ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
26-04-2024, 02:08
378,182
กระทู้ ใน
21,926
หัวข้อ โดย
9,412
สมาชิก
สมาชิกล่าสุด:
MAN4U
หน้าแรก
ช่วยเหลือ
ปฏิทิน
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)
|
ทั่วไป
|
สภากาแฟ
|
อนาคต “เขาพระวิหาร” หลังคืนวัน “ประหาร”
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า:
[
1
]
ส่งหัวข้อนี้
พิมพ์
อนาคต “เขาพระวิหาร” หลังคืนวัน “ประหาร” (อ่าน 1328 ครั้ง)
LEOidentity
ขาประจำขั้น 2
ออฟไลน์
กระทู้: 567
อนาคต “เขาพระวิหาร” หลังคืนวัน “ประหาร”
«
เมื่อ:
22-07-2008, 06:32 »
“กัมพูชา จงเจริญ กัมพูชาจงเจริญ” เสียงตะโกนดังก้องด้วยความปิติยินดีของชาวกัมพูชาดังขึ้นอีกครั้งหนึ่งทุกหนแห่ง
เมื่อได้ทราบข่าวว่า บัดนี้ “ปราสาทเขาพระวิหาร”อันศักดิ์สิทธิ์ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งใหม่แล้ว !!!
หากจำได้ เสียงแห่งชัยชนะเช่นนี้ มันก็เคยดังกึกก้องอยู่บนยอดภูผาแห่งพระศิวะผู้เป็นใหญ่เหนือแผ่นดินมาครั้งหนึ่ง เมื่อปลายปี พ.ศ. 2505
เสียงนั้นดังว่า “สีหนุจงเจริญ กัมพูชาจงเจริญ สีหนุจงเจริญ กัมพูชาจงเจริญ”
ความพ่ายแพ้ของประเทศใหญ่กับชัยชนะของประเทศเล็ก ที่ล้วนแต่มี "อุดมการณ์ชาตินิยม"
เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงรัฐชาติให้เป็นหนึ่งเดียวบนเวทีโลก บนเวทีรัฐประชาชาติ
ประเทศใหญ่กลับต้องพ่ายแพ้ถึงสองครั้งสองครา ครั้งแรกคือการเสียอธิปไตยและปราสาท
และในครั้งที่สองนี้ ผมเรียกว่าเป็นการสูญเสีย “อำนาจการต่อรองแห่งรัฐในอนาคต”
ซึ่ง “อำนาจการต่อรอง” ที่มันสูญเสียไปนี่แหละ
ที่จะนำไปสู่ความสูญเสียปราสาทเขาพระวิหารและดินแดนทับซ้อนที่อยู่ข้างเคียงในวันข้างหน้า......อย่างสมบูรณ์
หากมัวแต่ไปสนใจกัน “ผิดประเด็น” !!!
อำนาจการต่อรองที่สูญเสียไป คือความผิดพลาดครั้งสำคัญของรัฐมนตรีต่างประเทศในรัฐบาลชุดปัจจุบัน คือ คุณนพดล ปัทมะ
ในฐานะตัวแทนของประเทศไทยที่ “ลงนาม” ยอมรับยินยอม รับรองและผูกพัน
ให้ประเทศกัมพูชาสามารถเสนอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกได้เพียงฝ่ายเดียว
โดยที่ไม่ได้มี “ความรอบคอบ รอบรู้และเปิดเผย”
จนมีข้อสังเกตจากหลายฝ่าย(ตรงข้ามทางการเมือง)ว่า
อาจทำไปเพราะมี “ผลประโยชน์แอบแฝง” ให้กับกลุ่มทุน นายทุน .......หรือนายใหญ่ !!!
จึงมีความพยายามจากหลายฝ่ายเพื่อประวิงเวลา หยุดยั้งการลงนาม
หรือ ชะลอการขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารแต่เพียงฝ่ายกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียว
โดยพยายามขอให้เกิดการขึ้นทะเบียนร่วมทั้งสองฝ่าย ให้เกิดการตรวจสอบ รอบคอบและเปิดเผย
ซึ่งก็ล้วนแต่ “ไม่ทันการ” ไปเสียแล้วในวันนี้
กัมพูชาสามารถผลักดันการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหาร บนเวทีการประชุมระดับนานาชาติได้เป็นผลสำเร็จ
ท่ามกลางความขัดแย้งภายในประเทศของไทย
การไม่ยอมรับข้อผูกมัดและลงนามของคุณนพดล ปัทมะ จนมีคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญของไทยออกมา
รวมถึงถ้อยคำแถลง “ค้าน” ที่นายปองพล อดิเรกสาร
ประธานคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก (Unesco)
ได้กล่าวต่อที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ครั้งที่ 32 ที่นครควิเบก ประเทศแคนาดา
ก็ไม่สามารถยับยั้งหรือเปลี่ยนแปลงการเป็นมรดกโลกของ “เขาพระวิหาร” ในครั้งนี้ได้
แต่กระนั้น ถ้อยคำแถลง “ต่อหน้า” ที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกนี่แหละ ที่จะเป็น “อนาคต” และ “หลักฐาน”
หน้าสำคัญของการพัฒนาปราสาทเขาพระวิหารให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่สมบูรณ์แบบ .....ที่ต้องมีประเทศไทยร่วมอยู่ด้วย !!!
การพัฒนาเขาพระวิหารในอนาคต จะเข้าไปสู่เป้าหมาย การเป็นมรดกโลกข้ามพรมแดน (trans boundary nomination)
หรือมรดกโลกที่ผสมผสานวัฒนธรรมของชนสองแผ่นดินและธรรมชาติของป่าเขาพนมดงเร็กรวมเข้าเอาไว้ด้วย
นี่คือเขาพระวิหารวันพรุ่งนี้ .....แต่ .....แล้วในวันนี้ล่ะ...เราสูญเสียหรือได้เปรียบอะไรบ้างจากการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารของกัมพูชา ?
จากความเป็นจริงของการยึดครองดินแดน ไม่ใช่ความเป็นจริงบน “กระดาษแผนที่” ที่ลากกันไปมาจนปวดหัว ในทาง “กายภาพ”
ชาวกัมพูชาสามารถครอบครองพื้นที่ทับซ้อนครอบคลุมรอบบริเวณปราสาทเขาพระวิหารไว้ได้หมดแล้ว.....
ครอบครองได้มากกว่าแผนที่แนบท้ายที่แนบไปพร้อมกับ Proposal ด้วยซ้ำ !!!
เขตทับซ้อนส่วนหนึ่ง กินเข้ามาถึงเชิงฐานปฏิบัติการทหารพราน และมออีแดง ซึ่งในเขตนี้ฝ่ายไทยยึดครองอยู่
เรียกกันว่า ต่างฝ่ายต่างครอบครองแผ่นดิน ส่วนแผนที่จะว่าอย่างไรมันเป็นเรื่องของแผนที่ เรื่องจริงไม่เคยเกี่ยวกัน !!!
เรายังไม่เคยมีการเจรจาหรือปักปันพรมแดนรอบเขาพระวิหารได้เลยมาในอดีต ตั้งแต่ปี 2505 เขตทับซ้อนก็ยังคงเป็นเขตทับซ้อน
ตั้งแต่ช่องอานม้า ช่องเม็ก ยันไปตลอดแนวพรมแดนถึงจังหวัดตราด บางส่วนก็ปักใหม่บ้างแล้ว แต่ส่วนใหญ่ ก็ยังคงทับซ้อนกันต่อไป
ถึงไม่มี “วิกฤตการณ์เขาพระวิหารในกรณีคุณนพดล ปัทมะ” กัมพูชาก็ยึดครองแผ่นดินส่วนที่ทับซ้อนที่เขาเชื่อว่าเป็นเขตเขาไว้อยู่ดี
ในขณะที่ฝั่งไทยของเราก็ยึดปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ปราสาทสด๊กก๊อกธม ไว้ในการครอบครองใน "เขตทับซ้อน" เช่นเดียวกัน
ความชัดเจนของแผนผังกัมพูชาที่แนบท้าย ในการขอขึ้นมรดกโลก “เฉพาะ”ตัวปราสาทเขาพระวิหารได้ขีดเส้นความรับรู้ถึง “สิทธิและอธิปไตย”
ของกัมพูชาเหนือเขาพระวิหารเฉพาะรูปห้าเหลี่ยมคางหมู ห่างจากบันไดชั้นล่างสุดออกมาเพียง 20 เมตรอีกครั้ง
เป็นการตอกย้ำแผนที่ที่รัฐบาลไทยยอมมอบคืนดินแดนส่วนดังกล่าวให้กับประเทศกัมพูชาตามคำสั่งศาลโลกปี 2505 ...อย่างชัดเจน
เพราะฉะนั้นแผ่นดินส่วนนอกเหนือจากแผนที่แนบท้าย ที่ชาวกัมพูชาเข้ามาครอบครองตั้งเป็นบ้านเรือนและร้านค้า
ฝ่ายกัมพูชาจะต้องพิจารณาถอนออกจากเขตทับซ้อนและเขตของประเทศไทยก่อนที่จะมีการพัฒนาพื้นที่หรือบูรณะเขาพระวิหารในวันพรุ่ง
ซึ่งนั่นก็หมายถึง จะต้องเริ่มมีการเจรจาปักปันเขตแดนและเจรจาความร่วมมือในการพัฒนาเขาพระวิหาร ในฐานะมรดกโลกร่วมกัน
ก่อนการเปิดโอกาสให้องค์กรนานาชาติเข้ามาในพื้นที่
เพราะหากกัมพูชา ไม่ยินยอมให้มีการเจรจาปักปันดินแดนที่ชัดเจน
ฝ่ายไทยก็มี “สิทธิ” ที่จะไม่ให้องค์กรใด ๆ จากประเทศทั้ง 7 ชาติ
เข้ามาวางแผนหรือพัฒนาพื้นที่โดยรอบเขาพระวิหารตามเอกสารของฝ่ายกัมพูชาในพื้นที่ซ้อนทับนั้น
ในวันพรุ่ง.... หากกัมพูชาและไทยสามารถเจรจาในความร่วมมือพัฒนาพื้นที่รอบเขาพระวิหารในอนาคตได้อย่างสันติและลดปัญหาความขัดแย้งแล้ว
“พื้นที่เขตแดนทับซ้อน” ที่เคยเป็นปัญหามายาวนานกว่า 50 ปี ก็จะได้มีโอกาสแก้ไขปักปันและแบ่งผลประโยชน์ในครั้งนี้ไปพร้อมกัน
และหากกัมพูชาไม่ต้องการพัฒนาพื้นที่โดยรอบที่ยังเป็น “พื้นที่พิพาท เขตแดนซ้อนทับ”
ก็จะไม่สามารถดำเนินงานให้ “เขาพระวิหาร” เป็นมรดกโลกโดยสมบูรณ์
์ตามพันธะที่ให้ไว้กับ Unesco ได้ ซึ่งก็จะนำไปสู่กระบวนการถอดถอนมรดกโลกได้
ถึงแม้ว่าจะอ้างเรื่องของคณะกรรมการมรดกโลก ที่ให้มีการพัฒนาพื้นที่โดยรอบ
แต่หากพื้นที่นั้นเป็นพื้นที่ที่ยังไม่ชัดเจน ยังไม่เจรจาปักปัน
ยูเนสโกก็ไม่ได้มีอำนาจเหนือ “อธิปไตย” ของประเทศใด ๆ ทั้งสิ้นครับ !!!
ดังนั้นการกล่าวอ้างผลเสียโดยอ้างว่า ไทยจะเสียดินแดน เสียอธิปไตยในอนาคตเพราะถูกบีบบังคับจากนานาชาติโดยยูเนสโกนั้น
เป็นการกล่าวที่ไม่ได้ดูประวัติศาสตร์ของการขึ้นทะเบียนมรดกโลกทางวัฒนธรรมเลย
เพราะองค์กรยูเนสโก้ คือองค์กรทางวัฒนธรรม ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์
ไม่ใช่องค์กรทางการเมืองหรือองค์กรทางทหารที่ทรงพลังอำนาจมากจนสามารถเปลี่ยนแปลงเขตแดนของประเทศใดประเทศหนึ่ง
เพื่อให้เป็นดินแดนมรดกโลกของอีกประเทศได้ .....ไม่เคยมี !!!
ถึงแม้แต่ศาลโลกก็เถอะ หากประเทศไทยในปี 2505
ไม่ประสบมรสุมทางการเมืองในระดับนานาชาติภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
โดยมีคู่กัดที่หนุนหลังกัมพูชาอย่าง "ประเทศฝรั่งเศส"
และเพื่อรักษาที่นั่งในองค์การสหประชาชาติ
“รัฐสภาและรัฐบาลไทย”จึงยอมมีมติตามคำสั่งของศาล “คืน” ปราสาทและ "อธิปไตย"
เหนือเขาพระวิหารให้กับประเทศกัมพูชา
กัมพูชาถึงจะได้ครอบดินแดนเขาพระวิหารได้ ไม่ใช่ศาลโลกสั่งปุ๊บ .....ไทยต้องเสียดินแดนทันที !!!
เมื่อ Unesco ไม่เคยเกี่ยวข้องกับอำนาจอธิปไตยและการปักปันดินแดนระหว่างประเทศ เขาพระวิหารก็ยังคงเป็นดินแดนของชาวกัมพูชา
ตามความยินยอม "คืน" ของประเทศไทยในปี 2505 และเป็นมรดกโลกที่สวยงาม น่าภาคภูมิใจแห่งใหม่ของชาวกัมพูชา.....ด้วยความยินดี
หากแต่กรณีของ "เขตหรือดินแดนซ้อนทับ" กับ "พื้นที่พัฒนาโดยรอบเขาพระวิหาร" ก็เป็นคนละกรณีกัน
หากต้องการจะมีการขึ้นทะเบียนมรดกโลกเขาพระวิหารให้สมบูรณ์ในปัจจุบัน
ฝ่ายกัมพูชาก็คงจะต้องถอนผู้คนและร้านค้าออกจากแนวโดยรอบเขาพระวิหาร
และกลับไปพื้นที่ตาม “แผนที่แนบท้าย” ที่ขอขึ้นทะเบียนไว้เสียก่อน
และเปิดการเจรจาทวิภาคีกับฝ่ายไทยอย่างรวดเร็ว เพื่อกำหนดเขตแดนที่ชัดเจน
และหากมีความพยายามในการขยายพื้นที่มรดกโลกตามแผนงานในอนาคต
ก็จะต้องมีการเจรจากันในเรื่องของการปักปันเขตแดนหรือการใช้ประโยชน์จาก "แผ่นดินทับซ้อน" ร่วมกันก่อน
ซึ่งจะต้องยินยอมให้ไทยขึ้นทะเบียนพื้นที่โดยรอบให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรม "ร่วม" ในอนาคต
ดังคำแถลงค้านของคุณปองพล ที่ได้ให้ไว้ในท้ายการประชุม
เพราะหากกัมพูชาที่ได้โอกาสจากการเปิดช่องว่างของคุณนพดล
ไม่ดำเนินการใด ๆ ให้เกิดการเจรจาแก้ไขวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ไปสู่ความสมานฉันท์และสันติภาพ
ก็จะทำให้ปัญหาของ ”พรมแดน” และ “ปราสาทเขาพระวิหาร” จะกลายเป็นปัญหาที่หลอกหลอนจิตใจชนทั้งสอง “รัฐชาติ” ต่อไปไม่สิ้นสุด
่ในกรณีที่คุณนพดล ได้การลงนาม หรือ รับรองเขตปราสาทเขาพระวิหาร โดย "พลการ"
หรือเพราะ “อาจ” มีเงื่อนไขของผลประโยชน์ที่ซ่อนเร้น การลงนามที่ไม่เปิดเผยหรือปิดบังในครั้งนี้
มันได้ทำให้ประเทศไทย “เสียอำนาจในการต่อรองครั้งใหญ่”
ทำให้ “ชาติไทย” ที่เคยยิ่งใหญ่หรือถูกสั่งสอนมาว่าเรายิ่งใหญ่ที่สุดในอุษาคเนย์ ต้องเสียเปรียบประเทศเล็ก ๆ อย่างกัมพูชา
ตามข้อกล่าวหา.....ทำให้เราไม่สามารถขึ้นทะเบียนร่วมเขาพระวิหารได้ในครั้งเดียวกัน ......ทำให้เราอาจเสียดินแดนในอนาคต
ทำให้เราถูก 21 ประเทศรุมรังแก 7 ประเทศเข้ายึดครองแผ่นดินซ้อนทับ
และเป็นการลงนามโดย "พลการ" ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ในความเห็นของผม “อำนาจการต่อรอง” ที่เสียไปเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
เพราะมันคืออำนาจที่สามารถผลักดันให้ชาวกัมพูชาออกจากดินแดนทับซ้อน
อำนาจในการ “บีบ” ให้ทางขึ้นกลับมาอยู่ในมือเราก่อนและค่อยขอเจรจาเพื่อขึ้นทะเบียนมรดกโลก “ร่วม” กันอีกครั้งในปีถัดไป
แค่อำนาจต่อรองของชาติไทยที่หายไปนี้ ก็มีเหตุผลเพียงพอที่อยากให้รัฐมนตรีต่างประเทศ
คุณนพดลควรแสดงความรับผิดชอบ ในฐานะของ “คนไทย” อย่างใดอย่างหนึ่ง !!!
ถึงคืนวันพิพากษา “ประหาร” นพดล เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2551 ได้ผ่านพ้นไปแล้ว
แต่เราคงต้องมานั่งคิดต่อกันว่า เราจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร
ใครจะมาเป็นแม่ทัพนายกองเพื่อเข้าเจรจาต่อรอง ในท่ามกลางความเสียเปรียบที่คุณนพดลและรัฐบาลได้สร้างไว้ ?
คำตอบอยู่ไม่ไกล .....ใครก็ได้ ท่องคำนี้ไว้ในใจ เราต้องไม่เสียอธิปไตยที่ครอบครองอยู่ในวันนี้แม้แต่เพียงก้าวเดียว
ส่วนในเขตแดนทับซ้อน ก็ขอฝากเจรจาให้เอาทางขึ้นคืนมาให้ได้ก่อนนะครับ !!!
บทความจาก
http://www.oknation.net/blog/voranai/2008/07/09/entry-1
โดยคุณศุภศรุต
โปรดสังเกตข้อความที่ผมขีดเส้นใต้นะครับ
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-07-2008, 06:52 โดย LEOidentity
»
บันทึกการเข้า
หน้า:
[
1
]
ส่งหัวข้อนี้
พิมพ์
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
ทั่วไป
-----------------------------
=> ตะกร้าข่าว
=> ห้องสาธารณะ
=> สภากาแฟ
=> ชายคาพักใจ
=> ร้อยรักษ์กวีวรรณ
=> สโมสรริมน้ำ
-----------------------------
ด้านเทคนิค
-----------------------------
=> ปัญหาการใช้งาน
=> ห้องทดสอบ
===> ทดสอบบอร์ดย่อย
Powered by SMF 1.1.20
|
SMF © 2005, Simple Machines
|
Thai language by ThaiSMF
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.04 วินาที กับ 21 คำสั่ง