น้องเมียเตชซี้'นพดล' ดึง'ลูกสาว'เป็นเลขาฯ Sunday, 27 July 2008
สุรินทร์:เลขาอาเซียน ชื่นชม เตช นั่งเก้าอี้เจ้ากระทรวงบัวแก้วคนใหม่ ชี้เป็นที่ยอมรับของคนในกระทรวงและเวทีนานาชาติ เชื่อจะทำให้การทำงานราบรื่นแน่ แต่ยอมรับต้องเผชิญกับงานที่หนัก เผยเบื้องหลัง เตช-นพดล มีสัมพันธ์ทางอ้อมผ่านน้องสาวเมีย ถึงขนาด นพดล ดึงตัวลูกสาวน้องเมียเตช มาเป็นเลขาฯส่วนตัว แต่คงไม่มีผลในเรื่องการทำงาน เพราะ เตช มีความเป็นตัวของตัวเองสูง
วันที่ 27 ก.ค. 2551 นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน กล่าวถึงการที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี แต่งตั้งนายเตช บุนนาค เป็นรมว.ต่างประเทศคนใหม่ว่า นายเตชเป็นบุคคลที่เหมาะสมที่สุด ทั้งความรู้ ความสามารถ เพราะเชี่ยวชาญทางด้านประวัติศาสตร์ การต่างประเทศ มีประสบการณ์การทำงานเป็นที่ยอมรับของคนกระทรวงการต่างประเทศ และเป็นที่ยอมรับในเวทีนานาชาติ ซึ่งจะส่งผลให้การทำงานในตำแหน่งรมว.ต่างประเทศเป็นไปอย่างราบรื่นอย่างแน่นอน
เลขาธิการอาเซียน กล่าวอีกว่า สิ่งที่รมว.ต่างประเทศคนใหม่ต้องทำงานอย่างหนัก นอกการเจรจาแก้ไปกรณีพิพาทปราสาทพระวิหารกับทางกัมพูชาแล้ว ต้องรับผิดชอบในการเป็นประธานอาเซียนของประเทศไทยอีก 1 ปีครึ่ง ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศมีหน้าที่ในการประสานงานในการพัฒนาองค์กรอาเซียน ให้เป็นหนึ่งเดียว และผลักดันประชาคมอาเซียนให้เกิดขึ้นภายในปี 2558 ให้ได้ โดยงานแรกที่ต้องทำคือ การเตรียมจัดประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในปลายปีนี้ ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ที่กรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการให้สัตยาบรรณเพื่อมุ่งมั่น และบูรณาการประชาคมอาเซียนให้เป็นหนึ่งเดียว
แหล่งข่าวจากกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า
สำหรับการเลือกนายเตช บุนนาค ขึ้นดำรงตำแหน่งรมว.ต่างประเทศคนใหม่นี้ ซึ่งได้รับการชื่นชมจากหลายฝ่ายนั้น ส่วนหนึ่งยังได้รับแรงสนับสนุนจากนายนพดล ปัทมะ อดีตรมว.ต่างประเทศโดยทางอ้อมด้วย เนื่องจากภรรยาของนายเตชคือ นางเพ็ญศรี บุนนาค (นามสกุลเดิม อมาตยกุล) มีน้องสาวคนหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันแต่งงานกับอดีตส.ส.ภาคเหนือ ของพรรคไทยรักไทยเดิม แต่มาสอบตกในสมัยเป็นพรรคพลังประชาชน ซึ่งน้องสาวของภรรยานายเตชนั้น มีความสนิทสนมเป็นอย่างดีกับนายนพดล ถึงขนาดส่งลูกสาวที่เกิดจากสามีเก่าที่เสียชีวิตไปแล้ว มาเป็นเลขานุการส่วนตัวให้กับนายนพดลที่กระทรวงการต่างประเทศ โดยที่เลขานุการส่วนตัวคนนี้ก็คือคนที่เดินทางไปเก็บของใช้ส่วนตัวของนายนพดลออกจากกระทรวง ในวันที่เตรียมลาออกจากตำแหน่ง แหล่งข่าว กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามเชื่อว่า นายเตชมีความเป็นตัวของตัวเองสูง และเป็นคนที่ไม่หวงอำนาจ เพราะเคยลาออกจากตำแหน่งปลัดกระทรวง ในยุคที่ถูกฝ่ายการเมืองครอบงำมาแล้ว จึงเชื่อว่าน่าจะให้ความยุติธรรมกับข้าราชการ และรักษาผลประโยชน์ของชาติ มากกว่าจะไปกลัวนักการเมือง อีกทั้งข้าราชการในกระทรวงการต่างประเทศหลายคนก็ให้ความนับถือ จึงเชื่อว่าจะได้รับการสนับสนุนอย่างดีแน่
เตช ยืนยันทำหน้าที่เจรจาให้ดีที่สุด เชื่อจะได้ข้อยุติระดับหนึ่ง ในเวลา 08.00 น. ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายเตช บุนนาค รมว.ต่างประเทศ ได้เดินทางมาเป็นประธานการประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อรับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับกรณีข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ก่อนที่จะเดินทางไปร่วมประชุมกับนายฮอร์ นัมฮง รมว.ต่างประเทศกัมพูชา ในวันที่ 28 ก.ค.นี้ เวลา 10.30 น. ที่โรงแรมดิอองกอร์ พาเลส สปา แอนด์ รีสอร์ท เมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชม.
หลังจากนั้นนายธฤต จรุงวัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ แถลงว่า การเดินทางไปร่วมประชุมที่ประเทศกัมพูชา ถือเป็นงานแรก และเป็นการถือโอกาสที่จะเริ่มต้นหารือกับทางกัมพูชา ซึ่งรมว.ต่างประเทศได้ยืนยันว่าจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อหาทางคลี่คลายปัญหาต่างๆ และยอมรับว่า ปัญหานี้เป็นปัญหาที่มีความสลับซับซ้อน แต่ก็เชื่อมั่นว่าบนพื้นฐานความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันที่มีมาอย่างยาวนาน จะร่วมกันหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้
นายธฤต กล่าวว่า ในการเจรจาระหว่างรมว.ต่างประเทศไทยและกัมพูชานั้น ทางไทยมีความตั้งใจที่จะไปหารือกับทางกัมพูชาด้วยความบริสุทธิ์ใจและบนพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน ซึ่งทั้ง 2 ประเทศฯไม่สามารถย้ายที่ตั้งได้ และประชาชนของทั้ง 2 ประเทศก็จะต้องอยู่ร่วมกัน ดังนั้นในการแก้ไขปัญหาควรจะใช้กรอบทวิภาคี เช่นเดียวกันเหตุการณ์เผาสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญ เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ทั้งนี้ไทยหวังว่าทางกัมพูชาจะมีความใจกว้างและจริงใจในการหารือ โดยที่ไม่ตั้งเงื่อนไขใดๆ ไว้ล่วงหน้า ซึ่งเชื่อว่าการเจรจาครั้งนี้จะมีข้อยุติในระดับหนึ่ง และรัฐบาลไทยมีความตั้งใจที่จะนำไปสู่ข้อยุติ รวมทั้งหวังว่ากัมพูชาจะเปิดใจกว้างในกรอบความร่วมมือฉันเพื่อนบ้านที่ดี อย่างไรก็ตามไทยมีความพร้อมที่จะชี้แจงทุกเวทีเพื่อให้ประชาคมโลกเข้าใจ
อธิบดีกรมสารนิเทศ กล่าวว่า ส่วนที่มีการกล่าวหาว่าประเทศไทยใช้กำลังทหารรุกล้ำในพื้นที่นั้น ตนขอยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ดินแดนเขตอธิปไตยของไทย ซึ่งในการตกลงระหว่าง 2 ฝ่ายในกรอบบันทึกความเข้าใจเมื่อปี พ.ศ.2543 ได้มีการตกลงกันว่าจะมีการปักปันเขตแดนระหว่าง 2 ประเทศ และจะไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเข้าไปทำลายสภาพสิ่งแวดล้อม แต่ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมากลับมีทหารและพลเรือนของกัมพูชา เข้าไปอยู่ในพื้นที่ ซึ่งไทยได้ประท้วงไปยังรัฐบาลกัมพูชามาแล้ว 4 ครั้ง เพื่อเรียกร้องให้กัมพูชากำเนินการตามข้อตกลงบันบึกความเข้าใจดังกล่าว
ยืนยันว่าประเทศไทยได้ดำเนินการตามกรอบและครรลองระหว่างประเทศ ในการขอให้กัมพูชาร่วมมือกับไทยในการทำตามพันธะกรณีบันทึกทำความเข้าใจ ซึ่งการที่ทหารไทยเข้าไปในพื้นที่ในครั้งนี้หลังจากที่ไทยได้ประท้วงแล้ว หลายครั้ง และทางกัมพูชาไม่ได้สนองตอบใดๆ ดังนั้นการที่มีทหารไทยเข้าไปในพื้นที่ไม่ได้หมายความว่าเป็นการรุกลานเพราะ เราเข้าไปในพื้นที่ของเรา และก่อนหน้านั้นก็มีทหารของกัมพูชากว่า 200 นายเข้าไปในพื้นที่เช่นเดียวกันนายธฤตกล่าว