพูชา
ประชุมกันครั้งแรกเมื่อ เดือนธันวาคม 2544 และมีการกันพื้นที่ในการเจรจาออกเป็น 2 ส่วน คือ


1. พื้นที่ทับซ้อนเหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือขึ้นไป ให้แบ่งเขตทางทะเลอย่างชัดเจนตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่ใช้บังคับ
2. พื้นที่ทับซ้อนใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือลงมา ให้พัฒนาพื้นที่ดังกล่าวร่วมกัน
 

กระทั่งการเดินทางไปราชอาณาจักรกัมพูชาของอดีตนายกฯ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2549
ได้มีกระบวนการเร่งรัดให้การเจรจาปักปันเขตแดนทางทะเลให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
เพียงเพื่อหวังให้มีการเจรจาเปิดสัมปทานขุดเจาะก๊าซและน้ำมันในพื้นที่พัฒนาร่วม หรือ JDA เป็นหลัก 
ปรากฎว่าการเจราจาเรื่องประโยชน์ในการสำรวจและขุดเจาะก๊าซธรรมชาติและน้ำมันในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล
(JDA)ระหว่าง 2 ประเทศ ไม่สามารถตกลงกันได้
 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีสมัยนั้นแถลงว่า "ตามข้อเสนอเดิมจะแบ่งพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยและกัมพูชาเป็น 3 เขต
โดยพื้นที่ในส่วนที่อยู่ตรงกลางจะแบ่งผลประโยชน์ที่ได้จากขุดเจาะปิโตรเลียม 50:50 ซึ่งไม่มีปัญหาอะไร
ส่วนพื้นที่อีกสองเขตทางด้านซ้ายและด้านขวา จะให้มีสัดส่วนการแบ่งผลประโยชน์ที่ต่างออกไป คือ
ทางกัมพูชาเสนอให้แบ่งผลประโยชน์ 90:10 ขณะที่ไทยเสนอว่าควรแบ่งผลประโยชน์ 60:40

โดยแถลงต่อว่า อดีตนายกฯ ระบุในที่ประชุมว่า จะพยายามเจรจากับนายกฯ ฮุนเซน
เพื่อตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ในการสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียม ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลดังกล่าวให้เร็วที่สุด
เพื่อให้เพียงพอกับการใช้ก๊าซธรรมชาติในประเทศ ขณะที่ราคาน้ำมันมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
หากทั้งสองบรรลุข้อตกลงแล้ว ทางฝ่ายไทยจะให้บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)
เข้าไปสำรวจและขุดเจาะหาก๊าซธรรมชาติทันที


อย่างไรก็ตาม ฝ่ายไทยเตรียมเสนอปล่อยเงินกู้ที่มีเงื่อนไขผูกพันวงเงิน 1.3 พันล้านบาท ให้กับกัมพูชา
สำหรับสร้างถนนในกัมพูชาสายสะงำ-อลองเวง-เสียมราฐ ซึ่งรักษาการนายกฯ ระบุว่า
การปล่อยกู้ดังกล่าวจะช่วยสร้างประโยชน์ให้ไทยในด้านการท่องเที่ยว เพราะเส้นทางดังกล่าวเป็นเส้นทางไปสู่
"นครวัด"แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของกัมพูชา และยังสนับสนุนสนามบินสุวรรณภูมิทางอ้อมด้วย

"การที่ไทยจะให้ความช่วยเหลือโดยเสนอปล่อยเงินกู้ สร้างถนนหมายเลข 67 วงเงิน 1.3 พันล้านบาท
การขายกระแสไฟฟ้าให้กับกัมพูชา รวมทั้งการปักเสาไฟฟ้าไปยังเขตกัมพูชาน่าจะเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่จะช่วยโน้มน้าวกัมพูชา
ที่จะทำให้การเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์ขุดเจาะก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลของสองประเทศสำเร็จได้"
นั่นคือข้อสรุปการเจรจาล่าสุดในรัฐบาลที่แล้ว


แต่ปัญหานี้กำลังรอประทุขึ้นมาหากมีการประกาศเรื่องผลประโยชน์ที่จะมีขึ้นของประเทศกัมพูชาในอนาคตอันใกล้
โดยเฉพาะยังมีขุมทรัพย์ในแปลง B ที่อยู่ห่างจากชายฝั่งกัมพูชา 250 กม.ไปทางตะวันออก ติดกับเขตน่านน้ำไทยในอ่าวไทย
โดยแปลงสำรวจขุดเจาะที่ว่านี้ ทอดไปทางตะวันออกเฉียงใต้ทางแนวน่านน้ำของกัมพูชา
ซึ่งเป็นแหล่งที่มีศักยภาพในปริมาณสำรองน้ำมันและก๊าซธรรมชาติสูง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 6,551 ตารางกิโลเมตร
คาดว่ามีน้ำมันและก๊าซอยู่หลายร้อยล้านบาร์เรล

ขณะเดียวกันก็เป็นห่วงกัมพูชาที่มีคนปรามาสไว้เช่นกันว่า ประเทศนี้จะมีทางรอดพ้นจาก "คำสาปน้ำมัน"
(Oil Curse) ได้อย่างไร เพื่อไม่ให้ซ้ำรอยบางประเทศ เช่น ไนจีเรีย ที่เข้าสู่ความยุ่งยากหลังการพบน้ำมันดิบมหาศาล
แต่มีเงินเข้าคลังเพียงน้อยนิด มิหนำซ้ำยังเป็นหนี้หลายแสนล้านดอลลาร์
และจะมีการเปลี่ยนประเทศกัมพูชาที่ยากจนมานานหลายทศวรรษกลายเป็นประเทศที่เรียกว่า "เคลปโตเครซี่"
(Cleptocracy) หรือประเทศที่ "ปกครองโดยพวกหัวขโมย"


ตามความหมายที่ไม่เป็นทางการนั้น คำๆ นี้หมายถึงระบอบที่มีรัฐบาลทุจริตคอร์รับชั่นในการบริหารจัดการเงินงบประมาณ
แทนที่จะมุ่งนำไปพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนให้พ้นจากความยากจน
แต่เงินงบประมาณถูกถ่ายเทเข้ากระเป๋าหรือบัญชีเงินฝาก เพื่อความร่ำรวยส่วนตัวของผู้นำ
นักการเมืองและกลุ่มที่มีพลังทางการเมืองทั้งหลาย

ไทยกับกัมพูชาก็ได้ตกลงในหลักการร่วมกันนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2006
เป็นต้นมาแล้วว่าให้มีการจัดแบ่งเขตทับซ้อนทางทะเลซึ่งมีอาณาบริเวณกว้างเกือบถึง
27,000 ตารางกิโลเมตรในอ่าวไทยนี้ออกเป็น 3 ส่วนเท่าๆ กัน
โดยส่วนที่อยู่กึ่งกลางของเขตทับซ้อนนั้นก็ให้แบ่งผลประโยชน์ที่จะได้รับ
จากการขุดค้นน้ำมันและแก๊สธรรมชาตินั้นเป็นสัดส่วน 50 ต่อ 50

ส่วนเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ชายฝั่งของไทยนั้นก็ให้แบ่งเป็นผลประโยชน์ให้กับฝ่ายไทยมากกว่าฝ่ายกัมพูชา
ซึ่งก็เช่นเดียวกันกับเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ชายฝั่งของกัมพูชานั้นก็ต้องแบ่งผลประโยชน์
ให้กับฝ่ายกัมพูชามากกว่าฝ่ายไทย แต่สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายตกลงร่วม กันไม่ได้ในการเจรจาครั้งนั้น
ก็คือฝ่ายไทยเสนอให้แบ่งผลประโยชน์เป็น 60 ต่อ 40

ฝ่ายกัมพูชานั้นกลับไม่เห็นด้วย เพราะต้องการให้มีการแบ่งผลประโยชน์ระหว่างกัน
ในสัดส่วน 90 ต่อ 10 โดยสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องจากทางฝ่ายกัมพูชานั้นมี
ความเชื่อมั่นว่าในเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ชายฝั่งของกัมพูชานั้นมีปริมาณสำรอง
ของน้ำมันและแก๊สธรรมชาติมากกว่าในเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ชายฝั่งของไทยนั่นเอง

ซึ่งถ้าหากทางการไทยยอมตกลงตามเงื่อนไขดังกล่าวข้างต้นนี้ก็จะทำให้รัฐบาลกัมพูชามีราย
ได้จากการขายน้ำมันและแก๊สธรรมชาติในเขตทับซ้อนทางทะเลดังกล่าวนี้คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
และยังจะเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันและแก๊สธรรมชาติในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ
อีกทั้งยังจะถือว่าเป็นรายได้หลักที่มากกว่าผลผลิตมวลรวมภายใน (GDP) ของกัมพูชาในปัจจุบันนี้ด้วย

นับตั้งแต่บริษัทเชฟรอน (Chevron Corp) ได้ประกาศการค้นพบน้ำมันดิบ
หลายฝ่ายได้แสดงความห่วงใยต่อกัมพูชา ประเทศที่มีประชากรเพียง 14 ล้านคน
กว่าครึ่งหนึ่งยังมีฐานะยากจนรายได้เฉลี่ยเพียงวันละ 50 เซ็นต์ ด้วยเกรงว่ารัฐบาลของนายฮุนเซน
ที่อยู่ในอำนาจมานานกว่า 20 ปี และ มีข้อกล่าวหาเรื่องการฉ้อราษฎร์บังหลวง จะไม่สามารถรับสถานการณ์ใหม่ได้

ไม่เพียงเท่านั้น บริษัทน้ำมันจากญี่ปุ่น สิงคโปร์ มาเลเซีย รวมทั้งจากประเทศไทยก็กำลังเข้าสำรวจขุดเจาะในแปลงใกล้เคียงกัน
บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่จากจีนคือ CNOOC กำลังเจรจากับรัฐบาลนายฮุนเซน
เพื่อเข้าสำรวจขุดเจาะในแปลงอื่นๆ และ ก็ยังมีบางอาณาบริเวณที่ยังไม่มีการสำรวจ
เนื่องจากเป็นเขตทับซ้อนน่านน้ำกับไทย
 

เชื่อกันว่าจะมีการพบน้ำมันดิบอีกจำนวนมากในเขตน่านน้ำกัมพูชา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาณาบริเวณแนวเขตแดนทางทะเลติดกับประเทศไทย
ที่เชื่อว่าจะมีมากที่สุด และ ยังไม่มีการเข้าไปเจาะทดสอบ.

สำหรับแหล่งน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติของประเทศไทย ที่เห็นตามแผนที่ด้านขวามือ
คือ ผลประโยชน์ทับช้อนไทย-มาเลเซีย บริเวณใกล้ชายฝั่งหน่อย
ของจังหวัดปัตตานีมีบ่อน้ำมันมากเลยไกลหน่อยเป็นบ่อแก๊ส

จะเห็นแนวท่อแก๊สทับช้อนขึ้นที่ปัตตานีเมื่อก่อนเขาแบ่งเค็กแล้วแต่ทำไม่สำเร็จตามแผนที่
สามารถสูบน้ำมันแก๊สมาใช้ได้อีกนับร้อยๆ ปี ก็ลองนึกถึงปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็แล้วกัน ทำไมถึงไม่สงบ

 

ขณะเดียวกันไทยเราก็พบแหล่งน้ำมันที่เพชรบูรณ์

นายไกรฤทธิ์ นิลคูหา อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้รับแจ้งจาก
บริษัท แพน โอเรียนท์ นักลงทุนจากแคนาดา ผู้ได้สัมปทานปิโตรเลียมแหล่งวิเชียรบุรี
จังหวัดเพชรบูรณ์ ว่า ผลจากการสำรวจในพื้นที่แหล่งนาสนุ่น
พบปริมาณน้ำมันเพิ่มเติมประมาณ 5,000 บาร์เรล/วัน
เป็นปริมาณที่เพิ่มเติมจากการที่ปัจจุบันมีการผลิตจากแหล่งวิเชียรบุรีแล้ว 600-700 บาร์เรล/วัน
ซึ่งนับเป็นข่าวดีว่าไทยจะสามารถผลิตน้ำมันในประเทศได้เพิ่มเติม
จะช่วยลดภาระการนำเข้าในช่วงน้ำมันแพง โดยปัจจุบันแหล่งน้ำมันบนบกของไทยแหล่งใหญ่ที่สุด
คือ แหล่งสิริกิติ์ ในขณะที่แหล่งก๊าซฯ อยู่ที่น้ำพอง ขอนแก่น และ ภูฮ่อม จังหวัดเพชรบูรณ์

นอกจากนี้ ได้เร่งรัดการสำรวจและผลิตในแหล่งอื่นๆ
โดยในการเปิดให้สัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 20 ที่เปิดทั้งหมด 65 แปลง
คาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนในการสำรวจเพิ่มเติมอีกไม่ต่ำกว่า 3,000-4,000 ล้านบาทใน 3-4 ปีนี้
 

ส่วนแผนที่ด้านล่าง สีแดง เป็นแนวบ่อแก๊ส เทียบกับจังหวัดภูเก็ต บ่อแก๊ส บ่อน้ำมัน
ใหญ่กว่าจังหวัดภูเก็ตนับสิบเท่าครับ เรามีขุมทรัพย์ อยู่ในอ่าวไทย ปริมาตร มากกว่า
ใหญ่กว่าจังหวัดภูเก็ต นับสิบเท่า แล้วอีก กี่ปี กี่ชาติ เราถึงจะใช้หมด
แล้วอย่างนี้เราจะให้กลุ่มนายทุนการเมือง มาปล้น ปตท ของเราไปทำไม


ทำไมบ่อน้ำมัน บางบ่อถึงเป็นบ่อแก๊ส
โลกเรามีอุณหภูมิใต้ผิวโลก ไม่เท่ากัน บางแห่งร้อนมาก น้อย ต่างกันไป 
น้ำมันดิบที่อยู่ใต้ผิวโลก นานวันเข้ากลั่นตัวเอง กลายเป็นแก๊สธรรมชาติ
คือ แก๊สนี้มันลอยตัวอยู่เหนือน้ำมันดิบ  ดังนั้น ใต้แก๊สธรรมชาติคือน้ำมันดิบ 
ปตท ดูดเอาไปเฉพาะแก๊สธรรมชาติ น้ำมันดิบ มีข้อมูลทางลับว่า
เรือใหญ่มาดูดเอาไปแล้ววิ่งตรงไปยังประเทศหนึ่งในย่านนี้  เพราะกรรมวิธีการผลิตแก๊สธรรมชาติ 
น้ำมันดิบคือผลพลอยได้ เราดูดน้ำมันดิบออก ดูดน้ำทะเลเข้าไปแทนที่ 
น้ำทะเลจะหนักมากกว่าน้ำมันดิบ จะจมอยู่ล่างสุด จะดันน้ำมันดิบออกมา
แล้วดูดลงเรือไปยังประเทศหนึ่ง ซึ่งเขาก็จะอ้างว่าเป็นขั้นตอนของกรรมวิธีการผลิต

 

ลปตท.ขายหุ้นหมดภายใน 1 นาที 17 วินาที หลังจากเปิดตลาดซื้อขายหุ้นวันแรก...
ตอนที่ประชาชนไปยืนต่อแถวซื้อหุ้นที่ธนาคาร คนแรกยังกรอกเอกสารไม่เสร็จ
ธนาคารไทยพาณิชย์ประกาศขายหุ้นหมดแล้ว ณ เวลา 1 นาที 17 วินาที

และปลายปีที่ผ่านมา 2550 ปตท.ประกาศผลกำไรสุทธิ กำไรสุทธิคืออะไร??
กำไรสุทธิ คือกำไรที่หักค่าใช้จ่ายหักภาษีแล้ว จึงเรียกว่ากำไรสุทธิ ที่ได้
คือ 1แสน8 หมื่นล้าน (เกือบ2แสนล้านบาท) กำไรแค่นี้ ยังบอกว่า กำไรต่ำกว่าเป้า กำไรน้อยเกินไป
ใครเป็นคนกำหนดราคา

เราคงจะเคยได้ยินคำว่า "ราคาน้ำมันในตลาดโลกวันนี้อยู่ที่ 125 เหรียญต่อบาเรล"
มันหมายความว่าไง? ราคานั้นหมายความว่า ราคาน้ำมันที่เขาขายกันอยู่ในโลกทั่วไปมันคือ
125x0.20 = 25 บาทต่อลิตร ตัวเลข 0.20 หรือ 20 สตางค์ คือตัวเลขที่เราเอาไปคูณ
แล้วมันจะออกมาเป็นหน่วยบาทต่อลิตร นั่นคือราคาที่ทั่วโลกขายกัน แต่เหตุไฉนราคาน้ำมัน 
บ้านเรามันถึงพุ่งไปอยู่ที่เกือบ 40 บาทได้ ในขณะที่ต้นทุนมันแค่ 27 บาทกว่าเท่านั้น
นั่นเป็นเพราะการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ให้ออกมาอยู่ในมือของคนไทย
จะพูดให้ถูกคือมาอยู่ในมือของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ อยู่ในมือของคนในกระทรวงพลังงาน
พวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ขององค์กร พวกเขาเป็นผู้มีอำนาจอันชอบธรรมในการลดหรือขึ้นราคาน้ำมันภายในประเทศ

 

 

การกำหนดราคาก็คือ เอาต้นทุน + กำไรที่ต้องการ = ราคาขาย
 

ในปัจจุบันนั้นพวกเขาบวกกำไรที่ต้องการถึง 200,000ล้าน เพื่อเข้ากระเป๋าตัวเอง 
เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจที่ทำไมปตท.ถึงมีกำไรมากจัง คุณโสภณได้พูดว่า
"เราจะไปต่อว่าบริษัทนั้นไม่ได้หรอก เขาทำงานก็เป็นธรรมดาที่ต้องการให้เกิดผลกำไรสูงสุดต่อองค์กร
แต่คนที่ควรจะมีความรับผิดชอบต่อประชาชนสักหน่อยควรจะเป็นผู้ใหญ่ในกระทรวงพลังงาน
ผู้มีอำนาจในรัฐบาลควรมีความเมตตาต่อประชาชนมากกว่านี้"
แล้วทำไมพวกท่านเหล่านั้นจึงไม่ช่วยควบคุม กำกับ ดูแลบริษัท ไม่ให้ขึ้นราคาจนเกินเหตุเช่นนี้ล่ะ
เพราะว่าพวกท่านเองเป็นผู้ถือหุ้นเองน่ะสิ นี่แหละที่เรียกว่าผลประโยชน์ทับซ้อน
กฎหมายที่พยายามจะดันให้ผ่านแต่คนดีกลับโดนบีบออก เพราะเป็นกฎหมายที่ไปขัดขาคนโกง

แนวโน้มราคาน้ำมันในอนาคตเป็นอย่างไร
เรามาทำความรู้จักกับเจ้าน้ำดำนี้กันหน่อย น้ำมันในประเทศแถบตะวันออกกลางนั้นมีปริมาณเยอะมาก
หากประเทศในตะวันออกกลางผลิตน้ำมันใช้เองเป็นการภายใน ไม่ส่งออกนั้น
พวกเขาจะมีน้ำมันใช้ไปอีกพันปี ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีบ่อน้ำมันส่วนตัวที่ใช้ได้เพียง 4 ปี
นั่นเป็นเหตุให้อเมริกาพยายามไปก่อสงครามในตะวันออกกลาง
เมื่อเกิดสงครามคนในตะวันออกกลางก็ไม่มีอาวุธจะไปสู้กับเขาได้ จึงต้องสั่งซื้ออาวุธโดยเอาบ่อน้ำมันไปแลก
แล้วใครกันที่ขายอาวุธใครกันที่เข้าไปครอบครองบ่อน้ำมัน ก็พี่ใหญ่อเมริกานี่แหละ
ยิงนัดเดียวได้ทั้งเงิน ได้ทั้งน้ำมันเมื่อธุรกิจการค้าน้ำมันมีพี่ใหญ่เพียงชาติเดียวแล้ว
ทำให้การกำหนดราคาน้ำมันโลกพุ่งสูงขึ้นทุกวี่วันโดยที่ต้นทุนในการผลิตไม่ได้สูงขึ้นสักแดงเดียว
เป็นการผูกขาดราคากลายๆโดยใช้ข้ออ้างว่า "น้ำมันจะหมดโลกๆ"
เป็นเรื่องของอุปสงค์ อุปทาน (ใครเคยดู Blood Diamond) คงจะเข้าใจ ดังนั้น สั้นๆ ง่ายๆ
ไม่ว่าเมื่อไหร่ ราคาน้ำมันโลกก็จะพุ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆอย่างไม่ต้องสงสัย แต่คนไทยจะซวยหน่อย
ตรงที่นอกจากจะโดนต่างประเทศปั่นราคามารอบนึงแล้ว ยังโดน
คนในประเทศเองปั่นซ้ำอีกรอบนึงอีก ทำให้เราซื้อน้ำมันที่แพงหูดับตับแลบอย่างในปัจจุบัน
 
ข้อมูลเหล่านี้เป็นความจริงล้วนๆ รายชื่อของผู้ถือหุ้นไทยก็แผ่หลากันอยู่ว่าใครเป็นใคร
เป็นข้อมูลสาธารณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ใส่ใจ หรือไม่เข้าใจว่ามันไปเกี่ยวกับเศรษฐกิจอย่างไร
ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะตื่นขึ้นมาสนใจสิ่งรอบข้างเสียที อย่าว่าไม่ใช่เรื่องของเรา
อย่าว่าถึงรู้ไปก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างน้อยจงรู้ตัวเสียว่าตกเป็นเหยื่อของผู้มีอำนาจอยู่
กำลังโดนเขาบีบให้ตายคามืออยู่และอาจจะไม่ใช่แค่เรื่องน้ำมันเท่านั้นอีกด้วย
ขอให้ทุกคนรู้ทัน ช่วยกันคิด ช่วยกันดูแล และปกป้องผลประโยชน์ของพวกเราประชาชนเองแท้ๆ
 
 
สุดท้ายขอให้พวกเราจำไว้ ราคาน้ำมันโลกเท่าไหร่ เอา 20 สตางค์ คูณเข้าไป จะได้รู้ว่าพวกเรากำลังโดนสูบเลือดสูบเนื้อวันละกี่บาท

ย้อนอดีตราคาน้ำมันดิบโลก

หากย้อนไปเมื่อ 10 ปีก่อน เป็นเรื่องยากที่จะพูดกันถึง 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ว่ากันตามจริงแล้ว เมื่อ 10 ธันวาคม 2541 ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้าที่ตลาดนิวยอร์ก เมอร์แคนไทล์
ยังอยู่ที่ระดับ 10.72 ดอลลาร์ ต่อบาร์เรล ช่วงเวลานั้นปัจจัยแวดล้อมโดยรอบแตกต่างจากปัจจุบันอย่างสุดขั้ว
วิกฤตเงินเอเชียทำให้ดีมานด์ของภูมิภาคทรุดฮวบลง ขณะที่ ฤดูหนาวในอเมริกาเหนือกลับเป็นช่วงที่อากาศอบอุ่นมากที่สุดครั้งหนึ่งในบันทึกประวัติศาสตร์

อย่างไรก็ตาม จุดเริ่มของการเปลี่ยนแปลงอาจเริ่มเห็นได้ชัดในช่วงต้นปี 2542
ซึ่งในช่วงนั้นฮิวโก ชาเวซ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ของเวเนซุเอลา ให้คำมั่นจะร่วมมือกับสมาชิก
ในกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก (โอเปก) มากกว่าจะแข่งเพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดกันภายในกลุ่ม
การตัดสินใจครั้งนั้นนำมาซึ่ง การประกาศลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก
ในเดือนมีนาคม 2542 ราคาเริ่มขยับขึ้น กระทั่งสิ้นปีราคาปรับขึ้นมาอยู่แกว่งเหนือ 25 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ประกอบกับมีปัจจัยใหม่เข้ามาเสริม โดยเฉพาะปัจจัยแหล่งน้ำมันที่เริ่มตึงตัว
เนื่องจากแหล่งน้ำมันส่วนใหญ่ที่ค้นพบมีการผลิตออกมา ใช้แล้วทั้งสิ้น
เหลือเพียงแหล่งน้ำมันในที่ยากและห่างไกล ที่ใช้ต้นทุนในการสูบน้ำมันออกมาใช้ สูงมาก
อีกทั้งประสบการณ์จากวิกฤตราคา น้ำมันตกต่ำในช่วงปี 2529 และ 2541
ทำให้อุตสาหกรรมน้ำมันกังวลกับความเสี่ยงหาก จะต้องลงทุนมากเกินไป

แต่ดูเหมือนความหิวกระหายน้ำมันของโลกกลับทวีขึ้นอย่างรวดเร็ว ความต้องการ
บริโภคน้ำมันในสหรัฐเพิ่มขึ้นประมาณ 2-3% ต่อปี ในปลายทศวรรษ 1990 เช่นเดียวกับ
ความต้องการในประเทศกำลังพัฒนาเริ่มขยับ ขึ้นอีกครั้ง

กระทั่งมีนาคม 2546 เมื่อสหรัฐเคลื่อนพลเข้าบดขยี้อิรัก
บวกกับจีนได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจโลกอย่างเป็นทางการ
ความต้องการน้ำมันของโลกได้พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในปี 2547 อุปสงค์น้ำมันโลกอยู่ที่ 82.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน
เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2.8 บาร์เรลต่อวัน โดยเกือบ 1 ใน 3 ของปริมาณความต้องการที่เพิ่มขึ้นมาจากจีนประเทศเดียว

จาก 40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขยับขึ้น 60 ดอลลาร์กว่าๆ จากนั้นก็แทบจะไม่ปรับ กลับลงมาที่ระดับต่ำอีกเลย
และพุ่งทะยาน อย่างหวาดเสียวเฉียดๆ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลอยู่หลายครั้งในช่วงปลายปี 2550 กระทั่งมาทุบสถิติสำคัญเมื่อ 2 มกราคม 2551
 

ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของกระบวนการปล้นน้ำมันของระบอบทักษิณนั้น พ.ต.รัฐเศรษฐ กล่าวว่า
ได้แก่รถสิบล้อ รถปิ๊กอัพ รวมไปถึงควายเหล็กของชาวบ้าน สำหรับหลักในการคำนวณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ระบุเป็นบาเรลนั้น
สามารถคำนวณได้ คือ 1 บาเรล เท่ากับ 159 ลิตร โดย 1 ดอลลาร์ เท่ากับ 33 บาท ซึ่งถ้าคำนวณเป็นเงินแล้ว 1 ลิตร
จะเท่ากับ 27.78 บาท แต่วันนี้บ้านเราขายน้ำมันดีเซลลิตรละ 42 บาท ซึ่งถือว่าแพงเกินกว่าปกติ และแพงที่สุดในโลก
เพราะคำนวณกลับไปแล้วจะพบว่า ราคำน้ำมันจะเท่ากับราคา 202 ดอลลาร์ต่อบาเรล ทั้งๆ
ที่ราคาน้ำมันในประเทศสหรัฐอเมริกาเพียง 138 ดอลลาร์ต่อบาเรล ดังนั้นเศรษฐกิจไทยจะหายนะมากยิ่งขึ้น ถ้าเราไม่รวมตัวกัน

 “ในภูมิภาคของเรา มีทรัพยากรธรรมชาติอยู่มากมายมหาศาล แต่กลับต้องใช้น้ำมันราคาแพงกว่าประเทศสิงคโปร์
และหลังจากการแปรรูป ปตท.เข้าตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีกำลังการผลิตน้ำมันวันละ 100 ล้านลิตร คิดคำนวณเป็นเงินแล้ว
ถัวเฉลี่ยตกวันละ 2,500 ล้านบาท นี่คือปิโตเลียมบนผืนแผ่นดินไทย ซึ่งไม่มีใครเคยบอกเรา มีแต่บอกว่านำเข้านำมัน
ดังนั้นเราจะต้องกอบกู้เอาพลังงานปิโตเลียม และน้ำมัน กลับมาเป็นของประชาชนโดยตรง ซึ่งไม่ใช่ของระบอบทักษิณ”พ.ต.รัฐเศรษฐ ระบุ
       
       พ.ต.รัฐเศรษฐ กล่าวอีกว่า ที่สำคัญ คือ แหล่งน้ำมันดิบ และแก๊สธรรมชาติ ที่เขาไม่ยอมเปิดเผยข้อเท็จจริง
โดยวันนี้เราผลิตแก๊สธรรมชาติได้วันละ 5,000 ล้านลูกบาตรฟุต ซึ่งคำนวณแล้ว ไทยสามารถผลิตได้เฉลี่ย 138 ล้านลิตรต่อวัน
แล้วยังมาอ้างว่าประเทศไทยไม่มีแก๊ส ต้องนำเข้า จนเป็นเงื่อนไขขอขึ้นราคา ขอลอยตัวแก๊ส อย่างนี้ยุติธรรมกับประชาชนหรือไม่
อีกทั้งแท่นขุดเจาะน้ำมันในอ่าวไทย และบนบก ซึ่งมีอยู่ประมาณ 1,300 แท่น ซึ่งมีทรัพย์สินประมาณ 1 ล้านล้านบาท
แต่เมื่อระบอบทักษิณเอาไปแปรรูปเข้าตลาดหลักทรัพย์ขายเพียง 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งหมดเพียงระยะเวลา 1 นาที กว่าๆเท่านั้น
       
       “ผมแทบน้ำตาไหล เพราะผมทำงานอยู่ที่แท่นขุดเจาะน้ำมัน เพราะน้ำมันดิบที่ขึ้นมา เขาเอาใส่เรือวิ่งไปทางสิงคโปร์
และออกไปทางจีน ญี่ปุ่น และอเมริกา ซึ่งไม่เข้าระบบกลไกภาษีของเรา เพราะมีเท่าไหร่เขารับซื้อไม่อั้น
ตรงนี้มูลค่าความเสียหายมากมายมหาศาล นอกจากนี้ แม้แต่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เขาก็เอาไปไว้ที่อาคารชินวัตรชั้น 26
ที่สำคัญหลังจากที่แปรรูป ปตท.ไปแล้ว รัฐบาลซึ่งถือหุ้นใหญ่ 52 เปอร์เซ็นต์ แต่กลับได้เปอร์เซ็นต์น้อยมากเพียง 3 หมื่นล้านบาท
และภาษีน้ำมันรวมผลิตภัณฑ์ทุกอย่างได้แค่ 7.7 หมื่นล้านบาทต่อปี ทั้งๆ ที่ ปตท.บอกว่า ภาษีน้ำมันประมาณ 13 บาท
ส่งให้หลวงหมด ซึ่ง 1 ปี ตกอยู่ที่ประมาณ 6-7 แสนล้านบาท เงินหายไป 5-6 แสนล้านบาทต่อปี รวมทั้งสิ้นเมื่อ ปตท.แปรรูป
เงินหายไป 3.5 ล้านล้านบาท แล้วใครจะรับผิดชอบ”พ.ต.รัฐเศรษฐ ระบุ
       
       พ.ต.รัฐเศรษฐ กล่าวอีกว่า ดังนั้นถ้ามีการยึดทรัพย์ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี
จะจ่ายคืนให้กับเราวันละประมาณ 1,500 ล้านบาท ที่เราถูกโกงไปหรือไม่ ซึ่งเราไม่เคยได้รับรู้รับทราบ
เพราะไม่เคยมีใครเปิดเผยข้อมูล ทั้งนี้ตนพร้อมที่จะรับผิดชอบ เพราะข้อมูลข่าวสารที่ออกมานั้น เป็นของราชการทั้งสิ้น


* 1dsfa.jpg (43.23 KB, 400x368 - ดู 1642 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-07-2008, 00:50 โดย chaturant » บันทึกการเข้า
chaturant
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 499



« ตอบ #31 เมื่อ: 29-07-2008, 00:58 »

กรุงเทพฯ—นักวิชาการในตะวันออกกลางได้แสดงความวิตกว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ไทย-กัมพูชา อาจจะมีความขัดแย้งจนถึงขั้นเปิดสงครามย่อยๆ ขึ้นได้ ในยุคที่เริ่มมีการพัฒนาอุตสาหกรรมน้ำในกัมพูชาและเส้นแบ่งพรมแดนในเขตอ่าวไทยยังไม่ชัดเจน พร้อมทั้งแนะนำให้ทั้งสองประเทศรีบเจรจาหาทางปักปันเขตแดนทางทะเลให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
       
       ดร.อับดุลเลาะห์ อัล มาดินี (Dr Abdullah Al Madani) นักวิจัยและอาจารย์สอนวิชาเอเชียศึกษาที่มีชื่อเสียงแห่งคูเวต ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ในบทความชิ้นหนึ่งที่มีการตีพิมพ์เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์กัล์ฟนิวส์ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จากนั้นก็มีการเผยแพร่ต่อในสื่อออนไลน์อีกหลายแห่ง
       
       นักวิชาการผู้นี้ได้แสดงความเป็นห่วงสถานการณ์ในกัมพูชาที่ยังมีการคอร์รัปชันแพร่หลาย เกรงว่าจะพัฒนาตามรอยประเทศไนจีเรีย ที่ร่ำรวยด้วยน้ำมัน แต่ประชาชนของประเทศนี้ไม่ได้รับประโยชน์อะไรทั้งสิ้น จากขุมพลังงานของชาติ
       
       การสำรวจทำให้มีการพบน้ำมันและก๊าซธรรมชาติปริมาณมหาศาล ตามเขตรอยต่อน่านน้ำของกัมพูชาและไทย ในขณะที่เขตแดนทางทะเลระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านยังไม่ชัดเจน



การกำหนดเขตแดนทางทะเลกระทำยากกว่าปักปันเขตแดนทางบกหลายเท่า โชคร้ายมากอ่าวไทยร่ำรวยด้วยน้ำมันและก๊าซ

 
       ในกัมพูชาได้มีการยืนยันการพบน้ำมันดิบและก๊าซเมื่อปี 2547 โดยบริษัทเชฟรอน (Chevron Corp) จากสหรัฐฯ ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าสำรวจขุดเจาะ แต่จะยังไม่มีการผลิตในปริมาณมากแต่อย่างไร จนกว่าจะถึงปี 2552 หรือ อีก 2-3 ปีข้างหน้า และ ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านที่ใหญ่โตกว่าก็อาจจะตึงเครียดขึ้นในช่วงนั้น
       
       กัมพูชาเองอาจจะตระหนักดีว่า คงไม่มีทางที่จะนำเอาน้ำมันดิบในแหล่งนอกชายฝั่งขึ้นไปใช้ประโยชน์ได้โดยลำพัง เมื่อปี 2543 จึงได้เสนอต่อประเทศไทยให้ยกเลิกประเด็นเกี่ยวกับอธิปไตยออกไปก่อน และ สองประเทศร่วมกันพัฒนาแหล่งน้ำมันและก๊าซในเขตน่านน้ำที่เหลื่อมล้ำกัน
       
       แต่ประเทศไทยได้ปฏิเสธข้อเสนอของกัมพูชา ซึ่งหลายฝ่ายเข้าใจว่าอาจจะมีสาเหตุจากความไม่ลงรอยกันในประวัติศาสตร์ ตลอดจนอารมณ์ความรู้สึกเกี่ยวกับชาตินิยม ดร.อัลมาดินี กล่าวในบทเขียน
       
       อย่างไรก็ตามในปี 2544 สองประเทศได้ร่วมกันลงนามในบันทึกช่วยความจำฉบับหนึ่งเกี่ยวกับการแก้ปัญหาข้อขัดแย้งพรมแดน แต่ก็ยังไม่มีการตกลงใดๆ ไม่ว่าจะเป็นสนธิสัญญาปักปันเขตแดน หรือ ข้อตกลงเกี่ยวกับการจัดตั้งพื้นที่ร่วมพัฒนา (joint-development area)
       
       ปัจจุบันราว 40% ของประชากร ราว 14 ล้านคนมีชีวิตความเป็นอยู่ใต้เส้นแบ่งความยากจน มีรายได้เพียงวันละ 50 เซ็นต์ (18 บาท) ราวครึ่งหนึ่งของเด็กๆ และเยาวชนในประเทศ ไม่มีโอกาสได้เรียนจนจบระดับประถมศึกษา เด็ก 30,000 คน เสียชีวิตในทุกปีจากโรคที่สามารถป้องกันได้ และ มีประชาชนในชนบทเพียงครึ่งเดียวที่มีไฟฟ้าใช้
       
       "มองจากสถาบันประชาธิปไตยที่บอบบางของประเทศและประวัติที่ไม่ค่อยดีเกี่ยวกับธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และการเคารพสิทธิมนุษยชน กัมพูชาอาจจะก้าวตามรอยเท้าของไนจีเรียได้อย่างง่ายดาย" ดร.อัลมาดินี กล่าว
       
       ก่อนหน้านี้ก็ได้มีผู้แสดงความห่วงใยการพัฒนาอุตสาหกรรมน้ำมันในกัมพูชามาแล้วหลายคน ทุกคนล้วนแต่วิตกว่าประเทศนี้เป็นเป็นแบบไนจีเรีย ขณะที่บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่หลายแห่งจากญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน มาเลเซีย สิงคโปร์ คูเวต ออสเตรเลีย และ ฝรั่งเศส หรือ ประเทศไทยเอง ต่างก็มุ่งหน้าเข้าไปสำรวจหาแหล่งพลังงานที่นั่น
 


เรือสำรวจของบริษัทน้ำมันญี่ปุ่นปฏิบัติงานอยู่ในเขตน่านน้ำกัมพูชา ที่นั่นไม่มีข้อขัดแย้งอะไร
 
 
 
       มีรายงานการศึกษาหลายชิ้นที่จัดทำโดยสหประชาชาติ ธนาคารโลก มหาวิทยาลัยฮาวาร์ดส์ และ สถาบันที่ชื่อถือได้อื่นๆ ซึ่งทำให้ได้ข้อสรุปว่า ในกัมพูชาอาจจะมีน้ำมันดิบอยู่ถึง 2,000 ล้านบาร์เรล กับก๊าซธรรมชาติอีก 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต (tcf)
       
       เมื่อคิดคำนวณตามราคาตลาดโลกในปัจจุบัน กัมพูชาก็อาจจะมีรายได้ปีละ 6,000 ล้านดอลลาร์ ภายใน 2 ทศวรรษข้างหน้า ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่มากกว่าผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพี ซึ่งมีจำนวนเพียงประมาณ 5,000 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน และ สูงกว่ารายได้ภายในประเทศกับความช่วยเหลือจากต่างประเทศรวมกันหลายเท่าตัว
       
       การพบน้ำมันของบริษัทเชฟรอนคอร์ปในเขตนอกายฝั่งทางตะวันตกเฉียงใต้ ได้ยืนยันถึงความร่ำรวยพลังงานของกัมพูชา ซึ่งในช่วง 2 ปีมานี้เชฟรอนได้ทำการเจาะสำรวจใน 9 บ่อในอ่าวไทย และพบน้ำมันใน 5 บ่อ ในปีนี้ยักษ์ใหญ่น้ำมันจากสหรัฐฯ มีแผนการจะเจาะสำรวจอีกใน 10 บ่อ
       
       แน่นอนที่สุดนี่เป็นข่าวดีสำหรับประเทศนี้ ซึ่งหลายสิบปีผ่านมาต้องเผชิญกับความยากจนแสนสาหัส สงครามและทรราช
       
       อย่างไรก็ตามผู้สังเกตการณ์หลายคน รวมทั้งสถาบันระหว่างประเทศหลายแห่งพากันกล่าวว่า ความร่ำรวยน้ำมันของกัมพูชาอาจจะไม่ได้เป็นเครื่องจักรในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และ อาจจะเป็นสิ่งที่เรียกว่า "คำสาปน้ำมัน" (Oil Curse) คำเปรียบเปรยกับความชั่วร้าย ซึ่งน้ำมันได้ทำให้เกิดการคอร์รัปชันแพร่ลาม เกิดความไร้เสถียรภาพ ทำให้ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนห่างกันออกไป อันเป็นสาเหตุของความไม่สงบทางสังคม
       
       ข้อถกเถียงอันนี้สืบเนื่องมาจากกรณีที่ประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่งเคยมีประสบการมาแล้ว หลังจากที่ได้กลายเป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำมัน ร่ำรวยขึ้นมาในทันทีทันใด
       
       ตัวอย่างที่ดีที่สุดของ Oil Curse ก็คือ ไนจีเรีย ประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในทวีปแอฟริกา แต่ประเทศนี้กลับเต็มไปด้วยความยากจนกับการคอร์รัปชันที่แพร่ลาม



แต่บางอาณาบริเวณที่ไทยกำลังทำการสำรวจขุดเจาะก็อยู่ติดกับเขตน่านน้ำของประเทศเพื่อนบ้าน แผนที่ทางทะเลที่บริษัทญี่ปุ่นจัดทำขึ้นนี้ได้ระบุเขต Overlapping Area เอาไว้ชัดเจน
 
 
 
       นับตั้งแต่มีการพบน้ำมันในต้นทศวรรษที่ 1970 ไนจีเรียได้ ส่งออกน้ำมันดิบไปแล้วเป็นมูลค่ากว่า 400,000 ล้านดอลลาร์ แต่ประชาชนไม่เคยได้รับประโยชน์ใดๆ จากสิ่งนี้ ในปัจจุบัน 70% ของประชากรยังมีรายได้เพียงวันละไม่ถึง 1 ดอลลาร์
       
       มิหนำซ้ำไนจีเรียยังมีหนี้สินอยู่อีกราว 30,000 ล้านดอลลาร์ อันเนื่องมาจากคอร์รัปชัน การบริหารจัดการที่ผิดพลาด และ การครองอำนาจของเผด็จการทหารชุดแล้วชุดเล่า
       
       สำหรับกัมพูชานั้นแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในแง่บวกในประเทศนี้มาตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษที่ 1990 แต่กัมพูชาก็ยังถูกมองเป็นประเทศที่มีการฉ้อราชบังหลวงสูงที่สุดประเทศหนึ่งในโลก มีการเล่นพรรคเล่นพวก มีการติดสินบนเพื่อให้ได้สัญญาทางธุรกิจการลงทุน มีการใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชนโดยพรรคประชาชนกัมพูชา (Cambodia People's Party) หรือ CPP ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล
       
       ในข้อเท็จจริงรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีฮุนเซน ได้ออกกฎหมายจัดตั้งองค์การปิโตรเลียมแห่งชาติ (Cambodian National Petroleum Authority) ขึ้นมา อยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดยตรง
       
       กลุ่มประเทศผู้บริจาคก็ไม่ประสบความสำเร็จมากนักในการชักชวนให้นายฮุนเซนทำการปฏิรูปที่จำเป็นหลายอย่าง และ ยอมรับปฏิบัติตามมาตรฐานระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและเรื่องอื่นๆ
       
       เมื่อน้ำมันดิบเริ่มไหลออกจากบ่อ กัมพูชาก็ยิ่งจะเป็นอิสระจากประเทศผู้บริจาค และอาจจะปฏิเสธการปฏิรูปไปเลยในที่สุด ไม่ต้องขึ้นต่อกับสถาบันการเงินใดๆ อีก แม้กระทั่งธนาคารโลก รัฐบาลอาจจะเป็นเผด็จการมากขึ้น ไม่ต้องฟังเสียงประชาชนอีกต่อไป ดร.อัลมาดินี กล่าว
       
       โดยสรุป-- กัมพูชาอาจจะสามารถหลีกเลี่ยง "คำสาปน้ำมัน" ได้ ถ้าหากประเทศนี้กระจายการพัฒนาเศรษฐกิจออกไปในหลายทิศหลายทาง ปฏิรูปสถาบันต่างๆ ปราบปรามการคอร์รัปชัน กระชับความเข้มแข็งของระบบการเงินในประเทศ
       
       หรือ อีกทางหนึ่งหากไม่มีการตรวจสอบเพื่อถ่วงดุลอย่างเพียงพอ ผลประโยชน์จากการค้นพบน้ำมันก็อาจจะถูกดูดออกไปโดยเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจอิทธิพล และไม่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวมอย่างสิ้นเชิง
       
       เพื่อที่จะใช้การค้นพบน้ำมันให้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาและสันติภาพ กัมพูชาควรจะทำงานให้หนักยิ่งขึ้นกับประเทศไทย เพื่อหาทางกำหนดเขตแดนทางทะเลให้ได้ ดร.อัลมาดินีกล่าว.
 
ผู้จัดการออนไลน์



http://www.marinerthai.com/forum/index.php?topic=502.msg1445


* 2007-02-22-001.jpg (20.85 KB, 450x328 - ดู 1510 ครั้ง.)

* 2007-02-22-003.jpg (49.11 KB, 400x390 - ดู 1552 ครั้ง.)

* 2007-02-22-002.jpg (21.41 KB, 400x339 - ดู 1483 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
333Unit
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 87


Don't belive what U see.But,Belive what it be.


เว็บไซต์
« ตอบ #32 เมื่อ: 29-07-2008, 02:19 »

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณยิ่งด้วยความจริงใจ สำหรับข้อมูลของคุณ chaturant  และก็เป็นคำตอบเรื่องการขุดคอคอดกระที่คุณนีโอคอมมิวนิสต์ ได้เขียนถึงนั้นเป็นเรื่องเดียวกัน ซึ่งหากท่านทั้งหลายได้อ่านข้อมูลของคุณ Chaturant แล้วจะเห็นได้ว่า เจือสมและสอดคล้องกับข้อมูลที่ได้นำเสนอไปก่อนหน้านั้น เป็นเนื้อเรื่องเดียวกัน ซึ่งหากท่านได้อ่านเรื่องนี้โดยพิจารณา ตาม Time Line การปฏิบัติงานของ "ทักษิณ & The Gang" ก็จะสามารถเรียงร้อยต่อเรื่องได้ และพร้อมนั้นยังสามารถแยกประเด็นปัญหาหลักในเรื่องความมั่นคงของประเทศได้เป็นสองข้อใหญ่ ๆ ด้วยกันคือ
1. ปัญหาความขัดแย้งใน 3 ภาคใต้ (อันเป็นพื้นที่พลังงานน้ำมัน ไทย-มาเลย์)
2. ปัญหาความแตกความสามัคคีของชนในชาติ

ทั้งสองกรณีนี้ เราท่านไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามาจากการกระทำของ " สิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ นามว่า " ทักษิณ " เพราะภาคใต้ เกิดเหตุก็เพราะ การปฏิบัติการประสานงานระหว่าง ทักษิณ กับ CIA ตามข้อตกลงหลัง 911
........ดังนั้นจึงมีการสร้างสถานการณ์ "ตากใบ"(ตามคำสั่ง รมว.ตท.ของ US เดินทางมา) จากนั้นยุบ ศอบต. แล้วเอา CIA เข้ามาตั้งโรงเรียนที่นนทบุรี โดยมีนายตำรวจติดตาม(ซึ่งไปรับที่สนามบินตอนทักษิณกลับมา) เป็นผู้อำนวยการ และ CIA ได้อบรมเจ้าหน้าที่การเข่าวเข้าควบคุมการข่าวในพื้นที่ภาคใต้เสียเองทั้งหมด โดยกำจัดสายข่าว(จากรายชื่อที่ได้จากHard Diskของ ศอบต.) จัดฝึกกองโจรที่ค่ายราชบุรี(เขตติดต่อผาผึ้ง-กาญจนบุรี) โดยนำหน่วยอีแลมเข้ามาฝึก แล้วออกปฏิบัติการในพื้นที่ 3 จชต. (เช่นการเผา ทำลาย 30 จุด พร้อมกันในวัน ว. เวลา น. เดียวกัน) ส่วนการจับแกนนำซึ่งเป็นผู้นำศาสนานั้น เป็นรายชื่อซึ่ง CIA ให้รายชื่อแก่ทาง ทภ.4 ซึ่งต้องดำเนินการตามนั้น จึงทำให้ทหาร ตำรวจ และประชาชนผู้บริสุทธิ ต้องเสียชีวิต อย่างไม่มีที่สิ้นสุด(สิ่งที่กล่าวมานี้มีหลักฐานยืนยันเป็นเอกสาร)

 ........ พร้อมนั้นได้สร้าง " ไอ้โม่ง " ที่ไม่มีตัวตนเป็น " ขบวนการแบ่งแยกดินแดนภาคใต้" เพื่อให้ดูสมจริง พร้อมนั้นได้อาศัยอำนาจบริหาร วาง นโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อไม่ให้อำนาจอธิปไตยของประเทศสามารถปกครองหรือควบคุมเขตดังกล่าวได้(ซึ่งจะประกาศออกใช้ในไม่ช้า) และการตัดแบ่งประเทศไทยเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นภายในรัฐบาลสมัครนี้อย่างไม่มีการเปลี่ยนแปลง นั่นคือ " การขุดคอคอดกระ " (ซึ่งผู้นำประเทศUS จะเดินทางเจรจากับรัฐบาลไทยเรื่องนี้ภายในเดือนหน้านี้)

..... การแบ่งประเทศใหม่จะเกิดขึ้น เป็นขั้นตอนดังนี้ 1.ประกาศเป็นเขตปกครองพิเศษก่อน 2.จากนั้น จึงตัดคอคอดกระ โดยอ้างว่าเป็นการสร้างงาน และสร้างรายได้ให้กับประเทศ และก็จะเกิดประเทศใหม่เหมือนปานามา เพราะสิ่งที่กล่าวนี้ US ได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าเป็นสิบ ๆ ปี ตามนโยบายปิดล้อมจีน และเข้าครอบครอง 2 คาบมหาสมุทรคือ มหาสมุทรอินเดีย กับ แปซิฟิค ซึ่งมีเพียงด้ามขวานไทยเท่านั้นที่ขั้นอยู่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการขนถ่ายน้ำมันจากพื้นที่อ่าวไทย-กัมพูชา ออกสู่โลก โดยไม่ต้องอ้อมผ่านช่องแคบมะละกา ได้อย่างสะดวกยิ่ง

.... ดังนั้น ด้วยสถานการณ์พลังงานโลก ณ ปัจจุบัน จึงทำให้รัฐบาลUS ดำเนินการตามแผนที่กล่าวแล้วนั้นในขั้นเข้าควบคุม ช่วงชิงยึดพื้นที่ให้ได้ก่อนจีน ซึ่งขณะนี้ ท่านจะทราบกันหรือไม่ว่า กองเรือพร้อมรบของสหรัฐ ได้เตรียมพร้อมปฏิบัติการทางทหาร ไม่ใช่ที่เกาะกวม ฟิลิปปินส์ แต่อยู่ที่สีหนุวิลล์นี่เอง โปรดดูภาพหลักฐานประกอบ
บันทึกการเข้า

333Unit
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 87


Don't belive what U see.But,Belive what it be.


เว็บไซต์
« ตอบ #33 เมื่อ: 29-07-2008, 02:25 »

BUSH AND CHENEY, WHO AVOIDED THE VIETNAM WAR,
ARE PREPARING FOR A NEW U.S. MILITARY PRESENCE IN SOUTHEAST ASIA:
AFTER THE MIDDLE EAST DISASTER, GET READY FOR INDOCHINA WAR II.
24 Jul 2008 11:39:00

Inside Infomation Report

While in Southeast Asia, this editor looked into rumors that the Bush/Cheney administration has initiated a major military move into Southeast Asia to secure for itself large oil deposits discovered in the waters of the Gulf of Thailand. The U.S. military push into the region is centered on the Cambodian coast, particularly around Sihanoukville.
ขณะที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ผู้เขียนได้ฟังเสียงเล่าลือว่า ที่ปรึกษา บุชและเชนีย์
ได้เริ่มเคลื่อนย้ายกองกำลังหลักเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เพื่อปกป้องแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ที่ค้นพบในอ่าวไทย
กองกำลังของอเมริกาได้ใช้ชายฝั่งของกัมพูชาเป็นศูนย์บัญชาการ, โดยเฉพาะรอบๆ สีหนุ วิลล์
...............................................................................

USS Essex (LHD 2) and its embarked 31st Marine Expeditionary Unit (31st MEU), arrived in Sihanoukville, Cambodia, today for a scheduled port visit. USS Essex (LHD 2) is commanded by Capt. Brian T. Donegan and is forward deployed to Sasebo, Japan.
U.S. Navy ships symbolize the continued friendship between our two nations and our military services.
The Essex and 31st MEU Medical and Dental Departments will conduct medical and dental civic action programs (MEDCAP and DENCAP) in Kampong Chhnang and Preah Vihear with Royal Cambodian Armed Forces.
There will be several military to military engagements : conducting training with the National Counter Terrorism Task Force; providing English language training at the National Defense University in Phnom Penh; and conducting damage control training at Ream Naval Base.

The Essex crew will also distribute several pallets of Project Handclasp material to various non-governmental agencies in the Sihanoukville area. Project Handclasp is a U.S. Navy program that provides donated items (e.g. books, clothes, toys, medical items, etc.) to agencies and organizations in countries that could benefit from those materials.

Operating in the Western Pacific and Indian Oceans, the U.S. 7th Fleet is the largest of the forward-deployed U.S. fleets, with approximately 50 ships, 120 aircrafts and 20,000 sailors and marines assigned at any given time.

For more information, visit the U.S. 7th Fleet web site at http://www.c7f.navy.mil/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-07-2008, 02:28 โดย 333Unit » บันทึกการเข้า

Pig.Army
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 374


Anti พาล-มิต


« ตอบ #34 เมื่อ: 29-07-2008, 02:28 »

http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I6831075/I6831075.html
หากเพื่อน ๆ หรือเพื่อนสมาชิกคิดว่าตั้งหัวข้อกระทู้ไม่ตรงหมวดหมู่ โหวดลบได้นะครับ ไม่ว่ากัน

1. สนธิบอกว่าปตท.เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล 10%  ความจริงคือ เสีย 25% ต่างหาก ไปดูได้ที่งบกำไรขาดทุน ปีที่แล้ว

2. ผู้ถือหุ้นใหญ่ ปตท.คือ
- กระทรวงการคลัง 51.80%
- กองทุนวายุภักดิ์ทั้ง 2 กอง 15.46%
- สนง. ประกันสังคม 0.74%
- กองทุน กบข. 0.65%
- NVDR 1.58%

นอกจากนั้นหากไม่รวมบรรดา NOMINEE ก็จะเป็นบรรดานักลงทุนสถาบันต่างชาติ ไม่มีบรรดาตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ หรือที่บรรดาแกนนำอ้างถึงแม้แต่น้อย อาจจะมีในรูปของ NOMINEE ซึ่งเป็นไปตามหลักสากล ประเทศไหนเขาก็ยอมรับ

รบกวนเพื่อน ๆ ช่วยมาให้ข้อมูลกันหน่อยครับ ผมหาได้เท่านี้ แล้วจะหามาอีก

ส่วนตัว ให้สาบานที่ไหนก็ได้ว่า ไม่ได้ถือหุ้น ปตท.เลย ถือแต่ ปตท.เคมีคอล แต่เริ่มจะทนไม่ได้กับ พธม.คับ แล้วอย่ามาอ้างว่าลงทุนตลาดหุ้นแล้วขาดทุน พอร์ตผมมี TPC ซื้อไว้ตั้งแต่ 21.0 บาท 

..........................................................................................................................................................................

.
.
.
เข้าไปตอบหน่อยเถอะ เห็น โยงกันซะมั่วเลย   ลองไปตอบเขาหน่อยสิครับ ไอ้ที่ ลิ้ม โกหกน่ะ มันจริงหรือไม่..(เรื่อง ปตท.)
บันทึกการเข้า

  สงสัยจะดัง เลยมีคนเอาชื่อไปแอบอ้าง  ตัวจริงเสียงจริงมีคนเดียวน่ะครับ ถ้าพิมพ์แล้ว ไม่จุดเยอะๆ......ไม่ใช่ผมน่ะครับ

 (ขออภัยในบางประโยค อาจจะรุนแรงและแทงใจดำไปหน่อย)
333Unit
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 87


Don't belive what U see.But,Belive what it be.


เว็บไซต์
« ตอบ #35 เมื่อ: 29-07-2008, 02:43 »

ที่น่าสนใจจากในรายงานระบุว่า กองเรือจะส่งเจ้าหน้าที่ไป ปฏิบัติการที่เขาพระวิหาร....แปลกจัง หรือเราแปลผิด ลองแปลเองนะ
The Essex and 31st MEU Medical and Dental Departments will conduct medical and dental civic action programs (MEDCAP and DENCAP) in Kampong Chhnang and Preah Vihear with Royal Cambodian Armed Forces.




ก็เพราะเขมรมี กองทัพเรือUS เป็นกำลังหนุนอยู่ข้างหลัง (ซึ่งมีผลประโยชน์อนุญาตให้ขุดเจาะน้ำมันเป็นเครื่องแลกเปลี่ยน) ก็เลยกล้าที่จะ " ฮุบเขาพระวิหาร" อย่างหน้าตาเฉย กรณีที่ว่ายอมถอยทหารน่ะใช่ แต่ไม่ได้หมายถึงว่าจุดพิกัด 4.6 กิโลเมตร ไทยจะเข้าไปได้ หรือไทยเป็นเจ้าของ นั่นหมายถึงไทยได้เสียดินแดนทั้งทางบก(เขาพระวิหาร) และเมื่อลากเส้นลงใต้ไป ไทยก็จะเสียพื้นที่ทางทะเลอันเป็นแหล่งทรัพยากรน้ำมันอันมหาศาลให้เขมรไปโดยดุษฏี

..... ขั้นตอนต่อจากนี้ไป คือ การตัดประเทศ= "ขุดคอคอดกระ" งานนี้แว่วมาว่า ตัวประธานาธิบดีสหรัฐ จะลงทุนเดินทางมาแสดงเอง แล้วใครล่ะจะกล้าขวาง ? (นอกจากจะเป็นการเสริมบารมีให้ " ทักษิณ" แล้ว ยังเป็นการขู่กองทัพไทย ว่าหากปฏิวัติ จะไม่จ่ายเงินช่วยเหลือกองทัพให้....งานนี้ รับรอง ทหารมึน !!)
บันทึกการเข้า

สมชายสายชม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,048


« ตอบ #36 เมื่อ: 29-07-2008, 08:31 »

ตอนนี้ พวกเหี้esหลงหอ มันเอาใจเขมรยิ่งกว่าพ่อ  เขมรอยากได้อะไร ต้องไปประเคนให้ถึงที่
อีกหน่อย ไอ้พวกเหี้esหลงหอคงจะต้องจัดเครื่องบรรณาการส่งไปให้เขมรทุกปี
บันทึกการเข้า
NIRANAME
สมาชิกสามัญขั้นที่ 1
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 46



« ตอบ #37 เมื่อ: 29-07-2008, 08:36 »

ขอบคุณสำหรับ ข้อความดีๆครับ

(ไอ้แม้ว มันโดน มันเข้ามาเกี่ยวข้องทุกเรื่อง)
บันทึกการเข้า

www.panthamitr.com

พันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย
Scorpio6
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,210


Man on Mission *เสี่ยวฯ>สันติภาพ*


« ตอบ #38 เมื่อ: 29-07-2008, 09:54 »

ขอบคุณข้อมูลดีๆครับ
บันทึกการเข้า



คิดจะล้มระบอบทักษิณ ต้องอ่านใจเนวินและเพื่อน
บล็อกเสี่ยวไทบ้าน*แวะเยี่ยมRepublican Collage ของคุณสุธา ชันแสง*
http://www.oknation.net/blog/thaibaan/2008/03/26/entry-1
"ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนและในฐานะอย่างไร จงตรองหาว่า จะมีทางใช้ชีวิต
ให้เป็นประโยชน์ในทางใดบ้าง เมื่อตั้งใจคิดถึงมันแล้วก็จะพบเสมอ
ไม่ว่าอยู่ที่ใด เมื่อพบทางแล้วจงลงมือทำสิ่งที่เป็นประโยชน์"
trang
น้องใหม่
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5


T H A I


« ตอบ #39 เมื่อ: 29-07-2008, 10:57 »

ขอบคุณข้อมูลดีๆครับ
บันทึกการเข้า
provoke
สมาชิกสามัญขั้นที่ 1
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 26


« ตอบ #40 เมื่อ: 29-07-2008, 11:09 »

อืม....ขอบคุณครับที่รวบรวมมาให้

ผมยังเคยคิดเลย

เฮ้อ 59 แล้ว ยังอยากได้อยู่อีก น่าจะทำเพื่อสังคมแบบเปิดเผยได้แล้ว ลงมาจากหอคอยเถอะ
บันทึกการเข้า
amm
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 66


« ตอบ #41 เมื่อ: 29-07-2008, 12:56 »

 นับถือ เจ้าของกระทู้ ข้าน้อยขอคารวะ
5555 จอมแถ อิสซาร์ ลูกหิน และใครที่แอบๆอยุ่ออกมาโต้สิจ้ะ
บันทึกการเข้า
chaturant
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 499



« ตอบ #42 เมื่อ: 30-07-2008, 01:17 »

นับถือ เจ้าของกระทู้ ข้าน้อยขอคารวะ
5555 จอมแถ อิสซาร์ ลูกหิน และใครที่แอบๆอยุ่ออกมาโต้สิจ้ะ


ลูกหิน ฝ่ายเราครับ ดูแลบอร์ดด้วย  คุณลูกหินเค้าขี้เล่นอ่ะครับ...
บันทึกการเข้า
333Unit
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 87


Don't belive what U see.But,Belive what it be.


เว็บไซต์
« ตอบ #43 เมื่อ: 31-07-2008, 04:51 »

รายงานข่าวล่าสุด......

วานนี้ (วันที่ 30 กรกฎาคม 2551)  หน่วยรักษาความปลอดภัยคณะของ
ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จอร์จ ดับเบิลยู. บุช
นับ 100 นาย พร้อมอาวุธ
ครบมือ ได้เดินทางไปยัง อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อเคลียร์พื้นที่รักษาความ
ปลอดภัย เนื่องจากนางลอร่า บุช ภริยาผู้นำสหรัฐฯ มีกำหนดการเดินทางไป
อ.แม่สอด จ.ตาก ในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ เพื่อเยี่ยมนางซินเทีย หม่อง หมอ
อาสาชาวกะเหรี่ยงสัญชาติพม่า ที่รักษาผู้ป่วยตามแนวชายแดนไทย-พม่า
ที่คลีนิคแม่ตาว ถนนสายริมเมย-แม่สอด ขณะรายงานกลุ่มทหารสหรัฐและ
CIA บางส่วนเริ่มเข้าไปเคลียร์พื้นที่คลีนิคแม่ตาวแล้ว

นอกจากนี้ นางลอร่าอาจจะไปดูชายแดนไทย-พม่า และพื้นที่พักพิงผู้ลี้ภัยสงคราม
ที่บ้านแม่หละ หมู่ 9 ต.แม่หละ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก ต่อจากนั้น

******************
หมายเหตุ :::
เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่มีท่าทีเป็นภัยต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
และยุทธศาสตร์ทางทหารของสหรัฐ จึงจำเป็นจะต้องป้องกัน หรือทำลายล้างกลุ่มต่อต้าน
นั้น ๆ ก่อน เพื่อรักษาเสถียรภาพของสหรัฐในย่านเอเซียอาคเนย์
"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
.....ดังได้นำเสนอรายละเอียดให้ทราบไว้แต่ต้นแล้วว่า สาเหตุของการเดินทางมาไทยครั้งนี้
เรื่องสำคัญคือ "การตัดแบ่งประเทศใหม่ " คือ " ตัดภาคใต้ของไทยออกไป "
เพื่อประโยชน์ทางการค้า(ขนส่งน้ำมันจากอ่าวไทย-กัมพูชา) และการทหารของสหรัฐในการปิดกั้นจีน
(ท่านที่เพิ่งอ่านเฉพาะรายงานตรงนี้..โปรดกลับไปอ่านข้อมูลตั้งแต่ต้นก่อน จึงจะเข้าใจที่มาของเรื่องทั้งหมด..! )

.... ฉะนั้น  การเปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษ พร้อม ๆ ไปกับ การขุดคอคอดกระ จึงเป็นเรื่องที่จะต้องนำมาปฏิบัติ
โดยเร่งด่วนที่สุดก่อนจะถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดี ในเดือน พ.ย.51 นี้ เนื่องจากเสถียรภาพของรัฐบาลไทย
ไม่มั่นคงอย่างมากในขณะนี้

.....สำหรับหลักฐาน(Map & Time Table) จะนำมาแสดงให้พี่น้องเสรีไท ได้รับทราบทั่วกัน 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-07-2008, 04:59 โดย 333Unit » บันทึกการเข้า

Caocao
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 557



« ตอบ #44 เมื่อ: 31-07-2008, 06:05 »

ผม่ากระทู้อย่างนี้แหละสุดยอด โคตรรำคราญพวกกระทู้ไอ้เถือกทั้งหลายเลย
บันทึกการเข้า

หลับเถิดทหารกล้า ปวงประชาจะคุ้มครอง
333Unit
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 87


Don't belive what U see.But,Belive what it be.


เว็บไซต์
« ตอบ #45 เมื่อ: 03-08-2008, 01:59 »

กองกำลังที่ถูกฝึกโดย CIA เริ่มงานแล้ว

รายงานล่าสุด
วันที่ 02 สิงหาคม 2551 -  22:44:08 น.


เมื่อ เวลา 21.20 น. วันที่ 2 สิงหาคม เกิดเหตุระเบิดที่เขตเทศบาลนครสงขลา รวม 5 จุด และเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ 2 จุดในเวลาไล่เลี่ยกันโดยเขตเทศบาลนครสงขลาเป็นย่านชุมชนและการท่องเที่ยว จุดที่ได้รับความเสียหายมากสุดคือ ร้าน ดร.คูล เป็นผับวัยรุ่น อยู่ริมหาดสมิหรา เนื่องจากเป็นช่วงคืนวันเสาร์ทำให้มีผู้มาเที่ยวเป็นจำนวนมาก สำหรับทั้งนี้คนร้ายใช้รถจักรยานยนต์บรรจุระเบิด และจุดชนวนระเบิดด้วยรีโมทคอนโทรล

ส่วนจุดอื่นๆ เป็นระเบิดแสวงเครื่องที่คนร้ายแอบมาวางไว้ ที่ถนนหน้าโรงเรียนจุลสมัย หน้าร้านเซเว่นอีเลฟเว่นย่านวัดแจ้ง ร้านเซเว่นฯบริเวณถนนศรีสุดา และริมถนนหน้าโรงเรียนวชิราโพลีเทคนิค

ส่วนในเขตนครหาดใหญ่ ระเบิด 2จุด หน้าโรงแรมมายเฮ้าส์ ถนนเพชรเกษม อีกจุดที่ถนนราษฎร์อุทิศปต่เจ้าหน้าที่ตรวจพบก่อนจึงเก็บกู้ได้สำเร็จ

หลังเกิดเหตุพล.ต.ต.วิรุฬ เอี่ยมไพจิตร์ ผู้บังคับการภูธธรสงขลาสั่งตั้งด่านตรวจจุดเส้นทางขาออกทุกจุด รวมถึงอำเภอหาดใหญ่

พล.ต.ต.วิรุฬ กล่าวว่า เบื้องต้นได้รับรายงานว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บมี 2 ราย

พ.ต.อ.โชติ ชวาลวิวัฒน์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด (รอง ผบก.ภ.จว.) นราธิวาส ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าคดีคนร้ายซุกระเบิดไว้ใต้เบาะรถจักรยานยนต์แล้ว จุดระเบิดที่หน้าแผงขายสินค้าในตลาดสดเทศบาลเมืองนราธิวาส ทำให้มีผู้บาดเจ็บ 18 คน เหตุเกิด เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ที่ผ่านมาว่า จากการตรวจสอบภาพจากโทรทัศน์วงจรปิดพบว่า คดีนี้มีคนร้ายไม่ต่ำกว่า 3 คน รู้ชื่อแน่ชัดแล้ว 2 คน คือนายมะปอซี มะเด็ง อายุ 28 ปี ชาวบ้าน อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เป็นแกนนำกลุ่มโจร อาร์เคเค.ที่มีหมายจับในคดีซ่องสุมกำลังและวัตถุระเบิดในโรงเรียนปอเนาะอิส ลามบูรพา ต.กะลุวอเหนือ อ.เมืองนราธิวาส เมื่อปี 2549 และมีหมายจับคดีลอบวางระเบิดตลาดสดบางนาค เขตเทศบาลเมืองนราธิวาส เมื่อปี 2550 อีกคนคือ นายมูหะมะซูกานอ ดือเร๊ะ ชาวบ้าน อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส

'ขณะนี้จับกุมนายมะปอซีได้แล้ว ส่วนนายมูหะมะซูกานออยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐาน เพื่อออกหมายจับต่อไป' พ.ต.อ.โชติกล่าว

วลา 08.00 น. พล.ต.ต.กรีรินทร์ อินทร์แก้ว ผบก.ภ.จว.ปัตตานี พล.ต.ต.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ ผบก.ประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ช่วยราชการศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนหน้า (ศปก.ตร.สน.) จ.ยะลา พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พร้อมกำลังตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง เข้าตรวจค้นหอพักสถาบันปอเนาะสมบูรณ์ศาสน์ (ดาลอ) หมู่ 5 ต.มะนังยง อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี จำนวน 200 หลัง เพื่อค้นหาหลักฐานเพิ่มเติม หลังเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นและยิงปะทะกับคนร้ายที่เข้ามาซ่อนตัว ทำให้คนร้ายถูกยิงเสียชีวิต 1 ศพ และจับได้ 2 คน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา

จากการตรวจสอบนักเรียนในหอพักว่า 100 คน พบว่าไม่ใช่นักเรียนและเป็นคนนอกพื้นที่ 20 คน จึงนำตัวมาตรวจดีเอ็นเอ นำมาเปรียบเทียบกับข้อมูลหลักฐานต่างๆ ที่เคยเก็บไว้ในสถานที่เกิดเหตุแต่ละสถานที่ที่ผ่านมา ปรากฏว่า มีความเกี่ยวข้องกัน หลายคดี จึงควบคุมตัว 20 คน ไปสอบสวนที่ ศปก.ตร.สน.ส่วนหน้า และจากการตรวจค้นหอพักของนายมูฮำมัดอาริส ยูนุ อายุ 28 ปี คนร้ายที่เสียชีวิต นายมะซูยี ปาเนาะ อายุ 27 ปี นายสุริยา ดอเลาะ อายุ 33 ปี และนายตาร์มีซี มะแซ อายุ 27 ปี ที่ตั้งอยู่ด้านหลังสุดและติดริมคลอง ได้พบเอกสารเกี่ยวกับการติดต่อระหว่างประเทศ เสื้อลายพราง กระสุนปืนขนาด .38 กว่า 10 นัด ถังแก๊สเก่า 5 ถัง สารประกอบระเบิด และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เจ้าหน้าที่จึงยึดไว้เป็นหลักฐาน

ด้านเหตุการณ์ความไม่สงบ เมื่อเวลา 09.00 น. ขณะที่นายอิสมาแอ วาลี อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 10 หมู่ 3 ต.บาปู อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี อุสตาซ (ครูสอนศาสนา) โรงเรียนนูรูลอิสลาม หมู่ 3 ต.ท่าธง อ.รามัน จ.ยะลา ขับขี่รถจักรยานยนต์มาถึงตลาดโล๊ะหะลอ ต.เกะรอ อ.รามัน ถูกคนร้ายใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะประกบยิงเสียชีวิต

ref : http://www.matichon.co.th/news_title.php?id=2650
.......................................................................................
นี่คือหลักฐานยืนยันว่า กองกำลังติดอาวุธ ที่เคลื่อนไหวปฏิบัติการในภาคใต้นั้น ถูกฝึกโดยเจ้าหน้าที่ CIA และในครั้งนี้เป็นการShow Case โชว์ผลงานให้เจ้านายที่เดินทางมาจาก USA ได้ชื่นชม ถึงสมรรถนของครูฝึกที่ได้มาทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายมา

สิ่งที่ควรสังเกตุ
การปฏิบัติการวางระเบิด 5 จุดในเวลาเดียวกัน การเคลื่อนย้ายกำลังหลบหนีเจ้าหน้าที่อย่างลอยนวล การพราง-ลวง เป็นไปอย่างมีระบบ เกินกว่ากองโจรธรรมดาทั่วไปจะสามารถปฏิบัติการได้อย่างสอดคล้อง เครื่องมือสื่อสาร การข่าว ล้วนประสานเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างมีประสิทธิผล แสดงให้เห็นถึงบุคลากรที่ได้รับการฝึกมาแล้วเป็นอย่างดี

:: หมายเหตุ ::
คงไม่ลืมว่า ณ ขณะเวลานี้ มีเจ้าหน้าที่องค์กร CIA พร้อมอาวุธครบมือจำนวนร้อย เข้ามาปฏิบัติการในประเทศไทยโดยข้ออ้างว่ามาเคลียพื้นที่ให้บุคคลสำคัญของตนที่จะเดินทางมา ซึ่งรัฐบาลสมัคร ก็อนุญาต...โดยมิได้คำนึงถึงศักดิศรีของกองทัพไทย ที่สามารถให้ความคุ้มครองแก่บุคคลสำคัญได้ นี่คือการ "เหยียบหน้ากองทัพไทยอย่างไม่ให้เกียรติกันเลย" รวมทั้ง รัฐบาลสมัครมิได้คำนึงถึง "อธิปไตยของชาติ " ที่จะต้องไม่ให้ชนชาติ หรือกองกำลังต่างชาติใด นำพาอาวุธเข้ามาในราชอาณาจักรได้ ไม่ว่าจะโดยข้ออ้างใด ...ไม่งั้นจะเสียงบประมาณฝึกกองกำลังพิเศษSWAT ของไทยไปทำพระแสงด้ามง้าวทำไม ?
....ยิ่งเขียน ยิ่งฉุน... จบดีกว่า...เฮ้อ.!  รู้สึกว่ารัฐบาลสมัคร นี่....จะรักษาความเลวไว้ได้มั่นคง ดุจเกลือรักษาความเค็ม จริง ๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-08-2008, 02:04 โดย 333Unit » บันทึกการเข้า

สมชายสายชม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,048


« ตอบ #46 เมื่อ: 04-08-2008, 01:44 »

ดูดิว่าพันธมิตรหนักแน่นแค่ไหน ถ้ามีทางเลือกไม่ถูกมัดมือชก จะไม่ใช้สินค้า ปตท.

บันทึกการเข้า
Caocao
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 557



« ตอบ #47 เมื่อ: 04-08-2008, 08:59 »

กองกำลังที่ถูกฝึกโดย CIA เริ่มงานแล้ว

รายงานล่าสุด
วันที่ 02 สิงหาคม 2551 -  22:44:08 น.


เมื่อ เวลา 21.20 น. วันที่ 2 สิงหาคม เกิดเหตุระเบิดที่เขตเทศบาลนครสงขลา รวม 5 จุด และเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ 2 จุดในเวลาไล่เลี่ยกันโดยเขตเทศบาลนครสงขลาเป็นย่านชุมชนและการท่องเที่ยว จุดที่ได้รับความเสียหายมากสุดคือ ร้าน ดร.คูล เป็นผับวัยรุ่น อยู่ริมหาดสมิหรา เนื่องจากเป็นช่วงคืนวันเสาร์ทำให้มีผู้มาเที่ยวเป็นจำนวนมาก สำหรับทั้งนี้คนร้ายใช้รถจักรยานยนต์บรรจุระเบิด และจุดชนวนระเบิดด้วยรีโมทคอนโทรล

ส่วนจุดอื่นๆ เป็นระเบิดแสวงเครื่องที่คนร้ายแอบมาวางไว้ ที่ถนนหน้าโรงเรียนจุลสมัย หน้าร้านเซเว่นอีเลฟเว่นย่านวัดแจ้ง ร้านเซเว่นฯบริเวณถนนศรีสุดา และริมถนนหน้าโรงเรียนวชิราโพลีเทคนิค

ส่วนในเขตนครหาดใหญ่ ระเบิด 2จุด หน้าโรงแรมมายเฮ้าส์ ถนนเพชรเกษม อีกจุดที่ถนนราษฎร์อุทิศปต่เจ้าหน้าที่ตรวจพบก่อนจึงเก็บกู้ได้สำเร็จ

หลังเกิดเหตุพล.ต.ต.วิรุฬ เอี่ยมไพจิตร์ ผู้บังคับการภูธธรสงขลาสั่งตั้งด่านตรวจจุดเส้นทางขาออกทุกจุด รวมถึงอำเภอหาดใหญ่

พล.ต.ต.วิรุฬ กล่าวว่า เบื้องต้นได้รับรายงานว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บมี 2 ราย

พ.ต.อ.โชติ ชวาลวิวัฒน์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด (รอง ผบก.ภ.จว.) นราธิวาส ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าคดีคนร้ายซุกระเบิดไว้ใต้เบาะรถจักรยานยนต์แล้ว จุดระเบิดที่หน้าแผงขายสินค้าในตลาดสดเทศบาลเมืองนราธิวาส ทำให้มีผู้บาดเจ็บ 18 คน เหตุเกิด เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ที่ผ่านมาว่า จากการตรวจสอบภาพจากโทรทัศน์วงจรปิดพบว่า คดีนี้มีคนร้ายไม่ต่ำกว่า 3 คน รู้ชื่อแน่ชัดแล้ว 2 คน คือนายมะปอซี มะเด็ง อายุ 28 ปี ชาวบ้าน อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เป็นแกนนำกลุ่มโจร อาร์เคเค.ที่มีหมายจับในคดีซ่องสุมกำลังและวัตถุระเบิดในโรงเรียนปอเนาะอิส ลามบูรพา ต.กะลุวอเหนือ อ.เมืองนราธิวาส เมื่อปี 2549 และมีหมายจับคดีลอบวางระเบิดตลาดสดบางนาค เขตเทศบาลเมืองนราธิวาส เมื่อปี 2550 อีกคนคือ นายมูหะมะซูกานอ ดือเร๊ะ ชาวบ้าน อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส

'ขณะนี้จับกุมนายมะปอซีได้แล้ว ส่วนนายมูหะมะซูกานออยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐาน เพื่อออกหมายจับต่อไป' พ.ต.อ.โชติกล่าว

วลา 08.00 น. พล.ต.ต.กรีรินทร์ อินทร์แก้ว ผบก.ภ.จว.ปัตตานี พล.ต.ต.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ ผบก.ประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ช่วยราชการศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนหน้า (ศปก.ตร.สน.) จ.ยะลา พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พร้อมกำลังตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง เข้าตรวจค้นหอพักสถาบันปอเนาะสมบูรณ์ศาสน์ (ดาลอ) หมู่ 5 ต.มะนังยง อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี จำนวน 200 หลัง เพื่อค้นหาหลักฐานเพิ่มเติม หลังเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นและยิงปะทะกับคนร้ายที่เข้ามาซ่อนตัว ทำให้คนร้ายถูกยิงเสียชีวิต 1 ศพ และจับได้ 2 คน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา

จากการตรวจสอบนักเรียนในหอพักว่า 100 คน พบว่าไม่ใช่นักเรียนและเป็นคนนอกพื้นที่ 20 คน จึงนำตัวมาตรวจดีเอ็นเอ นำมาเปรียบเทียบกับข้อมูลหลักฐานต่างๆ ที่เคยเก็บไว้ในสถานที่เกิดเหตุแต่ละสถานที่ที่ผ่านมา ปรากฏว่า มีความเกี่ยวข้องกัน หลายคดี จึงควบคุมตัว 20 คน ไปสอบสวนที่ ศปก.ตร.สน.ส่วนหน้า และจากการตรวจค้นหอพักของนายมูฮำมัดอาริส ยูนุ อายุ 28 ปี คนร้ายที่เสียชีวิต นายมะซูยี ปาเนาะ อายุ 27 ปี นายสุริยา ดอเลาะ อายุ 33 ปี และนายตาร์มีซี มะแซ อายุ 27 ปี ที่ตั้งอยู่ด้านหลังสุดและติดริมคลอง ได้พบเอกสารเกี่ยวกับการติดต่อระหว่างประเทศ เสื้อลายพราง กระสุนปืนขนาด .38 กว่า 10 นัด ถังแก๊สเก่า 5 ถัง สารประกอบระเบิด และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เจ้าหน้าที่จึงยึดไว้เป็นหลักฐาน

ด้านเหตุการณ์ความไม่สงบ เมื่อเวลา 09.00 น. ขณะที่นายอิสมาแอ วาลี อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 10 หมู่ 3 ต.บาปู อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี อุสตาซ (ครูสอนศาสนา) โรงเรียนนูรูลอิสลาม หมู่ 3 ต.ท่าธง อ.รามัน จ.ยะลา ขับขี่รถจักรยานยนต์มาถึงตลาดโล๊ะหะลอ ต.เกะรอ อ.รามัน ถูกคนร้ายใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะประกบยิงเสียชีวิต

ref : http://www.matichon.co.th/news_title.php?id=2650
.......................................................................................
นี่คือหลักฐานยืนยันว่า กองกำลังติดอาวุธ ที่เคลื่อนไหวปฏิบัติการในภาคใต้นั้น ถูกฝึกโดยเจ้าหน้าที่ CIA และในครั้งนี้เป็นการShow Case โชว์ผลงานให้เจ้านายที่เดินทางมาจาก USA ได้ชื่นชม ถึงสมรรถนของครูฝึกที่ได้มาทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายมา

สิ่งที่ควรสังเกตุ
การปฏิบัติการวางระเบิด 5 จุดในเวลาเดียวกัน การเคลื่อนย้ายกำลังหลบหนีเจ้าหน้าที่อย่างลอยนวล การพราง-ลวง เป็นไปอย่างมีระบบ เกินกว่ากองโจรธรรมดาทั่วไปจะสามารถปฏิบัติการได้อย่างสอดคล้อง เครื่องมือสื่อสาร การข่าว ล้วนประสานเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างมีประสิทธิผล แสดงให้เห็นถึงบุคลากรที่ได้รับการฝึกมาแล้วเป็นอย่างดี

:: หมายเหตุ ::
คงไม่ลืมว่า ณ ขณะเวลานี้ มีเจ้าหน้าที่องค์กร CIA พร้อมอาวุธครบมือจำนวนร้อย เข้ามาปฏิบัติการในประเทศไทยโดยข้ออ้างว่ามาเคลียพื้นที่ให้บุคคลสำคัญของตนที่จะเดินทางมา ซึ่งรัฐบาลสมัคร ก็อนุญาต...โดยมิได้คำนึงถึงศักดิศรีของกองทัพไทย ที่สามารถให้ความคุ้มครองแก่บุคคลสำคัญได้ นี่คือการ "เหยียบหน้ากองทัพไทยอย่างไม่ให้เกียรติกันเลย" รวมทั้ง รัฐบาลสมัครมิได้คำนึงถึง "อธิปไตยของชาติ " ที่จะต้องไม่ให้ชนชาติ หรือกองกำลังต่างชาติใด นำพาอาวุธเข้ามาในราชอาณาจักรได้ ไม่ว่าจะโดยข้ออ้างใด ...ไม่งั้นจะเสียงบประมาณฝึกกองกำลังพิเศษSWAT ของไทยไปทำพระแสงด้ามง้าวทำไม ?
....ยิ่งเขียน ยิ่งฉุน... จบดีกว่า...เฮ้อ.!  รู้สึกว่ารัฐบาลสมัคร นี่....จะรักษาความเลวไว้ได้มั่นคง ดุจเกลือรักษาความเค็ม จริง ๆ


แสดงว่าข้อมูลที่เคยหลุดมาจากบิ๊กจิ๋วเป็นจริงใช่ไหม เรื่องหน่วยงานลับของ CIA 
บันทึกการเข้า

หลับเถิดทหารกล้า ปวงประชาจะคุ้มครอง
GODFATHER
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 112


« ตอบ #48 เมื่อ: 04-08-2008, 17:20 »

ฟังดูดีเหมือนที่ทักษิณทำบุญประเทศที่วัดพระแก้ว และทักษิณจะเป็นประธานาธิบดีเลย.....คุณดูสภาพไอ้ลิ้มอย่างนี้น่าเคารพศรํทธามากเลยนะ...แต่ใครจะเคารพศรัทธาก็ตามสะบายผมขอสละสิทธิ์พ่อแม่ผมสอนมาดีนะ..เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้


* 200791822718_63_p572813721pq2.jpg (62.45 KB, 200x200 - ดู 1337 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
login not found
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,523



« ตอบ #49 เมื่อ: 04-08-2008, 17:36 »

ฟังดูดีเหมือนที่ทักษิณทำบุญประเทศที่วัดพระแก้ว และทักษิณจะเป็นประธานาธิบดีเลย.....คุณดูสภาพไอ้ลิ้มอย่างนี้น่าเคารพศรํทธามากเลยนะ...แต่ใครจะเคารพศรัทธาก็ตามสะบายผมขอสละสิทธิ์พ่อแม่ผมสอนมาดีนะ..เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้

เอามาแต่รูปเสือกไม่เอาที่มามาด้วยอีกแล้ว
ตอนนั้นเขาประมูลเสื้อที่สนธิใส่ สนธิก็เลยถอดเสื้อให้

ชื่อเป็นเจ้าพ่อ แต่ปัญญาควายๆอย่างนี้เป็นลูกน้องเขายังจะเป่ามรึงทิ้งเลย ห่วยว่ะ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2
    กระโดดไป: